พระมเหสีเลี่ยวเมื่อเห็นลูกชายตัวเองถูกลงมือจนสลบไป นางก็รีบเดินเข้าไปหาทันที"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน หยวนชิงเขาไม่รู้ประสา เจ้าอย่าไปถือสาเขาเลย" ทุกคนต่างรู้ถึงความเย็นชาไร้อารมณ์ของโม่จุน ขาของท่านอ๋องสามที่ขาดก็เพราะเขาเองที่เป็นคนตัด ขนาดนั่นเป็นถึงเสด็จพี่สามของเขายังรวมไปถึงตอนปราบปรามที่ทั้งเมืองย้อมไปด้วยเลือดสด ได้ยินมาว่าตอนนั้นโม่จุนสังหารผู้คนด้วยดวงตาที่แดงฉานราวกับเลือดของคน ซึ่งคนพวกนั้นที่ถูกสังหารเป็นพวกก่อกบฎ"พระมเหสี น้องหกไม่เป็นไรมาก เขาแค่ส่งเสียงเอะอะมากไปเท่านั้น" โม่จุนกล่าวอย่างราบเรียบพระมเหสีเลี่ยวได้แต่ยิ้มที่มุมปากและกลับไปที่นั่งประทับของนางเอง ในใจนางก็คิดว่านางไม่ได้อยากให้ลูกชายนางมาตั้งแต่แรก ไม่คาดคิดว่าเขาจะแอบออกจากจวนมาตั้งแต่เช้าขอให้โม่จุนมาเขามาตอนนี้เป็นยังไงล่ะ กลับยั่วยุจนโม่จุนโมโหขึ้นมา แต่อันที่จริงก็เป็นเรื่องดี นางเองก็ไม่ได้อยากให้ลูกชายไปเจอมู่จิ่วซีคนนั้นอีกแล้วส่วนการแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป สองด้านซ้ายขวาของผ้าผืนดำยังคงดำสนิท มีเพียงแค่ระยะห่างสองเมตรจากตรงกลางของผ้าที่มีรูปสีเหลี่ยมต่างๆ ที่มู่จิ่วซีวาดไว้ราวกับช่องตารา
"คุณหนูใหญ่มู่ คุณหนูสามของตระกูลฉีใกล้จะวาดเสร็จแล้ว" มีบางคนเรียกมู่จิ่วซีขึ้นมามู่จิ่วซีก็เดินเข้าไปดุแล้วพูดออกมา : "ไม่เลวเลยจริงๆ แต่ว่าแย่กว่าข้าอยู่หน่อยนึง"ทุกคนพอเห็นท่าทีมั่นใจอันน่าเหลือเชื่อของนางก็ล้วนต่างตกตะลึงคุณหนูใหญ่มู่คนนี้คงไม่ใช่ว่าแยกแยะไม่ออกหรอกใช่ไหมว่ารูปไหนดีไม่ดี? ดังนั้นต่อให้นางวาดออกมาเป็นขี้กองหนึ่ง นางเองก็คงจะคิดว่าตัวเองวาดเก่งเป็นอันดับหนึ่งงั้นสินะ?ฉีหงเย่ก็หันไปมองนางพร้อมกับสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ราวกับว่านางมองคนปัญญาอ่อนอย่างใดอย่างนั้น"มหาราชครูทั้งสอง จับตาดูให้ดีๆ ล่ะ" มู่จิ่วซีหัวเราะเยาะ จากนั้นก็นางกเดินไปที่ผ้าผืนวาดของตนเองแล้วค่อยหยิบแปรงขึ้นมาครั้งนี้นางไม่ได้หยิบไม้ถูพื้น นางเพียงแค่ย่อตัวลง จากนั้นนางก็วาดเส้นโค้งต่อเนื่องสามเส้นบนผ้าผืนสี่เหลี่ยมขาวดำที่นางวาดจากนั้นภาพอันน่าอัศจรรรย์ก็เกิดขึ้นทุกคนต่างล้วนเห็นหลุมดำมืดสนิทปรากฎขึ้นบนพื้น อีกทั้งหลุมที่เห็นก็เหมือนจะสามารถเดินลึกลงไปได้ ซึ่งเป็นหลุมที่ไม่เห็นก้นบึ้งประเภทนั้นส่วนภาพสี่เหลี่ยมที่อยู่รอบๆกลับให้ความรู้สึกที่ปรากฎในสายตาอย่างน่าอัศจรรย์ พวกมันล้วนให้
มหาราชครูทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็ันไปมองภาพวาดดอกโบตั๋นของฉีหงเย่สวยหยาดฟ้ามาดินเหมือนกับดอกไม้จริงๆ อย่างมากมู่จิ่วซีมองไปที่ภาพของฉีหงเย่ก็ยังต้องชื่นชม แต่ว่าเมื่อเทียบกับความสมจริงของภาพวาดมโนคติ มู่จิ่วซีก็กระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างร้ายกาจนางเองก็ไม่รู้ว่านางทำแบบนี้ถือว่าโกงหรือเปล่า นางแค่ว่าตอนนี้มีบางคนยื่นขาของตัวเองออกไปเพื่อลองดูว่าหลุมดำนั้นจริงหรือปลอมท่าทางหวาดกลัวนั้นน่าตลกอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็สามารถบอกได้ว่าภาพ 3 มิตินี้สามารถล้มล้างความคิดภาพมโนคติที่มีอยู่ก่อนเดิมของเขาได้"คุณหนูใหญ่มู่คงใช้ช่องโหว่สินะ เพราะถ้าเป็นความสามารของเจ้าจริงๆ เจ้าไม่มีทางเทียบหงเย่ได้เลย!" จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้นมามู่จิ่วซีหันไปดู แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่ฉีเล่อฉี่จะเป็นใครไปได้อีกตอนนี้ใบหน้าของฉีเล่อฉี่ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม เพราะว่าถ้าหากนางแพ้ก็เท่ากับเงินของนางทั้งหมดล้วนเท่ากับน้ำพริกที่ตำละลายลงแม่น้ำ"คุณหญิงฉี ถ้าเจ้าบอกว่าข้าใช้ช่องโหว่ งั้นเจ้าก็ให้คุณหนูสามตระกุลฉีลองใช้ช่องโหว่ให้ข้าดูหน่อย หรือเจ้าจะใช้ช่องโหว่ทำให้ข้าดูก็ได้นะ?" ประโยคนี้ของมู่จิ่วซีทำให้ฉีเล่อฉ
"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน คือว่า มันไม่อาจจะสามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้จริงๆ ขอรับ" มหาราชครูท่านหนึ่งก็ร้องไหคร่ำครวญพร้อมกับกล่าวด้วยใบหน้าอันแก่ชราของเขา"ใช่แล้วพะยะค่ะ ข้าน้อยเองก็ไม่เคยเห็นวิธีวาดของคุณหนูใหญ่มู่เช่นนี้มาก่อน ยากที่จะเปรียบเทียบได้จริงๆ ขอรับ" มหาราชครูอีกคนก็กล่าวออกมาโม่จุนส่งเสียงไม่พอใจออกมาแล้วก็หันไปมองมู่จิ่วซีพร้อมกับกล่าว : "คุณหนูใหญ่มู่ ถ้าหากเจ้าอยากให้ทุกคนยอมรับ ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะต้องแข่งอะไรอย่างิ่นสักอย่างแล้ว? ยกตัวอย่างเช่นเขียนอักษร?"ประโยคนี้ของโม่จุนอีกนิดเดียวก็ทำให้มู่จิ่วซีต้องหัวเราะออกมาได้แล้ว ผู้ชายคนนี้ต้องการช่วยนางโกงอีกแล้ว"ในเมื่อท่านผู้สำเร็จราชการแทนพูดมาขนาดนี้แล้ว งั้นแบบนี้แล้วกัน ไม่ต้องแข่งอย่างอืานหรอก แข่งไปเดี๋ยวทุกคนก็หาว่าข้าอาศัยช่องโหว่การแข่งอีก ข้าวาดดอกโบตั๋นก้ได้ แบบนี้มหาราชครูทั้งสองก็คงจะตัดสินได้แล้วสินะ?""ใช่ ใช่แล้วล่ะ" มหาราชครูรีบกล่าวออกมา"ซีเอ๋อร์ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับเจ้า!" มู่เทียนซิงก็รีบกล่าวออกมาทำไมกระบี่หยกมังกรเขียวที่เขารู้สึกว่าได้มาอยู่ในมือแล้วถึงได้บินหายออกไปอีก อันที่จริงต่
พฤติกรรมของมู่จิ่วซีทำให้ทุกคนถึงกับใบหน้าดำทะมึน พวกเขาต่างรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่มู่หญิงแสดงความหยิงยโสอย่างกับลูกผู้ลากมากดีออกมาได้ถึงพริกถึงขิงจริงๆแต่พอเมื่อได้เห็นภาพดอกโบตั๋นขนาดใหญ่ตรงหน้าที่เทียบกับของจริงจนแยกไม่ออกแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าการที่มู่จิ่วซีโอหังก็เพราะนางมีความสามารถ"นี่วาดออกมาได้อย่างไรกัน ?" มหาราชครูคนหนึ่งก็ตกใจตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด"สุดยอดไปเลย สุดยอดมากจริงๆ" ในแววตามหาราชครูอีกคนหนึ่งก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ "ข้าจะเอารูปนี้ไปวางไว้ในเรือนของมหาราชครูให้นักเรียนพวกนั้นได้ดูให้ได้ พวกเจ้าใครหน้าไหนก็ห้ามแย่งทั้งนั้น!""ใช่ใช่ใช่ ใครก็ห้ามแย่ง ภาพนี้คือของมหาวิทยาลัยหลวงแล้ว" มหาราชครูอีกคนก็กล่าวออกมาอย่างดีใจ ขณะเดียวกันก็หันไปทางพระพันปีหลวงและท่านผู้สำเร็จราชการแทนมู่จิ่วซีก็มองมหาราชครูสองคนนั้นอย่างดูถูก : "ท่านมหาราชครูทั้งสอง พวกท่านต้องตัดสินแพ้ชนะก่อนสิ" มู่จิ่วซีกล่าวออกมาหลังจากดื่มชาของลู่เอ๋อร์ที่เอามาให้จากนั้นเสียงวิพากย์วิจารย์ของผู้คนก็ดังขึ้นมา แต่คราวนี้กลับเป็นเสียงวิจารย์ไปในทางเดียวกันฉีเล่อฉี่ก็หน้าแดงขึ้นมาพร้อมกับกล่าว
มู่จิ่วซีขณะพูดก็เอามือต้องการจะไปดึงหนังหน้าของฉีหู่ซานออกจริงๆ"หยุดเดี๋ยวนี้!" โม่จุนกล่าวออกมาอย่างเย็นชา ทุกคนก็สงบลงมาอีกครั้งพระพันปีหลวงก็ทรงตรัสออกมาอย่างไม่พอใจ : "พอได้แล้ว การแข่งขันสิ้นสุดแล้ว มู่จิ่วซีเป็นฝ่ายชนะ ฉีหู่ซาน ถ้าเจ้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีกก็มาคุยกับข้าตรงนี้"สีหน้าของฉีหู่ซานเปลี่ยนไป เขาคุกเข่าลงและกล่าวออกมา : "พระพันปีหลวงทรงอย่าพิโรธ กระหม่อมแค่แพ้จนสับสน การแข่งขันคราวนี้คุณหนูใหญ่มู่เป็นฝ่ายชนะแล้ว กระหม่อมขอน้อมรับความพ่ายแพ้"แววตาของฉีหงเย่ก็ทอประกายความเคียดแค้น ทันใดนางก็โงนเงนและล้มลงไปกับพื้น ฉีเล่อฉี่ตกใจจนตะโกนร้องและรีบเข้าไปพยุงนาง"อุ๊ยตาย คุณหนูสามของตระกูลฉีร่างกายไม่ไหวเลยจริงๆ กระทบกระเทือนจิตใจนิดหน่อยก็ล้มลงไปทั้งยืน" มู่จิ่วซีหันหน้าไปมอง นางก็เห็นว่าผ้าเช็ดหน้าในมือของฉีหงเย่ยังคงกำแน่นไว้อยู่ นี่นางคงแกล้งเป็นลม"กุลสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งพระนครถูกมู่จิ่วซีโค่นล้มไปแล้ว ถ้าเป็นข้า ข้าเองก็คงเป็นลม" มีคนยิ้มหัวเราะออกมา"ช่างขายหน้าจริงๆ การแข่งขันระหว่างกุลสตรีอันดับหนึ่งและกุลสตรีผู้อยู่รั้งท้าย นึกไม่ถึงว่านางต้องมาพ่ายแพ
พระพันปีหลวงถูกนางหยอกล้อจนหัวเราะ : "ยัยตัวแสบ เจ้านับวันก็ยิ่งคิดแปลกพิศดารไปใหญ่แล้ว คราวนี้เจ้าขนะแล้วไม่ใช่ว่าก็ยังมีเงิน 10,000 ตำลึงที่ใต้เท้าฉีแพ้หรอกเหรอ?"มู่จิ่วซีหัวเราะคิกคักและกล่าว : "ก็จริงเพคะ แต่ว่าสิ่งของที่เรียกว่าเงินเช่นนี้ ใครกันน้าที่จะไปเงินได้มากมายมหาศาล" ขณะพูดนางก็หันไปมองฝ่าบาทองค์น้อยด้วยแววตาทอเป็นประกายฝ่าบาทองค์น้อยก็พระพักตร์แดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็ทรงดึงแขนเสื้อของพระพันปีหลวงและตรัสออกมา : "เสด็จแม่ หรือว่าเราควรมอบรางวัลมากกว่านี้อีกสักหน่อยดี?""เหอะ เจ้าคิดเหรอว่ายัยตัวแสบคนนี้ไม่มีเงิน ข้ายังพูดไม่จบเลย การแข่งขันของนางคราวนี้นางได้ลงเดิมพันไว้ อัตราส่วนเดิมพันสูงตั้งห้าเท่า อย่างน้อยนางสามารถเอาชนะได้เงินต่ำๆ ก็ 250,000 ตำลึงแล้ว!" พระพันปีหลวงก็ทรงตรัสเผยไต๋มู่จิ่วซีออกมาตรงๆมู่จิ่วซีก็ตกตะลึงไป นางหันไปมองโม่จุนในทันใดโม่จุนเบือนหน้าหนีทำเป็นไม่เห็นนาง"ยัยหนู เจ้าคือลูกสาวของภรรยาหลวงข้าราชการในราชสำนัก รู้ใช่ไหมการพนันด้วยเงินปริมาณมากมีโทษฐานความผิด?" สีพระพักตร์ของพระพันปีหลวงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาพร้อมกับตรัสขึ้นมาบรรดาองคมนตรีข้
"จริงสิ พระพันปีหลวงได้พระราชทานให้เจ้าได้เป็รคุณหญิงตราตั้งระดับหนึ่งแล้ว" มู่เทียนซิงเองก็ตื่นเต้นมาก แม้ว่าเขาจะเป็นแม่ทัพใหญ่มู่ แต่เขาก็มีระดับข้าราชการแค่ระดับสองเท่านั้น ดังนั้นคุณหญิงมู่จึงเป็นคุณหญิงตราตั้งระดับสองคุณหญิงมู่ตื่นเต้นจนรีบกล่าวขอบพระทัย ทุกคนต่างก็ทยอยแสดงความยินดีขณะนั้นมู่จิ่วซีก็เห็นโม่จุนเดินเข้ามาหา ทั้งสองสี่ดวงตาก็มองประสานกันมู่จิ่วซีก็ถลึงตาจ้องมองเขาอย่างดุเดือด ส่วนโม่จุนก็สีหน้าไร้อารมณ์ ทำท่าราวกับว่าตัวเองใส่ซื่อบริสุทธิ์อย่างมาก"ไอผู้ชายชาติหมา!" ในใจของมู่จิ่วซีก็กัดฟันด่าเขาออกมาการแข่งขันครั้งนี้ในที่สุดก็สิ้นสุดลง ข่าวที่ว่าคุณหนูใหญ่มู่ชนะการแจ่งจันก็ได้เล็ดลอดพูดกันออกไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นเมื่อคนตระกูลฉีกลับออกมาจากวัง พวกเขาก็ถูกพวกนักพนันรุมด่าอย่างไม่หยุดหย่อน และก็มีบางคนทีขว้างปาสิ่งของรถม้าของจวนฉีก็สกปรกเละเทะไปหมด คนตระกูลฉีทั้งสามคนก็มีสำหน้าดำมืดจนไม่อาจจะดำได้กว่านี้อีกแล้ว"นึกไม่ถึงว่าคุณหนูสามของตระกูลฉีจะแพ้ให้กับมู่จิ่วซี นี่นางจงใจแพ้ชัดๆ เพื่อชนะเอาเงินพนันเดิมพันของผู้คนไม่ใช่หรือไง?""กุลสตรีหมายเลขหนึ่งอะไร