พฤติกรรมของมู่จิ่วซีทำให้ทุกคนถึงกับใบหน้าดำทะมึน พวกเขาต่างรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่มู่หญิงแสดงความหยิงยโสอย่างกับลูกผู้ลากมากดีออกมาได้ถึงพริกถึงขิงจริงๆแต่พอเมื่อได้เห็นภาพดอกโบตั๋นขนาดใหญ่ตรงหน้าที่เทียบกับของจริงจนแยกไม่ออกแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าการที่มู่จิ่วซีโอหังก็เพราะนางมีความสามารถ"นี่วาดออกมาได้อย่างไรกัน ?" มหาราชครูคนหนึ่งก็ตกใจตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด"สุดยอดไปเลย สุดยอดมากจริงๆ" ในแววตามหาราชครูอีกคนหนึ่งก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ "ข้าจะเอารูปนี้ไปวางไว้ในเรือนของมหาราชครูให้นักเรียนพวกนั้นได้ดูให้ได้ พวกเจ้าใครหน้าไหนก็ห้ามแย่งทั้งนั้น!""ใช่ใช่ใช่ ใครก็ห้ามแย่ง ภาพนี้คือของมหาวิทยาลัยหลวงแล้ว" มหาราชครูอีกคนก็กล่าวออกมาอย่างดีใจ ขณะเดียวกันก็หันไปทางพระพันปีหลวงและท่านผู้สำเร็จราชการแทนมู่จิ่วซีก็มองมหาราชครูสองคนนั้นอย่างดูถูก : "ท่านมหาราชครูทั้งสอง พวกท่านต้องตัดสินแพ้ชนะก่อนสิ" มู่จิ่วซีกล่าวออกมาหลังจากดื่มชาของลู่เอ๋อร์ที่เอามาให้จากนั้นเสียงวิพากย์วิจารย์ของผู้คนก็ดังขึ้นมา แต่คราวนี้กลับเป็นเสียงวิจารย์ไปในทางเดียวกันฉีเล่อฉี่ก็หน้าแดงขึ้นมาพร้อมกับกล่าว
มู่จิ่วซีขณะพูดก็เอามือต้องการจะไปดึงหนังหน้าของฉีหู่ซานออกจริงๆ"หยุดเดี๋ยวนี้!" โม่จุนกล่าวออกมาอย่างเย็นชา ทุกคนก็สงบลงมาอีกครั้งพระพันปีหลวงก็ทรงตรัสออกมาอย่างไม่พอใจ : "พอได้แล้ว การแข่งขันสิ้นสุดแล้ว มู่จิ่วซีเป็นฝ่ายชนะ ฉีหู่ซาน ถ้าเจ้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีกก็มาคุยกับข้าตรงนี้"สีหน้าของฉีหู่ซานเปลี่ยนไป เขาคุกเข่าลงและกล่าวออกมา : "พระพันปีหลวงทรงอย่าพิโรธ กระหม่อมแค่แพ้จนสับสน การแข่งขันคราวนี้คุณหนูใหญ่มู่เป็นฝ่ายชนะแล้ว กระหม่อมขอน้อมรับความพ่ายแพ้"แววตาของฉีหงเย่ก็ทอประกายความเคียดแค้น ทันใดนางก็โงนเงนและล้มลงไปกับพื้น ฉีเล่อฉี่ตกใจจนตะโกนร้องและรีบเข้าไปพยุงนาง"อุ๊ยตาย คุณหนูสามของตระกูลฉีร่างกายไม่ไหวเลยจริงๆ กระทบกระเทือนจิตใจนิดหน่อยก็ล้มลงไปทั้งยืน" มู่จิ่วซีหันหน้าไปมอง นางก็เห็นว่าผ้าเช็ดหน้าในมือของฉีหงเย่ยังคงกำแน่นไว้อยู่ นี่นางคงแกล้งเป็นลม"กุลสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งพระนครถูกมู่จิ่วซีโค่นล้มไปแล้ว ถ้าเป็นข้า ข้าเองก็คงเป็นลม" มีคนยิ้มหัวเราะออกมา"ช่างขายหน้าจริงๆ การแข่งขันระหว่างกุลสตรีอันดับหนึ่งและกุลสตรีผู้อยู่รั้งท้าย นึกไม่ถึงว่านางต้องมาพ่ายแพ
พระพันปีหลวงถูกนางหยอกล้อจนหัวเราะ : "ยัยตัวแสบ เจ้านับวันก็ยิ่งคิดแปลกพิศดารไปใหญ่แล้ว คราวนี้เจ้าขนะแล้วไม่ใช่ว่าก็ยังมีเงิน 10,000 ตำลึงที่ใต้เท้าฉีแพ้หรอกเหรอ?"มู่จิ่วซีหัวเราะคิกคักและกล่าว : "ก็จริงเพคะ แต่ว่าสิ่งของที่เรียกว่าเงินเช่นนี้ ใครกันน้าที่จะไปเงินได้มากมายมหาศาล" ขณะพูดนางก็หันไปมองฝ่าบาทองค์น้อยด้วยแววตาทอเป็นประกายฝ่าบาทองค์น้อยก็พระพักตร์แดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็ทรงดึงแขนเสื้อของพระพันปีหลวงและตรัสออกมา : "เสด็จแม่ หรือว่าเราควรมอบรางวัลมากกว่านี้อีกสักหน่อยดี?""เหอะ เจ้าคิดเหรอว่ายัยตัวแสบคนนี้ไม่มีเงิน ข้ายังพูดไม่จบเลย การแข่งขันของนางคราวนี้นางได้ลงเดิมพันไว้ อัตราส่วนเดิมพันสูงตั้งห้าเท่า อย่างน้อยนางสามารถเอาชนะได้เงินต่ำๆ ก็ 250,000 ตำลึงแล้ว!" พระพันปีหลวงก็ทรงตรัสเผยไต๋มู่จิ่วซีออกมาตรงๆมู่จิ่วซีก็ตกตะลึงไป นางหันไปมองโม่จุนในทันใดโม่จุนเบือนหน้าหนีทำเป็นไม่เห็นนาง"ยัยหนู เจ้าคือลูกสาวของภรรยาหลวงข้าราชการในราชสำนัก รู้ใช่ไหมการพนันด้วยเงินปริมาณมากมีโทษฐานความผิด?" สีพระพักตร์ของพระพันปีหลวงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาพร้อมกับตรัสขึ้นมาบรรดาองคมนตรีข้
"จริงสิ พระพันปีหลวงได้พระราชทานให้เจ้าได้เป็รคุณหญิงตราตั้งระดับหนึ่งแล้ว" มู่เทียนซิงเองก็ตื่นเต้นมาก แม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพใหญ่มู่ แต่เขาก็มีระดับข้าราชการแค่ระดับสองเท่านั้น ดังนั้นคุณหญิงมู่จึงเป็นคุณหญิงตราตั้งระดับสองคุณหญิงมู่ตื่นเต้นจนรีบกล่าวขอบพระทัย ทุกคนต่างก็ทยอยแสดงความยินดีขณะนั้นมู่จิ่วซีก็เห็นโม่จุนเดินเข้ามาหา ทั้งสองสี่ดวงตาก็มองประสานกันมู่จิ่วซีก็ถลึงตาจ้องมองเขาอย่างดุเดือด ส่วนโม่จุนก็สีหน้าไร้อารมณ์ ทำท่าราวกับว่าตัวเองใส่ซื่อบริสุทธิ์อย่างมาก"ไอผู้ชายชาติหมา!" ในใจของมู่จิ่วซีก็กัดฟันด่าเขาออกมาการแข่งขันครั้งนี้ในที่สุดก็สิ้นสุดลง ข่าวที่ว่าคุณหนูใหญ่มู่ชนะการแจ่งจันก็ได้เล็ดลอดพูดกันออกไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นเมื่อคนตระกูลฉีกลับออกมาจากวัง พวกเขาก็ถูกพวกนักพนันรุมด่าอย่างไม่หยุดหย่อน และก็มีบางคนทีขว้างปาสิ่งของรถม้าของจวนฉีก็สกปรกเละเทะไปหมด คนตระกูลฉีทั้งสามคนก็มีสำหน้าดำมืดจนไม่อาจจะดำได้กว่านี้อีกแล้ว"นึกไม่ถึงว่าคุณหนูสามของตระกูลฉีจะแพ้ให้กับมู่จิ่วซี นี่นางจงใจแพ้ชัดๆ เพื่อชนะเอาเงินพนันเดิมพันของผู้คนไม่ใช่หรือไง?""กุลสตรีหมายเลขหนึ่งอะไร
มู่จิ่วซีก็หัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็กล่าวออกมา : "มีเรื่องอื่นอีกไหม?"เย่อู่เหิงก็รู้ละอายขึ้นมานิดหน่อย เขารีบเปลี่ยนสีหน้าให้จริงจังพร้อมกับเอ่ยกล่าว : "เกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูใหญ่ไป๋ชิงแล้วขอรับ แล้วน้องหญิงรองของท่านด้วย คุณหนูไป๋เฟิ่งหว่านตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่ขอรับ"มู่จิ่วซีก็มีแววตาเปลี่ยนไปทันที : "มีใครตายงั้นเหรอ?""ยังไม่มีใครตายขอรับ แต่ว่าคุณชายสามไป๋ฉี่เฟิงถูกไป๋ชิงใช้มีดแทงเข้าที่เอวขอรับ บาดแผลสาหัสมาก" เย่อู่เหิงขณะพูด มู่เทียนซิงและคุณหญิงมู่ก็ได้เดินลงมา"งั้นเจินจูล่ะ? เจินจูไปเกี่ยวข้องอะไรด้วย?" มู่เทียนซิงก็ถามเย่อู่เหิงในทันที"คุณหนูเจินจูได้ไปที่จวนอัครมหาเสนาบดีเพื่อหาไป๋ชิง แต่ไม่ว่าเพราะเกิดอะไรขึ้น นางก็ได้ทะเลาะกับไป๋ชิง ทั้งสองคนล้วนบาดเจ็บ คุณหนูเจินจูหัวแตกด้วย แต่ว่าบาดแผลไม่ได้รุนแรง""อะไรนะ? นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?" มู่เทียนซิงร้อนลนอย่างมาก"ท่านพ่อ ท่านไปส่งท่านแม่กลับจวนก่อน ข้าจะไปดูน้องหญิงรอง" มู่จิ่วซีพอเห็นสีหน้าของท่านแม่ของนางซีดขาว นางก็รีบพูดขึ้นมาถึงแม้มู่เทียนซิงจะร้อนใจ แต่พอเขาเห็นสภาพของภรรยาของเ
มือทั้งสองข้างยังคงมีเลือดที่แห้งกรังเปื้อนอยู่ ที่ชุดกระโปรงก็มีรอบเลือดอยู่เล็กน้อยเช่นกัน"ไป๋ชิง" มู่จิ่วซีเป็นห่วงนาง มู่จิ่วซีนั่งลงข้างๆ นางอีกฝั่งหนึ่งและเขย่าไหล่นางเบาๆไป๋ชิงก็ถึงจะได้สติกลับมา พอนางเห็นมู่จิ่วซี จู่ๆ ภายในดวงตาของนางก็มีน้ำตาเอ่อล้น จากนั้นก็ปล่อยโฮร้องไห้เสียงดังออกมามู่จิ่วซีขมวดคิ้วและรีบกอดนางให้นางได้ร้องไห้ระบาย"ยังจะมีหน้ามาร้องไห้อีก เจ้าฆ่าน้องชายของข้า เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!" ไป๋เฟิ่งหว่านพอเห็นมู่จิ่วซีมาถึง นางที่อยากจะพูดมาโดยตลอด แต่ก็ได้แต่ต้องอดทนเอาไว้"น้องชายเจ้าตายแล้วเหรอ? ถ้าเขายังไม่ตาย งั้นนี่เจ้าก็กะสาปแช่งเขาก่อนเลย?" มู่จิ่วซีมองขวางออกไปด้วยแววตาที่เย็นชาทั้งสองข้าง"เจ้า! มู่จิ่วซี คราวนี้เจ้าช่วยนางไม่ได้หรอก มีสายตานับไม่ถ้วยที่เห็นเหตุการณ์!" ไป๋เฟิ่งหว่านหันไปมองไป๋ชิงพร้อมกับแววตาของการดูถูกและเหยียดหยาม"เรื่องยังไม่ได้ตัดสิน เจ้าเองไม่ใช่เป็นคนกำหนด แต่ว่าการที่เจ้าทำร้ายน้องรองของข้าจนนางหัวแตก เจ้าเองก็คงยากที่จะหลบเลี่ยงความผิด" มู่จิ่วซีกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจไป๋เฟิ่งหว่านถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีและพูดขึ้
มู่จิ่วซีก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาอันเย็นชาส่วนในใจก็แอบด่าทอ : "ไอผู้ชายชาติหมาคนนี้ยังจะกล้ามาอีก?"พอโม่จุนมาถึง ทุกคนก็ลุกขึ้นถวายความเคารพ จากนั้นโม่จุนก็นั่งลงที่บัลลังก์ศาล ดวงตาสีดำทมิฬก็ได้กวาดมองออกไปรอบหนึ่งด้วยแววตาอันคมกริบ เขาเหลือบมองเห็นแววตาที่ไฟลุกโชนทั้งสองข้างของมู่จิ่วซีครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาออกไป"ไป๋ฉี่เฟิงอยู่ในอันตรายระหว่างเป็นตาย เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก คุณหนูไป๋ชิงเจ้าคงจำเป็นต้องกล่าวให้กระจ่างขัดเจนแล้ว ไม่งั้นคงไม่มีใครช่วยเจ้าได้" เสียงอันเย็นชาของโม่จุนทำให้ทุกคนกลัวจนตัวสั่นโดยเฉพาะไป๋ชิงที่สั่นไปทั้งตัว มือที่นางกุมมือของมู่จิ่วซีเอาไว้ก็ยิ่งแน่นมากขึ้น"ไป๋ชิง เจ้าไม่ต้องกลัว พูดไปตามความจริง ข้าเชื่อใจว่าเจ้าไม่มีทางไปแทงไป๋ฉี่เฟิงด้วยตัวของเจ้าเอง เจ้าคงจะป้องกันตัวเองใช่ไหม?" มู่จิ่วซีรีบถามออกไป"คุณหนูใหญ่มู่ ขอให้เจ้าอย่าทำการชี้นำพยาน ให้นางพูดเอง" โม่จุนกล่าวออกมาเย็นเยือกราวกับน้ำแข็งมู่จิ่วซีก็สูดหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโกรธ แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาด่าไอผู้ชายชาติหมาคนนี้ นางจึงได้แต่ต้องอดทนไป๋เฟิ่งหว่านก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมาท
ไป๋ชิงมีสีหน้าทั้งกังวลและสะพรึงกลัว นางลงไปคุกเข่าและร้องไห้ขึ้นมา"ไป๋ชิง เจ้าไม่ต้องกังวล พระเจ้านั้นมีตา ขอเพียงเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคน เรื่องนี้ความจริงจะต้องปรากฎไม่ช้าก็เร็ว" มู่จิ่วซีรีบปลอบโยนนาง"คุณหนูรองไป๋ งั้นเจ้าไปอยู่ที่เกิดเหตุตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าเห็นเหตุการณ์ชัดเจนอย่างงั้นเหรอ?" เย่อู่เหิงถามไป๋เฟิ่งหว่านไป๋เฟิ่งหว่านกตอบพร้อมกับดวงตาที่ทอเป็นประกาย : "ตอนที่ข้าได้ยินเสียงกรีดร้อง น้องชายสามของข้าก็ล้มไปนอนบนพื้นแล้ว ส่วนไป๋ชิงก็คุกเข่าอยู่ข้างๆ เขา ในมือนางถือกริชไว้ด้วยพร้อมกับเลือดที่เต็มมือ"เย่อู่เหิงหันไปมองมู่เจินจูและถามขึ้นมา : "คุณหนูรองมู่ แล้วเจ้าไปปรากฎตัวที่จวนไป๋ตั้งแต่เมื่อไหร่?"มู่เจินจูตกใจจนสะดุ้งแลหันไปมองมู่จิ่วซีครู่หนึ่ง"ข้า ข้าตอนที่ไปถึง ก็ได้เห็นไป๋เฟิ่งหว่านกำลังกระชากผมของไป๋ชิง ส่วนไป๋ฉี่เฟิงนอนแน่นิ่งไม่ขยับแล้ว ข้าตะโกนบอกให้ไป๋เฟิ่งหว่านหยุดมือ นางก็บอกว่าไป๋ชิงฆ่าไป๋ฉี่เฟิง ดังนั้นนางเลยต้องการให้ไป๋ชิงชดใช้ด้วยชีวิต ข้ากลัวว่านางจะตบตีไป๋ชิงจนบาดเจ็บ ดังนั้นข้าก็เลยทะเลาะลงมือกับนาง..."มู่เจินจูพอยิ่งพูดไปเรื่อยก็ยิ่งเสีย