“เป็นอะไรหน้าแดง หรือจะไม่สบาย” ป้าหลิวทักเพราะอยู่ๆ เห็นซูเจินเงียบไปแล้วแก้มก็แดงฉ่ำ หญิงสาวหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน เพราะที่หน้าแดงขึ้นมาด้วยนางดันไปคิดถึงฉากลามกเข้า ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันแสนจะประทับติดในความทรงจำ
“อาเจิน ลองคิดดูดีๆ ไปหาพ่อของไฉไฉสักครั้ง ไปบอกให้เขารู้ว่าเขามีลูกสาวอยู่ตรงนี้ หรืออย่างน้อยก็ไปเอาเงินจากเขามาสักก้อนเพื่อให้ตั้งตัวได้ จะได้พาแม่เฒ่าไปหาหมอ และจะได้เลี้ยงดูไฉไฉให้ดีกว่านี้ด้วย เจ้าไม่เห็นหรือว่าลูกตัวเองตัวเล็กกว่าลูกคนอื่นมากนัก ข้าว่าคงเพราะนางไม่ค่อยได้กินเนื้อแน่ๆ เฮ้อ...เด็กๆ น่ะต้องกินเนื้อเยอะๆ รู้หรือไม่ จะได้ตัวโตๆ”
พูดถึงความป่วยไข้ของมารดา และตัวที่แทบจะเรียกได้ว่าแคระแกร็นของลูกสาว ความหม่นหมองก็เกาะกุมในหัวใจทันที นางยิ้มกลับคืนให้ป้าหลิว
“ข้าจะลองไปคุยกับท่านแม่ดูก่อน และอาหลิงด้วย เพราะถ้าข้าไม่อยู่ นางจะดูแลทั้งท่านแม่และไฉไฉไหวหรือเปล่า” พูดแล้วก็ถอนใจรอบที่ร้อย “บางทีข้าคงต้องพาไฉไฉไปด้วย เฮ้อ...ไม่อยากให้ลูกไปด้วยเลย”
“เอาน่า สิ่งที่ดีกว่าอาจจะรอเจ้าอยู่เบื้องหน้าก็ได้” หญิงม่ายปลอบ “ถ้าไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง ชีวิตเจ้าก็จะดำเนินต่อไปเป็นวัฏจักรที่เต็มไปด้วยความยากจนข้นแค้นไปจนวันสุดท้าย ก็ลองเสี่ยงดวงดูสักหน่อย เผื่อโชคจะเข้าข้าง ถังข้าวสารหล่นใส่เจ้าเต็มๆ!”
“พูดอย่างกับจะให้ข้าไปหาจับผู้ชายรวยๆ” ซูเจินกลั้วหัวเราะ และสักพักก็ดันหัวเราะจริงๆ “ความคิดไม่เลว หรือข้าจะเปลี่ยนแผนเป็นไปหาจับเศรษฐีสักคนดีไหมจ๊ะ ทีนี้ละ สบายไปทั้งชาติแน่นอน”
“เจ้านี่มัน...เฮ้อ”
เสียงหัวเราะสอดประสานกันขึ้น ป้าหลิวได้แต่ภาวนาขอให้ซูเจินได้มีชีวิตที่ดีไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหน ส่วนซูเจินนั้น นางไม่ได้คิดอะไรนอกจากจะลองไปตามหาผู้ชายในคืนนั้นดูก่อน เขาอาจเป็นโรคกามตายไปแล้วจริงๆ ก็ได้ หรือหากเขายังอยู่ ก็ไม่รู้ว่าถูกเศรษฐินีหรือหญิงหม้ายที่ไหนรับไปเลี้ยงดูแล้วหรือยัง บางทีหากเจอหน้าเขาแล้วรู้สึกว่าไม่เข้าท่านัก นางอาจเปลี่ยนใจเป็นไปหาจับคนรวยๆ แทน หากมันเข้าตาจน
“ข้าก็หวังว่าจะถูกถังข้าวสารหล่นใส่ มากกว่าจะไปเป็นหนูตกถังข้าวสาร” หลี่ซูเจินพึมพำคนเดียวตอนเดินกลับบ้าน “แต่ใดๆ แล้ว ข้าต้องไปดูผู้ชายคนนั้นให้เห็นกับตาก่อน ให้ตายสิ...นี่ข้ากำลังจะต้องทำเรื่องที่กลัวที่สุดแล้วหรือนี่ การได้เห็นหน้าชัดๆ ของผู้ชายคนนั้น ที่ทำให้ข้า...แอบเฝ้าฝันถึงอยู่ทุกคืน”
ซูเจินไม่ได้โกรธ แม้คนผู้นั้นจะเป็นคนทำลายพรหมจรรย์ของตนตามคำสั่งของเพื่อนชั่วที่ทรยศหักหลังอย่างสวี่อ้ายฉิง เพราะนางคิดว่าเขาเองก็ถูกจ้างมา และจากอาการเขาคืนนั้น ขนาดนางเมาอยู่ยังรู้เลยว่าเขาไม่ปกติ ชายปริศนาดูท่าว่าจะต้องยาปลุกกำหนัด เพราะเขาทำไปก็เฝ้าพร่ำแต่พูดคำว่าขอโทษ ราวกับว่าไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เหมือนกายกับใจไม่ประสานกัน
หญิงสาวไม่รู้เลยว่าการเดินทางกลับเมืองหลวงในรอบหกปีมานี้จะทำให้นางได้พบเจอกับอะไรบางอย่างที่จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล…
“ซูเจินหลานรัก ดีจริงๆ ที่ได้พบกัน คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบหน้าเสียแล้ว” เป็นหลี่เหลียงซือหรืออารองที่พูดไปก็ร้องไห้ไป เห็นสร้อยที่หญิงสาวสวมใส่อยู่ก็จำได้ว่าเป็นของที่จะให้แค่ผู้หญิงในตระกูล “ตอนพี่สะใภ้ส่งจดหมายมาให้ อาดีใจมาก อยากจะไปเยี่ยมพี่สะใภ้ด้วยตนเองอยู่ไม่น้อย แต่ก็อย่างที่หลานเห็น ชีวิตของอาก็ไม่ได้จะดีสักเท่าใด ผ่านวันเวลามาได้ด้วยความลำบากยากเย็นนัก แล้วนี่อาสะใภ้ของหลานก็มาด่วนจากไปเมื่อปีก่อน อาก็เลยหยุดปิดร้านสักวันก็ยังทำไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะไม่พอค่าเช่าที่กันพอดี...”ซูเจินลูบไล้สร้อยที่ใส่อยู่ มารดาให้ไว้เมื่อวันที่นางจะเดินทางจากมา ความจริงแล้วนางเองก็เคยมีอยู่เส้นหนึ่งใส่ติดตัวตลอดแต่มันหายไปไหนไม่ทราบ พอจะเข้าเมืองหลวงเพื่อความไม่ประมาท เพราะซูเจินกับอารองก็ไม่ได้พบหน้ากันนานแล้ว หลี่ฮูหยินจึงเอาสร้อยประจำตระกูลหลี่ใส่ให้ เมื่อไปถึงจะได้เป็นสัญลักษณ์ไม่ให้ทักผิดตัว“อารอง ท่านแม่สบายดี อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ พวกเราเข้าใจว่าอารองอยู่ทางนี้ก็คงจะลำบากไม่น้อยเช่นกัน”หลี่เหลียงซือเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของหลี่ซูเจินที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นน้องชายของหลี
“เย้! ที่นอนนุ่มๆ ดีจังเลย” เด็กน้อยวิ่งไปทางห้องทันทีไม่ได้สนใจผู้ใหญ่อีก เพราะตอนอยู่บ้านนอกหาได้มีเบาะนอนดีๆ สักหลังไม่ เหลียงซือพอคาดเดาได้เลยไปขอซื้อที่นอนเก่าของเพื่อนบ้านมาไว้ต้อนรับหลานๆ อย่างน้อยก็คือว่าเป็นของขวัญจากผู้ใหญ่ก็แล้วกัน“ซูเจิน เจ้าคิดจะกลับมาตามหาพ่อของไฉไฉจริงหรือ” ชายวัยกลางคนถามหลานสาว เพราะเนื้อความในจดหมายที่อดีตหลี่ฮูหยินส่งมามันไม่ชัดเจนนัก ความจริงพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในคืนนั้นใครคือคนที่อยู่กับซูเจินกันแน่ เพราะตัวนางเองยังไม่เคยยอมพูดให้ชัดเจน “ซูเจิน ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เขาอาจจะจำไม่ได้แล้วก็เป็นได้ หรือถ้าเขาเป็นคนชั่วร้าย บางทีพวกเราไม่ต้องรับรู้ไปเลยเสียยังจะดีกว่า คิดซะว่าเขาเป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ได้ตายจากไป”“ข้าก็อยากจะคิดแบบนั้น แต่พอมาทบทวนดูแล้ว เหตุใดข้าถึงต้องแบกรับทุกอย่างเพียงลำพัง ทั้งที่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด” หญิงสาวพูดอย่างจริงจัง “อารอง ข้าคิดว่าอย่างน้อยเขาควรได้รับผิดชอบอะไรบ้าง แต่อย่าห่วงเลย ข้าจะทำการสืบหาตัวเขาแบบเงียบๆ หากเจอเขาแล้วก็จะเฝ้าดูอยู่ก่อนสักระยะ เผื่อเขาเป็นคนเลวระยำ ข้าจะได้ไม่เข้าไปวุ่นวายด้วยให้เปลืองตัว...”พูดไป
“หน้าตาผิวพรรณเจ้าก็ดี ถึงจะดูกร้านแดดกร้านลมไปหน่อย แต่ก็จัดได้ว่าเป็นหญิงงาม” ตาแก่หัวงูที่เป็นคนดูแลร้านข้าวสารตระกูลหูเอ่ยขึ้น สายตาวิบวับน่ารังเกียจที่สุดเมื่อเขามองซูเจินหัวจดเท้าอย่างมีความหมาย “เป็นแม่หม้าย อืม...ก็คงจะเคยๆ มาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเนื้อหนังจะยังเต่งตึงหรือเปล่า ต้องลองพิสูจน์...”หมับ!โครม!“โอ๊ย!”ร่างตาแก่หงายหลังตึงตกเก้าอี้ ตามมาด้วยข้าวของบนโต๊ะที่ถูกหญิงสาวกวาดขึ้นมาแล้วเหวี่ยงกระแทกลงไป เท่านั้นไม่พอ นางยังเตะด้วยท่าที่เคยเห็นนางหว่านแม่ของอาเต้าทำต่อพ่อของอาเต้า แล้วนางจดจำมา“ตาเฒ่าหัวงู แก่จนจะลงหลุมอยู่แล้ว ยังจะมาทำลามก!” นางว่าพลางเตะกลางตัวซ้ำๆ “กล้าดียังไงมาลวนลามข้าหา! วันนี้เจ้าอย่าแก่ตายเลยดีกว่า ให้ข้ากระทืบเจ้าให้ตาย!”“โอ๊ย! ช่วยด้วย! ใครอยู่ข้างนอกบ้างมาช่วยข้าที โอ๊ย! นางปีศาจนี่จะฆ่าข้าแล้ว!”เสียงเอะอะมะเทิ่งขนาดนั้นออกไปถึงหน้าร้าน มีอันให้กลุ่มผู้มาใหม่ชะงักกันหมด คนที่เดินนำหน้าสุดขมวดคิ้วมุ่น คนที่เดินข้างๆ เลยออกอาการกระตือรือร้น“เป็นเสียงหูซีห่าวขอรับ ส่วนเสียงผู้หญิงนั้น...เอ้อ! ท่านหัวหน้า!”ไม่ทันพูดได้จบเพราะคนขมวดคิ้วเดินตรงเ
“โอย...เจ็บ” หลี่ซูเจินลงไปกองที่พื้น นางร้องครวญคราง แต่พอนึกได้ว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยเยอะและนางดันมาล้มท่าประหลาดๆ เสียด้วยก็ดันเกิดนึกอาย รีบทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน “ข้าจะกลับแล้ว! ไม่ต้องส่ง! ขอบคุณ!” ว่าจบนางก็รีบจ้ำอ้าวจากไปทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้คนเบื้องหลัง ผู้ชายเหล่านั้นไม่มีใครสนใจนางอีกเพราะต้องไปจัดการกับหูซีห่าวที่ทำเรื่องผิดซ้ำๆ ก่อน ยกเว้นคนที่ชนกับหลี่ซูเจินคนเดียว ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาแล้วแบออก เมื่อครู่ที่เขาพยายามจะช่วยนางเลยไปคว้าเอาสายสร้อยเข้า ไม่ทันได้พูดอะไรเพราะนางชิงพูดคนเดียวหมดแล้วก็รีบหนี ทว่าพอเหลือบสายตาลงมาเห็นจี้ของสร้อยแล้วก็ต้องชะงัก มืออีกข้างล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ของสำคัญบางอย่างเขาพกติดตัวเสมอตั้งแต่วันนั้น เพราะเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะต้องได้พบกัน สายสร้อยแบบเดียวกัน มีจี้เหมือนกัน เป็นรูปดอกเหมยกุ้ยที่ฝังเม็ดพลอยสีแดง! “บทจะเจอ ก็เจอง่ายขนาดนี้เลยหรือไง” เขาพึมพำคนเดียว แต่ผู้ช่วยที่เพิ่งเดินมาถึงเพราะจะรายงานดันได้ยิน มองในมือหัวหน้าเห็นจี้และสายสร้อยที่ตนเคยต้องช่วยออกตามเบาะแสแต่ก็ไม่พบอะไรสักอย่าง ก็เหมือนจะเข้าใจ “ท่านหัวหน้า ทำไมถึงมีสร้อยแบบนั้
แม้หลี่ซูเจินจะปฏิเสธเสียงแข็งไปในตอนแรกที่ถูกตามให้มาทำงานที่ร้านขายข้าวตระกูลหู แต่พอถูกยื่นข้อเสนอเป็นค่าจ้างจำนวนที่มากโขชนิดที่นางต้องตาลุกวาว หญิงสาวก็เปลี่ยนใจ “ไฉไฉ วันนี้อยู่บ้านกับท่านตาเล็ก ห้ามก่อกวนให้ท่านวุ่นวายนะจ๊ะ” สั่งเสียลูกสาวอย่างดี แต่ก็ไม่ได้คิดว่านางจะก่อเรื่องได้ เพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จักพวกตน ถึงจะมีคนรู้จักแต่หกปีที่ผ่านผัน ใครๆ ก็คงหลงลืมเรื่องราวของตระกูลหลี่และคุณหนูหลี่ซูเจินไปกันหมดแล้ว “ตอนเย็นแม่จะกลับมา วันนี้แม่จะซื้อไก่ตัวอ้วนๆ มาด้วย เราจะกินไก่กันให้ท้องแตกไปเลย!” “เย้ๆๆ กินไก่” เด็กน้อยดีใจกระโดดโลดเต้นไปทั้งห้อง เหลียงซือยิ้มเอ็นดู เขาไปหาของเล่นของเด็กบ้านอื่นที่เลิกใช้แล้วเอามาให้หลานเล่น อย่างน้อยก็แก้ขัดไปพลางๆ “รีบไปเถอะซูเจิน ไม่ต้องห่วงทางนี้ อาจะดูแลไฉไฉให้เอง” เมื่อไม่มีห่วงอะไรแล้ว หญิงสาวก็รีบมาที่ร้านข้าวตระกูลหู ไม่เจอตาเฒ่าหัวงูแล้ว แต่เจอผู้ชายอีกคนแต่งตัวเป็นคุณชายมานั่งที่คิดเงินแทน เขาเห็นนางแล้วก็ยิ้มแห้งๆ เหมือนเกรงๆ รีบเดินมาต้อนรับ “พี่สาวท่านนี้คงเป็นแม่นางซูเจินที่จะมาทำงานเสมียนเป็นแน่” เขาทักทายก่อน “ข้าชื่อหูเยี่ย
หลี่ซูเจินกำเงินไปโรงเตี๊ยมเยว่เลี่ยงด้วยความลิงโลดนัก หลายปีมาแล้วที่ไม่ได้จับเงินเยอะขนาดนี้ นับว่าร้านข้าวสารตระกูลหูยังเห็นค่าของฝีมือนางอยู่บ้าง คุณชายหูจึงได้ให้ทั้งค่าจ้างรายวันและเงินพิเศษอีกด้วย ทำให้วันนี้หญิงสาวมีเงินมากพอจะซื้อได้ทั้งเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ไฉไฉ และแน่นอนว่านางไม่ลืมเรื่องไก่ตัวอ้วนๆ ที่สัญญากับลูกไว้ คุณชายหูรู้เข้าเลยแนะนำร้านที่ว่ามีไก่เป็นทีเด็ดให้เลยทีเดียวแต่กว่าจะรู้ตัวว่าได้มายังสถานที่อันไม่คาดคิด ก็เป็นตอนที่นางมาหยุดยืนตรงหน้าประตูพอดี“ที่แท้โรงเตี๊ยมเถียนเยว่ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเตี๊ยมเยว่เลี่ยงนี่เอง” ว่าแล้ว...ในเมืองหลวงแห่งนี้จะมีไก่ที่ไหนอร่อยได้ขนาดที่คนกินแล้วแทบจะเหาะขึ้นสวรรค์ ทำไมนางคิดไม่ถึงกันนะว่ามันก็แค่เปลี่ยนชื่อนิดหน่อย แต่ยังเป็นสถานที่เดิมที่นางมีความทรงจำ “เอาเถอะ ไหนๆ วันหนึ่งก็ต้องมาตามหาผู้ชายคนนั้นที่นี่อยู่แล้ว มิสู้เข้าไปดูลู่ทางเสียตั้งแต่ตอนนี้ เผื่อโชคดี จะได้เจอเขาเลย”พูดไปทั้งที่รู้ว่าหน้าตาของอีกฝ่ายเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ จำได้แค่ไฝ แล้วนี่นางจะต้องจับผู้ชายทั้งโรงเตี๊ยมเปลื้องผ้าหรือไร แค่คิดก็รู้สึกว่าตัวเอ
ความเข้มแข็งทั้งหมดแตกสลายลงไปตรงนั้น ต่อให้วันเวลาผ่านไปจนพบเจอเรื่องราวมากมาย คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น แต่สุดท้ายนางก็ยังเป็นสตรีนางหนึ่งที่ข้างในใจยังเจ็บช้ำไม่เคยจางหาย ยังอ่อนแออยู่ดี เป็นเจิ้งห่าวหรานที่ตามนางมาและกำลังจะเข้ามาทัก แต่เพราะเขาเห็นจางหวังซู่ที่ตอนนี้สำนักบูรพาสั่งให้จับตามองอย่างใกล้ชิดอยู่ที่นี่ด้วยพอดี ทว่ายังไม่ทันทำอะไรก็เห็นหญิงสาวพุ่งเข้าใส่ราวกับมีความเจ็บแค้นต่อกัน “ชู่ว...ใจเย็นๆ” แม้จะเป็นองครักษ์ผู้เย็นชา แต่ว่ากลับอ่อนไหวกับน้ำตาผู้หญิง เขาคลายอ้อมแขนลงแล้วลูบหัวลูบหลังนางอย่างจะปลอบใจ “พวกนั้นไปกันแล้ว ทีนี้เราก็...อุ่ก!” เป็นเรื่องโหดเหี้ยมที่สุดเพราะอยู่ๆ สตรีที่ร้องไห้ก็เตะขาขึ้นมาใส่หว่างขาเขา แม้นางจะทำไม่แรงนักแต่มันก็เจ็บและจุกไม่น้อย นางผลักเขาอย่างแรงจนชายหนุ่มหงายลงไปใส่เก้าอี้ยาวพอดี และยังไม่ทันตั้งตัว นางก็พุ่งเข้าหา กระชากทีเดียวเสื้อเขาก็หลุด มือล้วงเข้าไปที่ท้องน้อยอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยว! แม่นาง นี่เจ้าจะทำอะไร” “ข้าจะทำอะไร” นางถามย้อนกลับ แต่เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาด้วยสายตาลุกวาว ก่อนนิ้วจะจิ้มลง
“ไม่มี!” หญิงสาวสวนกลับไปก่อนด้วยความตกใจเพราะไม่ได้คิดจะบอกเขาอยู่แล้วแต่แรก เพียงครู่เดียวนางก็คิดขึ้นมาได้ว่า...แล้วนายโลมผู้นี้รู้ว่าข้ามีลูกได้อย่างไร? “จะว่าไปหน้าตาเจ้าคุ้นๆ เหมือนข้าเพิ่งเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” ซูเจินครุ่นคิด ก่อนจะเบิกตาลุกโพลง “ใช่แล้ว! เราเจอกันเมื่อวานที่ร้านข้าวสารตระกูลหู นี่เจ้าเป็นนายโลมด้วยและยังทำงานในสำนักคุ้มกันด้วยหรือนี่ แสดงว่าอาชีพให้บริการทางกามของเจ้าคงรายได้ลดน้อยลงแล้วสินะ ข้าเข้าใจๆ อายุมากแล้วก็เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่หนุ่มน้อยเต่งตึงวัยกลัดมันที่มีกำลังวังชาเยอะๆ จะได้เป็นอันดับหนึ่งตลอดไปนี่นา แต่ความจริงเจ้าน่าจะไปทำงานในสำนักคุ้มกันอย่างเดียวเลยจะดีกว่า จะได้เลิกอาชีพที่ไม่มั่นคงอย่างการค้ากาม เพราะมันช่างดูเป็นบุรุษที่ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย...” นางพูดเองเออเองทั้งหมด คิดไปเองได้เก่งมากด้วย เจิ้งห่าวหรานได้แต่ชี้หน้าแต่ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้ กลัวนางวกกลับมาสงสัยว่าเขาทำอาชีพอื่นแล้วจะอธิบายยาก เพราะงานที่เขาทำมันบอกใครได้เสียที่ไหนกัน “เอาเถอะๆ ไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว ความจริงข้ามาเมืองหลวงก็เพื่อตั้งใจจะตามหาเจ้าโดยเฉพาะ” ห
สองปีผ่านไป...หลังจบเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก ก็ใช้เวลาไปเกือบปี ทำให้ฤกษ์หมั้นหมายเสียหาย องค์ชายฟู่เหรินจึงเสนอว่าให้ใช้ฤกษ์อภิเษกไปเลยในคราวเดียว นั่นคือหมั้นและแต่งในวันเดียวกันย่อมไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว เพราะใครๆ ต่างก็อยากให้องค์ชายใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่อไป แต่เป็นเขาเองที่ชิงทูลองค์จักรพรรดิก่อน ว่าไม่ต้องการขึ้นเป็นรัชทายาท“เจ้าเป็นลูกคนโต ถ้าเจ้าไม่เป็นรัชทายาท แล้วเจ้าจะเป็นอะไร”พระบิดาถามเขาในวันนั้น และเขาที่มีพระชายาอยู่เคียงข้าง ก็ตอบทันควัน“กระหม่อมจะเป็นหมอ จะรักษาผู้คนโดยไม่แบ่งแยกฐานะ นี่ก็เป็นการดูแลไพร่ฟ้าในฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นกัน...”องค์จักรพรรดิอยากจะขัด แต่พอเห็นโอรสกับชายาของเขาจับมือกันไว้แน่นราวกับว่าได้ร่วมกันตัดสินใจเรื่องนี้มาทั้งคู่ ก็ได้แต่ระลึกไปถึงพระสนมอิงหลันผู้ล่วงลับ นางไม่เคยมีใครรักชอบให้เขา แต่งงานเพราะหน้าที่ แต่ตลอดเวลานางก็ทำได้ดี กระทั่งอบรมสั่งสอนบุตรก็ยังทำได้ไม่มีบกพร่อง เป็นเขาเองที่กักขังนางไว้ในวังหลวงนี้จนวันตาย“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วก็ไปปกครองเมืองต้าหลี่ก็แล้วกัน” จักรพรรดิพูดถึงเมืองใหญ่ที่สุดที่อย
“ข้าจะไปช่วยเขา สนามพลังแบบนั้นต้องมีคนคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตราย” นางหันไปบอกสองคนข้างหลัง “ท่านพาลูกปลาตัวกลมไปที่บ้านยายเฒ่าตาบอดก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง”“คงไม่ต้องแล้ว” เป็นฮัวฮัวที่พูดขึ้น สายตานางมองไปอีกทางแล้วก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า “ท่านพ่อกับพวกอาๆ มาช่วยพวกเราแล้ว เย้!”เกิดการปะทะระหว่างนักฆ่าลึกลับกับพวกองครักษ์เสื้อแพรที่มากันเต็มรูปแบบ เพราะตอนนี้ได้จัดการภายในราชสำนักเสร็จสิ้น จึงตามออกมากวาดล้างทั้งหมดที่เหลือข้างนอกในคราวเดียว“ถวายการอารักขาองค์ชายใหญ่!” เสียงเจิ้งห่าวหรานหัวหน้าองครักษ์ตะโกนก้อง “ไฉไฉ ฮัวฮัว หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย เร็ว!”เมื่อพ่อสั่งก็มีอย่างเดียวคือห้ามต่อต้าน สามสายลับต่างวัยวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ไกลๆ และคอยดูห่างๆ พวกเขาไม่ได้เก่งต่อสู้สักคน แค่พอมีวิชาและเอาตัวรอดเป็นเท่านั้น ในเมื่อองครักษ์มาแล้ว ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของคนมีความสามารถแล้วกัน“นั่น...เสียงอะไร” เพราะความเป็นคนหูดีที่สุดของไฉไฉทำให้ได้ยินอะไรแปลกๆ นางรู้ทันทีว่ามีคนแอบอยู่แถวนั้นและกำลังจะหนี หันไปมองหน้าน้องสาว เห็นนางจ้องอยู่เช่นกัน แสดงว่ารู้แล้ว “ฮัวฮัว พี่เพิ่งเจอว่าเหลือลู
“นี่เจ้า! ริอ่านติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อตีเจ้าตายแน่ๆ! ตุ่นภูเขา! แล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร พาเด็กห้าขวบมาในสถานที่แบบนี้ ท่านเองก็ต้องถูกลงโทษด้วยแน่นอน!”“โฮ่! แมวพันหน้า อย่าเพิ่งพูดมากเลยดีกว่า ถ้าไม่ได้ข้ากับลูกปลาตัวกลมเมื่อครู่ ท่านเองก็คงไม่เหลือซาก”“นี่พวกเจ้า...พูดอะไรกัน ข้างงไปหมด” ฟู่เหรินที่ฟังสายลับสามคนสามวัยเถียงกันด้วยภาษาอะไรก็ไม่รู้ช่างปวดหัวนัก “เดี๋ยวก่อน ทำไมเราต้องมาเถียงกันในเวลานี้ นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน! พวกนักฆ่าตามมาถึงตัวแล้ว!”“ลูกหินของข้าหมดแล้ว! พี่ใหญ่ ท่านเอาที่ข้าให้ไว้มาด้วยหรือเปล่า” ฮัวฮัวแบมือหาพี่สาวทันที ไฉไฉรีบล้วงเสื้อ ปรากฏว่ามีแต่หมั่นโถวตากแดดร่วงลงมาหลายชิ้น “พี่ใหญ่! แล้วก็ชอบห้ามข้ากินของหวานตอนกลางคืน แต่พี่กลับพกติดตัวตอนหนีพวกนักฆ่าออกมาแบบนี้ จะให้ข้าคิดยังไงกัน!”“นี่ทำไมข้าถึงได้พกหมั่นโถวออกมาขนาดนี้เนี่ย ข้าต้องหยิบเสื้อมาผิดตัวแน่ๆ” นางคิดไปถึงเหตุผลว่าทำไมต้องหยิบเสื้อมาใส่ แล้วก็ดันเกิดหน้าแดง เพราะตอนนั้นเกือบได้สานสัมพันธ์กับฟู่เหรินอยู่แล้วเชียว “โอ๊ย! ไม่รู้แล้ว พวกเราหาอาวุธเอาเท่าที่มีรอบตัวสู้ไป
“หา...หมายความว่า...ว้าย!”พรึ่บ!ไฉไฉมัวแต่เถียงกับองค์ชายเลยไม่ทันระวังตัว นางก้าวพลาดลงไปในบ่อที่ขุดไว้ดักสัตว์ แม้จะไม่เจ็บเท่าไรเพราะกลิ้งม้วนตัวลงไปพอดี แต่หลุมนี้ลึกมาก เรียกว่าเป็นความซวยจริงๆ“องค์ชาย! ท่านวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่เท่าไรจะเจอต้นไม้สองง่าม มีกระท่อมของยายเฒ่าตาบอดอยู่ไม่ไกลจากนั้น” นางตะโกนบอกเขาเสียงดัง “ที่นั่นเป็นจุดนัดพบของสายลับกับองครักษ์ ท่านจะปลอดภัย”“ไม่ได้! รอก่อน ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ฟู่เหรินลงไปนอนแนบพื้นแล้วพยายามส่งมือเข้าไปหา “ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ถ้าจะรอด เราต้องรอดไปด้วยกัน!”“โอ๊ย! ท่านนี่โง่จริง ข้าให้ท่านหนีไปก่อนเพราะท่านเป็นตัวถ่วง ยังไม่รู้ตัวอีก” เสียงหญิงสาวแผดขึ้นมา “ท่านมันอ่อนแอจึงเป็นตัวภาระ นี่ข้ามีแผนแล้ว ข้ามีระเบิดพลุติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน ข้าจะยิงใส่พวกมัน แล้วท่านจะมาอยู่แถวนี้ให้เกะกะทำไมเล่า!”หญิงสาวโกหก นางไม่มีของที่ว่า แต่ทำเป็นชูอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา เพื่อให้เขาสบายใจ“ระเบิดพลุอะไรของเจ้าหา นั่นมันหมั่นโถวตากแดดที่เอาไว้ปิ้งกินกับน้ำผึ้งที่น้องสาวชอบไม่ใช่หรือไง แล้วนี่พกมาทำไมเนี่ย!” เขาพูดแบบนั้นนางเลยได้หันดู อ้าวจริงด้วย ไม่ร
โอ๊ย!...อุ้บ!”ไฉไฉดึงหูฟู่เหรินเหมือนที่เห็นหลี่ซูเจินทำเจิ้งห่าวหรานมาตั้งแต่นางจำความได้ ท่านแม่ดึงหูท่านพ่อทีไร ท่านพ่อมีอันได้ยอมแพ้ เพราะมันเจ็บ!มือหนึ่งดึงหู อีกมืออุดปากเขาแน่นไม่ให้ร้อง แต่เพียงครู่เดียวก็ปล่อยมือที่บิดหูออกแล้วไปกระซิบ“ข้างนอกเป็นนักฆ่าที่ตั้งใจลอบฆ่าท่านมาตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว และท่านคงคิดไม่ผิด ฝู่เตี้ยวเป็นหนอนจริงๆ ตอนนี้พวกเราถึงได้ตกอยู่ในอันตราย”“ขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงพวกเราก็คงได้ตาย” ฟู่เหรินได้พูดเป็นคำแรกตนที่เอามือลูบหูตัวเองป้อยๆ คิ้วขมวดตึง มองไปข้างนอกยังเห็นห่ามีดบินอยู่เลย “ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง เจ้าหลบข้างหลังข้าไว้ก็แล้วกัน”กลายเป็นไฉไฉที่คิ้วขมวดไปด้วย เพราะสำหรับนางแล้วฟู่เหรินหาได้เป็นวรยุทธ์ไม่ ซ้ำยังอ่อนแอจนไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากวังหลวงมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ถึงนางไม่เก่งอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็รู้หลักพื้นฐาน และเอาตัวรอดเก่งด้วย “ท่านอยู่ข้างหน้าข้า คงอยากเป็นเป้าเคลื่อนที่กระมัง” นางเอื้อมมือขึ้นไปบนเตียง ควานหาลูกหินของฮัวฮัวอีกชุด ซึ่งมันเป็นชุดสุดท้ายแล้ว “นี่แหละองค์ชาย ท่านคงยังไม่รู้ว่าอะไร ข้าถูกท่านพ่อจับไปฝึกเป็นสา
“ฝู่เตี้ยวคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก” นางบอก หลังคาดการณ์จากสิ่งที่ฮัวฮัวบอกไว้ก่อนกลับบ้านไป พฤติกรรมประหลาดของขันทีน้อย คือเขาชอบหายไปไหนในช่วงที่ฟู่เหรินจะไม่มีทางรับรู้ ฮัวฮัวสะกดรอยตามแบบห่างๆ จึงรู้ว่าฝู่เตี้ยวต้องไปพบใครมาแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน เพราะฝ่ายเดียวกันนี้ก็มีเพียงหน่วยองครักษ์กับคนของเซี่ยงกงกงเท่านั้นเอง ประจวบเหมาะกับที่อยู่ดีๆ ตำแหน่งขององค์ชายถูกเปิดเผย จึงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้เลย นอกจาก... “ฝู่เตี้ยวคือหนอนบ่อนไส้สินะ” ฟู่เหรินพูดขึ้นมาเอง เป็นไฉไฉที่ต้องหันหน้าไปมอง เพราะเขาพูดเหมือนรู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ชายหนุ่มสั่นหน้าด้วยความหดหู่ใจ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฝู่เตี้ยวที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่อายุสิบปีกลับมาหักหลังข้าได้” “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปสืบภายหลัง แต่ตอนนี้...” ข้างนอกเงียบเกินไป ราวกับไม่มีแม้แต่เสียงของสายลมราตรี หญิงสาวล้วงไปใต้เตียงแล้วหยิบดาบที่เป็นอาวุธประจำตัวซึ่งซุกซ่อนไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน “เราต้องรอดไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน ได้โปรดอยู่ข้างหลังข้าก็พอ” “อาหง ท่าทีเจ้าเปลี่ยน หรือว่าความจริง...เจ้ามีสถานะอื่น”
ไม่ทันได้บอกว่าห้ามอะไรด้วยซ้ำเพราะชายหนุ่มไม่ฟัง เขากระโดดขึ้นเตียงมาทำตัวเหมือนเด็กๆ เท่านั้นไม่พอยังชักผ้าขึ้นมาห่ม แล้วเอามือตบปุๆ กับที่นอนข้างกาย “อาหง ลงมานอนเถอะ วันนี้พวกเราก็เหนื่อยกันมามาก เจ้าไม่ง่วงหรือไง” เจ้าตัวพูดไปก็หาวไป แล้วก็ดึงร่างบางให้ลงมานอนเคียงกัน “ฮ้าว...ที่นอนของเจ้าหอมเหลือเกิน ไหนขอดมใกล้ๆ หน่อย อื้ม...ข้าเข้าใจฮัวฮัวแล้วว่าทำไมติดแม่ เพราะแม่ของนางนอกจากจะหอมแล้วยังตัวอุ่นและนุ่มน่ากอดอีกด้วย ดูท่าหากฮัวฮัวกลับมาเมื่อใด คงได้ทะเลาะกับข้าเป็นแน่ เรื่องแย่งกันกอดแม่ของนาง” “ท่านพี่...” ได้แต่ดีดดิ้นและร้องอย่างถอนอกถอนใจ เพราะตอนนี้นางถูกเขาดึงไปกอดหน้าตาเฉย รับรู้ได้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นระรัวของตัวเอง และกายอันอบอุ่นขององค์ชายที่ตอนนี้กดนางให้แนบร่างเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม “ท่านพี่ ข้าหายใจไม่ออกเจ้าค่ะ” “หายใจไม่ออก อย่างนั้นคงต้องช่วยให้หายใจคล่องเสียหน่อย” เขาผละตัวแล้วเชยคางนางขึ้น หญิงสาวเลิกคิ้วงงๆ เพราะอยู่ๆ ดันเกิดตามเขาไม่ทัน “สิ่งนี้มีในตำราแพทย์ เรียกว่าการแลกเปลี่ยนลมปราณ ข้าจะแสดงให้เจ้าดูเอง...” “หือ...อื้อ! อื้อ!”
กลัวเขาไม่รู้ว่านางใส่ใจมากเลยต้องคุยโอ้อวดเสียหน่อย ความจริงแล้วก็เป็นฟู่เหรินนั่นเองที่ตามนางไม่ทัน เพราะไฉไฉนั้นนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มกินน้ำแกงที่ถูกป้อนให้จนเกลี้ยง รู้สึกสบายท้องมาก เพราะเขาก็ไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า ไฉไฉรีบเก็บชาม “ข้าจะไปเตรียมน้ำให้ท่านอาบ ท่านพี่ก็ไปผลัดผ้าได้เลยนะเจ้าคะ” หันไปมองห้องพักคนไข้ชั่วคราว เห็นหญิงชรายังป้อนน้ำข้าวให้ลูกชายยังไม่เสร็จ “ข้าควรไปดูพวกเขา...” “เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าจะไปดูเอง และจะได้ตรวจอาการครั้งสุดท้ายก่อนจะให้ยาระงับปวดด้วย เพราะคนไข้จะได้หลับยาว” ในเมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นจึงแยกกัน ไฉไฉเข้าครัวไปจัดน้ำต้มน้ำหม้อหนึ่ง เห็นฝู่เตี้ยวทำอาหารใกล้เสร็จแล้ว นอกจากผัดผักและน้ำแกง ก็มีปลาย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย มิช้ามินานนัก น้ำอุ่นก็ถูกผสมจนเสร็จสิ้น ไฉไฉมองด้วยความภูมิใจ เรื่องการบ้านการเรือนแบบนี้ท่านยายย่อมเป็นผู้อบรมสั่งสอนอย่างดี ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมาย ได้ผสมน้ำให้องค์ชายอาบเสียที “อ๊ะ ลืมไปเลย ต้องใส่นี่เข้าไปด้วย คิก...” นางหยิบห่อเครื่องหอมออกมาจากอกเสื้อ มันเป็นเครื่องหอมประจำตัวที่ม
“ไฮ้...เจ้าพูดอะไรแบบนั้น ข้าจะรังเกียจทำไมกัน ภรรยาตั้งใจทำให้ขนาดนี้ ข้าต้องดีใจมากอยู่แล้ว” รีบลุกมาแล้วประคองให้นางมานั่ง ก่อนจะเอาผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ “อาหง เจ้าเดินไปมาทั้งวันแล้วก็พูดไม่หยุด คงจะเหนื่อยมาก แล้วยังลำบากมาทำอาหารอีก เรื่องแบบนี้ให้ฝู่เตี้ยวทำให้ได้ เขาถนัด”ปกติคงต้องมีขัดคอกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะขันทีน้อยเห็นด้วย ในสายตาเขาก็ยังคิดว่าคุณหนูเจิ้งเป็นลูกผู้ดีเป็นชนชั้นสูง แต่ทำงานพอๆ กับสาวชาวบ้าน ตอนนี้คงเหนื่อยสายตัวแทบขาดหารู้ไม่ว่าไฉไฉไม่เหมือนคุณหนูบ้านไหน เพราะนางแอบเข้ามาฝึกเป็นสายลับกับหน่วยของบิดาตั้งแต่อายุแปดขวบแล้ว...ก็ตั้งแต่หลังจากพบกับองค์ชายว่าที่คู่หมั้น เจิ้งห่าวหรานก็จับลูกสาวมาฝึกวิชายุทธ์ทันที ทำให้แค่นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเหนื่อยล้าหรือพลังถดถอยได้เลย“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ วันนี้พวกเราทั้งสามคนเหนื่อยเหมือนกันหมด เรื่องแค่นี้ข้าทำได้ อีกอย่างข้ารู้ว่าฝู่เตี้ยวคงต้องกำลังดูแลท่านพี่อยู่ด้วย ข้าเลยไม่ได้เข้ามาปรนนิบัติท่านพี่ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“นั่นสิ ความจริงแม่นางหงควรมาดูแลคุณชาย แล้วบ่าวต่างหากที่ไปทำกับข้าว” ฝู่เตี้ยวลุกขึ