พระมเหสีเลี่ยวเมื่อเห็นลูกชายตัวเองถูกลงมือจนสลบไป นางก็รีบเดินเข้าไปหาทันที"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน หยวนชิงเขาไม่รู้ประสา เจ้าอย่าไปถือสาเขาเลย" ทุกคนต่างรู้ถึงความเย็นชาไร้อารมณ์ของโม่จุน ขาของท่านอ๋องสามที่ขาดก็เพราะเขาเองที่เป็นคนตัด ขนาดนั่นเป็นถึงเสด็จพี่สามของเขายังรวมไปถึงตอนปราบปรามที่ทั้งเมืองย้อมไปด้วยเลือดสด ได้ยินมาว่าตอนนั้นโม่จุนสังหารผู้คนด้วยดวงตาที่แดงฉานราวกับเลือดของคน ซึ่งคนพวกนั้นที่ถูกสังหารเป็นพวกก่อกบฎ"พระมเหสี น้องหกไม่เป็นไรมาก เขาแค่ส่งเสียงเอะอะมากไปเท่านั้น" โม่จุนกล่าวอย่างราบเรียบพระมเหสีเลี่ยวได้แต่ยิ้มที่มุมปากและกลับไปที่นั่งประทับของนางเอง ในใจนางก็คิดว่านางไม่ได้อยากให้ลูกชายนางมาตั้งแต่แรก ไม่คาดคิดว่าเขาจะแอบออกจากจวนมาตั้งแต่เช้าขอให้โม่จุนมาเขามาตอนนี้เป็นยังไงล่ะ กลับยั่วยุจนโม่จุนโมโหขึ้นมา แต่อันที่จริงก็เป็นเรื่องดี นางเองก็ไม่ได้อยากให้ลูกชายไปเจอมู่จิ่วซีคนนั้นอีกแล้วส่วนการแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป สองด้านซ้ายขวาของผ้าผืนดำยังคงดำสนิท มีเพียงแค่ระยะห่างสองเมตรจากตรงกลางของผ้าที่มีรูปสีเหลี่ยมต่างๆ ที่มู่จิ่วซีวาดไว้ราวกับช่องตารา
"คุณหนูใหญ่มู่ คุณหนูสามของตระกูลฉีใกล้จะวาดเสร็จแล้ว" มีบางคนเรียกมู่จิ่วซีขึ้นมามู่จิ่วซีก็เดินเข้าไปดุแล้วพูดออกมา : "ไม่เลวเลยจริงๆ แต่ว่าแย่กว่าข้าอยู่หน่อยนึง"ทุกคนพอเห็นท่าทีมั่นใจอันน่าเหลือเชื่อของนางก็ล้วนต่างตกตะลึงคุณหนูใหญ่มู่คนนี้คงไม่ใช่ว่าแยกแยะไม่ออกหรอกใช่ไหมว่ารูปไหนดีไม่ดี? ดังนั้นต่อให้นางวาดออกมาเป็นขี้กองหนึ่ง นางเองก็คงจะคิดว่าตัวเองวาดเก่งเป็นอันดับหนึ่งงั้นสินะ?ฉีหงเย่ก็หันไปมองนางพร้อมกับสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ราวกับว่านางมองคนปัญญาอ่อนอย่างใดอย่างนั้น"มหาราชครูทั้งสอง จับตาดูให้ดีๆ ล่ะ" มู่จิ่วซีหัวเราะเยาะ จากนั้นก็นางกเดินไปที่ผ้าผืนวาดของตนเองแล้วค่อยหยิบแปรงขึ้นมาครั้งนี้นางไม่ได้หยิบไม้ถูพื้น นางเพียงแค่ย่อตัวลง จากนั้นนางก็วาดเส้นโค้งต่อเนื่องสามเส้นบนผ้าผืนสี่เหลี่ยมขาวดำที่นางวาดจากนั้นภาพอันน่าอัศจรรรย์ก็เกิดขึ้นทุกคนต่างล้วนเห็นหลุมดำมืดสนิทปรากฎขึ้นบนพื้น อีกทั้งหลุมที่เห็นก็เหมือนจะสามารถเดินลึกลงไปได้ ซึ่งเป็นหลุมที่ไม่เห็นก้นบึ้งประเภทนั้นส่วนภาพสี่เหลี่ยมที่อยู่รอบๆกลับให้ความรู้สึกที่ปรากฎในสายตาอย่างน่าอัศจรรย์ พวกมันล้วนให้
มหาราชครูทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็ันไปมองภาพวาดดอกโบตั๋นของฉีหงเย่สวยหยาดฟ้ามาดินเหมือนกับดอกไม้จริงๆ อย่างมากมู่จิ่วซีมองไปที่ภาพของฉีหงเย่ก็ยังต้องชื่นชม แต่ว่าเมื่อเทียบกับความสมจริงของภาพวาดมโนคติ มู่จิ่วซีก็กระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างร้ายกาจนางเองก็ไม่รู้ว่านางทำแบบนี้ถือว่าโกงหรือเปล่า นางแค่ว่าตอนนี้มีบางคนยื่นขาของตัวเองออกไปเพื่อลองดูว่าหลุมดำนั้นจริงหรือปลอมท่าทางหวาดกลัวนั้นน่าตลกอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็สามารถบอกได้ว่าภาพ 3 มิตินี้สามารถล้มล้างความคิดภาพมโนคติที่มีอยู่ก่อนเดิมของเขาได้"คุณหนูใหญ่มู่คงใช้ช่องโหว่สินะ เพราะถ้าเป็นความสามารของเจ้าจริงๆ เจ้าไม่มีทางเทียบหงเย่ได้เลย!" จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้นมามู่จิ่วซีหันไปดู แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่ฉีเล่อฉี่จะเป็นใครไปได้อีกตอนนี้ใบหน้าของฉีเล่อฉี่ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม เพราะว่าถ้าหากนางแพ้ก็เท่ากับเงินของนางทั้งหมดล้วนเท่ากับน้ำพริกที่ตำละลายลงแม่น้ำ"คุณหญิงฉี ถ้าเจ้าบอกว่าข้าใช้ช่องโหว่ งั้นเจ้าก็ให้คุณหนูสามตระกุลฉีลองใช้ช่องโหว่ให้ข้าดูหน่อย หรือเจ้าจะใช้ช่องโหว่ทำให้ข้าดูก็ได้นะ?" ประโยคนี้ของมู่จิ่วซีทำให้ฉีเล่อฉ
"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน คือว่า มันไม่อาจจะสามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้จริงๆ ขอรับ" มหาราชครูท่านหนึ่งก็ร้องไหคร่ำครวญพร้อมกับกล่าวด้วยใบหน้าอันแก่ชราของเขา"ใช่แล้วพะยะค่ะ ข้าน้อยเองก็ไม่เคยเห็นวิธีวาดของคุณหนูใหญ่มู่เช่นนี้มาก่อน ยากที่จะเปรียบเทียบได้จริงๆ ขอรับ" มหาราชครูอีกคนก็กล่าวออกมาโม่จุนส่งเสียงไม่พอใจออกมาแล้วก็หันไปมองมู่จิ่วซีพร้อมกับกล่าว : "คุณหนูใหญ่มู่ ถ้าหากเจ้าอยากให้ทุกคนยอมรับ ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะต้องแข่งอะไรอย่างิ่นสักอย่างแล้ว? ยกตัวอย่างเช่นเขียนอักษร?"ประโยคนี้ของโม่จุนอีกนิดเดียวก็ทำให้มู่จิ่วซีต้องหัวเราะออกมาได้แล้ว ผู้ชายคนนี้ต้องการช่วยนางโกงอีกแล้ว"ในเมื่อท่านผู้สำเร็จราชการแทนพูดมาขนาดนี้แล้ว งั้นแบบนี้แล้วกัน ไม่ต้องแข่งอย่างอืานหรอก แข่งไปเดี๋ยวทุกคนก็หาว่าข้าอาศัยช่องโหว่การแข่งอีก ข้าวาดดอกโบตั๋นก้ได้ แบบนี้มหาราชครูทั้งสองก็คงจะตัดสินได้แล้วสินะ?""ใช่ ใช่แล้วล่ะ" มหาราชครูรีบกล่าวออกมา"ซีเอ๋อร์ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับเจ้า!" มู่เทียนซิงก็รีบกล่าวออกมาทำไมกระบี่หยกมังกรเขียวที่เขารู้สึกว่าได้มาอยู่ในมือแล้วถึงได้บินหายออกไปอีก อันที่จริงต่
พฤติกรรมของมู่จิ่วซีทำให้ทุกคนถึงกับใบหน้าดำทะมึน พวกเขาต่างรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่มู่หญิงแสดงความหยิงยโสอย่างกับลูกผู้ลากมากดีออกมาได้ถึงพริกถึงขิงจริงๆแต่พอเมื่อได้เห็นภาพดอกโบตั๋นขนาดใหญ่ตรงหน้าที่เทียบกับของจริงจนแยกไม่ออกแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าการที่มู่จิ่วซีโอหังก็เพราะนางมีความสามารถ"นี่วาดออกมาได้อย่างไรกัน ?" มหาราชครูคนหนึ่งก็ตกใจตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด"สุดยอดไปเลย สุดยอดมากจริงๆ" ในแววตามหาราชครูอีกคนหนึ่งก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ "ข้าจะเอารูปนี้ไปวางไว้ในเรือนของมหาราชครูให้นักเรียนพวกนั้นได้ดูให้ได้ พวกเจ้าใครหน้าไหนก็ห้ามแย่งทั้งนั้น!""ใช่ใช่ใช่ ใครก็ห้ามแย่ง ภาพนี้คือของมหาวิทยาลัยหลวงแล้ว" มหาราชครูอีกคนก็กล่าวออกมาอย่างดีใจ ขณะเดียวกันก็หันไปทางพระพันปีหลวงและท่านผู้สำเร็จราชการแทนมู่จิ่วซีก็มองมหาราชครูสองคนนั้นอย่างดูถูก : "ท่านมหาราชครูทั้งสอง พวกท่านต้องตัดสินแพ้ชนะก่อนสิ" มู่จิ่วซีกล่าวออกมาหลังจากดื่มชาของลู่เอ๋อร์ที่เอามาให้จากนั้นเสียงวิพากย์วิจารย์ของผู้คนก็ดังขึ้นมา แต่คราวนี้กลับเป็นเสียงวิจารย์ไปในทางเดียวกันฉีเล่อฉี่ก็หน้าแดงขึ้นมาพร้อมกับกล่าว
มู่จิ่วซีขณะพูดก็เอามือต้องการจะไปดึงหนังหน้าของฉีหู่ซานออกจริงๆ"หยุดเดี๋ยวนี้!" โม่จุนกล่าวออกมาอย่างเย็นชา ทุกคนก็สงบลงมาอีกครั้งพระพันปีหลวงก็ทรงตรัสออกมาอย่างไม่พอใจ : "พอได้แล้ว การแข่งขันสิ้นสุดแล้ว มู่จิ่วซีเป็นฝ่ายชนะ ฉีหู่ซาน ถ้าเจ้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีกก็มาคุยกับข้าตรงนี้"สีหน้าของฉีหู่ซานเปลี่ยนไป เขาคุกเข่าลงและกล่าวออกมา : "พระพันปีหลวงทรงอย่าพิโรธ กระหม่อมแค่แพ้จนสับสน การแข่งขันคราวนี้คุณหนูใหญ่มู่เป็นฝ่ายชนะแล้ว กระหม่อมขอน้อมรับความพ่ายแพ้"แววตาของฉีหงเย่ก็ทอประกายความเคียดแค้น ทันใดนางก็โงนเงนและล้มลงไปกับพื้น ฉีเล่อฉี่ตกใจจนตะโกนร้องและรีบเข้าไปพยุงนาง"อุ๊ยตาย คุณหนูสามของตระกูลฉีร่างกายไม่ไหวเลยจริงๆ กระทบกระเทือนจิตใจนิดหน่อยก็ล้มลงไปทั้งยืน" มู่จิ่วซีหันหน้าไปมอง นางก็เห็นว่าผ้าเช็ดหน้าในมือของฉีหงเย่ยังคงกำแน่นไว้อยู่ นี่นางคงแกล้งเป็นลม"กุลสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งพระนครถูกมู่จิ่วซีโค่นล้มไปแล้ว ถ้าเป็นข้า ข้าเองก็คงเป็นลม" มีคนยิ้มหัวเราะออกมา"ช่างขายหน้าจริงๆ การแข่งขันระหว่างกุลสตรีอันดับหนึ่งและกุลสตรีผู้อยู่รั้งท้าย นึกไม่ถึงว่านางต้องมาพ่ายแพ
พระพันปีหลวงถูกนางหยอกล้อจนหัวเราะ : "ยัยตัวแสบ เจ้านับวันก็ยิ่งคิดแปลกพิศดารไปใหญ่แล้ว คราวนี้เจ้าขนะแล้วไม่ใช่ว่าก็ยังมีเงิน 10,000 ตำลึงที่ใต้เท้าฉีแพ้หรอกเหรอ?"มู่จิ่วซีหัวเราะคิกคักและกล่าว : "ก็จริงเพคะ แต่ว่าสิ่งของที่เรียกว่าเงินเช่นนี้ ใครกันน้าที่จะไปเงินได้มากมายมหาศาล" ขณะพูดนางก็หันไปมองฝ่าบาทองค์น้อยด้วยแววตาทอเป็นประกายฝ่าบาทองค์น้อยก็พระพักตร์แดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็ทรงดึงแขนเสื้อของพระพันปีหลวงและตรัสออกมา : "เสด็จแม่ หรือว่าเราควรมอบรางวัลมากกว่านี้อีกสักหน่อยดี?""เหอะ เจ้าคิดเหรอว่ายัยตัวแสบคนนี้ไม่มีเงิน ข้ายังพูดไม่จบเลย การแข่งขันของนางคราวนี้นางได้ลงเดิมพันไว้ อัตราส่วนเดิมพันสูงตั้งห้าเท่า อย่างน้อยนางสามารถเอาชนะได้เงินต่ำๆ ก็ 250,000 ตำลึงแล้ว!" พระพันปีหลวงก็ทรงตรัสเผยไต๋มู่จิ่วซีออกมาตรงๆมู่จิ่วซีก็ตกตะลึงไป นางหันไปมองโม่จุนในทันใดโม่จุนเบือนหน้าหนีทำเป็นไม่เห็นนาง"ยัยหนู เจ้าคือลูกสาวของภรรยาหลวงข้าราชการในราชสำนัก รู้ใช่ไหมการพนันด้วยเงินปริมาณมากมีโทษฐานความผิด?" สีพระพักตร์ของพระพันปีหลวงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาพร้อมกับตรัสขึ้นมาบรรดาองคมนตรีข้
"จริงสิ พระพันปีหลวงได้พระราชทานให้เจ้าได้เป็รคุณหญิงตราตั้งระดับหนึ่งแล้ว" มู่เทียนซิงเองก็ตื่นเต้นมาก แม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพใหญ่มู่ แต่เขาก็มีระดับข้าราชการแค่ระดับสองเท่านั้น ดังนั้นคุณหญิงมู่จึงเป็นคุณหญิงตราตั้งระดับสองคุณหญิงมู่ตื่นเต้นจนรีบกล่าวขอบพระทัย ทุกคนต่างก็ทยอยแสดงความยินดีขณะนั้นมู่จิ่วซีก็เห็นโม่จุนเดินเข้ามาหา ทั้งสองสี่ดวงตาก็มองประสานกันมู่จิ่วซีก็ถลึงตาจ้องมองเขาอย่างดุเดือด ส่วนโม่จุนก็สีหน้าไร้อารมณ์ ทำท่าราวกับว่าตัวเองใส่ซื่อบริสุทธิ์อย่างมาก"ไอผู้ชายชาติหมา!" ในใจของมู่จิ่วซีก็กัดฟันด่าเขาออกมาการแข่งขันครั้งนี้ในที่สุดก็สิ้นสุดลง ข่าวที่ว่าคุณหนูใหญ่มู่ชนะการแจ่งจันก็ได้เล็ดลอดพูดกันออกไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นเมื่อคนตระกูลฉีกลับออกมาจากวัง พวกเขาก็ถูกพวกนักพนันรุมด่าอย่างไม่หยุดหย่อน และก็มีบางคนทีขว้างปาสิ่งของรถม้าของจวนฉีก็สกปรกเละเทะไปหมด คนตระกูลฉีทั้งสามคนก็มีสำหน้าดำมืดจนไม่อาจจะดำได้กว่านี้อีกแล้ว"นึกไม่ถึงว่าคุณหนูสามของตระกูลฉีจะแพ้ให้กับมู่จิ่วซี นี่นางจงใจแพ้ชัดๆ เพื่อชนะเอาเงินพนันเดิมพันของผู้คนไม่ใช่หรือไง?""กุลสตรีหมายเลขหนึ่งอะไร
ฮั้วอวิ๋นเทียนหันมองจื่ออวิ๋นเฟยด้วยแววตาปวดร้าว เขากล่าวอย่างเสียใจ : "ทำไมเป็นแบบนี้? เป็นฝีมืออาจื่อใช่ไหม?"จื่ออวิ๋นเฟยพาเขามานั่งข้างนอกและถอนใจสารภาพ : "อาจื่อสวมหน้ากากหนังมนุษย์ปลอมตัวเป็นหญิงอุ้มท้อง มู่จิ่วซีเจตนาดีช่วยหญิงอุ้มท้องจนถูกอาจื่อทำร้ายในระยะประชิด แผลที่เอวบาดเจ็บสาหัส แต่โชคดีที่นางทานยาเทพสถิตย์ทันที"แม้จื่ออวิ๋นเฟยจะเสียยายาเทพสถิตย์ไปสองเม็ดจนเขาอยากจะสบถ แต่พอรู้ว่ามู่จิ่วซีไม่เป็นอะไร เขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มที่จะเสีย หากมู่จิ่วซีเป็นอะไรไป เขาคงจะเสียใจมากกว่าไม่ง่ายที่ในชีวิตนี้เขาจะมีเพื่อนสนิทไว้พูดคุย ได้เป็นศิษย์น้องของเขาร่วมกันค้นคว้าวิจัย เขาไม่อยากเสียนางไปจริงๆมีแค่นางสามารถปรุงยาเทพสถิตย์ฮั้วอวิ๋นเทียนตัวสั่นยิ้มเจื่อน : "ตอนนั้นเพื่อจะปกป้องอาจื่อ ข้าเลยขอยาเทพสถิตย์และหน้ากากหนังมนุษย์ให้นาง แต่กลับถูกเอามาใช้เล่นงานจิ่วซี จิ่วซีพูดถูกแล้ว ข้ามันไม่ทันสังเกต"ชิงเฟิงตายไปแล้ว มู่จิ่วซีคงทำใจไม่ได้ในทันที วิธีเดียวที่จะคลายปมแค้นในใจนางคือต้องจับอาจื่อ เจ้ารู้ไส้อาจื่อเป็นอย่างดี เจ้าพอจะช่วยนางได้ไหม?" จื่ออวิ๋นเฟยถามฮั้วอวิ๋นเทียนกล
จื่ออวิ๋นเฟยใช้เวลากว่า 1 ชั่วยามซับเหงื่อมู่จิ่วซี เขาถอนหายใจมองใบหน้าซีดเซียวของนางผู้หญิงคนนี้ทำเวรทำกรรมอะไรมา แผลตรงอกไม่ทันหาย ตรงเอวก็มาเป็นต่อ แค่มองก็รู้ว่าถูกแทงระยะประชิดมู่จิ่วซีได้สติในเช้าวันรุ่งขึ้น นางตะโกนเสียงดัง : "ชิงเฟิง ! ชิงเฟิง?"ลู่เอ๋อร์กล่าวร้องห่มร้องไห้ : "คุณหนู ท่านอย่าเพิ่งขยับตัว ชิงเฟิงจากไปแล้วเจ้าค่ะ"มู่จิ่วซีกำผ้าห่มแน่น ในหัวยังคงเห็นภาพที่เกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดชิงเฟิงตายเพราะช่วยนาง คนลงมือสังหารไม่ใช่อาจื่อ แต่เป็นมือธนูที่เชี่ยวชาญอีกคนต้องโทษนางที่มองแผนการปลอมเป็นหญิงตั้งครรภ์ไม่ออก ตอนนั้นเหตุการณ์โกลาหล ผู้คนวิ่งเตลิดร้องขอความช่วยเหลือนางช่วยหญิงตั้งภรรค์คนนั้นไว้เพราะอยากให้ต้องตายทั้งกลม ไม่คาดคิดว่าอาจื่อจะใช้ประโยชน์จากความใจอ่อนย้อนมาทำร้ายนางเองผู้หญิงคนนี้ฉลาด โหดร้ายชั่วช้า"ฉินหลานจื่อ! ข้าขอสาบาน ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อหาเจ้าให้เจอ ข้าจะเลาะเนื้อเฉือนกระดูกเจ้าเพื่อแก้แค้นให้ชิงเฟิง!" มู่จิ่วซี"คุณหนูใหญ่ ท่านใจเย็นก่อน! เดี๋ยวแผลฉีก!" จื่ออวิ๋นเฟยเดินเข้ามาเห็นคราบเลือดบนเตียงขณะมู่จิ่วซีหุนหันเคียดแค้นโม่จุนเด
มู่จิ่วซีหันไปมอง เห็นธนูเพลิงดอกหนึ่งพุ่งไปยังหญิงสาวด้านหลังคนนั้นอีกทั้งนางเป็นหญิงท้องตั้งครรภ์มู่จิ่วซีไม่มีเวลาให้คิดมาก นางพุ่งตัวเข้าไปหาจากบนม้า กริชเล็งเควี้ยงออกไปยังธนูดอกนั้น ส่วนนางก็กระโจนคว้าหญิงตั้งครรภ์เอาไว้"คุณหนูใหญ่!" ชิงเฟิงตะโกนลั่นตามเข้ามาร่างกายของมู่จิ่วซีกระโจนไปหาหญิงตั้งครรภ์ ขณะมือของนางกำลังจะคว้าหญิงตั้งครรภ์คนนั้น นางกลับขนลุกชันขึ้นมาทั้งตัว นางจึงเอี้ยวตัวไปด้านข้าง"ฉวก!" กริชเล่มหนึ่งปักลงตรงเอวด้านซ้ายของนางมีดบินในมือของมู่จิ่วซีเล็งปาดไปที่คอของผู้หญิงตรงหน้าอย่างแรงนางเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นชัดเจน เป็นสาวชาวบ้านธรรมดาๆ ทว่าตรงจมูกระหว่างตามีไฝสีดำเม็ดเล็กอาจื่อ! คาดไม่ถึงว่านางจะปลอมเป็นคนท้องเพียงเพื่อจะสังหารมู่จิ่วซี"มู่จิ่วซี เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!" เสียงของอาจื่อแฝงไปด้วยความเย็นเยือกสุดขั้วพร้อมกับเบี่ยงศีรษะไปด้านหลัง หลบเลี่ยงคอ ทว่ามีดบินก็ยังกรีดเข้าที่หน้า บาดหน้ากากหนังมนุษย์จนเป็นรอย เลือดสดไหลซึมออกมาดวงตาของมู่จิ่วซีทั้งสองข้างคือความโกรธแค้น มีดบินปรากฎขึ้นในมืออีกครั้ง อาจื่อกลิ้งหลบไปด้านหลังสองตลบแล
"แน่นอนอยู่แล้ว เซวียนหยวนเชาเมื่อก่อนคิดอยากจะช่วยหวางชิว หวางชิวไม่ใช่คนในราชวงศ์ แล้วเขาเป็นใครกันแน่? เขาถึงได้ไม่ไหว้หน้าเซวียนหยวนห้าว?" มู่จิ่วซียิ้มกล่าวโจวเหยาส่ายหัวและกล่าว : "หวางชิวแทรกซึมเข้าในแคว้นเกาอวิ๋น 20 กว่าปีแล้ว คงมีน้อยคนมากที่จะรู้ตัวตนแท้จริงของเขาในแคว้นเป่ยจิ้น"มู่จิ่วซีพยักหน้าพูด : "ดูเหมือนเซวียนหยวนห้าวใกล้จะมาแล้ว ในเมื่อหวางชิวสำคัญขนาดนั้น คราวนี้แคว้นเป่ยจิ้นคงต้องได้สังเวยเลือดครั้งใหญ่""คุณหนูใหญ่ เราจะต้องปล่อยหวางชิวไปในตอนสุดท้ายใช่ไหม?" โจวเหยาร้อนรนกล่าว "ถ้าต้องปล่อยเขาไป แบบนั้นเป็นการปล่อยเสือกลับภูเขาชัดๆ""เจ้าคิดว่าข้าใจดีขนาดนั้น?" ดวงตาทั้งสองข้างของมู่จิ่วซีมองโจวเหยาโจวเหยาตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังกล่าวออกมา : "งั้นข้าก็สบายใจได้แล้ว เขารู้ความลับของแคว้นเกาอวิ๋นมากเกินไป ถ้าต้องปล่อยเขากลับแคว้นเป่ยจิ้น ถือว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเรา""วางใจเถอะ ต่อให้ปล่อยเขาออกกรมพระราชวังนครบาลไป ก็คงกลับไม่ถึงแคว้นเป่ยจิ้น เรื่องนี้ข้ากับโม่จุนได้ปรึกษากันแล้ว อนุญาตให้เซวียนหยวนเชามกุฎราชกุมารพิการคนนี้กลับไปได้เท่านั้น" มุมปาก
มู่จิ่วซีกล่าวอย่างยิ้มมีเสน่ห์ : "ถึงอย่างไรเจ้าก็ห้ามทำไม่ดีกับข้า ไม่งั้นหลังจากนี้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า อ่อใช่ เจ้าเคยคิดถึงกิจการในห้าแคว้นอื่นของท่านอ๋องสี่ไหม? ร่วมมือกับท่านพี่ฮั้วไหม?"มู่จิ่วซีเคยพูดถึงแผนการของฮั้วอวิ๋นเทียนให้โม่จุนฟัง"ฮั้วอวิ๋นเทียนคนนี้มันเจ้าเล่ห์ ต่อให้ข้าไม่ร่วมมือ เข้าก็ยังได้ทราบข้อมูลข่าวกรองก่อนใคร ลงมือก่อนใคร ข้าเองได้แต่เป็นฝ่ายถูกกระทำ ในเมื่อเขาเสนอมาว่าจะให้แบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง ข้าก็ตกลง เจ้าสมควรได้รับไว้"มู่จิ่วซีทันใดนั้นก็คลายกังวลและยิ้มกล่าว : "แล้วทางพระพันปีหลวงล่ะ?""อีกห้าแคว้นยังมีตำหนัก ไม่ได้ประกอบธุรกิจ ยังมีโฉนดอยู่ บางส่วนมอบคืนให้ราชวงศ์ ส่วนกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องกับพระพันปีหลวงก็คงจะรู้ว่าไม่อาจเอากลับมาได้ ทั้ง 5 แคว้นแย่งไปจนเกลี้ยงแล้ว"โม่จุนกล่าวต่อ "ต่อให้ทหารมังกรดำของข้าอยู่ใน 5 แคว้น ก็ไม่อาจเอากลับมาได้ แบบนั้นจะเป็นหารเปิดเผยตัวตนพวกเขา ดังนั้นแผนการของฮั้วอวิ๋นเทียนจึงถูกใจข้าพอดี ข้าเดิมทีก็อยากจะร่วมมือกับเขา ในเมื่อเขามาหาเองถึงที่ งั้นทางเราก็จะไว้หน้าเขา""เจ้าเองก็จิ้งจอกเฒ่า" มู่จิ่วซีมองเขาซึ่งวา
"ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ดูเหมือนว่าเราจะเดาผิด" มู่จิ่วซีกล่าว "แผลจะได้ไม่ต้องปริ"มู่จิ่วซีกุมอก"หากเป็นที่ลับตา ยังมีอีกที่หนึ่ง" โม่จุนหันมองมู่จิ่วซี"จวนท่านอ๋องสาม?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้ว"ใช่ เขาหนีออกไปได้แล้ว ใครจะคิดว่าเขาจะกลับมา?" โม่จุนรีบกลับเลี้ยวม้าออกไปนอกวังด้านหลังตามขบวนมายาวเป็นหางว่าว เย่ฮาน ชิงเฟิงและทหารมังกรดำตามมาติดๆจนเมื่อมาถึงจวนอ๋องสาม เดิมทีควรจะเงียบสงัด ทว่ากลับได้ยินเสียงร้องไห้จากด้านในหลังจากโม่จุนอุ้มมู่จิ่วซีลงจากม้าก็กระโดดข้ามกำแพงเรือนเข้าไป ไม่ได้เข้ามาทางประตูใหญ่พอถึงพื้นก็ได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้ง ทั้งสองสีหน้าเปลี่ยนไปมาก"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน ช่วยด้วย!" บ่าวรับใช้รีบตะโกนเรียกเมื่อเห็นโม่จุนและมู่จิ่วซีโม่จุนเห็นบ่าวรับใช้นอนจมกองเลือดเลยรีบเข้าไปถาม : "ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?""พระชายา พระชายาถูกลักพาตัวไปแล้วเจ้าค่ะ องค์หญิงสือบาดเจ็บ..." บ่าวรับใช้ชี้นิ้วไปด้านในโม่จุนรีบเรียกคนด้านหลังให้มาช่วยปฐมพยาบาล ส่วนเขาเองกับมู่จิ่วซีรีบเข้าไปด้านใน ตามทางมีองครักษ์มากมายถูกฆ่า ทั้งสองสีหน้าแย่มากกว่าเก่าหลังจากท่าน
เย่อู่เหิงรีบวิ่งออกไป มู่จิ่วซีสีหน้าเปลี่ยน หลังจากเดินไปมาหลายรอบก็กัดฟัน เปลี่ยนเป็นชุดจิ้นจวงและเดินออกมา"คุณหนู ท่านจะไปไหน?" ลู่เอ๋อร์เข้ามาจากด้านนอกเห็นมู่จิ่วซีเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไป นางตกใจสะดุ้งจนตะโกนร้องเรียก"ข้ามีธุระ เย่ฮาน ชิงเฟิง!" มู่จิ่วซีตะโกนเรียกจื่ออวิ๋นเฟยที่กำลังงุ่นง่านกับศาสตร์ศัลยกรรมตกแต่งได้ยินเสียงของมู่จิ่วซี ก็รีบวิ่งออกมา"คุณหนูใหญ่ เจ้า ท่านจะออกไปข้างนอกรึ?" เย่ฮานกล่าวอย่างตกใจ"มู่จิ่วซี ไม่รักชีวิตตัวเองเลยรึไง แผลยังไม่ทันหายยังจะออกไปอีก?" จื่ออวิ๋นเฟยเองก็ตกใจ"ข้าต้องเข้าไปในวัง ไปเตรียมม้า!" มู่จิ่วซีรีบวิ่งออกไป"เห้ยๆๆ เจ้าระมัดระวังด้วย อย่าบุ่มบ่ามจนแผลฉีกล่ะ" จื่ออวิ๋นเฟยตะโกนจากด้านหลัง"เอายามาให้ข้าเม็ดหนึ่ง! กันไว้ก่อน" มู่จิ่วซีันควับกลับมาและยืนมือไปทางจื่ออวิ๋นเฟย "กลับมาแล้วข้าจะปรุงยาเอามาคืนเจ้า"จื่ออวิ๋นเฟยเบือนหน้าหนีเดินถอยออกไป มู่จิ่วซีเบ้ปากกล่าว : "ขี้งก"พูดจบก็รีบเดินไปทางประตูจื่ออวิ๋นเฟยหยุดฝีเท้าลงและพูดขึ้นมากะทันหัน : "เอาไป!"มู่จิ่วซีหันกลับมา เห็นเพียงขวดยาที่ถูกโยนมาให้"ในนั้นเหลือแค่ 2 เม็ด
"เจ้าไปวาดใบหน้าของหน้ากากหนังมนุษย์ของอาจื่อออกมาก่อน" มู่จิ่วซีกล่าว"เออ ข้า ข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้ว เป็นผู้หญิงธรรมดามากๆ ไม่สะดุดตาเลย ข้าตอนนั้นกำลังเพิ่งเริ่มศึกษาค้นคว้า เลยทำหน้ากากออกมาแค่ผืนเดียว ถ้าของมันดี ข้าคงอดไม่ได้ที่จะต้องยกให้คนอื่นใช่ไหมล่ะ?" จื่ออวิ๋นเฟยทำสีหน้าโศกเศร้า"ไม่มีเอกลักษณ์อะไรเลยงั้นเหรอ? ถ้าเจ้าเห็นกับตาจะจำได้ไหม?" มู่จิ่วซีสูดหายใจเข้า"เอกลักษณ์? มีสิ ตรงจมูกหว่างตามีไฝสีดำเม็ดหนึ่ง มีแค่จุดนั้น เพราะว่าเป็นไฝเลยไม่มีวิธีจะเอาออก อาจื่อตอนนั้นยังบอกว่าอัปลักษณ์"มู่จิ่วซีก็ถอยหายใจได้ในที่สุด ขอเพียงมีเอกลักษณ์จุดสังเกต อย่างน้อยให้นางครั้งหน้าเห็นและจำได้ อีกอย่างอาจื่อคงจะต้องคิดหาวิธีมาฆ่านางแน่นอน"อายุล่ะ ภายนอกอายุประมาณเท่าไหร่?" มู่จิ่วซีถาม"ประมาณระหว่าง 20-30 ปี" จื่ออวิ๋นเฟยกล่าว "สีผิวดูคล้ำกว่าเจ้าเล็กน้อย ไม่ใช่คุณหนูประเภทนั้น คล้ายกับบ่าวรับใช้"มู่จิ่วซีพยักหน้า เข้าใจแล้ว"งั้นก็ดี ตอนนี้ข้าจะสอนศาสตร์ศัลยกรรมตกแต่งให้เจ้า" มู่จิ่วซีจิตใจวิตกกังวล แต่ก็ทำได้เพียงสงบใจและรอฟังข่าวเท่านั้นตกกลางคืน เย่อู่เหิงได้มาเยี่ยม คน
จื่ออวิ๋นเฟยกล่าวอย่างระแวง : "เจ้า เจ้าอย่ามองข้าแบบนั้น อาจื่อไม่ใช่ว่ามีโรคหัวใจแต่กำเนิดรึไง? มอบยาให้นางไปก็เพื่อใช้ปกป้องชีวิตของนาง""เจ้าไม่ใช่ว่าเห็นนางขัดหูขัดตาหรือไง?" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างโมโห"เออ คือ คือข้าได้แลกเปลี่ยนกับฮั้วอวิ๋นเทียน ว่าให้ข้าสามารถรับสวัสดิการที่ดีที่สุดในหอดาราจันทราทั้ง 6 แคว้นได้ ได้รับการปกป้องจากหอดาราจันทราทั้ง 6 แคว้น" จื่ออวิ๋นเฟยสำนักผิดมู่จิ่วซีหมดคำจะพูด"ท่านอ๋องสามตอนนั้นได้ก่อกบฎ ถูกโม่จุนหักขาไปข้าง ทว่าวันนี้ขาของข้ากลับมาเดินบนพื้นได้อีก แค่อาจไม่ค่อยคล่องแคล่ว คงได้ทานยาเทพสถิตย์ไปแล้วแน่" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างมั่นใจ "นอกเสียจากมียารักษาสุดยอดยิ่งกว่ายาเทพสถิตย์"จื่ออวิ๋นเฟยอ้าปากกว้าง จากนั้นก็กล่าวอย่างอักอ่วน : "งั้น งั้นก็คงจะเป็นยาเทพสถิตย์แล้วล่ะ""จะให้พวกเขาหนีออกไปจากแคว้นเกาอวิ๋นไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นไอระยำสองตัวนั้นคงทำให้พวกเราไม่อาจอยู่อย่างสงบได้แน่นอน" มู่จิ่วซีกำหมัดจนแน่น แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหารจื่ออวิ๋นเฟยส่งเสียงไอ เขาถึงกับหัวหด"เจ้ายังมีอะไรปิดบังข้าอีก?" มู่จิ่วซีรู้สึกว่าจื่ออวิ๋นเฟยแปลกออกไป"หะ! ไม่