มู่จิ่วซีก็เห็นโม่จุนกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่ไม่ได้ยับเยิน แต่มีเพียงเส้นผมบางเส้นที่ขาดหลุดไปบ้าง ผนวกกับหน้าใบหน้าหล่อเหลาที่เย็นชาถึงขีดสุด พอมองแล้วก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอาย"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน นี่เจ้าหมายความว่ายังไง? รถม้าที่ดีที่สุดของจวนมู่ถูกเจ้าทำลายทิ้งไปแล้ว เจ้าจะต้องชดใช้!" มู่จิ่วซีมองเลยไปยังด้านหลังเขาแต่ก็ไม่พบฮั้วอวิ๋นเทียนโม่จุนเดินมาอยู่ตรงหน้าของนาง จากนั้นก็มองมู่จิ่วซีด้วยสายตาที่สูงส่ง บรรยากาศของเขาช่างดำมืดและเย็นเยียบ"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน" เย่ฮานที่อยู่ข้างก็กล่าวอกมาอย่างฝืนๆ "ตอนนี้ก็ดึกมาแล้ว ยังไงก็..."โม่จุนหันหน้ามาและเหลือบสายตามองไป ราวกับว่าเป็นดาบอันคมกริบที่จ่อไปตรงคอของเย่ฮานอย่างใดอย่างนั้น ทำให้เย่ฮานถึงกับพูดไม่ออกจนเขาก้มหดคอและถอยกลับไป"โม่จุน คืนนี้เจ้าเป็นบ้าอะไรของเจ้า? ทำตัวแปลกประหลาด" มู่จิ่วซีเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับทำแก้มป่องถามเขา"ข้าควรต้องถามเจ้าต่างหากว่าคืนนี้เจ้าไปทำอะไรมา?" โม่จุนกล่าวอย่างเย็นชา"ข้าจะทำอะไรได้ ก็ไปที่หอหล่านจวี๋มาไง! ไม่ใช่ว่าข้าบอกแล้วเหรอ? ข้าไปทำธุระมา"มู่จิ่วซีจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าชายคนนี้
มู่จิ่วซีมองไปที่เขาอย่างแปลกๆ : "โม่จุน เจ้าทำแบบนี้ ข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังหึงหวงอยู่นะ"ใบหน้าหล่อเหลาของโม่จุนเปลี่ยนไป จากนั้นก็ยิ้มกล่าวอย่างแหยงๆ : "ข้าเนี่ยนะหึงหวง? เจ้าคงเมาเหล้ายังไม่ส่างสินะ? ข้าก็แค่เจตนาดีเตือนเจ้า ถ้าท่านพ่อเจ้ากับพระพันปีหลวงรู้เจ้าไถ่ตัวนายโลมมา เจ้าคงรู้ผลลัพธ์ที่จะตามมาใช่ไหมว่าคืออะไร?""โม่จุน ทุกครั้งเจ้าเลิกทำมารู้จักผิดชอบชั่วดีได้ไหม เจ้าก็ดีแต่ตัดสินคนอื่น เจ้ารู้เรื่องราวทั้งหมดหรือไง? รู้หรือว่าจุดประสงค์ของข้าคืออะไร? เจ้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เจ้ารู้แต่ตัวเจ้าเอง! แม้แต่อารมณ์ของเจ้าก็ยังจัดการไม่ได้!""เจ้า!" โม่จุนถูกมู่จิ่วซีกล่าวตำหนิเขาออกมาเป็นพรวน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาโกรธจัดจนแดงก่ำ ในใจก็รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย หรือว่าที่เขาได้ฟังมามันจะไม่ถูก?"ถ้าเจ้าชดใช้ค่ารถม้าให้ข้า ข้าจะค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง" มู่จิ่วซีเลิกคิ้วมองไปที่เขา"ข้าเอารถไม้ของข้าให้เจ้าก็ได้" เดิมทีโม่จุนก็ต้องชดใช้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรรถม้าก็เป็นของมู่เทียนซิง เขาทำรุนแรงไปขนาดนั้นก็รู้สึกผิดเสียใจอยู่บ้างมู่จิ่วซีก็นึกถึงรถม้าหรูหราของจวนท่านผู้สำเร็จราชการแทนของ
มู่จิ่วซีพอเห็นสายตาที่ลึกล้ำของโม่จุนมองจ้องมาที่นาง นางก็ถูกเขามองจนรู้สึกขนุกไปทั้งตัว"ข้าน่ามองขนาดนั้นเลยรึไง?" มู่จิ่วซีเอื้อมออกไปขยับส่ายหน้าของเขาโม่จุนก็ได้สติมาในทันที จากนั้นก็รีบหันกลับมา ใบหน้าของเขาถึงกับร้อนผ่าว หูของเขาแดงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว"แค่กแค่กแค่ก ไม่มีใครบอกว่าเจ้าขี้เหล่สักหน่อย" โม่จุนเขินอายอย่างมากแต่เมื่อนึกถึงนางที่ไม่มีความรู้ความสามารถตรงจุดนี้ ซึ่งก็จริงตามที่ลือกัน แต่ตั้งแต่ที่นางเดิมพันทักษะฉินและเขียนอักษรกับฮั้วอวิ๋นเทียน ก็ทำให้เขารู้ว่าที่ลือกันไม่ไร้สาระและยังรวมไปถึงทำษะแพทย์ขอนางอีกที่นางสามารถวินิจฉัยได้ว่าท่านแม่ของนางเองกับคุณหญิงของท่านอัครมหาเสนาบดีล้วนถูกพิษเงาดอกนิโลบลเหมือนกัน ซึ่งแม้แต่แพทย์หลวงก็ยังวินิจฉัยไม่ออก แต่นางกลับสามารถรู้ได้ นี่ถือว่าเป็นทักษะแขนงหนึ่งเหมือนกันบางทีการที่นางเป็นคนไม่เชื่อฟังใครตรงจุดนี้ก็เหมาะสมกับนางแล้วแต่ผู้หญิงประเภทที่หัวอ่อนว่านอนสอนง่าย เขาก็เจอมามากแล้ว และก็ไม่น่าสนใจเลยจริงๆ"ข้าเองก็คิดว่าข้าดูดี" มู่จิ่วซีพูดกับตัวเองแล้วก็เดินกระโดดเริงร่าออกไปอย่างมีความสุขโม่จุนเหลือบกันมา
มู่จิ่วซีเมื่อเห็นกระบวนท่านี้ นางก็หรี่ตาลงในฉับพลัน คนๆ นี้คือมือสังหารเพราะว่ามีเพียงแต่มือสังการเท่านั้นที่เวลาต่อสู้กับศัตรูจะมักใช้วิธีการบุกโจมตีเพื่อเป็นการป้องกันตัว อีกอย่างท่าทางที่คนๆ นี้ถือดาบสั้นก็เป็นกระบวนท่าที่มือสังหารมักจะใช้การปาดคอคู่ต่อสู้คือท่าสังหารที่ได้ผลรวดเร็วที่สุด"ระวัง!" มู่จิ่วซีกรีดร้องขึ้นมาในฉับพลัน เนื่องจากคนในชุดดำนั้นไม่เพียงแต่มีกำลังภายในที่ทรงพลัง อีกทั้งในมือทั้งสองข้างก็ยังมีอาวุธอีกอย่างเพื่อให้เย่ฮานสับสน เขาจึงเผยมีดสั้นออกมาก่อนในตอนแรก เพื่อหลอกล่อให้เย่ฮานใช้กระบี่ที่ยาวกว่าโจมตี จากนั้นเสียงเกร้งก็ดังขึ้น ร่างกายของชายชุดดำคนนั้นพลิกตีลังกาคล่องแคล่วอย่างมาก มืออีกข้างของเขาในแขนเสื้อก็มีกริชสั้นพุ่งเป้าแทงเข้าไปที่หัวใจของเย่ฮานมู่จิ่วซีพอเห็นว่าท่าทีของชายชุดดำคนนั้นแปลกออกไป นางก็ตะโกนเสียงดัง ในใจของนางกังวลขึ้นมาอย่างสุดขีดเย่ฮานหลังจากได้ยินเขาก็คิดที่อยากจะหลบแต่ว่าไม่ทันการเสียแล้ว แต่ยังดีที่พอเขาพลิกตัว กริชก็ปักจนมีเสียง "ฉึก" แทงเข้าไปที่แขนของเขา ทันใดนั้นเขาก็โอดครวญด้วยความเจ็บปวดจนเขาถอยหลังไปหลายก้าว กริช
สีหน้าของเย่ฮานตกใจอย่างมากและกล่าว : "เป็นผู้หญิง? และก็เป็นมือสังหาร?"มู่จิ่วซีเองก็ใจหายอยู่พักหนึ่งและพยักหน้ากล่าว : "ใช่ ข้ามองไม่ผิดแน่ ในเมื่อเป้นมือสังหาร แสดงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับหอดาราจันทรา แต่เป็นไปไม่ได้ที่ฮั้วอวิ๋นเทียนจะมาสังหารข้า? งั้นคือใครกันแน่?"ดูจากรูปร่างของผู้หญิงคนนี้แล้วคงจะสูงกว่านางอยู่หน่อย รูปร่างก็ไม่ได้ผอมมากขนาดนั้น ดังนั้นเย่ฮานเลยคิดว่าเป็นผู้ชายแต่นางเห็นมือที่ผู้หญิงคนนั้นเผยออกมา นางไม่มีทางมองผิดแน่เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้เผยให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้าง ในความมืดมินจึงเห็นได้ไม่ชัด แม้ว่าจะเป้นการคาดเดาของมู่จิ่วซี แต่นางก็ไม่กล้ามั่นใจ"คุณหนู หรือว่าจะเป็นเรื่องตำหนักราชวงศ์ก่อนหน้านี้?" เย่ฮานกำลังพูดถึงเรื่องที่นางถูกผลักตกลงทะเลสาปจนอีกนิดเดียวก็เกือบจะจมน้ำตาย"ตระกูลเซียว?" มู่จิ่วซีนึกถึงเซียวเจี้ยนและพยักหน้าพร้อมกับกล่าว "ก็อาจเป็นไปได้ ศัตรูของข้าเยอะมาก คาดว่าคงมีหลายคนที่อยากจะให้ข้าตาย เอาเถอะ เลิกคิดเถอะ รีบกลับจวนดีกว่า แผลของเจ้ายังต้องรักษาจัดการใหม่"ทั้งสองรีบกลับไปที่จวน มู่เทียนซิงพอรู้ว่ามู่จิ่วซีเกือบจะถูกฆ่า ใบหน้าช
"ขอบคุณใต้เท้าเย่มากที่เชื่อใจข้า ข้าทราบแล้ว" มู่จิ่วซีก็ประสานมือเคารพเขา จากนั้นนางก็พาเย่ฮานและลู่เอ๋อร์ไปที่จวนอัครมหาเสนาบดีลู่เอ๋อร์ที่อยู่บนรถม้าด้วยก็เห็นคุณหนูใหญ่สีหน้าไม่ค่อยดี นางเองก็ไม่กล้าถาม นางเลยหันมองไปาหาเย่ฮานแขนของเย่ฮานก็ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงอีกแล้วพร้อมกับเริ่มทำงานปกป้องมู่จิ่วซี"คุณหนูใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?" เย่ฮานถาม"ไม่เป็นไร ก็แค่รู้สึกโดนคนอื่นหรอกก็เท่านั้น ข้าไม่ชอบมากๆ" มู่จิ่วซียิ้มอย่างแหยงๆ "เย่ฮาน เจ้าไม่ต้องมาติดตามข้าแล้ว ช่วยข้าไปจัดการเรื่องหนึ่งให้หน่อยสิ""คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยไม่อาจห่างจากท่านไปได้ ถ้าหากเกิดเรื่องแบบตอนนักฆ่าคนนั้นอีก..." เย่ฮานส่ายหัวในทันที"นี่มันกลางวันแสกๆ อีกอย่างช่วงสิบวันมานี้ข้าก็ฝึกฝนวรยุทธมาตลอด กระบวนท่าของข้าเก่งขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล"กำลังภายในของมู่จิ่วซีตั้งแต่ไม่มีจนมี ถ้าหากแบ่งขั้นแรกออกเป็นเก้าชั้น นางตอนนี้ก็ได้ฝึกฝนไปถึงระดับชั้นสามสี่แล้วนางมั่นใจว่าภายในหนึ่งเดือน นางจะสามารถฝึกฝนเฟิงเหยียนหยูเฟยขั้นแรกสำเร็จได้แน่ อีกทั้งจะบรรลุถึงขั้นสูงสุดด้วยมู่จิ่วซีบอกให้รถม้าหยุด ลู่เอ๋อร์
มู่จิ่วซีและไป๋ชิงมองตากัน"ฮูหยินรอง?" มู่จิ่วซีกล่าว "ป้าสะใภ้รองของเจ้า?"ไป๋ชิงพยักหน้า บ่าวคนนั้นก็รีบกล่าวออกมา "ฮูหยินรองอยู่ที่เรือนข้างๆ นางบอกว่ามีเรื่องต้องการเจรจากับคุณหนูใหญ่มู่ ขอให้คุณหนูใหญ่มู่ให้เกียรติมาหาด้วย"มู่จิ่วซียักใหล่และก็พูดตอบตกลงไปเสร็จก็ส่งสายตาเป็นนัยน์บอกให้ไป๋ชิงสบายใจและเดินตามบ่าวคนนั้นไปที่เรือนข้างๆเรือนข้างๆ นั้นเงียบสงบอย่างมาก มู่จิ่วซีพอเห็นเรือนที่งดามและวิจิตรของจวนอัครมหาเสนาบดีก็ได้แต่เบ้ปาก ที่แท้อัครมหาเสนาบดีก็คืออัครมหาเสนาบดี สวัสดิการที่อยู่อาศัยล้วนมากกว่าท่านพ่อของนางฮูหยินรองจ้วงชิงเหมยแห่งจวนอัครมหาเสนาบดีเป็นผู้หญิงทีาสวยงดงาม เมื่อสิบปีก่อนมีชื่อเสียงใรพระนครว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งเพียงแต่จ้วงชิงเหมยเกิดมาฐานะไม่ดี เป็นเพียงแค่ลูกกำพร้า นางถูกครอบครัวพื้นบ้านธรรมดารับเลี้ยง ชีวิตของนางผ่านไปอย่างขมขื่น ต่อมาก็ถูกขายให้กับหอชิงหยาซึ่งก็ถือว่าเป็นหอนางโลมในพระนครนายท่านของหอนางโ,มในตอนนั้นเห็นว่าจ้วงชิงเหมยงดงามหาใครเปรียบได้ก็เลยทำการเลี้ยงดูนางให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งพระนคร อีกทั้งให้นางขายเฉพาะความสามารถแต่ไม่
ถึงอย่างไรตอนที่นางถูกเรียกว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งนั้น นางก็ยังเป็นแค่นางโลมอันดับหนึ่งของหอชิงหยา"ข้าแก่แล้ว กาลเวลาไม่เคยปราณีคน ตอนนี้เป็นเวลาหนุ่มสาวของพวกเจ้าแล้วต่างหาก" เสียงของจ้วงชิงเหมยอ่อนโยนอย่างมาก ฟังแล้วก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มมากจริงๆไม่นานนักชากลิ่มหอมก็ได้ถูกเอามาเสิร์ฟ มู่จิ่วซีดื่มไปอึกหนึ่งก็กล่าวออกมา : "ไม่ทราบว่าฮูหยินรองเรียกจิ่วซีมาพบมีธุระอันใดรึ?"จ้วงชิงเหมยก็ส่งสายตาไปให้แม่นมที่อยู่ข้างๆ จากนั้นแม่นมคนนั้นก็ยกกล่องไม้ใบหนึ่งออกมา"คุณหนูใหญ่มู่ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าหว่านเอ๋อร์กับเจ้าเข้าใจผิดกันเล็กน้อย เป็นเพราะหว่านเอ๋อร์เด็กคนนี้ไม่รู้จักประสีประสา นี่ถือเป็นคำค่าขอโทษชดใช้ให้กับคุณหนูใหญ่มู่แทนหว่านเอ๋อร์ของข้า ข้าหวังว่าคุณหนูใหญ่มู่จะไม่เอามาเก็บใส่ใจ""พอพูดจบ แม่นมคนนั้นก็เปิดกล่องไม้ออกมาภายในเป็นเครื่องประดับทองคำชิ้นหนึ่งที่เรืองรองเหลืองอร่าม แค่มองก็สวยสดงดงามมาก เป็นของคุณภาพระดับสูงและมีราคาแพงมาก"โอ้โห สวยงามจริงๆ" ตาสองข้างของมู่จิ่วซีแทบหลุดออกจากเบ้า คนที่ชอบเงินทองอย่างนางพอได้ก็ต้องชอบเป็นเรื่องธรรมชาติ "แต่ว่าข้ารับเอาไว้ไ