"พรุ่งนี้ไม่ใช่ว่าเริ่มประลองแล้วหรอกเหรอ? ราชสำนักช่วงเช้ายังต้องเจรจาอีกหรือไง?" มู่จิ่วซีถาม"เรื่องของสองอาณาจักรจะง่ายดายแบบนั้นได้ที่ไหน มีเรื่องตั้งเยอะ ยังไงก็จำเป็นต้องเจรจารับมืออย่างเป็นทางการที่ราชสำนัก" พระพันปีหลวงทรงตรัส "พวกเจ้าลองว่ามา ว่าถ้าหากพวกเขาต้องการอภิเษกทางการทูตขึ้นมาล่ะ?""ปฏิเสธไม่ได้หรอ?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้วถามอัครมหาเสนาบดีไป๋ก็รีบกล่าวอธิบาย : "ก็ใช่ว่าจะปฏิเสธไม่ได้ แต่แคว้นซีเย่ว์คงจะโกรธมาก โดยอ้างว่าแคว้นเกาอวิ๋นดูถูกพวกเขา หลังจากนั้นไม่ว่าจะทำอะไรข้ออ้างก็จะเยอะแยะมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราต้องประลองชนะ ธัญพืชพวกเขาก็ยิ่งเอาไปไม่ได้ พวกเขาแบบนี้ก็เหมือนกับมาเก้อไม่ใช่หรือไง?""ดังนั้นไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ธัญพืชยังไงก็ต้องเอาไปให้ได้งั้นเหรอ?" มู่จิ่วซีเข้าใจได้ในที่สุด ต่อให้การประลองทั้งสามแคว้นซีเย่ว์แพ้ราบ งั้นหากองค์หญิงน้อยอภิเษกเพื่อทางการทูต ซึ่งพวกเขาในญานะแคว้นเกาอวิ๋น ก็คงต้องมอบธัญพืชให้แสดงถึงการเป็นพันธมิตรของสองแคว้น"จะพูดแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าพวกเราจะต้องวิเคราะห์ให้ดีว่าพวกเขามีแผนลับอะไร" โม่จุนขมวดคิ้ว เขากลับมามีท่าทีที่ดูน่าเก
มู่จิ่วซีกระแอมไอออกมาก่อนจะพูด : "หากอภิเษกทางการทูตจำเป็นต้องอภิเษก งั้นข้าก็ทำได้เพียงแต่ต้องประลองชนะทั้งหมด""เกรงว่าการอภิเษกทางการทูตคงจะไม่ใช่แค่เพื่อธัญพืชอย่างเดียวน่ะสิ" อัครมหาเสนาบดีไป๋กล่าวออกมาอย่างเงียบๆโม่จุนหันไปมองเขา จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม"งั้นเจ้าก็คิดหาวิธีไม่ให้นางอภิเษกทางการทูต" มุมปากของมู่จิ่วซีก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเยือกเย็นชั่วร้าย"ซีเอ๋อร์มีวิธีอะไร?" พระพันปีหลวงตรัสถามมู่จิ่วซีก็ยิ้มเยาะกล่าวขึ้นมา : "ให้องค์หญิงท่านนั้นป่วย บรรดาท่านอ๋องของพวกเราคงไม่อาจยอมรับองค์หญิงที่ป่วยได้หรอกใช่ไหม?""เจ้าหมายถึงวางยาพิษ?" โม่จุนเลิกคิ้วขึ้นมา"ไม่ได้ หากวางยาพิษ แคว้นซีเย่ว์จะต้องรู้ว่าเป็นพวกเราที่ทำ พอเรื่องใหญ่ขึ้นมา ก็จะส่งผลต่อมิตรภาพของสองอาณาจักร" อัครมหาเสนาบดีไป๋กล่าวขึ้นมามู่จิ่วซีก็กล่าว : "งั้นให้นางป่วยโรคทั่วไปนิดหน่อยก็พอ""จะให้นางป่วยโรคทั่วไปนิดหน่อยได้ยังไง?" ทุกคนต่างมองมู่จิ่วซี"อย่างเช่นให้นางแพ้จนอาการกำเริบ แบบนี้ก็จะไม่โยงถึงพวกเรา หรือให้นางเสียโฉมซึ่งก็คงจะอภิเษกไม่ได้แล้วปะ ยังมีอีกวิธีที่ดีที่สุด ฮิๆๆ" เสียงหัวเราะ
ทุกคนพอเห็นนางก็มีแรงฮึดขึ้นมาและไม่อยากจะหยอกล้อกันอีก ไม่นานนัก มู่เทียนซิงและมู่จิ่วซีก็กลับมาถึงจวนมู่ ส่วนอัครมหาเสนาบดีไป๋และโม่จุนก็อยู่ที่นั่นต่อกับพระพันปีหลวงเพื่อวางแผนกลยุทธ์ไส้ศึกส่วนโจวเหยาก็แอบไปสังเกตการณ์องค์ชายสามของแคว้นซีเย่ว์ อ้างจากคำพูดของเขา เรื่องใช้สมองแบบนี้ เขาไม่อาจสู้พวกเขาได้มู่จิ่วซีหลังจากกลับมาที่จวน นางก็ยุ่งอยู่แต่ในจวนของนางเองขึ้นมา ทุกคนไม่รู้ว่านางทำอะไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนนางส่วนคนของแคว้นซีเย่ว์ที่ไปสอบถามเรื่องของคุณหนูใหญ่มู่จนทั่วก็ได้ข้อมูลว่าคุณหนูใหญ่มู่ท่านนี้เมื่อก่อนเป็นคนไร้ค่าและไม่มีความสามารถ เป็นคุณหนูใหญ่ที่เอาแต่ใจช่ำชองเรื่องกินดื่มเที่ยวและเสเพลแต่เพราะเป็นที่โปรดปราณของแม่ทัพใหญ่มู่และพระพันปีหลวง อยู่ในพระนครสามารถกล่าวได้ว่านางมีอิทธิพล ทำให้นางมีนิสัยไม่สนกฎหมายไม่สนสวรรค์ในสายตาแต่อันที่จริงคุณหนูใหญ่มู่ช่วงนี้ได้ชนะการแข่งเดิมพันหนึ่งมา ทุกคนถึงได้รู้ว่าคุณหนูใหญ่มู่ไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถซะทีเดียว การวาดภาพของนางเป็นหนึ่งในแคว้นเกาอวิ๋นแน่นอนได้ยินมาว่านางชนะเดิมพันเป็นเงิน 25,000 ตำลึงเงิน แต่ว่
เจียงเหอหลิวกล่าวอย่างตกใจ : "คุณหนูใหญ่มู่แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ?"อามู่ก็ขมวดคิ้วกล่าว : "ข้าน้อยรู้สึกว่าวรยุทธของนางไม่ได้อ่อนด้อยอย่างแน่นอน อีกอย่างสัญชาติญาณก็ไม่ธรรมดา นางคงจะเชี่ยวชาญเรื่องการลอบสังหาร""นางเองบอกว่าได้ทำร้ายดวงตาของราชาหมาป่า เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้อ่อนแอ" องค์ชายสามรีบตรัสขึ้นมา "พอเห็นแบบนี้ ปีนี้คงไม่สามารถแข่งศิลปะวรยุทธได้แล้วสินะ?"เขาหันไปมองอามู่ คราวนี้เขาพาอามู่มาด้วยเพราะคิดว่าขอเพียงไม่ต้องประลองวรยุทธกับท่านผู้สำเร็จราชการแทน อามู่ก็มีโอกาสที่จะชนะ"องค์ชายสาม ข้าน้อยาจไม่ต้องประลองวรยุทธกับนาง แต่เป็นประลองยิงธนูแทน" อามู่กล่าว"ยิงธนู นางถึงขนาดทำร้ายดวงตาของราชาหมาป่าได้ การยิงธนูของนางจะต้องเก่งกาจแน่นอน" ชวีหย่งปินรีบส่ายหัว"ข้าน้ายสามารถยิ่งธนูห่างไปร้อยเมตรโดนจุดแดงตรงกลางได้ นางแค่ผู้หญิงคนเดียว กำลังภายในจะไปแข็งแกร่งขนาดนั้นได้ยังไง ความห่างชั้นขนาดใหญ่ นางไม่มีทางชนะข้าน้อยได้แน่" อามู่ได้แขนยืนออกไปเขาเป็นเซียนด้านพละกำลังมาตั้งแต่เกิด แขนของเขาหนากว่าของคนทั่วไปเกือบเท่าตัว"ยิงธนูร้อยเมตร เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่ยอมประลองด้วย
ทันใดนั้นมู่จิ่วซีกรู้สึกว่าสิ่งสกปรกตามรูขุมขนทั่วร่างได้ถูกขับออก ทั้งเปียกและเหนียว จนทั่วทั้งร่างของนางพริบราวกับได้ปลอดโปร่งขึ้นมาความรู้สึกที่แปลงประหลาดอย่างมากนั้น มู่จิ่วซีไม่อาจจะอธิบายได้ เหมือนกับตัวเองจะบิดขึ้นมาได้อย่างใดอย่างนั้นขนาดสมองของนางล้วนราวกับตื่นตัวขึ้นมาอย่างมากที่แท้นี่ก็คือความรู้สึกของการเปิดผนึกเส้นลมปราณทั้งสองที่แท้ก็รู้สึกดีเหนือความคาดหมาย พริบตาก็รู้สึกตัวเองขึ้นแกร่งขึ้นมาก กำลังภายในมากขึ้นยิ่งกว่าทวีคูน ทำให้นางมีความรู้สึกอยากจะหาใครมาประลองด้วย"คุณหนู!" ลู่เอ๋อร์ตะโกนเรียกดังมาจากข้างนอก"ลู่เอ๋อร์ ข้าต้องการอาบน้ำ" มู่จิ่วซีเห็นรอยเปื้อนดำเป็นชั้นบนผิวของนาง นางถึงกับรู้สึกขยะแขยงจนรีบเรียกเสียงดังลู่เอ๋อร์ไปเตรียมน้ำอุ่น มู่จิ่วซีลุกขึ้นมาจากเตียง พริบตานางก็วิดพื้นบนพื้น 100 ครั้ง จากนั้นนางก็ยืดเส้นยืดสายไปมาถึงจะหยุดลงได้รู้สึกราวกับใช้พละกำลังไม่หมดหลังจากอาบน้ำเสร็จ มู่จิ่วซีก็เปลี่ยนเป็นชุดจิ้นจวงม่วงอมแดง ผมมัดเป็นมวยหางม้า แต่ปักปิ่นสีม่วงอมแดงไว้ ถึงอย่างไรก็เป็นการประลองของสองอาณาจักร ยังไงก็ต้องใส่ใจเรื่องมารยาทและรูป
มู่จิ่วซีกลั้นขำและพยักหน้า ใบหน้าหล่อเหลาของเย่อู๋เหิงจนดวงตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง"เดิมทีวางแผนว่าจะปลดผนึกช้ากว่านี้ แต่วันนี้ไม่ใช่ว่าต้องประลองหรอกเหรอ ดังนั้นเมื่อวานก็ปลดผนึกไปแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากปลดผนึกลมปราณสองสายแล้วจะเปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้ ลู่เอ๋อร์ยังพูดเลยว่าข้าเปลี่ยนไปงามมากขึ้น"เย่อู๋เหิงได้สติกลับมา เขาอยากทั้งหัวเราะและร้องไห้นางปลดผนึกเส้นลมปราณสองสายง่ายเหมือนกับทานข้าวเนี่ยนะ?แค่คืนเดียวก็ปลดผนึกได้แล้ว? นี่คนหรือเปล่าเนี่ย?เขาจำได้เมื่อห้าปีก่อนตอนที่เขาปลดผนึก ใช้เวลาตั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน นี่ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์แล้วนี่นางแค่คืนเดียวจะเรียกว่าอะไร?เรียกนางว่ามีพรสวรรค์ก็ไม่ได้แล้วปะ นี่มันเรียกว่าปีศาจแล้ว"การปลดผนึกเส้นลมปราณทั้งสองคือการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน พิษและสสารที่แฝงในร่างค่อยๆ ถูกกำจัดออกมา ยิ่งความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น การถ่ายเทก็จะยิ่งละเอียดมากขึ้น ดังนั้นผิวพรรณจึงมีการเปลี่ยนแปลง" เย่อู๋เหิงกล่าวอธิบาย"เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่แปลกเลยเจ้าถึงได้เหล่อเหลาขนาดนี้ บรรยากาศออร่าก็ดีมาก" มู่จิ่วซีรีบชมเย่อู่เหิงจากนั้นก็นึกถึงโม่
ความแข็งแกร่งของนางเองตอนนี้คงจะสามารถทัดเทียบกับอาจื่อได้ หรืออาจจะสูงกว่านิดหน่อยก็ได้?นางไม่ต้องกลัวคนที่มีฝีมือสูงส่งแข็งแกร่งอีกแล้วมู่จิ่วซีสูดหายใจเข้าลึก ความแข็งแกร่งของนางทำให้รู้สึกปลอดภัยเต็มที่ นี่คือความมั่นใจ"ยินดีกับเจ้าด้วย ตอนนี้ท่านผู้สำเร็จราชการแทนคงทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว" เย่อู่เหิงยิ้มหัวเราะมู่จิ่วซีทันใดนั้นก็หัวเราะกล่าวออกมา : "นั่นก็จริง แต่ว่า ความสามารถที่แท้จริงของชายคนนั้นสูงส่งแค่ไหน ข้าก็ยังไม่กระจ่างชัด""คราวที่แล้วไม่ใช่ว่าเขาถูกหกคนรุมทำร้ายไม่ใช่หรอ? เจ้าเอายังช่วยเขาไว้ได้ บ่งบอกว่าเจ้าไม่ได้อ่อนแอน้อยกว่าเขา" เย่อู่เหิงอันที่จริงก็ไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของโม่จุน"ไม่ อู่เหิง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เขาทำให้ข้ารู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งกว่าข้า เรื่องคราวก่อนที่ถูกหกคนรุมทำร้าย เกิดขึ้นเพราะเขาคงประมาทศัตรู หรืออาจมีเหตุผลอื่น"มู่จิ่วซีจู่ๆ ก็จริงจังขึ้นมา เพราะประโยคของเย่อู่เหิงทำให้นางเคลือบแคลงบางอย่างชายชุดดำหกคนล้วนเป็นผู้พิทักษ์เงาของแคว้นเป่ยจิ้น งั้นภายใต้สถานการณ์ที่โม่จุนไม่ได้บาดเจ็บ แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีไม่พ้น อีกอย่างยังถ
มู่จิ่วซีหันไปมองไป๋ชินเตี่ยน จากนั้นก็หรี่ตาลงและกล่าวขึ้นมา : "ไอผู้ชายชาติหมาคนนั้นพูดแบบนี้จริงเหรอ?""แค่กๆๆ คุณหนูใหญ่มู่ ท่านผู้สำเร็จราชการแทนเข้าใจคุณหนูขอรับ" อัครมหาเสนาบดีไป๋สะดุ้งกับคำว่าผู้ชายชาติหมาสามคำนี้ความกล้าของผู้หญิงคนนี้ไม่มีคนธรรมดาคนไหนเทียบได้เลยจริงๆปัญหาคือขนาดโม่จุนยังทำอะไรนางไม่ได้เลย นี่คือจุดที่สุดยอดของมู่จิ่วซีเป็นครั้งแรกของเย่อู่เหิงที่ได้ยินมู่จิ่วซีด่าโม่จุนว่าผู้ชายชาติหมา เขาเองก็มีสีหน้าตกใจ แต่จากนั้นก็คิดว่าน่าขำขันไม่รู้ว่าโม่จุนพอได้ยินสามคำนี้เข้าจะรู้สึกอย่างไรเย่อู่เหิงไม่รู้ว่าโม่จุนโมโหตั้งนานแล้ว อีกทั้งเมื่อเห็นแบบนี้แล้ว พวกเขาสองคนคงเป็นศัตรูคู่รักคู่แค้นจริงๆ ดูเหมือนเรื่องการถอนหมั้นคงทำให้ในใจของมู่จิ่วซีแยแสเป็นอย่างมากแต่ว่าถอนหมั้นก็ดีแล้ว ไม่งั้นมู่จิ่วซีคงกลายเป็นชายาของท่านผู้สำเร็จราชการแทนที่ต้องถูกขังไว้แน่ เขาเองก็คงไม่มีโอกาสได้พบเจอคนน่าสนใจแบบนี้ความสุขบนความทุกข์ของเย่อู่เหิงไม่มีใครได้รู้ เพียงแต่ในใจของเขารู้สึกมีความสุขนิดหน่อยเท่านั้น ใบหน้าแต่เดิมที่สง่างามและเรียบเฉยของเขาก็ปรากฎรอยยิ้มจางๆ ขึ