สีหน้าของเย่ฮานตกใจอย่างมากและกล่าว : "เป็นผู้หญิง? และก็เป็นมือสังหาร?"มู่จิ่วซีเองก็ใจหายอยู่พักหนึ่งและพยักหน้ากล่าว : "ใช่ ข้ามองไม่ผิดแน่ ในเมื่อเป้นมือสังหาร แสดงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับหอดาราจันทรา แต่เป็นไปไม่ได้ที่ฮั้วอวิ๋นเทียนจะมาสังหารข้า? งั้นคือใครกันแน่?"ดูจากรูปร่างของผู้หญิงคนนี้แล้วคงจะสูงกว่านางอยู่หน่อย รูปร่างก็ไม่ได้ผอมมากขนาดนั้น ดังนั้นเย่ฮานเลยคิดว่าเป็นผู้ชายแต่นางเห็นมือที่ผู้หญิงคนนั้นเผยออกมา นางไม่มีทางมองผิดแน่เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้เผยให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้าง ในความมืดมินจึงเห็นได้ไม่ชัด แม้ว่าจะเป้นการคาดเดาของมู่จิ่วซี แต่นางก็ไม่กล้ามั่นใจ"คุณหนู หรือว่าจะเป็นเรื่องตำหนักราชวงศ์ก่อนหน้านี้?" เย่ฮานกำลังพูดถึงเรื่องที่นางถูกผลักตกลงทะเลสาปจนอีกนิดเดียวก็เกือบจะจมน้ำตาย"ตระกูลเซียว?" มู่จิ่วซีนึกถึงเซียวเจี้ยนและพยักหน้าพร้อมกับกล่าว "ก็อาจเป็นไปได้ ศัตรูของข้าเยอะมาก คาดว่าคงมีหลายคนที่อยากจะให้ข้าตาย เอาเถอะ เลิกคิดเถอะ รีบกลับจวนดีกว่า แผลของเจ้ายังต้องรักษาจัดการใหม่"ทั้งสองรีบกลับไปที่จวน มู่เทียนซิงพอรู้ว่ามู่จิ่วซีเกือบจะถูกฆ่า ใบหน้าช
"ขอบคุณใต้เท้าเย่มากที่เชื่อใจข้า ข้าทราบแล้ว" มู่จิ่วซีก็ประสานมือเคารพเขา จากนั้นนางก็พาเย่ฮานและลู่เอ๋อร์ไปที่จวนอัครมหาเสนาบดีลู่เอ๋อร์ที่อยู่บนรถม้าด้วยก็เห็นคุณหนูใหญ่สีหน้าไม่ค่อยดี นางเองก็ไม่กล้าถาม นางเลยหันมองไปาหาเย่ฮานแขนของเย่ฮานก็ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงอีกแล้วพร้อมกับเริ่มทำงานปกป้องมู่จิ่วซี"คุณหนูใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?" เย่ฮานถาม"ไม่เป็นไร ก็แค่รู้สึกโดนคนอื่นหรอกก็เท่านั้น ข้าไม่ชอบมากๆ" มู่จิ่วซียิ้มอย่างแหยงๆ "เย่ฮาน เจ้าไม่ต้องมาติดตามข้าแล้ว ช่วยข้าไปจัดการเรื่องหนึ่งให้หน่อยสิ""คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยไม่อาจห่างจากท่านไปได้ ถ้าหากเกิดเรื่องแบบตอนนักฆ่าคนนั้นอีก..." เย่ฮานส่ายหัวในทันที"นี่มันกลางวันแสกๆ อีกอย่างช่วงสิบวันมานี้ข้าก็ฝึกฝนวรยุทธมาตลอด กระบวนท่าของข้าเก่งขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล"กำลังภายในของมู่จิ่วซีตั้งแต่ไม่มีจนมี ถ้าหากแบ่งขั้นแรกออกเป็นเก้าชั้น นางตอนนี้ก็ได้ฝึกฝนไปถึงระดับชั้นสามสี่แล้วนางมั่นใจว่าภายในหนึ่งเดือน นางจะสามารถฝึกฝนเฟิงเหยียนหยูเฟยขั้นแรกสำเร็จได้แน่ อีกทั้งจะบรรลุถึงขั้นสูงสุดด้วยมู่จิ่วซีบอกให้รถม้าหยุด ลู่เอ๋อร์
มู่จิ่วซีและไป๋ชิงมองตากัน"ฮูหยินรอง?" มู่จิ่วซีกล่าว "ป้าสะใภ้รองของเจ้า?"ไป๋ชิงพยักหน้า บ่าวคนนั้นก็รีบกล่าวออกมา "ฮูหยินรองอยู่ที่เรือนข้างๆ นางบอกว่ามีเรื่องต้องการเจรจากับคุณหนูใหญ่มู่ ขอให้คุณหนูใหญ่มู่ให้เกียรติมาหาด้วย"มู่จิ่วซียักใหล่และก็พูดตอบตกลงไปเสร็จก็ส่งสายตาเป็นนัยน์บอกให้ไป๋ชิงสบายใจและเดินตามบ่าวคนนั้นไปที่เรือนข้างๆเรือนข้างๆ นั้นเงียบสงบอย่างมาก มู่จิ่วซีพอเห็นเรือนที่งดามและวิจิตรของจวนอัครมหาเสนาบดีก็ได้แต่เบ้ปาก ที่แท้อัครมหาเสนาบดีก็คืออัครมหาเสนาบดี สวัสดิการที่อยู่อาศัยล้วนมากกว่าท่านพ่อของนางฮูหยินรองจ้วงชิงเหมยแห่งจวนอัครมหาเสนาบดีเป็นผู้หญิงทีาสวยงดงาม เมื่อสิบปีก่อนมีชื่อเสียงใรพระนครว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งเพียงแต่จ้วงชิงเหมยเกิดมาฐานะไม่ดี เป็นเพียงแค่ลูกกำพร้า นางถูกครอบครัวพื้นบ้านธรรมดารับเลี้ยง ชีวิตของนางผ่านไปอย่างขมขื่น ต่อมาก็ถูกขายให้กับหอชิงหยาซึ่งก็ถือว่าเป็นหอนางโลมในพระนครนายท่านของหอนางโ,มในตอนนั้นเห็นว่าจ้วงชิงเหมยงดงามหาใครเปรียบได้ก็เลยทำการเลี้ยงดูนางให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งพระนคร อีกทั้งให้นางขายเฉพาะความสามารถแต่ไม่
ถึงอย่างไรตอนที่นางถูกเรียกว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งนั้น นางก็ยังเป็นแค่นางโลมอันดับหนึ่งของหอชิงหยา"ข้าแก่แล้ว กาลเวลาไม่เคยปราณีคน ตอนนี้เป็นเวลาหนุ่มสาวของพวกเจ้าแล้วต่างหาก" เสียงของจ้วงชิงเหมยอ่อนโยนอย่างมาก ฟังแล้วก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มมากจริงๆไม่นานนักชากลิ่มหอมก็ได้ถูกเอามาเสิร์ฟ มู่จิ่วซีดื่มไปอึกหนึ่งก็กล่าวออกมา : "ไม่ทราบว่าฮูหยินรองเรียกจิ่วซีมาพบมีธุระอันใดรึ?"จ้วงชิงเหมยก็ส่งสายตาไปให้แม่นมที่อยู่ข้างๆ จากนั้นแม่นมคนนั้นก็ยกกล่องไม้ใบหนึ่งออกมา"คุณหนูใหญ่มู่ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าหว่านเอ๋อร์กับเจ้าเข้าใจผิดกันเล็กน้อย เป็นเพราะหว่านเอ๋อร์เด็กคนนี้ไม่รู้จักประสีประสา นี่ถือเป็นคำค่าขอโทษชดใช้ให้กับคุณหนูใหญ่มู่แทนหว่านเอ๋อร์ของข้า ข้าหวังว่าคุณหนูใหญ่มู่จะไม่เอามาเก็บใส่ใจ""พอพูดจบ แม่นมคนนั้นก็เปิดกล่องไม้ออกมาภายในเป็นเครื่องประดับทองคำชิ้นหนึ่งที่เรืองรองเหลืองอร่าม แค่มองก็สวยสดงดงามมาก เป็นของคุณภาพระดับสูงและมีราคาแพงมาก"โอ้โห สวยงามจริงๆ" ตาสองข้างของมู่จิ่วซีแทบหลุดออกจากเบ้า คนที่ชอบเงินทองอย่างนางพอได้ก็ต้องชอบเป็นเรื่องธรรมชาติ "แต่ว่าข้ารับเอาไว้ไ
มู่จิ่วซีหันไปมองไป๋เฟิ่งหว่านที่โกรธโมโหอย่างกับอยากจะกระโจนมาจับนางฉีกเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ยิ้มเยาะเย้ยกล่าวออกมา : "ถ้าเจ้าอยากจะคิดแบบนั้น ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก พระดำริของพระพันปีหลวงข้าเองก็คาดคะเนไม่ได้ ถ้าไม่มีธุระอื่นแล้ว จิ่วซีก็ขอลา"มู่จิ่วซีพอพูดจบก็ย่อตัวทำความเคารพฮูหยินรองและหันหลังเดินกลับออกไป"คุณหนูใหญ่มู่" จ้วงชิงเหมยจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมา และเดินเข้ามาหามู่จิ่วซีมู่จิ่วซีถึงกับใจเต้น ร่างกายของนางเตรียมพร้อมที่จะรับมือพร้อมกับหันกลับไปมองนางจ้วงชิงเหมยเข้ามาใกล้นางและพูดเสียงเบา : "เจ้าจะโหดร้ายแบบนั้นจริงๆ งั้นเหรอ?""ฮูหยินรองหมายความว่ายังไง? ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย" มู่จิ่วซีหัวเราะเยาะ"ถ้าข้ากลายเป็นคุณหญิงใหญ่ของท่านอัครมหาเสนาบดี เจ้าเองก็ได้ประโยชน์ไม่น้อย แต่ถ้าหากข้าไม่ได้เป็น ความแค้นนี้ข้าจะเก็บเอาไว้ชำระกับเจ้า คุณหนูใหญ่มู่" เห็นได้ชัดว่าจ้วงชิงเหมยกำลังคุกคามนาง"ฮูหยินรอง เจ้าคิดว่าความแค้นที่เจ้าจะมาชำระกับข้ามู่จิ่วซีคนนี้มันน้อยงั้นเหรอ?" มู่จิ่วซีก้หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นและสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันทีจ้วงชิงเหมยที่อยู่อยู่ด้านก็จ้องมู่จิ่วซีเ
คิดว่าตัวเองไม่อาจเทียบกับนักโทษของราชสำนักคนนึงได้งั้นเหรอ ? หรือไม่ใช่เพราะว่าเซียวหลิงเย่ว์คือคนรักเก่าของเขาหรือไง !"ที่นี่ไม่เหมาะจะมาพูดคุย รอข้าออกมาค่อยหาที่คุยจะดีกว่าไหม?" โม่จุนเห็นสีหน้าที่เย็นชาของมู่จิ่วซี เขารู้สึกว่าควรต้องทำอะไรสักอย่างตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไร้การศึกษาและความสามารถเหมือนที่เขาเคยได้ยินมาคนนั้น ถ้าจัดการนางได้ไม่ดีก็ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดอันตรายมากอีกแค่ไหนมู่จิ่วซีหรี่ตาลงและมองไปที่เขาอยู่ร้านหนึ่โม่จุนรีบกล่าวขึ้นมา : "ถนนแถวนี้มีหอชมจันทร์อยู่ร้านหนึ่ง ขนมเองก็รสชาติไม่เลว ข้าเลี้ยงคุณหนูใหญ่มู่เองเป็นไง?""เอาอกเอาใจขนาดนี้? ทำดีหวังผลสินะ งั้นก็ได้! ข้าก็อยากจะรู้ว่าเจ้าจะอธิบายอย่างไร เย่ฮาน ไปกันเถอะ" มู่จิ่วซีเชิดหน้าราวกับอวดดีอยู่เล็กน้อยและก็ขึ้นรถม้าไปเย่ฮานเองก็ยิ้มให้กับท่านผู้สำเร็จราชการแทนอย่างเขินๆ จากนั้นก็เรียกคนขับเกวียนม้าให้รีบออกรถ"อานเย่!" ท่านผู้สำเร็จราชการแทนเรียกออกมาเพียงแค่หนึ่งคำ องครักษ์อานเย่ก็เดินออกมาจากมุมด้านหนึ่ง "เจ้าไปที่หอชมจันทร์ก่อนและดูแลคุณหนูใหญ่มู่ให้ดี""พะยะค่ะ!" อานเย่น้อมรับคำส
โม่จุนใบหน้าอึมครึมจ้อมองไปที่ปากเล็กๆ ที่งดงามของนางที่กำลังพะงาบพูดอยู่พร้อมกับคิดว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ช่างพูดนัก แต่ก่อนเข้าไม่เคยเข้าใจนางเลยจริงๆ"เจ้าพูดเถอะได้เตรียมจัดการไว้อย่างไร?" มู่จิ่วซีพอพูดจบก็ดื่มชาหมดทั้งถ้วยพร้อมกับสายตาที่มองโม่จุนด้วยความไม่พอใจโม่จุนกระแอ่มในลำคอและกล่าว : "เจ้าอย่าเพิ่งกังวล ข้าไม่เคยพูดว่าจะไม่ฆ่าเซียวเจี้ยน เขาเดิมทีก็ได้หลบหนีความผิด ที่ไม่ฆ่าเขาเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังเขา""คนที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่ว่าเซียวหลิงเย่ว์หรอกเหรอ?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้วพร้อมกับสีหน้าที่บกบอกว่าเจ้าอย่ามาหรอกข้า"เจ้าคิดว่าเซียวหลิงเย่ว์ผู้หญิงคนเดียวสามารถทำได้ขนาดนี้งั้นเหรอ?" โม่จุนขมวดคิ้วกล่าว"ถ้าเจ้าพูดแบบนี้ข้าก็ไม่อยากฟังแล้ว ผู้หญิงคนเดียวสามารถทำได้ขนาดนี้หมายความว่าอะไร เจ้าดูถูกผู้หญิงหรอ?"มู่จิ่วซีรู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังแล้วไม่สบอารมณ์เลย ทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจเหมือนถูกเหมารวมไปด้วย"เซียวหลิงเย่ว์ไม่เหมือนกับเจ้า นางคือสนมเอกสามและก็ยังมีลูกสาวด้วยและยังต้องคอยดูแลเสด็จลุงสามที่นั่งรถเข็นอยู่ในจวนของท่านจวนอ๋องสามตลอดเวลา น้อยครั้งนักที่จะได้ออก
"ต่อให้เป็นนางจริง เจ้าก็เจ้าเป็นต้องมีหลักฐานยืนยัน" โม่จุนขมวดคิ้วกล่าว"หลักฐานก็ที่เซียวเจี้ยนไปพบนาง ยังไม่เรียกว่าหลักฐานอีกเหรอ? จับเซียวเจี้ยนมาเค้นถามล่ะเป็นไง?" มู่จิ่วซีหัวเราะเยาะกล่าว "ข้าทำให้เขาคายบอกคนที่อยู่เบื้องหลังตัวจริงออกมไาด้แน่""เจ้าเข้าใจเซียวหลิงเย่ว์ผิดไแล้วจริงๆ หรือว่าข้าพาเจ้าไปหน้านางสักครั้งล่ะเป็นไง?" โม่จุนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา"ไปพบเซียวหลิงเย่ว์? ไปที่จวนท่านอ๋องสาม?" มู่จิ่วซีรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย"อืม ข้ากำลังจะไปพบท่านอ๋องสามพอดี" โม่จุนเลิกคิ้วเล็กน้อย"โม่จุน เจ้าคงไม่ใช่ว่าอยากคุยกับเซียวหลิงเย่ว์เป็นการส่วนตัวเลยเอาข้าไปเป็นข้ออ้างหรอกใช่ไหม?" มู่จิ่วซีรู้สึกแบบนั้น"เจ้าพูดไร้สาระ!" โม่จุนสีหน้าเปลี่ยนในทันที แววตาสองข้างเหมือนมีไฟความโกรธปะทุขึ้นมา "มู่จิ่วซี ข้าจะพูดอีกครั้ง ข้าไม่ได้คิดกับเซียวหลิงเย่ว์แบบนั้น!""ได้ได้ได้ จะขึ้นเสียงแบบนั้นทำไม อายแล้วทำมาโกรธกลบเกลื่อน" ประโยคคำพูดของมู่จิ่วซีอีกนิดก็ทำให้โม่จุนอยากจะลงไม้ลงมือได้แล้วทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาเสียงเคาะประตูดังขึ้น อานเย่กล