โม่จุนอีกนิดก็ถูกนางยั่วโมโหจนกระอักออกมามู่จิ่วซีไม่ได้หนีออกไปไหนไกล นางก็แค่ไปที่ห้องโถงข้างๆ ด้านหลัง ซึ่งเป็นห้องสำหรับเก็บอุปกรณ์การเขียนไว้ แบบนี้นางก็จะสามารถได้ยินเซียวหลิงเย่ว์พูดว่านางมาหาโม่จุนมีธุระอะไรโม่จุนที่มีใบหน้าดำทะมึนหลังจากเรียกให้คนไปจัดการเขาก็ทานอาการต่อ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ถึ่งทานไปได้ไม่กี่คำเอง ส่วนมู่จิ่วซีทานไปไม่น้อยเซียวหลิงเย่ว์ไม่นานก็มาถึง นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้า บนหัวสวมด้วยหมวกอีกกว้าง พอนางเข้ามาก็ถอดหมวกลง"หม่อมฉันน้อมเคารพท่านผู้สำเร็จราชการแทน" เซียวหลิงเย่ว์ย่อตัวลงเคารพโม่จุน"ลุกขึ้นมาเถอะ พี่สะใภ้ท่านอ๋องสามมาด้วยเนื่องธุระอะไรรึ?" โม่จุนก็พุ่งเข้าประเด็นในทันที พร้อมกับกับสีหน้าดำทะมึนเซียวหลิงเย่ว์เดินมาหยุดลงที่หน้าโต๊ะ นางมองหาอาหารที่อยู่บนโต๊ะและก็กล่าว : "พี่ใหญ่โม่ ข้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย ท้องข้าก็หิวแล้วด้วย ถ้าพี่ใหญ่โม่ไม่รังเกียจข้าขอร่วมวงอาหารหน่อยได้ไหม"ก่อนที่นางจะได้กลายเป็นพระชายาสาม นางก็มักจะเรียกโม่จุนว่าพี่ใหญ่โม่เป็นการส่วนตัวมู่จิ่วซีหลังจากเข้าไปอยู่ห้องข้างๆ แล้วได้ยินประโยคนี้ นางก็อยากจะพูดออกมาว่าเซี
เซียวหลิงเย่ว์ชะงักไป จากนั้นก็ส่ายหัวและกล่าวออกมา : "หลังจากข้าได้มาเป็นคุณหนูของตระกูลเซียว ข้าก็น้อยครั้งนักจะได้เห็นพ่อบุญธรรม ข้าจะไปฝึกฝนวรยุทธได้อย่างไร ข้าอยู่ที่ตระกูลเซียวล้วนได้แต่ทำงานพวกเย็บปักถักร้อย"โม่จุนพอนึกคิดดูแล้วก็คิดว่าถูกของนาง เซียวหลิงเย่ว์ก็เป็นแค่กุลสตรี ฉิน หมาก อักษรและภาพวาดต่างล้วนทำเป็น ถึงอย่างไรตระกูลเซียวก็มีความทะเยอทะยานสูงมาก พวกเขาบ่มเพาะเลี้ยงดูลูกสาวเพื่อให้กลายฮองเฮาพริบตาภายในห้องก็เงียบสนิท ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรความอยากอาหารเซียวหลิงเย่ว์ก็รู้สึกไม่อร่อยขึ้นมา นางแอบเหลือบมองโม่จุนอยู่หลายครั้ง"พี่ใหญ่โม่ องค์ชายสามแคว้นซีเย่ว์จะมาถึงแคว้นเกาอวิ๋นในอีกสามวันอย่างงั้นเหรอ?"โม่จุนเงยหน้ามองไปที่นางอีกครั้งและกล่าว : "เจ้ารู้ได้อย่างไร?""วันนั้นข้าเผอิญพบกับองค์หญิงเหวินซิงแล้วได้คุยกัน" แววตาของเซียวหลิงเย่ว์แวววับขึ้นมาโม่จุนก็พยักหน้าและกล่าว : "อืม ใกล้ฤดูหนาวแล้ว แคว้นซีเย่ว์ต้องการมาที่แคว้นเกาอวิ๋นเพื่อเอาอาหารธัญพืชอีกครั้ง""พี่ใหญ่โม่ ขอไปเจอองค์ชายสามแคว้นซีเย่ว์ได้ไหม?" ประโยคนี้ของเซียวหลิงเย่ว์ทำให้โม่จุนสะดุ้งขึ้
มู่จิ่วซีที่อยู่ด้านหลังพอได้ยินประโยคนี้ของเซียวหลิงเย่ว์ก็ได้แต่เบ้ปากพร้อมกับสีหน้าย่นจมูกอย่างรังเกียจโม่จุนคือคนประเภทไหนกัน? ในยุคสมัยราชวงศ์นี้ เขาเองก็อายุ 23 ปีแล้ว อย่าว่าแต่ยังไม่แต่งงาน แต่ว่าพระชายาเอกหรือพระชายารองสักคนก็ยังไม่มี เขาช่างน่าแปลกมากจริงๆดังนั้นการที่โม่จุนจะรักผู้หญิงสักคนก็เหมือนกับเรื่องพันหนึ่งราตรีอย่างใดอย่างนั้น (พันหนึ่งราตรี หมายถึง เรื่องที่เป็นไปไม่ได้)รักนางมู่จิ่วซี ?เหอะๆ มู่จิ่วซีคงจะไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรอก แต่นางคงรู้สึกว่าตัวเองคงไม่อาจอยู่ในครรลองธรรมจักษุของโม่จุนได้บางทีผู้ชายคนนี้อาจเป็นคนที่กลัวผู้หญิง ไม่ใช่ว่าไม่ยอมแต่งงาน แต่บางทีเขาอาจมีงานอดิเรกพิเศษ หรืออาจมีปัญหาโรคทางร่างกายเหตุผลที่โม่จุนปฏิบัติกับนางแตกต่างออกไปก็เพราะนางและเขาทำงานร่วมกันอยู่แล้ว ไม่สิ แต่คงมีบางอย่างที่ใจตรงกัน อีกทังพวกเขาก็ได้ร่วมเป็นร่วมตายกันมาแล้วถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะเป็นสหายร่วมรบได้เหมือนกับผู้ชายแบบนี้ทางด้านของโม่จุนก็กล่าวเสียงดังออกมา"พี่สะใภ้ท่านอ๋องสาม เรื่องของข้า ข้ามีแผนในใจ เจ้าไม่ต้องกังวล ส่วนเรื่องที่เจ
"ฐานลับของทหารมังกรดำอยู่ที่นี่" โม่จุนกระโดดลงมาจากม้าและพูดกับนาง "เจ้าไม่ใช่บอกว่าอยากจะฝึกฝนพวกเขาหรอกเหรอ?""ไม่ใช่ถูกส่งออกไปประจำการหมดแล้วหรอกเหรอ?""พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มเล็กๆ จะมีคนอยู่ไว้คอยถ่ายทอดสอนต่อ ความสามารถของเจ้าก็สามารถถ่ายทอดผ่านพวกเขาได้เหมือนกัน" โม่จุนกล่าว "ด้านในมีขนาดใหญ่มาก มีสนามคอยฝึกฝนด้านต่างๆ เจ้าเองก็สามารถช่วยเขาปรับปรุงฝึกฝนได้"มู่จิ่วซีเลิกคิ้วขึ้นมา จากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าไปด้านในหลุมศพราชวงศ์ปากทางของหลุมศพราชวงศ์เป็นประตูสวนป่าขนาดใหญ่ นอกจากมีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ที่ป่วยหนักประจำการอยู่ ยังมีกลไกกับดักต่างๆ หากเดินพลาดก็จะถูกกลไกจับขังเอาไว้ทั้งหลุมศพราชวงศ์ครอบครองอาณาเขตเป็นบริเวณเนินเขาลูกหนึ่งของชนบททิศตะวันตกนอกเมืองหลวง อีกทั้งด้านในก็เป็นสิ่งปลูกสร้างหลุมศพราชวงศ์ที่ปกติอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วโครงการใต้ดินถือผลงานยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของหลุมศพราชวงศ์ทหารมังกรดำของโม่จุนอันที่จริงแล้วไม่ได้อยู่ด้านในของหลุมศพราชวงศ์ แต่เป็นห้องลับแห่งหนึ่งที่อยู่ในบริเวณแน่นอนว่าห้องลับนี้เหมือนโรงเรียนทหารอย่างใด
โม่จุนก็กล่าวต่อ : "ข้าให้คุณหนูใหญ่มู่มาก้เพื่อให้นางได้เห็นความสามารถของพวกเจ้า""ข้ารู้ว่าหลังจากพวกเจ้าได้ทราบเรื่องที่ว่าคุณหนูใหญ่มู่ได้ช่วยชีวิตของข้าไว้ ก็มีหลายคนที่ไม่เชื่อ ตอนนี้ข้าให้โอกาสพวกเจ้าได้ท้าสู้กับคุณหนูใหญ่มู่"มู่จิ่วซีก็หันไปมองเขา จากนั้นก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ชายคนนี้เข้าใจนางเสียจริงๆทหารมังกรดำพวกนี้ถึงแม้จะยืนตรงเหมือนพู่กันและเคารพโม่จุนมาก แต่สายตาที่มองนางกลับเป็นการดูถูก ถึงอย่างไรในใจของพวกเขาบุรุษชาย โดยเฉพาะในใจของพวกผู้ชายที่ผ่านการฝึกทรหดมา ผู้หญิงจะมาเทียบเคียงกับพวกเขาได้อย่างไร? แค่ร่างกาย ผู้ชายที่อยู่ตรงนี้ก็ร่างกายใหญ่โตกว่านางเกือบเท่าหนึ่ง กล้ามเนื้อที่แขนก็แน่นเป็นมัดๆมู่จิ่วซีเชื่อมาโดยตลอด ว่าการจะทำให้คนอื่นเชื่อได้ คือต้องแข่งขัน ไม่ว่าจะด้านวิชาการหรือด้านวรยุทธ การแข่งขันเอาชนะฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ถึงจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเลื่อมใสออกมาจากใจได้การอาศัยแค่เรื่องเล่าเพียงลมปากกับการออกคำสั่ง แบบนั้นจะไม่เป็นการยอมเลื่อมใสเคารพมาจากใจจริง"กระแอ่มๆ ข้าคิดว่าพวกเจ้าฝึกฝนกันเหมือนกับเด็กเล่น ดูจากเส้นทางลานฝึกสิ่งกีดขวางนั้นแล้ว ไม
"ชายหน้าชะมัด" โม่จุนมองเขาด้วยแววตาคมกริบ "ข้าจะบอกอะไรพวกเจ้าให้ วันนี้ถ้าพวกเจ้าแพ้ให้กับคุณหนูใหญ่มู่ หลังจากนี้ที่นี่นางจะเป็นคนกำหนดทุกอย่าง!""อะไรนะ!" คนทั้งกลุ่มต่างตกใจร้องเสียงหลง"ทำไม? รับไม่ได้งั้นเหรอ ผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นใหญ่ ไม่เข้าใจหรือไง? ถ้าคิดว่าขายหน้าก็เอาชนะข้าให้ได้สิ" มู่จิ่วซียิ้มหัวเราะออกมาความโกรธแค้นของบุรุษชายพริบตาก็ถูกมู่จิ่วซีจุดชนวนให้ลุกโชนโม่จุนรู้สึกว่าคำพูดของมู่จิ่วซีแค่แประโยคเดียวทำให้คนโกรธจะเป็นฟืนเป็นไฟได้ อีกทั้งยังทำให้คนตายโกรธจนกลับมามีชีวิตก็ยังทำได้พอเห็นแววตาของพวกเขาที่อยากจะจัดการนางให้ตาย โม่จุนก็รู้สึกว่าไม่รู้จะร้องไห้ดีหรือหัวเราะดี นางคิดว่านางชนะแน่นอนใช่ไหม?ดูจากสีหน้าของนางแล้วก็ดูเหมือนว่าจะชนะได้จริงๆ ขอเพียงว่านางพูดสามารถชนะได้ นางก็จะชนะได้จริงๆนี่นางไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้กล้าพูดยโสโอหังแบบนี้ออกมา ?โม่จุนรู้สึกว่าต่อให้เขาไม่อาจรับประกันได้ว่านางจะชนะ 100%เมื่อคนกลุ่มนี้เดินมาถึงด้านหน้าของลานฝึกเส้นทางกีดขวาง ไม่รู้เหมือนกันว่าใครไปบอกข่าว ด้านนอกก็ได้มีทหารมังกรดำกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา"พวกเจ
สายฟ้าทมิฬก็ชะงักไป จากนั้นใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นมาพร้อมกับกล่าว : "คุณหนูใหญ่มู่ เจ้าไม่มีโอกาสได้รู้หรอก""ได้ มีความมุ่งมั่น แต่ว่าข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าว่าตอนก้นแตกทำไมถึงเป็นลายดอกสีแดง!" ขณะพูดโม่จุนก็ทำสัญญาณมือขึ้นมาทุกคนถูกคำพูดของมู่จิ่วซีทำให้ตกตะลึงไป ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดของคุณหนูใหญ่มู่ถึงได้ดูกล้าได้กล้าเสียและน่าขบขันนักโม่จุนตอนนี้รู้สึกละอายขายหน้าอย่างมากและรีบพูดขึ้นมา : "เมื่อข้าตะโกนถึงสาม พวกเจ้าก็เริ่มได้เลย หนึ่ง สอง .... สาม!"เมื่อคำว่าสามดังขึ้น สายฟ้าทมิฬก็เหมือนลูกธนูที่ดีดออกจากคันศรสิ่งกีดขวางแรกคือกำแะงสูงสามเมตร สายฟ้าทมิฬเพียงกระโดดเขย่งปลายเท้าสองข้างก็ผ่านมาได้แล้วส่วนมู่จิ่วซี ตอนที่เขากำลังก้าวข้ามผ่านกำแพง นางก็ดีดพุ่งตัวออกไป นางเพียงตวัดขาออกไป ตัวของนางก็ตีลังกา 360 องศาลอยกลางอากาศผ่านข้ามกำแพงไป"ให้ตายเถอะ! นี่คือไม่ได้ใช้กำลังภายในงั้นเหรอ?" บางคนไม่พอใจจนตะโกนกล่าวออกมา"นางไม่ได้ช้กำลังภายในจริงๆ ไม่มีกลิ่นอายของกำลังภายในลอยออกมา! แต่ว่าการระเบิดพละกำลังของนางแข็งแกร่งมาก อีกทั้งร่างกายก็เบาและยืดหยุ่นด้วย เรี่ยวแรงการควบคุมร่า
สิ่งกีดขวางหลาย 10 อย่าง ตอนที่มู่จิ่วซีก็ผ่านสำเร็จ นางก็เห็นสายฟ้าทมิฬกำลังร้องไห้คลานอยู่บนสะพานไม้เดี่ยวมู่จิ่วซีก้ปรบมือกระโดดโลดเต้นและวิ่งกลับไปหา อันที่จริงสีหน้าของทหารมังกรดำล้วนละอายอย่างมาก แต่ไม่มีใครกล้าหัวเราะสายฟ้าทมิฬ ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นใคร ใครที่ได้มาเจอการแข่งแบบนี้ก็ต้องร้องไห้ทั้งนั้นทุกคนต่างเข้าใจหัวอกของสายฟ้าทมิฬในตอนนี้ ถึงอย่างไรพวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครแกร่งไปกว่าสายฟ้าทมิฬสถานการณ์แบบนี้เหมือนกับคุณปู่ตีหลานอย่างใดอย่างนั้น ระดับของพวกเขาแทบจะห่างกันคนละชั้นสีหน้าของโม่จุนยากที่จะดูได้อย่างมาก มู่จิ่วซีแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ อีกอย่างทหารมังกรดำของเขาเองก็อ่อนแอเกินไปอ่อนแอจนเขาหน้าแดง จนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหน้ากล้าไปมองมู่จิ่วซี"สายฟ้า ลงมาลงมา เป็นผู้ชายอกสามศอก ร้องไห้อะไร" มู่จิ่วซีเดินมาถึงข้างๆ สะพานไม้เดี่ยวและยิ้มกล่าว "ไม่ใช่ว่าเจ้าอ่อนแอ แต่ว่าข้าแข็งแกร่งเกินไป เข้าใจไหม?"เดิมทีพวกเขาคิดว่ามู่จิ่วซีคงจะมาปลอบสายฟ้า แต่พอได้ฟังก็รู้สึกไม่ถูกต้อง นางกำลังชมตัวเองอยู่แต่ว่าตอนนี้ในใจคนมากมายล้วนรู้สึกแล้วว่ามู่จิ่วซีแข็งแกร่ง แค่ขนาดด