มู่จิ่วซีก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาอันเย็นชาส่วนในใจก็แอบด่าทอ : "ไอผู้ชายชาติหมาคนนี้ยังจะกล้ามาอีก?"พอโม่จุนมาถึง ทุกคนก็ลุกขึ้นถวายความเคารพ จากนั้นโม่จุนก็นั่งลงที่บัลลังก์ศาล ดวงตาสีดำทมิฬก็ได้กวาดมองออกไปรอบหนึ่งด้วยแววตาอันคมกริบ เขาเหลือบมองเห็นแววตาที่ไฟลุกโชนทั้งสองข้างของมู่จิ่วซีครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาออกไป"ไป๋ฉี่เฟิงอยู่ในอันตรายระหว่างเป็นตาย เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก คุณหนูไป๋ชิงเจ้าคงจำเป็นต้องกล่าวให้กระจ่างขัดเจนแล้ว ไม่งั้นคงไม่มีใครช่วยเจ้าได้" เสียงอันเย็นชาของโม่จุนทำให้ทุกคนกลัวจนตัวสั่นโดยเฉพาะไป๋ชิงที่สั่นไปทั้งตัว มือที่นางกุมมือของมู่จิ่วซีเอาไว้ก็ยิ่งแน่นมากขึ้น"ไป๋ชิง เจ้าไม่ต้องกลัว พูดไปตามความจริง ข้าเชื่อใจว่าเจ้าไม่มีทางไปแทงไป๋ฉี่เฟิงด้วยตัวของเจ้าเอง เจ้าคงจะป้องกันตัวเองใช่ไหม?" มู่จิ่วซีรีบถามออกไป"คุณหนูใหญ่มู่ ขอให้เจ้าอย่าทำการชี้นำพยาน ให้นางพูดเอง" โม่จุนกล่าวออกมาเย็นเยือกราวกับน้ำแข็งมู่จิ่วซีก็สูดหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโกรธ แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาด่าไอผู้ชายชาติหมาคนนี้ นางจึงได้แต่ต้องอดทนไป๋เฟิ่งหว่านก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมาท
ไป๋ชิงมีสีหน้าทั้งกังวลและสะพรึงกลัว นางลงไปคุกเข่าและร้องไห้ขึ้นมา"ไป๋ชิง เจ้าไม่ต้องกังวล พระเจ้านั้นมีตา ขอเพียงเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคน เรื่องนี้ความจริงจะต้องปรากฎไม่ช้าก็เร็ว" มู่จิ่วซีรีบปลอบโยนนาง"คุณหนูรองไป๋ งั้นเจ้าไปอยู่ที่เกิดเหตุตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าเห็นเหตุการณ์ชัดเจนอย่างงั้นเหรอ?" เย่อู่เหิงถามไป๋เฟิ่งหว่านไป๋เฟิ่งหว่านกตอบพร้อมกับดวงตาที่ทอเป็นประกาย : "ตอนที่ข้าได้ยินเสียงกรีดร้อง น้องชายสามของข้าก็ล้มไปนอนบนพื้นแล้ว ส่วนไป๋ชิงก็คุกเข่าอยู่ข้างๆ เขา ในมือนางถือกริชไว้ด้วยพร้อมกับเลือดที่เต็มมือ"เย่อู่เหิงหันไปมองมู่เจินจูและถามขึ้นมา : "คุณหนูรองมู่ แล้วเจ้าไปปรากฎตัวที่จวนไป๋ตั้งแต่เมื่อไหร่?"มู่เจินจูตกใจจนสะดุ้งแลหันไปมองมู่จิ่วซีครู่หนึ่ง"ข้า ข้าตอนที่ไปถึง ก็ได้เห็นไป๋เฟิ่งหว่านกำลังกระชากผมของไป๋ชิง ส่วนไป๋ฉี่เฟิงนอนแน่นิ่งไม่ขยับแล้ว ข้าตะโกนบอกให้ไป๋เฟิ่งหว่านหยุดมือ นางก็บอกว่าไป๋ชิงฆ่าไป๋ฉี่เฟิง ดังนั้นนางเลยต้องการให้ไป๋ชิงชดใช้ด้วยชีวิต ข้ากลัวว่านางจะตบตีไป๋ชิงจนบาดเจ็บ ดังนั้นข้าก็เลยทะเลาะลงมือกับนาง..."มู่เจินจูพอยิ่งพูดไปเรื่อยก็ยิ่งเสีย
โม่จุนก็รีบลุกขึ้นมาเช่นกันพร้อมกับเดินออกไปข้างนอก ก่อนไปเขาได้ทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค : "ก่อนที่เรื่องจะตรวจสอบอย่างกระจ่าง ห้ามใครลงประชาทัณฑ์โดยเด็ดขาด"เย่อู่เหิงก็กล่าวรับคำ จากนั้นก็หันไปมองคนทั้งสองจากออกไปอย่างรวดเร็ว"ใต้เท้าเย่ ข้าไปได้แล้วหรือยัง?" ไป๋เฟิ่งหว่านก็กล่าวออกมาในทันใดถึงอย่างไรไป๋ฉี่เฟิงก็อยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดี ท่านผู้สำเร็จราชการแทนและมู่จิ่วซีก็คงไปที่จวนอัครมหาเสนาบดี ดังนั้นนางก็คงอยากจะกลับไปดูอาการน้องสาม"คุณหนูรองไป๋ เจ้าได้ทำร้ายคุณหนูรองมู่จนบาดเจ็บ เรื่องนี้จำเป็นต้องได้ข้อสรุป เจ้ายังไม่อาจกลับไปได้ในตอนนี้" เย่อู่เหิงกล่าวด้วยสีหน้าที่เย็นชา"ใต้เท้าเย่ นี่เจ้าไม่ได้ยินงั้นเหรอ? มู่เจินจูได้เข้ามาผลักข้า ข้าถึงได้ทะเลาะลงมือกับนาง ทั้งหมดเป็นเพราะนางลงมือกับข้าก่อน""ข้าก็แค่ผลักเจ้าออกไปเพื่อไม่ให้เจ้าทำร้ายไป๋ชิง ข้าไม่ได้ทำร้ายเจ้า" มู่เจินจูก็รีบกล่าวขึ้นมา "แล้วทีเจ้าหยิกข้าไม่พูดบ้างล่ะ อีกทั้งยังใช้พู่หยกมาทุบหัวข้าด้วย อย่างเจ้าควรเรียกว่าป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ เจ้าเองก็ควรต้องได้รับโทษ"มู่เจินจูก็ฉลาดรีบหาข้ออ้างขึ้นมาใช้สวีหยา
ศิลปะหกแขนงของบุรุษ แต่ละอย่างล้วนโดดเด่น? นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้ว ทักษะการขี่ม้าของนางไม่ได้เป็นรองเขาเลย บนถนนมีสิ่งกีดขวางมากมาย แต่นางกลับขี่หลบหลีกอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังบังคับม้าให้ข้ามพ้นรถม้าที่บรรทุกสิ่งของได้อีก ถึงกับทำให้ผู้คนที่เห็นตาทอเป็นประกายจนตาแทบบอดส่วนโม่จุนท่านผู้สำเร็จราชการแทนที่ตามมาด้านหลัง อีกนิดก็เกือบจะปล่อยไก่ออกมาจนในที่สุดมู่จิ่วซีก็หันกลับมามอง หน้าของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ แววตาสองข้างคมกริบอย่างกับกระบี่พร้อมกับมองไปยังโม่จุนที่ขี่ไล่ตามมาด้วยแววตาอันเย็นเยือกอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้"อย่าวู่วาม วู่วามไปก็มีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง" โม่จุนมองไปที่นางด้วยสีหน้าอารมณ์เสีย ส่วนน้ำเสียงกลับผ่อนคลายลงมาหน่อย"ไอผู้ชายชาติหมา เจ้าทรยศข้า!" มู่จิ่วซีหรี่ตาลงและตะคอกด้วยเสียงทุ้มต่ำโม่จุนก็ตกตะลึง จากนั้นเขาก็เข้าใจในทันที"เจ้าคิดว่ามีแค่เจ้าคนเดียวหรือไงที่ถูกยึดเงิน 250,000 ตำลึง? เงินของข้าเองก็ถูกเอาไปจ่ายเป็นเงินเดือนทหารเหมือนกัน!" โม่จุนกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ "เจ้าคิดเหรอว่าพระพันปีหลวงไม่รู้ว่ามีการเปิดรับพนันเดิมพันกัน
โม่จุนเดิมทีอยากจะพูดเรื่องของเซียวหลิงเย่ว์ แต่พอได้ยินประโยคนี้ เขาก็ได้แต่พูด : "หรือว่าเจ้ายังสามารถช่วยไป๋ฉี่เฟิงได้งั้นเหรอ? แพทย์หลวงเองก็กำลังรักษากันอย่างสุดความสามารถ""ข้าเคยบอกแล้วว่ามีความสามารถหลายอย่าง เพียงแต่เจ้าไม่รู้เท่านั้น" มู่จิ่วซีกรอกตามองบนใส่เขาและก็เข้าไปในจวนไป๋ทันทีองครักษ์ของจวนไป๋เห็นท่านผู้สำเร็จราชการแทนและมู่จิ่วซีอยู่ไกลๆ ตั้งนานแล้ว ซึ่งไม่มีใครกล้าไปขวาง พวกเขาได้แต่คุกเข่าถวายคำนับท่านผู้สำเร็จราชการแทนแต่ว่าคนข้างในรู้ตั้งนานแล้วว่าท่านผู้สำเร็จราชการแทนและมู่จิ่วซีอยู่ที่หน้าประตู ดูเหมือนว่าเพราะเรื่องอะไรสักอย่างและกำลังทะเลาะกันอยู่แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของมู่จิ่วซีในตอนแรกเหมือนกับสีหน้าของคนต้องการฆ่าโม่จุนแทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลย"ไป๋ฉี่เฟิงอยู่ที่ไหน?" มู่จิ่วซีบุ่มบ่ามเข้าไปพร้อมกับคว้าข้ารับใช้คนหนึ่งมาถาม"คุณหนูใหญ่มู่ คุณชายสามอยู่ อยู่ที่เรือนหลินฟ้านขอรับ" ข้ารับใช้คนนั้นตกใจกับท่าทีดุร้ายของมู่จิ่วซีโม่จุนก็ได้เดินแซงนางเข้าไปข้างในมู่จิ่วซีก็รีบปล่อยข้ารับใช้คนนั้นและเดินตามเข้าไปพร้อมกับกล่าว : "ชื่อดีๆ ไม่รู้จักตั้ง ตั
"เจ้าคือใคร?" มู่จิ่วซีไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้"ข้าน้อยไป๋เอินลู่ เป็นลุงสองของไป๋ฉี่เฟิง" ไป๋เอินลู่รีบกล่าวถึงฐานะของตัวเองโม่จุนก็ถามขึ้นมา : "ข้างในมีใครอยู่? ไป๋ฉี่เฟิงเป็นไงบ้าง?""ทูลท่านผู้สำเร็จราชการแทน ด้านในมีท่านอัครมหาเสนาบดีและฮูหยินรอง รวมไปถึงแพทย์หลวงอีกสองคนขอรับ" ไป๋เอินลู่รีบกล่าวออกมามู่จิ่วซีก็พูดขึ้นมาทันที : "ข้าต้องการเข้าไปดู""คุณหนูใหญ่มู่ แพทย์หลวงกล่าวไว้ว่าห้ามเข้าไปรบกวน" ขณะพูดเขาก็มองไปที่นางอย่างรู้สึกยากลำบากใจ"น่าขำสิ้นดี ไม่ให้เข้าไปรบกวน? ข้างในมีคนตั้งมากมายขนาดนั้น แต่มีเพิ่มอีกสักคนสองคนก็คงไม่เยอะหรอกมั้ง เจ้าหลีกไปได้แล้ว" มู่จิ่วซีโมโหขึ้นมาโม่จุนก็กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ : "หลีกทางไปเถอะ"ท่านผู้สำเร็จราชการแทนเอ่ยปากออกมาแล้ว ไป๋เอินลู่ก็ได้แต่ต้องหลีกทางมู่จิ่วซีก็เดินเข้าไปด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุดเพื่อเดินเข้าไปยังด้านใน โม่จุนก็รีบเดินตามไปภายในห้องมีขนาดใหญ่มาก เห็นได้ชัดว่าไป๋ฉี่เฟิงซึ่งเป็นคุณชายสามได้รับการเลี้ยงดูดีมากขนาดไหนทั้งสามด้านของห้องล้วนมีหน้าต่าง แสงสว่างมีมากเพียงพอ อีกทั้งในห้องยังวางเต็มไปด้วยตะเกีย
โม่จุนพอได้ยินมู่จิ่วซีพูดประโยคนี้ มุมปากเขาก็กระตุกขึ้นเบาๆ จากนั้นเขาก็เบาใจลงได้ผู้หญิงคนนี้สามารถพูดอย่างโอหังได้ขนาดนี้ นางจะต้องมีความสามารถช่วยไป๋ฉี่เฟิงได้แน่เขาตอนนี้เข้าใจนางขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย"คุณหนูใหญ่มู่ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเซียนหรือไง?" อัครมหาเสนาบดีไป๋มองไปที่มู่จิ่วซี เขาถูกนงทำให้โกรธจนแทบอยากจะหัวเราะมู่จิ่วซีก็หัวเราะเยาะออกมา นางหันไปมองแพทย์หลวงอู๋และกล่าว : "แพทย์หลวงอู๋ หลอดเลือดตรงเอวของไป๋ฉี่เฟิงแตกใช่ไหม พอรักษาซ่อมหลอดเลือดได้ไม่สมบูรณ์ เลือดก็จะซึมไหลเข้าไปในช่องท่อง ทำให้เกิดแรงกดดันแน่นในอวัยวะภายใน คนไข้ก็เลยยิ่งวิกฤติขึ้นเรื่อยๆ ใช่ไหม?"เดิมทีแพทย์หลวงอู๋ตกใจตะลึงกับคำพูดของมู่จิ่วซี แต่พอได้ฟังคำพูดของนางไปเรื่อย เขาก็พยักหน้าอย่างประหลาดใจ : "มู่จิ่วซีพูดได้ไม่ผิด คุณหนูใหญ่มู่เข้าใจศาสตร์แพทย์งั้นรึ?""ก็พอรู้อยู่บ้าง ให้ข้าลองเถอะ" มู่จิ่วซีพูด "เตรียมเข็มเงินให้ข้าชุดหนึ่ง"แพทย์หลวงอู๋ก็ไม่ได้หยิงผยอง ถึงอย่างไรพวกเขาก็มือไม้วุ่นวายรักษามาพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่อาจหยุดเลือดที่ซึมออกมาจากหลอดเลือดได้ เลยไม่กล้าที่จะปิดปากแผลด้านนอก"ม
ผ่านไปสักอึดใจหนึ่งก็หยิบเอาสำลีที่ซับออกมา ก็เห็นว่าเป็นเลือดที่ถูกดูดซึมออกมา จนสามารถเห็นรอยแปลตรงเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน เนื่องจากแพทย์หลวงจัดการแผลได้ไม่สมบูรณ์ เลยมีผลให้เลือดยังคงใหลซึมออกมาภายใต้ความดันเลือดอันที่จริงไม่ใช่ว่าแพทย์หลวงไม่อยากจัดการให้สมบูรณ์ แต่เนื่องจากตำแหน่งแผลอยู่ลึกมาก ตอนจัดการเลยแทบจะไม่มีวิธีที่จะดูแผลที่อยู่ลึกด้านในได้ถึงแต่พอเห็นมู่จิ่วซีหยิบมีดขึ้นมา พร้อมกับกรีดหลอดเลือดที่ติดอยู่กับเนื้อให้ออกจากกัน พอเป็นแบบนี้ เนื้อที่ติดอยู่กับหลอดเลือดตรงปากแผลก็จะถูกยกขึ้นมาให้สูงขึ้นจากนั้นนางก็หยิบเข็มที่ร้อยด้ายแล้วเอามาเย็บตรงหลอดเลือดที่มีเลือดไหลออกมาให้ติดเข้าด้วยกันในตอนท้ายก็เย็บเนื้อ จากนั้นก็เอาเนื้อที่ติดอยู่กับหลอดเลือดเย็บเข้ากับเนื้อที่ถูกเฉือนด้านล่างเข้าด้วยกันหลายเข็ม (การอ้างอิงถึงความเฉพาะทาง เป็นการสมมุติล้วนๆ โปรดผู้อ่านจงแยกแยะจากความเป็นจริงๆ)ตอนนี้ เลือดก็ยิ่งไหลมากขึ้นมา เลยสงผลต่อการมองเห็น แต่มู่จิ่วซีเหมือนจะสามารถมองทะลุเลือดได้ นางลงมือได้อย่างรวดเร็วไม่นานนักก็จัดการหลอดเลือดเสร็จ นางใช้สำลีกดลงไปอีกครั้ง พอนางเห็นว