"สาวใช้ข้างกายก็คือสาวใช้คอยปรนนิบัติรับใช้ ข้าให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องอย่างนั้น" โม่จุนสูดหายใจและกล่าวออกมา มีแค่ใบหน้าหลอเหล่าเท่านั้นที่ร้อนผ่าวอย่างผิดปกติผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจเกินไป นางไปร่ำเรียนมาจากไหนกันแน่ หรือว่าเพราะไปหอหล่านจวี๋มาหลายครั้ง?ให้ตายเถอะ ทำไมนางถึงจะมีระเบียบมารยาทกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงนะ!"แบบนั้นคงไม่ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าบังคับให้ข้าเอาเงินให้เจ้า เจ้าคิดว่าเป็นไปได้ไหมล่ะ?" มู่จิ่วซีเบ้ปากโม่จุนอีกนิดก็แทบจะกระอักเลือด สมองของนางเติบโตมายังไงกันแน่ ในหัวทำไมถึงมีแต่เงิน หรือว่าเงินงอกออกมาเป็นสมองให้นาง?"ก็แค่สาวใช้ตามปกติที่ทำเรื่องทั่วไป เช่นข้าไปไหนเจ้าก็ต้องติดตามไปด้วย รินช้าให้ จัดการดูแลอาหารทุกมื้อของข้า เป็นสาวใช้ที่มีความคล่องแคล่วและฉลาดเฉลียว ระยะเวลาแค่เดือนเดียว เป็นไง?"โม่จุนในใจก็คิดว่าหนึ่งเดือนนี้เขาจะกำจัดนิสัยแย่ๆ ของนางทิ้งไปซะ ให้นางได้รู้ว่าใครคือเจ้านาย และยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกถึงความสำเร็จพอเห็นนางภูมิใจยโสโอหังเกินไป เขาก็อยากทำให้นางอ่อนโยนประพฤติตัวดีสักหน่อย"ข้ารู้สึกว่าไม่คุ้ม" มู่จิ่วซีทำสีหน้าสงสัย
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีไป๋ชินเตี่ยนแค่สงสัยโม่จุนที่เรียกซีเอ๋อร์ชื่อนี้ออกมา อีกอย่างข้างๆ ไม่ใช่ว่าก็มีสาวใช้ยืนอยู่หลายคนแล้วหรอกเหรอ? ก็ไม่เห็นว่าโม่จุนจะเรียกอะไรเลยเพียงแต่พอหันกลับมามอง ตอนที่เขาเห็นใบหน้างดงามของมู่จิ่วซีสวมชุดของสาวใช้ เขาอีกนิดก็เกือบจะล้มหงายจากบนเก้าอี้"คุณหนูใหญ่มู่? เจ้า นี่คือเจ้า?" อัครมหาเสนาบดีไป๋สะดุ้งตกใจมู่จิ่วซีก็รีบกระตุกยิ้มที่มุมปาก นางย่อตัวเคารพและกล่าว : "น้อมเคารพใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี" จากนั้นนางก็หันหลังไปน้อมตัวเคารพให้กับโม่จุนเพราะกับดัดเสียงพูดออกมา "ซีเอ๋อร์น้อมเคารพท่านผู้สำเร็จราชการแทน""คุณหนูใหญ่มู่ เจ้า เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ย?" ไป๋ชินเตี่ยนตกใจสะพรึงกลัว เขามองไปที่มู่จิ่วซีและท่านผู้สำเร็จราชการแทนอย่างไม่รู้จะหัวเราะดีหรือร้องไห้ดีโม่จุนส่งเสียงกระแอมออกมาเหมือนอยากจะหัวเราะและกล่าวออกมา : "ซีเอ๋อร์ วันนี้ไปเจ้าคือบ่าวรับใช้คนหนึ่งในจวนของข้า เจ้าต้องเข้าใจมารยาทและขนบธรรมเนียม เข้าใจไหม?"มู่จิ่วซีกลอกตามองบน ในก็คิดว่าไอชาติหมาโม่จุนคนนี้ พอได้ทีก็ขี่แพะไล่เลยนะแต่พอนึกถึงหอโม่ช่างเหวินราวกับทองแวววาวหลังนั้น นางก็
ประโยคนี้ของมู่จิ่วซี ทำให้อัครมหาเสนาบดีไป๋เงยขึ้นมามองนาง จากนั้นเขาก็หันไปมองโม่จุนและกล่าว : "ท่านผู้สำเร็จราชการแทน คุณหนูใหญ่มู่ดูจะปลอมใจคนเป็นยิ่งกว่าท่านเสียอีก"ใบหน้าหล่อเหลาอันเฉยเมยของโม่จุนก็ได้ยิ้มขึ้นมา ดวงตาสีดำของเขามองมู่จิ่วซีอย่างลึกล้ำ"ปากของนางน่ะ ใต้หล้านี้ไม่มีใครสู้ได้อีกแล้ว ขนาดข้ายังยอมคารวะ""ฮาๆๆ" อัครมหาเสนาบดีไป๋หัวเราะออกมา ดวงตาวัยแก่ชราอันแสนฉลาดก็มองไปที่ใบหน้าของโม่จุน จากนั้นก็หันไปมองใบหน้าของมู่จิ่วซี"ความเปลี่ยนแปลงของคุณหนูใหญ่มู่ทำให้ทุกคนตกตะลึงจริงๆ ข้ากับตาเฒ่ามู่ต่อสู้กันมาเนิ่นนาน ตรงจุดนี้ของรุ่นลูกที่เทียบเขาไม่ได้เลยจริงๆ""ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี เจ้ากับพ่อข้าล้วนอายุยังน้อย เพิ่งจะอายุ 40 ปี เป็นช่วงทองคำของผู้ชาย ให้มีลูกอีกสักสองคนก็ไม่มีปัญหา ถ้าเจ้ารู้สึกว่ามีแค่ไป๋ชิงและไป๋เฟิ่งหว่านยังไม่พอ ข้าว่าเจ้าจัมีลูกเพิ่มอีกก็ยังได้ แน่นอนหากสมรรถภาพบางด้านของเจ้าไม่ไหว ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้เจ้าก็ได้ รับรองว่ามังกรผงาดพยัคฆ์คำราม มีลูกหัวปีท้ายปีแน่นอน!" มู่จิ่วซีก็พูดโน้มน้าวให้กำลังใจเขา"พรูด!" โม่จุนที่เพิ่งจะดื่มชาลงไปก็สำลั
โม่จุนชะงักสั่นไปทั้งตัว เขาจ้องมองโม่จุนด้วยสายตาจริงจัง จากนั้นก็ส่ายหัวเบาๆ"พวกเขาอยู่ในท่าแบบนั้นได้นาน แต่การจะอยู่ในสภาวะกลบกลืนกับธรรมชาติแบบเจ้า และไม่ถูกศัตรูจับได้คงจะเป็นการยากอย่างมาก" โม่จุนกล่าวมู่จิ่วซีพยักหน้าและกล่าว : "ดังนั้นทหารมังกรดำของเจ้าหากต้องมาเผชิญกับข้า ข้าคนเดียวคงฆ่าได้สัก 10 คนและอาจจะมากกว่านี้ด้วย"อานเย่พริบตาก็มีเหงื่อไหลออกมาโม่จุนมองนางพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า : "ก็จริง พวกชุดดำในคืนนั้นก็ไม่ได้แย่ไปกว่าทหารมังกรดำ""การฝึกทหารเดนตายสักคนขึ้นมาได้ต้องลำบากมาก หากส่งให้ไปตาย นั่นก็เท่ากับขาดทุน โม่จุน ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถช่วยเจ้าฝึกฝนทหารมังกรดำของเจ้าได้ อย่างน้อยในด้านสภาวะการลอบสังการ ก็คงจะพัฒนาเพิ่มขึ้นได้อีกสักระดับ"มู่จิ่วซีพูดขึ้นมาพร้อมกับเดินไปทางห้างข้างๆ ตรงข้ามกับห้องหนังสือ เพราะตรงนั้นเป็นที่พักของนางหนึ่งเดือดนต่อจากนี้ในจวนท่านผู้สำเร็จราชการแทน"เจ้าลองเอาไปคิดดู ข้าจะไปอาบน้ำก่อน"โม่จุนยืนอยู่ภายในเรือน อานเย่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา : "คุณท่าน อันที่จริงจี๋เฟิงและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เชื่อว่าคุณหนูใหญ่จะอาศัยพละกำลังของนางคนเดียวใ
โม่จุนเห็นนางเอากุ้งทั้งตัวที่ยังไม่ปอกเปลือกยัดเข้าไปในปากทั้งตัว จากนั้นปากของนางก็บิดๆ เบี้ยวๆ ไปมา จนในตอนท้ายนางก็คายเปลือกกุ้งออกมา ทันใดนั้นเขาก็มองนางอย่างน่ารังเกียจ"ไม่มีพิษเจ้าคะ อันนี้อร่อยมาก" มู่จิ่วซีก็คีบกุ้งตัวใหญ่ให้โม่จุน"ปอกเปลือก!"โม่จุนกล่าวอย่างโมโห "มีที่ไหนคีบอาหารให้นายท่านแบบนี้? ให้ข้าปอกเองหรือไง?""มือเจ้าพิการหรือไง? ปอกเองไม่เป็น? มือใช้ไม่ได้ก็ใช้ปากแทนก็ได้ ใครมันจะไปทนนิสัยแย่ๆ ของเจ้าแบบนี้ได้กัน!" มู่จิ่วซีไม่ทันได้ระวังก็แอบเผลอโพล่งเป็นตัวเองออกมา"มู่จิ่วซี!" โม่จุนอีกนิดก็เกือบจะตบโต๊ะด้วยความโมโห "เจ้าคือบ่าวรับใช้!""ใช่ๆๆ บ่าวผิดไปแล้วเจ้าคะ บ่าวปอกให้ บ่าวปอกให้แล้วยังไม่พออีกหรือไง?" มู่จิ่วซีก็หย่อนก้นลงนั่งและเริ่มปอกเปลือกกุ้งแต่ในใจของนางก็ได้กล่าวทักทายบรรพบุรุษ 18 ชั่วโคตรของโม่จุนไปเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเพื่อหอโม่ช่างเหวินแล้ว นางต้ออดทนให้ได้!โม่จุนก็มองทักษะการปอกเปลือกกุ้งของนางอย่างขอไปทีจนตาของเขาเผ็ดร้อน พร้อมกับรู้สึกว่านางปอกให้เขาแบบนี้มันจะยังกินได้อยู่อีกเหรอ?"เอาไป!" มู่จิ่วซีปอกกุ้งได้ตัวหนึ่งก็เอามาวางไว้ในชา
โม่จุนอีกนิดก็ถูกนางยั่วโมโหจนกระอักออกมามู่จิ่วซีไม่ได้หนีออกไปไหนไกล นางก็แค่ไปที่ห้องโถงข้างๆ ด้านหลัง ซึ่งเป็นห้องสำหรับเก็บอุปกรณ์การเขียนไว้ แบบนี้นางก็จะสามารถได้ยินเซียวหลิงเย่ว์พูดว่านางมาหาโม่จุนมีธุระอะไรโม่จุนที่มีใบหน้าดำทะมึนหลังจากเรียกให้คนไปจัดการเขาก็ทานอาการต่อ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ถึ่งทานไปได้ไม่กี่คำเอง ส่วนมู่จิ่วซีทานไปไม่น้อยเซียวหลิงเย่ว์ไม่นานก็มาถึง นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้า บนหัวสวมด้วยหมวกอีกกว้าง พอนางเข้ามาก็ถอดหมวกลง"หม่อมฉันน้อมเคารพท่านผู้สำเร็จราชการแทน" เซียวหลิงเย่ว์ย่อตัวลงเคารพโม่จุน"ลุกขึ้นมาเถอะ พี่สะใภ้ท่านอ๋องสามมาด้วยเนื่องธุระอะไรรึ?" โม่จุนก็พุ่งเข้าประเด็นในทันที พร้อมกับกับสีหน้าดำทะมึนเซียวหลิงเย่ว์เดินมาหยุดลงที่หน้าโต๊ะ นางมองหาอาหารที่อยู่บนโต๊ะและก็กล่าว : "พี่ใหญ่โม่ ข้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย ท้องข้าก็หิวแล้วด้วย ถ้าพี่ใหญ่โม่ไม่รังเกียจข้าขอร่วมวงอาหารหน่อยได้ไหม"ก่อนที่นางจะได้กลายเป็นพระชายาสาม นางก็มักจะเรียกโม่จุนว่าพี่ใหญ่โม่เป็นการส่วนตัวมู่จิ่วซีหลังจากเข้าไปอยู่ห้องข้างๆ แล้วได้ยินประโยคนี้ นางก็อยากจะพูดออกมาว่าเซี
เซียวหลิงเย่ว์ชะงักไป จากนั้นก็ส่ายหัวและกล่าวออกมา : "หลังจากข้าได้มาเป็นคุณหนูของตระกูลเซียว ข้าก็น้อยครั้งนักจะได้เห็นพ่อบุญธรรม ข้าจะไปฝึกฝนวรยุทธได้อย่างไร ข้าอยู่ที่ตระกูลเซียวล้วนได้แต่ทำงานพวกเย็บปักถักร้อย"โม่จุนพอนึกคิดดูแล้วก็คิดว่าถูกของนาง เซียวหลิงเย่ว์ก็เป็นแค่กุลสตรี ฉิน หมาก อักษรและภาพวาดต่างล้วนทำเป็น ถึงอย่างไรตระกูลเซียวก็มีความทะเยอทะยานสูงมาก พวกเขาบ่มเพาะเลี้ยงดูลูกสาวเพื่อให้กลายฮองเฮาพริบตาภายในห้องก็เงียบสนิท ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรความอยากอาหารเซียวหลิงเย่ว์ก็รู้สึกไม่อร่อยขึ้นมา นางแอบเหลือบมองโม่จุนอยู่หลายครั้ง"พี่ใหญ่โม่ องค์ชายสามแคว้นซีเย่ว์จะมาถึงแคว้นเกาอวิ๋นในอีกสามวันอย่างงั้นเหรอ?"โม่จุนเงยหน้ามองไปที่นางอีกครั้งและกล่าว : "เจ้ารู้ได้อย่างไร?""วันนั้นข้าเผอิญพบกับองค์หญิงเหวินซิงแล้วได้คุยกัน" แววตาของเซียวหลิงเย่ว์แวววับขึ้นมาโม่จุนก็พยักหน้าและกล่าว : "อืม ใกล้ฤดูหนาวแล้ว แคว้นซีเย่ว์ต้องการมาที่แคว้นเกาอวิ๋นเพื่อเอาอาหารธัญพืชอีกครั้ง""พี่ใหญ่โม่ ขอไปเจอองค์ชายสามแคว้นซีเย่ว์ได้ไหม?" ประโยคนี้ของเซียวหลิงเย่ว์ทำให้โม่จุนสะดุ้งขึ้
มู่จิ่วซีที่อยู่ด้านหลังพอได้ยินประโยคนี้ของเซียวหลิงเย่ว์ก็ได้แต่เบ้ปากพร้อมกับสีหน้าย่นจมูกอย่างรังเกียจโม่จุนคือคนประเภทไหนกัน? ในยุคสมัยราชวงศ์นี้ เขาเองก็อายุ 23 ปีแล้ว อย่าว่าแต่ยังไม่แต่งงาน แต่ว่าพระชายาเอกหรือพระชายารองสักคนก็ยังไม่มี เขาช่างน่าแปลกมากจริงๆดังนั้นการที่โม่จุนจะรักผู้หญิงสักคนก็เหมือนกับเรื่องพันหนึ่งราตรีอย่างใดอย่างนั้น (พันหนึ่งราตรี หมายถึง เรื่องที่เป็นไปไม่ได้)รักนางมู่จิ่วซี ?เหอะๆ มู่จิ่วซีคงจะไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรอก แต่นางคงรู้สึกว่าตัวเองคงไม่อาจอยู่ในครรลองธรรมจักษุของโม่จุนได้บางทีผู้ชายคนนี้อาจเป็นคนที่กลัวผู้หญิง ไม่ใช่ว่าไม่ยอมแต่งงาน แต่บางทีเขาอาจมีงานอดิเรกพิเศษ หรืออาจมีปัญหาโรคทางร่างกายเหตุผลที่โม่จุนปฏิบัติกับนางแตกต่างออกไปก็เพราะนางและเขาทำงานร่วมกันอยู่แล้ว ไม่สิ แต่คงมีบางอย่างที่ใจตรงกัน อีกทังพวกเขาก็ได้ร่วมเป็นร่วมตายกันมาแล้วถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะเป็นสหายร่วมรบได้เหมือนกับผู้ชายแบบนี้ทางด้านของโม่จุนก็กล่าวเสียงดังออกมา"พี่สะใภ้ท่านอ๋องสาม เรื่องของข้า ข้ามีแผนในใจ เจ้าไม่ต้องกังวล ส่วนเรื่องที่เจ