"ฮิฮิ ก็ไม่ยังไงทั้งนั้น แค่จูบข้าอีกสักจูบก็พอ" มู่จิ่วซีจู่ๆ ก็อยากจะตะครุบเขาโม่จุนตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน พริบตาเขาก็กระโจนไปอยู่อีกฝั่งของรถม้าราวกับว่าต่อให้เขาถูกตีจนตายก็จะไม่ยอมจูบมู่จิ่วซี"ให้ตายเถอะ โม่จุน นี่เจ้าจะเกินไปแล้วไหม ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น นี่เจ้ารังเกียจข้าขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?" มู่จิ่วซีเดิมทีก็แค่หยอกล้อเขาเล่น ตอนนี้ความภาคภูมิใจตนเองของเขาคงจะถูกทำลายไปแล้วพริบตามือสองข้างของมู่จิ่วซีก็เท้าสะเอว คล้ายกับแม่เสือเฒ่าที่ถลึงตามองโม่จุน"10,000! 10,000! ตำลึง" โม่จุนรีบตะโกนออกมา""ตกลง!" สีหน้าของมู่จิ่วซีเปลี่ยนไปในทันที นางยื่นมือออกไปคว้าเขาแล้วพูด "ถ้าให้ 10,000 ตำลึงตั้งแต่แรกก็ไม่มีปัญหาแล้วไม่ใช่หรือไง? แต่ว่านะโม่จุน เจ้าก็ยังได้กำไรอยู่ดี แม้ว่าชื่อเสียงข้าจะไม่ได้ดี แต่นี่ก็เป็นจูบแรกของข้า 10,000 ตำลึงที่จ่ายมา เจ้าไม่ขาดทุนแน่!"ข้าเองก็ครั้งแรก งั้น 10,000 ตำลึงนั่นไม่ต้องจ่ายได้ไหม" โม่จุนรีบพูดขึ้นมา พอเขาพูดจบ เขาก็รู้ตัวในทันทีว่าทำพลาดไปมหันต์ พริบตาเขาก็เปิดประตูรถม้าและพุ่งทะยานออกไปทันที"ฮาฮาฮา..." ภายในรถม้า มู่จิ่วซีหัวเราะจนแทบกลิ้
มู่จิ่วซีเลิกคิ้วมองไปที่มู่เจินจู ฮูหยินใหญ่เองก็มองไปที่นางอย่างตกใจมู่เจินจูถึงกับหน้าแดงขึ้นมาและรีบเอ่ย : "ข้า ข้าแค่ได้ยินมาน่ะ...""มู่เจินจู เจ้าคิดอยากให้ท่านแม่ของข้าตายใช่ไหม พอป้าสะใภ้รองได้ขึ้นเป็นคุณหญิงใหญ่แล้ว เจ้าก็จะได้กลายเป็นลูกสาวของคุณหญิงใหญ่แห่งจวนแม่ทัพมู่สินะ?"คำพูดของมู่จิ่วซีทำให้มู่เจินจูตกใจจนต้องลงไปคุกเข่ากับพื้นพร้อมกับร้องไห้ขึ้นมา"พี่หญิงใหญ่ ข้าก็แค่ถามไปงั้นเจ้าคะ อย่าคิดมากเลยเจ้าคะ ท่านป้าดีกับข้าขนาดนี้ ข้าจะคิดอัปมงคลเช่นนั้นได้อย่างไร""ทางที่ดีเจ้าอย่าได้แม้แต่จะคิด ยิ่งคิดชั่วมากเท่าไหร่ เวรกรรมมันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น! ไสหัวไป! อย่ามาอยู่ที่นี่ให้ขวางตาอีก" มู่จิ่วซีไล่นางอย่างกับไล่แมลงวันมู่เจินจูถึงกับร้องไห้และรีบเดินจากไปทันที ฮูหยินใหญ่มองมู่จิ่วซีที่โมโหและก็ได้แต่ถอนหายใจ"ท่านแม่ ท่านเองก็เห็นแล้ว นี่ขนาดท่านยังไม่เป็นอะไรไป นางก็คิดเรื่องพวกนี้แล้ว คิดบ้าอะไรก็ไม่รู้" มู่จิ่วซีมองอย่างดูถูกนี่ถ้าป้าสะใภ้รองเรียกมู่เจินจูมาถาม งั้นนางเองก็คงจะดูถูกลู่เวยหย่ามากเกินไป คงจะเป็นนางสมองพิการมู่เจินจูมาถามเองมากกว่า"เจ้าก็
ด้านหลังของใต้เท้าฉีเลขาธิการแห่งกระทรวงราชทัณฑ์ก็มีคุณหนูสามของตระกูลฉีที่ยังไม่ได้แต่งงานออกเรือนไป นางมีนามว่าฉีหงเย่และก็ยังมีแม่หม้ายฉีเล่อฉี่ที่เป็นน้องสาวของเขาสองฝ่ายเมื่อเจอหน้ากัน แน่นอนว่ามู่เทียนซิงและฉีหู่ซานก็ทักทายกันอย่างเป็นกันเอง เหล่าหญิงสาวของจวนมู่ก็ย่อตัวเคารพทักทาย"มู่จิ่วซี คราวนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากที่ให้ข้าชนะได้เงินเดิมพัน" ฉีเล่อฉี่พอเห็นมู่จิ่วซีก็เกิดไฟลุกโชนขึ้นในดวงตา จนเขาพูดเหน็บแนมจิกกัดออกมาทันที"ฉีเล่อฉี่ นี่ท่านวางเงินพนันแทงว่าข้าแพ้ไปเท่าไหร่ล่ะ?" มู่จิ่วซียิ้มออกมาอย่างสบายใจ"100,000 ตำลึง! เดี๋ยวพอข้าออกจากวังไปก็ได้แล้ว 200,000 ตำลึง! ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ" ฉีเล่อฉี่ราวกับได้ระบายความแค้นออกมา"อย่าเพิ่งขอบคุณข้าเร็วไปนัก ข้าเกรงว่าเดี๋ยวอีกสักพักพวกเจ้าคงจะต้องร้องไห้มากกว่า" มู่จิ่วซีหันไปมองคุณหนูสามของตระกูลฉีที่อยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำฉีหงเย่คือลูกสาวฮูหยินใหญ่ฉี นางเป็นลูกสาวของคุณหญิงใหญ่แห่งจวนฉีตั้งแต่เล็กนางได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี หน้าตาอยู่ในระดับดี เป็นคนดูเงียมครึมและดูห่างเหิน ฉินหมากอักษรภาพวาดล้วนแตกฉานทุก
มู่จิ่วซีเหมือนยังอยากจะพูดอะไรขึ้นมาอีก แต่นางกลับถูกมู่เทียนซิงส่งเสียงตวาด นางจึงได้แต่มององค์หญิงเหวินซิงด้วยตาปริบๆ และทำตัวเชื่อฟังขึ้นมาทันทีองค์หญิงเหวินซิงแต่ก่อนรังเกียจมู่จิ่วซีมาก แต่ตอนนี้ได้นางพบว่าผู้หญิงคนนี้ก็พอจะเข้ากับนางได้ความคิดของมู่จิ่วซีตอนนี้เรียบง่ายและเถรตรง นางคิดว่าถ้านางไม่กอดขาขององค์หญิง นางก็โง่แล้วไหม? ต่อให้เป็นองค์หญิงที่น่าสังเวช แต่ก็ยังเป็นองค์หญิงที่มีอำนาจมากว่าคนธรรมดาอยู่ดีมีเพื่อนมากย่อมมีหนทางมาก องค์หญิงเหวินซิงก็แค่เจ้าชู้มากไปหน่อยก็เท่านั้น อันที่จริงเดิมทีนิสัยนางก็ไม่เลว อีกอย่างการเจ้าชู้ในต่างโลกแบบนี้ที่ซึ่งมีหอนางโลมให้ประกอบอาชีพได้อย่างถูกกฎหมาย พอเป็นแบบนี้ยังจะไปตัดสินอะไรคนอื่นได้อีกพูดให้ชัดก็คือแค่รสนิยมความชอบส่วนตัวก็เท่านั้น มู่จิ่วซีราชินีแห่งราตรีคนนี้เปิดกว้างอย่างมากกับเรื่องพวกนี้เมื่อมาถึงพระราชอุทยาน ทุกคนก็ถึงได้รู้ว่ามีคนอยู่ที่นี่ไม่ใช่น้อยๆ นอกจากทหารรักษาพระองค์ บ่าวรับใช้ ข้ารับใช้พวกนี้แล้ว จักรพรรดิองค์น้อยและพระพันปีหลวงก็อยู่ด้วย อีกทั้งยังมีมหาราชครูอีกสองท่านที่น่านับถือและเหล่าองคมนตรีที่ไม่
นางสารเลวคนนี้คงจะล่อลวงท่านอ๋องหกอยู่แน่ ท่านอ๋องหกถึงได้หลงนางขนาดนั้นพระพันปีหลวงหลังจากส่งเสียงกระแอมไอออกมา เสียงของผู้คนที่พูดคุยทักทายก็หยุดลง จากนั้นก็ทยอยนั่งลงตรงที่นั่งที่ได้เตรียมไว้อย่างดีล่วงหน้าเบื้องหน้าของมู่จิ่วซีมีโต๊ะกลมอยู่ประมาน 10 ตัวได้ บนโต๊ะนั้นล้วนมีน้ำชาและขนมของหวาน นี่มันงานเลี้ยงอาหารหรือว่ามาชมการแสดงลิงกายกรรมกันแน่ท่านแม่ของนางเองได้ไปหาพระพันปีหลวง มู่จิ่วซีมองทั้งสองคนคุยกันอย่างอารมณ์ดี แต่ว่านางมองไปมองมาแล้วกลับไม่เจอคนของจวนอัครมหาเสนาบดี นั่นเลยทำให้นางถึงกับขมวดคิ้วเนื่องจากนางบอกให้ไป๋ชิงให้มาดูนางแข่งขัน แต่ทำไมนางถึงยังไม่มา?ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีก็ไม่มา มีบางอย่างผิดปกติแล้วมู่จิ่วซีโน้มตัวเข้าใกล้มู่เจินจูและกล่าวเสียงเบา : "น้องหญิงรอง ช่วยข้าไปถามที่จวนอัครมหาเสนาบดีดีว่าทำไมถึงไม่มีใครมา คุณหนูใหญ่ไป๋ชิงเดิมทีบอกว่าจะมา นี่มันแปลกทะแม่งๆ เรื่องนี้เจ้าพอช่วยทำให้ข้าได้ไหม?"มู่เจินจูไม่คาดคิดว่ามู่จิ่วซีจะใช้มอบหมายให้นางทำงานให้ นางดีใจขึ้นมาในทันทีและพยักหน้า ราวกับว่านางได้โอกาสที่จะแสดงฝีมือ : "ข้าจะแอบไปถามให้ตอนนี้เลย"
ท่านอ๋องหกโม่หยวนชิงยิ้มเหมือนคนโง่ขึ้นมาทันที มือของเขายังโบกให้กับมู่จิ่วซี ปากของเขาก็ขมุบขมิบพูดกับโม่จุน : "เจ้าดูสิ นางเองก็ชอบข้า""หยวนชิง เจ้ามาหาข้าที!" พระมเหสีเลี่ยวโกรธจนใบหน้ารูปงามของนางถึงกับบูดบึ้งโม่หยวนชิงถึงกับคอหดและรีบไปหลบด้านหลังโม่จุน สภาพท่าทีหวาดกลัวหดจนตัวเล็กลงของเขาทำให้ผู้คนอดหัวเราะไม่ได้โม่จุนที่ขวางอยู่ข้างหน้าเขาก็แผ่ซ่านบรรยากาศที่เย็นเยือกรอบตัวอย่างรุนแรงมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเย็นชามากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับใบหน้าโลงผุของเขาเอง คนรอบๆ ต่างถอยออกมาช่วงหนึ่งอย่างไม่รู้ตัวพระมเหสีเลี่ยวก็ไม่กล้าจะเรียกอะไรมาก เพราะนางคิดว่าท่านผู้สำเร็จราชการแทนคงโกรธขึ้นมาส่วนสถานที่แข่งขันที่อยู่ตรงกลาง ใบหน้าที่หยิ่งทระนงของฉีหงเย่ตอนนี้ได้เย็นชาไปจนถึงไขกระดูก สายตาที่นางมองไปที่มู่จิ่วซีทั้งรังเกียจยและคมกริบ"คุณหนูใหญ่มู่ เจ้าคิดได้รึยังว่าตะแข่งอะไร?" ฉีหงเย่เริ่มหมดความอดทน แต่นางก็ยังต้องเสแสร้งเป็นกุลสตรีที่งดงาม ดังนั้นน้ำเสียงคำพูดเลยยังคงต้องออ่อนโยน"แข่งวาดมโนคติไง ก็อยากวาดอะไรก็วาด ใครก็ได้ไปเอาอุปกรณ์วาดภาพและสีวัสดุมาให้ที" มู่จิ่วซี
สายตาของทุกคนก็หันไปมองที่มู่จิ่วซี เหมือนกับว่าทุกคนได้ลืมไปแล้วว่าฉีหงเย่ได้จับพู่กันวาดแล้วในใจของทุกคนต่างล้วนเต็มไปด้วยคำว่าทำไม แต่ทุกคนก็ล้วนไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมา เพราะบรรยากาศรอบตัวของท่านผู้สำเร็จราชการแทนเกรงขามมากจริงๆมีเพียงพระพันปีหลวง จักรพรรดิองค์น้อยและฮูหยินใหญ่เท่านั้นที่สามารถกล้าจะเอ่ยคำพูดออกมาได้ เพียงแต่ฮูหยินใหญ่กลับมีสีหน้ากล้ำกลื้นจนพูดไม่ออกก็เท่านั้น"ทุกคนถอยห่างออกไปหน่อย ถ้าถูกสีข้ากระเซ็นใส่เดี๋ยวเสื้อผ้าจะเลอะหมด" มู่จิ่วซียังคงยิ้มให้กับทุกคน จากนั้นนางก็เอาไม้ถูพื้นที่จุ่มลงในสีที่อยู่ในถังไม้ออกมา จนไม้ถูพื้นชุ่มไปด้วยสีขาวส่วนคนที่อยู่ใกล้ก็ถอยห่างออกไปไกลเพิ่มอีกระยะหนึ่ง จากนั้นมู่จิ่วซีก็โบกตวัดไม้ถูกพื้นนั้นและก็เริ่มวาดลงบนผ้าผืนยาวนั้นทุกคนต่างล้วนมีสีหน้าดำทะมึน มุมปากของพวกเขาต่างก็ยิ้มแหยงขึ้นมา มหาราชครูสองคนก็มองหน้ากันพร้อมกับส่ายหัวนี่มันก็แค่เด็กเมื่อวานซืนที่วาดอย่างส่งเดชทุกคนไม่กล้าที่จะพูดแสดงความเห็นอะไร ส่วนมู่จิ่วซีก็ยังตั้งใจวาดต่อไป จากนั้นผ้าผืนดำขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ ปรากฎวงกลมหนึ่งขึ้นมานอกจากวงกลมสีขาวที่วาดบนผ้าผ
พระมเหสีเลี่ยวเมื่อเห็นลูกชายตัวเองถูกลงมือจนสลบไป นางก็รีบเดินเข้าไปหาทันที"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน หยวนชิงเขาไม่รู้ประสา เจ้าอย่าไปถือสาเขาเลย" ทุกคนต่างรู้ถึงความเย็นชาไร้อารมณ์ของโม่จุน ขาของท่านอ๋องสามที่ขาดก็เพราะเขาเองที่เป็นคนตัด ขนาดนั่นเป็นถึงเสด็จพี่สามของเขายังรวมไปถึงตอนปราบปรามที่ทั้งเมืองย้อมไปด้วยเลือดสด ได้ยินมาว่าตอนนั้นโม่จุนสังหารผู้คนด้วยดวงตาที่แดงฉานราวกับเลือดของคน ซึ่งคนพวกนั้นที่ถูกสังหารเป็นพวกก่อกบฎ"พระมเหสี น้องหกไม่เป็นไรมาก เขาแค่ส่งเสียงเอะอะมากไปเท่านั้น" โม่จุนกล่าวอย่างราบเรียบพระมเหสีเลี่ยวได้แต่ยิ้มที่มุมปากและกลับไปที่นั่งประทับของนางเอง ในใจนางก็คิดว่านางไม่ได้อยากให้ลูกชายนางมาตั้งแต่แรก ไม่คาดคิดว่าเขาจะแอบออกจากจวนมาตั้งแต่เช้าขอให้โม่จุนมาเขามาตอนนี้เป็นยังไงล่ะ กลับยั่วยุจนโม่จุนโมโหขึ้นมา แต่อันที่จริงก็เป็นเรื่องดี นางเองก็ไม่ได้อยากให้ลูกชายไปเจอมู่จิ่วซีคนนั้นอีกแล้วส่วนการแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป สองด้านซ้ายขวาของผ้าผืนดำยังคงดำสนิท มีเพียงแค่ระยะห่างสองเมตรจากตรงกลางของผ้าที่มีรูปสีเหลี่ยมต่างๆ ที่มู่จิ่วซีวาดไว้ราวกับช่องตารา