ความเข้มแข็งทั้งหมดแตกสลายลงไปตรงนั้น ต่อให้วันเวลาผ่านไปจนพบเจอเรื่องราวมากมาย คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น แต่สุดท้ายนางก็ยังเป็นสตรีนางหนึ่งที่ข้างในใจยังเจ็บช้ำไม่เคยจางหาย ยังอ่อนแออยู่ดี
เป็นเจิ้งห่าวหรานที่ตามนางมาและกำลังจะเข้ามาทัก แต่เพราะเขาเห็นจางหวังซู่ที่ตอนนี้สำนักบูรพาสั่งให้จับตามองอย่างใกล้ชิดอยู่ที่นี่ด้วยพอดี ทว่ายังไม่ทันทำอะไรก็เห็นหญิงสาวพุ่งเข้าใส่ราวกับมีความเจ็บแค้นต่อกัน
“ชู่ว...ใจเย็นๆ” แม้จะเป็นองครักษ์ผู้เย็นชา แต่ว่ากลับอ่อนไหวกับน้ำตาผู้หญิง เขาคลายอ้อมแขนลงแล้วลูบหัวลูบหลังนางอย่างจะปลอบใจ “พวกนั้นไปกันแล้ว ทีนี้เราก็...อุ่ก!”
เป็นเรื่องโหดเหี้ยมที่สุดเพราะอยู่ๆ สตรีที่ร้องไห้ก็เตะขาขึ้นมาใส่หว่างขาเขา แม้นางจะทำไม่แรงนักแต่มันก็เจ็บและจุกไม่น้อย นางผลักเขาอย่างแรงจนชายหนุ่มหงายลงไปใส่เก้าอี้ยาวพอดี และยังไม่ทันตั้งตัว นางก็พุ่งเข้าหา กระชากทีเดียวเสื้อเขาก็หลุด มือล้วงเข้าไปที่ท้องน้อยอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยว! แม่นาง นี่เจ้าจะทำอะไร”
“ข้าจะทำอะไร” นางถามย้อนกลับ แต่เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาด้วยสายตาลุกวาว ก่อนนิ้วจะจิ้มลงไปที่ท้องน้อยจนเขาเสียววาบ “ข้าจะตรวจสอบเจ้าไง ว่าแล้วไม่ผิด ไฝหนึ่งที่ใต้ตา ไฝหนึ่งที่กกหู และไฝสามที่หน้าท้อง เป็นเจ้าแน่ๆ ผู้ชายคนที่เมื่อหกปีก่อน มาข่มเหงขืนใจข้าที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ไม่อยากเชื่อ เจ้ายังทำอาชีพเดิมอีกด้วยซ้ำ!”
“อะ...อาชีพอะไร ข้าทำอะไร!”
“เจ้าทำอะไร!” หลี่ซูเจินแยกเขี้ยวชี้หน้า “เจ้าทำอะไร เจ้าก็เป็นนายโลมให้บริการความสุขแก่สาวแก่แม่หม้ายมิใช่หรือไง ไม่อยากเชื่อว่าเจ้ายังแข็งแรงดีอยู่ ข้าก็คิดมาตลอดว่านานขนาดนี้บางทีเจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่แล้วด้วยซ้ำ คิดว่าคงจะเป็นโรคทางกามจนตาย!”
“นายโลม!” เจิ้งห่าวหรานตะโกนคอแทบแตก เกิดมาไม่เคยตะคอกผู้หญิงเสียงดังขนาดนี้มาก่อน ทำกับคนร้ายตอนต้องรีดเค้นความจริงนั่นก็ว่าไปอย่าง “มันมีด้วยหรืออาชีพแบบนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ใช่อยู่ดี เพราะข้าเป็น...”
เขาค้างแค่นั้นเพราะนึกได้ว่าจะไปเที่ยวบอกใครได้อย่างไรว่าเขาเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร นี่เป็นเรื่องความลับเพราะเกี่ยวพันกับความมั่นคงของราชสำนัก ขนาดปฏิบัติหน้าที่ยังต้องสวมผ้าปิดหน้าด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นหากไปเดินตามท้องถนน ก็อาจมีคนจดจำได้พอดี
“ไฮ้...พอเถอะ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว” หลี่ซูเจินปรับอารมณ์ได้เร็วมาก นางวิ่งไปแอบดูตรงช่องประตูเพื่อจะมองหาจางหวังซู่ ซึ่งไม่รู้ว่าเข้าห้องไหนไปแล้ว เพราะเสียงก็เงียบหายไป “เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่เป็นไร อย่างน้อยชาตินี้ข้าก็รู้แล้วว่าใครคือคนทำลายล้างตระกูลหลี่ของข้า และใครทำให้ข้าต้อง...ถูกข่มเหง พรากพร่าพรหมจรรย์ ด้วยการจ้างบุรุษบริการทางกาม”
ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากเถียงต่อ แต่พอได้ยินกับหูว่านางคือคนในตระกูลหลี่ ก็เลยเปลี่ยนใจ
“เจ้าเป็น...คุณหนูตระกูลหลี่ ที่กำลังจะแต่งงาน แต่ไม่ได้แต่งงาน” เรื่องนี้โด่งดังมากมีใครบ้างไม่รู้ “เขาว่ากันว่าคุณหนูหลี่หลบหนีไปจากเมืองหลวงหลังอดีตเสนาบดีหลี่เสียชีวิต ที่แท้...ก็ยังมีทายาท”
“พูดบ้าอะไร เจ้าจะไม่รู้ว่าข้าเป็นใครได้ยังไง ในเมื่อเจ้ารับจ้างนางสวี่อ้ายฉิงหญิงชั่วนั่น ให้มารังแกข้า” ซูเจินชี้หน้าเขาเสียงเกรี้ยวกราด แต่ก็คอพับหมดแรง “ถึงข้าจะโกรธแค่ไหน แต่ข้าก็ต้องทำใจ ข้ากลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไปเสียแล้ว ไม่มีปัญญาไปแก้แค้นอะไรใครได้ ส่วนเจ้านั้น ข้าก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอกเอาจริงๆ เจ้าเองก็เป็นแค่คนที่รับเงินมาเพื่อทำงานก็เท่านั้น เพียงแต่งานที่เจ้าทำ มันเป็นความบัดซบ ที่มาทำร้ายชีวิตคนอื่น เหมือนมาซ้ำเติม...”
ที่แท้วันที่เขาดื่มยาพิษแทนองค์ชายรองจนได้รับพิษกำหนัดเลยมาหลบที่โรงเตี๊ยมนี้ ก็เป็นวันที่คุณหนูตระกูลหลี่ถูกล่อลวงให้มาถูกข่มเหงเหมือนกัน คงเป็นโชคดีของนางแล้วที่ดันเข้าห้องผิดได้อย่างไรไม่ทราบ คนที่ได้ร่วมรักกับนางในวันนั้นจึงเป็นเขา ไม่ใช่ชายผู้มีอาชีพในกาม
โชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็คงโชคดีกระมัง เพราะอย่างน้อยเขาก็เคยบอกตัวเองไว้แล้วว่า หากได้พบสตรีปริศนาในค่ำคืนนั้นที่เขารู้แล้วว่าเป็นคนพรากพรหมจรรย์ของนางไป เขาจะรับผิดชอบ และอีกเรื่องที่สำคัญมาก
“เจ้ามีลูก!” เจิ้งห่าวหรานโพล่งขึ้น “ดังนั้นลูกของเจ้าก็คือ...”
“ไม่มี!” หญิงสาวสวนกลับไปก่อนด้วยความตกใจเพราะไม่ได้คิดจะบอกเขาอยู่แล้วแต่แรก เพียงครู่เดียวนางก็คิดขึ้นมาได้ว่า...แล้วนายโลมผู้นี้รู้ว่าข้ามีลูกได้อย่างไร? “จะว่าไปหน้าตาเจ้าคุ้นๆ เหมือนข้าเพิ่งเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” ซูเจินครุ่นคิด ก่อนจะเบิกตาลุกโพลง “ใช่แล้ว! เราเจอกันเมื่อวานที่ร้านข้าวสารตระกูลหู นี่เจ้าเป็นนายโลมด้วยและยังทำงานในสำนักคุ้มกันด้วยหรือนี่ แสดงว่าอาชีพให้บริการทางกามของเจ้าคงรายได้ลดน้อยลงแล้วสินะ ข้าเข้าใจๆ อายุมากแล้วก็เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่หนุ่มน้อยเต่งตึงวัยกลัดมันที่มีกำลังวังชาเยอะๆ จะได้เป็นอันดับหนึ่งตลอดไปนี่นา แต่ความจริงเจ้าน่าจะไปทำงานในสำนักคุ้มกันอย่างเดียวเลยจะดีกว่า จะได้เลิกอาชีพที่ไม่มั่นคงอย่างการค้ากาม เพราะมันช่างดูเป็นบุรุษที่ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย...” นางพูดเองเออเองทั้งหมด คิดไปเองได้เก่งมากด้วย เจิ้งห่าวหรานได้แต่ชี้หน้าแต่ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้ กลัวนางวกกลับมาสงสัยว่าเขาทำอาชีพอื่นแล้วจะอธิบายยาก เพราะงานที่เขาทำมันบอกใครได้เสียที่ไหนกัน “เอาเถอะๆ ไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว ความจริงข้ามาเมืองหลวงก็เพื่อตั้งใจจะตามหาเจ้าโดยเฉพาะ” ห
“ลูกพี่ลูกน้องอะไร มันคนละความหมายกับคำว่าลูก” ใครจะไปเชื่อคนที่พูดไปตัวสั่นไปได้กันเล่า แต่ห่าวหรานรู้แล้วว่าบีบไปก็ตายเปล่า เห็นรองหัวหน้าซานตังรายงานเมื่อวานว่าตอนไปแจ้งข่าวรับเข้าทำงานกับนางตามที่อยู่ที่ให้ไว้ นางอยู่กับชายวัยกลางคนท่านหนึ่งที่หน้าตาละม้ายกัน บางทีอาจเป็นน้องชายต่างมารดาของอดีตเสนาบดีหลี่ที่ปลอมตัวด้วยการเปลี่ยนชื่อแซ่ก็ได้ เช่นนั้นก็ดีเลย เพราะเขาจะได้เชิญท่านหลี่ผู้นั้นให้ออกมารับสมบัติทั้งหลายของตระกูลหลี่กลับคืนไป “เอาเถอะๆ เอาไว้คุยกันวันหลัง เอาอย่างนี้ นี่เงินที่ข้ามีติดตัวทั้งหมด ให้เจ้าไว้ก่อน” เขายัดเยียดถุงเงินใส่มือซูเจิน นางรีบเปิดดูก็เห็นว่ามีมากจึงยิ้มดีใจ “ส่วนที่เหลือข้าฝากไว้กับโรงเก็บเงินแต่ตอนนี้มันเลยเวลาทำการไปแล้ว ข้าจะไปเอาเงินออกมาให้พรุ่งนี้ แล้วจะให้เจ้าหมดตามที่เจ้าต้องการ” “พูดง่ายดีนี่ แสดงว่าที่ผ่านมาก็คงรู้สึกผิดสินะ” นางเอ่ยกับเขาแบบนั้น แต่ตัวเองกลับอยู่ๆ รู้สึกละอายใจขึ้นมาเฉยๆ เพราะพื้นฐานไม่ได้เป็นคนเห็นแก่เงิน แต่เพราะสถานการณ์มันบังคับ สุดท้ายนางก็หยิบเงินบางส่วนออกจากถุงนั้นแล้วยัดมือเขากลับคืนไป “จะเอาเงินเจ้าที่พกติดตัวม
ค่ำคืนของมื้ออาหารผ่านไปด้วยความรื่นรมย์ ส่วนซูเจินก็เพิ่งได้รู้ว่าป้าหมินที่ไฉไฉเอ่ยถึง ก็คือพี่สาวคนหนึ่งที่อายุน่าจะมากกว่าซูเจินสักสิบปีได้ นางเป็นหม้ายสามีตายตั้งแต่ยังสาวและขายหมั่นโถวอยู่ร้านข้างๆ ดูท่าอารองจะมีใจไม่น้อย แต่อาจจะเพราะอาสะใภ้เพิ่งจากไปได้ไม่เท่าไร อยู่ๆ จะมีครอบครัวใหม่อาจจะกระดากใจเสียเอง“ข้าว่าอาสะใภ้ไม่โกรธหรอกเจ้าค่ะ” ซูเจินเอ่ยขึ้นตอนไฉไฉไปนั่งเล่นของเล่นคนเดียว “อารอง...อย่าอยู่คนเดียวเลยนะเจ้าคะ ถ้ามีคนอยากจะอยู่ด้วยแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันไปในยามแก่เฒ่าก็ได้เจ้าค่ะ เท่าที่ข้าฟังมา แม่นางหมินคนนี้ ก็ดูจะเข้าที”“นี่แนะ อาแก่แล้ว ไม่อยากมีคู่อีก มันมีแต่ความทุกข์” ทำเป็นบ่นแต่สีหน้ากลับตรงข้าม เห็นหลานทำหน้ากลั้วขำ ก็รู้แล้วว่าถูกจับได้ เลยรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ตัวเองเถอะ ไม่คิดจะหาพ่อให้ไฉไฉบ้างหรือไง หรือที่หมู่บ้านชนบทของพี่สะใภ้ไม่มีผู้ชายที่เข้าท่าเลยสักคน อาว่าหากเจ้าได้เงินทองจากผู้ชายคนนั้นแล้วเมื่อไร กลับบ้านไปก็ลองมองหาผู้ชายดีๆ เถอะ ยังสาวยังแส้ ยังต้องอยู่อีกนาน ควรจะมีสามีเป็นหลักเป็นฐานรู้หรือไม่ อย่างน้อยจะได้มีเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขไ
เมื่อทุกคนได้มานั่งล้อมวงที่โต๊ะอาหารกันเหมือนเดิมแล้ว เพียงแต่คราวนี้มีไฉไฉที่ไม่ยอมห่างพ่อ นางกอดออเซาะและนั่งตักอยู่อย่างนั้น ผู้ใหญ่สามคนก็เลยได้แต่มองหน้ากันไปมาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี“ไม่เห็นซูเจินบอกอาเลยว่าได้เจอกับ...เอ่อ...พ่อของไฉไฉแล้ว” เหลียงซือคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่เลยเริ่มพูดก่อน “หลานชาย เจ้าชื่ออะไร เป็นคนที่ไหน หน้าตาไม่คุ้นเลย”“ข้าชื่อห่าวหรานขอรับ เจิ้งห่าวหราน” แนะนำตัวเสียงดังฟังชัด “ข้าเกิดในตำบลต้าเสียง ย้ายตามบิดามารดามาอยู่เมืองหลวง แต่พวกท่านก็จากไปนานมากแล้ว ข้าไม่มีพี่น้อง อยู่ตัวคนเดียว ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ในสำนักคุ้มกัน”เขาย้ำเรื่องอาชีพเป็นครั้งที่สาม ราวกับจะให้มันล้างคำว่านายโลมไปให้หมดสิ้น ชายวัยกลางคนพยักหน้า พิจารณาคนนั่งตรงข้ามอีกที“อาหราน จะว่าไปเจ้าก็ดูสง่างามไม่น้อย สงสัยสำนักคุ้มกันแห่งนี้คงจะมีระเบียบเข้มแข็งเป็นแน่ ฝึกคนได้จนดูเหมือนองครักษ์เสียก็ไม่ปาน ฮ่าๆๆ”“แค่กๆๆ” กลายเป็นห่าวหรานที่สำลักน้ำลาย เหลียงซือแม้จะไม่ได้เป็นขุนน้ำขุนนางและอยู่อย่างเงียบๆ มาตลอด แต่เขาก็มีบิดาและพี่ชายเป็นคนใหญ่คนโต ย่อมใกล้ชิดจนคุ้นเคยกับบุคลิกของคนแบบ
ในที่สุดแผนการของเจิ้งห่าวหรานก็สำเร็จ เขาสามารถแทรกซึมมาอยู่ในบ้านนี้ได้แล้ว และคืนนี้ก็เป็นคืนแรกที่ชายหนุ่มได้นอนเบียดๆ กับสองแม่ลูกบนเตียงแคบๆ แต่ช่างเป็นค่ำคืนที่คนขาดความรักในครอบครัวอย่างเขา รู้สึกอุ่นใจเหลือเกิน“ท่านพ่อ...งืมๆ ท่านพ่อรูปงามที่สุดของไฉไฉ อย่าจากไปไหนอีกนะเจ้าคะ ไฉไฉคิดถึงท่านพ่อ...งืม...” เด็กน้อยที่นอนตรงกลางนอนละเมอไปเรื่อย หันไปกอดแขนผู้เป็นพ่อไปอย่างกลัวว่าตื่นมาเขาจะหาย “นี่ข้าคิดถูกใช่ไหมเนี่ย” ซูเจินบ่นคนเดียว รอจนทุกอย่างในห้องเงียบสงบแล้ว นางจึงค่อยๆ ผินหน้าไปมองคนข้างๆ เห็นหัวกลมๆ ของลูกสาวหันหลังให้ และเห็นใบหน้าครึ่งซีกของห่าวหรานที่สะท้อนกับแสงจันทร์ “รูปงามจริงด้วย...” ดันละเมอเพ้อฝันตามลูก ก่อนจะรีบสลัดหน้าขับไล่ความคิด “รูปงามแล้วไง ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ความจริงถ้าไม่เป็นนายโลมแล้วก็ควรไปมองหาสาวๆ ที่ไหนที่ดีๆ แล้วก็คบหาดูใจ และก็อยู่กินกันไปให้มันจบๆ จะมาวุ่นวายกับข้าทำไม ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้ต้องการอะไรจากเจ้า นอกจากเงิน...”สุดท้ายหลี่ซูเจินก็เคลิ้มหลับไปทั้งที่ความคิดสับสนวุ่นวาย และเมื่อลมหายใจของนางสม่ำเสมอ คนที่นอนหน้ารูปงามสะท้อนแสงจันท
“เหอะๆ” หญิงสาวดันเผลอหลุดหัวเราะ เสียงของนางค่อนไปทางเยาะเย้ย “ไฉไฉกินผักยากอย่างกับอะไร ลองให้นางเห็นผักเป็นใบๆ แบบนี้ ไม่มีทางยอมกินแน่นอน เจ้าไปซอยผักให้ละเอียดเดี๋ยวนี้เลยไป”“แล้วเราจะทำอย่างไรได้” เขาถามไปแต่ก็เห็นว่านางเริ่มตักแป้งใส่ชามตามด้วยน้ำเล็กน้อยแล้วเริ่มนวด เมื่อซูเจินไม่ตอบแต่ทำหน้าดุใส่ เขาเลยไปหั่นผักตามที่นางสั่ง สักพักก็เหมือนจะรู้ขึ้นมาเอง “จะเอาผักใส่ลงไปในแป้งเสียกระมัง!”“ไฉไฉชอบแป้งทอด ข้าจะทำแป้งทอดที่มีผักเป็นส่วนผสม ใส่ลงไปเป็นไส้ แล้วก็ผสมกับเนื้อแป้งด้วย” แม้จะเป็นเรื่องยุ่งยากหลายขั้นตอนไม่น้อย แต่สำหรับคนเป็นแม่ที่แม้จะยากจนเพียงไหน ก็ทำให้ลูกได้เสมอ “กินกับน้ำจิ้มหวาน เป็นสูตรเฉพาะครอบครัวข้า ตอนเด็กๆ ข้าก็ไม่ชอบกินผักเหมือนกัน จนท่านพ่อยอมเข้าครัวและทำแป้งทอดไส้ผักนี้ให้ น้ำจิ้มนี้ก็เป็นตำรับของท่านด้วย มัน...อร่อยมากเหลือเกิน”น้ำตาหยดหนึ่งดันตกลงไปในชามผสมแป้ง ห่าวหรานหันไปมองทันที เห็นซูเจินยกแขนเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา ทว่านางกลับยิ้มให้อย่างขวยเขิน“ขอโทษที พอดีพูดเรื่องท่านพ่อทีไร ข้ามักจะเป็นแบบนี้เสมอ ข้าเลยมักหลีกเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยถึง ข้าสนิทกั
ซูเจินเห็นอาการอึกอักทั้งของแม่ค้าหมั่นโถวและอารองแล้วก็นึกรู้ทันทีว่าพวกเขาคงเกรงใจตน เลยรีบออกปากเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตรอีกแรง“พี่สาว มากินข้าวกับพวกเราเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้คิดว่าเป็นคนอื่นไกล” น้ำเสียงของซูเจินเวลาทอดลงนั้นอ่อนโยนนัก “ที่ผ่านมาลำบากพี่สาวแล้วที่ดูแลอารองของข้า เขาเป็นคนจิตใจดีแต่ขี้เกรงใจคนอื่นจนเกินไป บางครั้งเลยทำให้ตัวเองต้องลำบาก แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีมากๆ ใครได้เป็นสามีเรียกว่าโชคดียิ่งกว่าได้ทองคำ!”“น้อยๆ หน่อยซูเจิน พูดอะไรอย่างนั้น” แก่เฒ่าปานนี้แต่อารองกลับเขินอายขึ้นมาได้ ราวกับวันเวลาย้อนกลับไป ตอนที่ครอบครัวยังอยู่ดี หลานสาวก็เป็นคนสดใสเช่นนี้ เหมือนไฉไฉตอนนี้ไม่มีผิด “เอ่อ...แม่นางหมิน ถ้าไม่รังเกียจแล้วละก็ มากินข้าวกับพวกเราเถอะ วันนี้มีอาหารเหลือเฟือนัก พอดีหลานเขยมาอยู่ด้วยอีกคน ก็เลยทำกับข้าวหลายอย่าง”เพราะซูเจินเริ่มก่อน เหลียงซือเลยเอาคืนบ้าง ด้วยการแนะนำตัวห่าวหรานไปเลยว่าเป็นหลานเขย เรียกว่ายัดเยียดให้แล้วด้วยความเต็มใจ“เชิญขอรับพี่สาว ข้าจัดที่นั่งให้” ห่าวหรานได้โอกาสพอดีเลยทำตัวเป็นเจ้าบ้านรับสมอ้างไปยกม้านั่งอีกตัวตั้งข้า
“พูดบ้าอะไร น่ารำคาญที่สุด” ซูเจินหันหน้าหนีไปแล้วแต่ดันแอบยิ้ม จำภาพที่นางเห็นตอนมื้อเช้าได้ ในใจมันตื้นตันจนเกือบได้ร้องไห้อีกรอบ ภาพไฉไฉนั่งตักพ่อของนาง โดยที่เขาค่อยๆ ป้อนแป้งทอดให้นั้น มันเหมือนภาพตอนเด็กๆ ของนางกับบิดาไม่มีผิด จนในใจก็คิด ไม่อยากให้ไฉไฉต้องมาประสบกับความรู้สึกที่ตนเป็นอยู่ นั่นคือการสูญเสียพ่อ แต่สุดท้ายแล้วผู้ชายคนนี้จะดีหรือร้ายก็คงต้องให้เวลาพิสูจน์“แล้วตกลงจะเดินตามข้าไปถึงไหน นี่มันจะถึงร้านข้าวสารตระกูลหูแล้ว”“วันนี้ข้าเป็นเวรที่จะต้องมาดูแลร้านข้าวสารตระกูลหูพอดี ก็เลยมาพร้อมเจ้าไง” พูดไปอย่างนั้นเพราะอยากอยู่ใกล้ๆ มากกว่า ความจริงเขาย่อมเข้านอกออกในทั้งร้านค้าและบ้านตระกูลหูได้ทุกเมื่ออยู่แล้วโดยไม่ต้องขออนุญาตใครด้วยซ้ำ เพราะสำนักบูรพาได้ซื้อตระกูลนี้ไว้เพื่อบังหน้าเวลาจะทำกิจใดๆ ดังนั้นทุกคนในตระกูลจึงรับบทนักแสดง “เอาน่า เจ้าก็ทำงานของเจ้าไป ข้าก็ทำงานของข้าไป สองผัวเมียขยันขันแข็ง ตกเย็นก็ไปซื้อของกลับบ้านไปทำกับข้าว อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวที่ร่มเย็น...”“พูดมาได้อย่างหน้าไม่อาย เจ้านี่มันคนหน้าด้านที่สุด” ซูเจินด่าให้แต่ไม่ได้ฟังจริงจังอะไรเลย ม
สองปีผ่านไป...หลังจบเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก ก็ใช้เวลาไปเกือบปี ทำให้ฤกษ์หมั้นหมายเสียหาย องค์ชายฟู่เหรินจึงเสนอว่าให้ใช้ฤกษ์อภิเษกไปเลยในคราวเดียว นั่นคือหมั้นและแต่งในวันเดียวกันย่อมไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว เพราะใครๆ ต่างก็อยากให้องค์ชายใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่อไป แต่เป็นเขาเองที่ชิงทูลองค์จักรพรรดิก่อน ว่าไม่ต้องการขึ้นเป็นรัชทายาท“เจ้าเป็นลูกคนโต ถ้าเจ้าไม่เป็นรัชทายาท แล้วเจ้าจะเป็นอะไร”พระบิดาถามเขาในวันนั้น และเขาที่มีพระชายาอยู่เคียงข้าง ก็ตอบทันควัน“กระหม่อมจะเป็นหมอ จะรักษาผู้คนโดยไม่แบ่งแยกฐานะ นี่ก็เป็นการดูแลไพร่ฟ้าในฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นกัน...”องค์จักรพรรดิอยากจะขัด แต่พอเห็นโอรสกับชายาของเขาจับมือกันไว้แน่นราวกับว่าได้ร่วมกันตัดสินใจเรื่องนี้มาทั้งคู่ ก็ได้แต่ระลึกไปถึงพระสนมอิงหลันผู้ล่วงลับ นางไม่เคยมีใครรักชอบให้เขา แต่งงานเพราะหน้าที่ แต่ตลอดเวลานางก็ทำได้ดี กระทั่งอบรมสั่งสอนบุตรก็ยังทำได้ไม่มีบกพร่อง เป็นเขาเองที่กักขังนางไว้ในวังหลวงนี้จนวันตาย“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วก็ไปปกครองเมืองต้าหลี่ก็แล้วกัน” จักรพรรดิพูดถึงเมืองใหญ่ที่สุดที่อย
“ข้าจะไปช่วยเขา สนามพลังแบบนั้นต้องมีคนคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตราย” นางหันไปบอกสองคนข้างหลัง “ท่านพาลูกปลาตัวกลมไปที่บ้านยายเฒ่าตาบอดก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง”“คงไม่ต้องแล้ว” เป็นฮัวฮัวที่พูดขึ้น สายตานางมองไปอีกทางแล้วก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า “ท่านพ่อกับพวกอาๆ มาช่วยพวกเราแล้ว เย้!”เกิดการปะทะระหว่างนักฆ่าลึกลับกับพวกองครักษ์เสื้อแพรที่มากันเต็มรูปแบบ เพราะตอนนี้ได้จัดการภายในราชสำนักเสร็จสิ้น จึงตามออกมากวาดล้างทั้งหมดที่เหลือข้างนอกในคราวเดียว“ถวายการอารักขาองค์ชายใหญ่!” เสียงเจิ้งห่าวหรานหัวหน้าองครักษ์ตะโกนก้อง “ไฉไฉ ฮัวฮัว หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย เร็ว!”เมื่อพ่อสั่งก็มีอย่างเดียวคือห้ามต่อต้าน สามสายลับต่างวัยวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ไกลๆ และคอยดูห่างๆ พวกเขาไม่ได้เก่งต่อสู้สักคน แค่พอมีวิชาและเอาตัวรอดเป็นเท่านั้น ในเมื่อองครักษ์มาแล้ว ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของคนมีความสามารถแล้วกัน“นั่น...เสียงอะไร” เพราะความเป็นคนหูดีที่สุดของไฉไฉทำให้ได้ยินอะไรแปลกๆ นางรู้ทันทีว่ามีคนแอบอยู่แถวนั้นและกำลังจะหนี หันไปมองหน้าน้องสาว เห็นนางจ้องอยู่เช่นกัน แสดงว่ารู้แล้ว “ฮัวฮัว พี่เพิ่งเจอว่าเหลือลู
“นี่เจ้า! ริอ่านติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อตีเจ้าตายแน่ๆ! ตุ่นภูเขา! แล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร พาเด็กห้าขวบมาในสถานที่แบบนี้ ท่านเองก็ต้องถูกลงโทษด้วยแน่นอน!”“โฮ่! แมวพันหน้า อย่าเพิ่งพูดมากเลยดีกว่า ถ้าไม่ได้ข้ากับลูกปลาตัวกลมเมื่อครู่ ท่านเองก็คงไม่เหลือซาก”“นี่พวกเจ้า...พูดอะไรกัน ข้างงไปหมด” ฟู่เหรินที่ฟังสายลับสามคนสามวัยเถียงกันด้วยภาษาอะไรก็ไม่รู้ช่างปวดหัวนัก “เดี๋ยวก่อน ทำไมเราต้องมาเถียงกันในเวลานี้ นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน! พวกนักฆ่าตามมาถึงตัวแล้ว!”“ลูกหินของข้าหมดแล้ว! พี่ใหญ่ ท่านเอาที่ข้าให้ไว้มาด้วยหรือเปล่า” ฮัวฮัวแบมือหาพี่สาวทันที ไฉไฉรีบล้วงเสื้อ ปรากฏว่ามีแต่หมั่นโถวตากแดดร่วงลงมาหลายชิ้น “พี่ใหญ่! แล้วก็ชอบห้ามข้ากินของหวานตอนกลางคืน แต่พี่กลับพกติดตัวตอนหนีพวกนักฆ่าออกมาแบบนี้ จะให้ข้าคิดยังไงกัน!”“นี่ทำไมข้าถึงได้พกหมั่นโถวออกมาขนาดนี้เนี่ย ข้าต้องหยิบเสื้อมาผิดตัวแน่ๆ” นางคิดไปถึงเหตุผลว่าทำไมต้องหยิบเสื้อมาใส่ แล้วก็ดันเกิดหน้าแดง เพราะตอนนั้นเกือบได้สานสัมพันธ์กับฟู่เหรินอยู่แล้วเชียว “โอ๊ย! ไม่รู้แล้ว พวกเราหาอาวุธเอาเท่าที่มีรอบตัวสู้ไป
“หา...หมายความว่า...ว้าย!”พรึ่บ!ไฉไฉมัวแต่เถียงกับองค์ชายเลยไม่ทันระวังตัว นางก้าวพลาดลงไปในบ่อที่ขุดไว้ดักสัตว์ แม้จะไม่เจ็บเท่าไรเพราะกลิ้งม้วนตัวลงไปพอดี แต่หลุมนี้ลึกมาก เรียกว่าเป็นความซวยจริงๆ“องค์ชาย! ท่านวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่เท่าไรจะเจอต้นไม้สองง่าม มีกระท่อมของยายเฒ่าตาบอดอยู่ไม่ไกลจากนั้น” นางตะโกนบอกเขาเสียงดัง “ที่นั่นเป็นจุดนัดพบของสายลับกับองครักษ์ ท่านจะปลอดภัย”“ไม่ได้! รอก่อน ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ฟู่เหรินลงไปนอนแนบพื้นแล้วพยายามส่งมือเข้าไปหา “ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ถ้าจะรอด เราต้องรอดไปด้วยกัน!”“โอ๊ย! ท่านนี่โง่จริง ข้าให้ท่านหนีไปก่อนเพราะท่านเป็นตัวถ่วง ยังไม่รู้ตัวอีก” เสียงหญิงสาวแผดขึ้นมา “ท่านมันอ่อนแอจึงเป็นตัวภาระ นี่ข้ามีแผนแล้ว ข้ามีระเบิดพลุติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน ข้าจะยิงใส่พวกมัน แล้วท่านจะมาอยู่แถวนี้ให้เกะกะทำไมเล่า!”หญิงสาวโกหก นางไม่มีของที่ว่า แต่ทำเป็นชูอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา เพื่อให้เขาสบายใจ“ระเบิดพลุอะไรของเจ้าหา นั่นมันหมั่นโถวตากแดดที่เอาไว้ปิ้งกินกับน้ำผึ้งที่น้องสาวชอบไม่ใช่หรือไง แล้วนี่พกมาทำไมเนี่ย!” เขาพูดแบบนั้นนางเลยได้หันดู อ้าวจริงด้วย ไม่ร
โอ๊ย!...อุ้บ!”ไฉไฉดึงหูฟู่เหรินเหมือนที่เห็นหลี่ซูเจินทำเจิ้งห่าวหรานมาตั้งแต่นางจำความได้ ท่านแม่ดึงหูท่านพ่อทีไร ท่านพ่อมีอันได้ยอมแพ้ เพราะมันเจ็บ!มือหนึ่งดึงหู อีกมืออุดปากเขาแน่นไม่ให้ร้อง แต่เพียงครู่เดียวก็ปล่อยมือที่บิดหูออกแล้วไปกระซิบ“ข้างนอกเป็นนักฆ่าที่ตั้งใจลอบฆ่าท่านมาตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว และท่านคงคิดไม่ผิด ฝู่เตี้ยวเป็นหนอนจริงๆ ตอนนี้พวกเราถึงได้ตกอยู่ในอันตราย”“ขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงพวกเราก็คงได้ตาย” ฟู่เหรินได้พูดเป็นคำแรกตนที่เอามือลูบหูตัวเองป้อยๆ คิ้วขมวดตึง มองไปข้างนอกยังเห็นห่ามีดบินอยู่เลย “ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง เจ้าหลบข้างหลังข้าไว้ก็แล้วกัน”กลายเป็นไฉไฉที่คิ้วขมวดไปด้วย เพราะสำหรับนางแล้วฟู่เหรินหาได้เป็นวรยุทธ์ไม่ ซ้ำยังอ่อนแอจนไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากวังหลวงมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ถึงนางไม่เก่งอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็รู้หลักพื้นฐาน และเอาตัวรอดเก่งด้วย “ท่านอยู่ข้างหน้าข้า คงอยากเป็นเป้าเคลื่อนที่กระมัง” นางเอื้อมมือขึ้นไปบนเตียง ควานหาลูกหินของฮัวฮัวอีกชุด ซึ่งมันเป็นชุดสุดท้ายแล้ว “นี่แหละองค์ชาย ท่านคงยังไม่รู้ว่าอะไร ข้าถูกท่านพ่อจับไปฝึกเป็นสา
“ฝู่เตี้ยวคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก” นางบอก หลังคาดการณ์จากสิ่งที่ฮัวฮัวบอกไว้ก่อนกลับบ้านไป พฤติกรรมประหลาดของขันทีน้อย คือเขาชอบหายไปไหนในช่วงที่ฟู่เหรินจะไม่มีทางรับรู้ ฮัวฮัวสะกดรอยตามแบบห่างๆ จึงรู้ว่าฝู่เตี้ยวต้องไปพบใครมาแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน เพราะฝ่ายเดียวกันนี้ก็มีเพียงหน่วยองครักษ์กับคนของเซี่ยงกงกงเท่านั้นเอง ประจวบเหมาะกับที่อยู่ดีๆ ตำแหน่งขององค์ชายถูกเปิดเผย จึงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้เลย นอกจาก... “ฝู่เตี้ยวคือหนอนบ่อนไส้สินะ” ฟู่เหรินพูดขึ้นมาเอง เป็นไฉไฉที่ต้องหันหน้าไปมอง เพราะเขาพูดเหมือนรู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ชายหนุ่มสั่นหน้าด้วยความหดหู่ใจ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฝู่เตี้ยวที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่อายุสิบปีกลับมาหักหลังข้าได้” “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปสืบภายหลัง แต่ตอนนี้...” ข้างนอกเงียบเกินไป ราวกับไม่มีแม้แต่เสียงของสายลมราตรี หญิงสาวล้วงไปใต้เตียงแล้วหยิบดาบที่เป็นอาวุธประจำตัวซึ่งซุกซ่อนไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน “เราต้องรอดไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน ได้โปรดอยู่ข้างหลังข้าก็พอ” “อาหง ท่าทีเจ้าเปลี่ยน หรือว่าความจริง...เจ้ามีสถานะอื่น”
ไม่ทันได้บอกว่าห้ามอะไรด้วยซ้ำเพราะชายหนุ่มไม่ฟัง เขากระโดดขึ้นเตียงมาทำตัวเหมือนเด็กๆ เท่านั้นไม่พอยังชักผ้าขึ้นมาห่ม แล้วเอามือตบปุๆ กับที่นอนข้างกาย “อาหง ลงมานอนเถอะ วันนี้พวกเราก็เหนื่อยกันมามาก เจ้าไม่ง่วงหรือไง” เจ้าตัวพูดไปก็หาวไป แล้วก็ดึงร่างบางให้ลงมานอนเคียงกัน “ฮ้าว...ที่นอนของเจ้าหอมเหลือเกิน ไหนขอดมใกล้ๆ หน่อย อื้ม...ข้าเข้าใจฮัวฮัวแล้วว่าทำไมติดแม่ เพราะแม่ของนางนอกจากจะหอมแล้วยังตัวอุ่นและนุ่มน่ากอดอีกด้วย ดูท่าหากฮัวฮัวกลับมาเมื่อใด คงได้ทะเลาะกับข้าเป็นแน่ เรื่องแย่งกันกอดแม่ของนาง” “ท่านพี่...” ได้แต่ดีดดิ้นและร้องอย่างถอนอกถอนใจ เพราะตอนนี้นางถูกเขาดึงไปกอดหน้าตาเฉย รับรู้ได้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นระรัวของตัวเอง และกายอันอบอุ่นขององค์ชายที่ตอนนี้กดนางให้แนบร่างเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม “ท่านพี่ ข้าหายใจไม่ออกเจ้าค่ะ” “หายใจไม่ออก อย่างนั้นคงต้องช่วยให้หายใจคล่องเสียหน่อย” เขาผละตัวแล้วเชยคางนางขึ้น หญิงสาวเลิกคิ้วงงๆ เพราะอยู่ๆ ดันเกิดตามเขาไม่ทัน “สิ่งนี้มีในตำราแพทย์ เรียกว่าการแลกเปลี่ยนลมปราณ ข้าจะแสดงให้เจ้าดูเอง...” “หือ...อื้อ! อื้อ!”
กลัวเขาไม่รู้ว่านางใส่ใจมากเลยต้องคุยโอ้อวดเสียหน่อย ความจริงแล้วก็เป็นฟู่เหรินนั่นเองที่ตามนางไม่ทัน เพราะไฉไฉนั้นนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มกินน้ำแกงที่ถูกป้อนให้จนเกลี้ยง รู้สึกสบายท้องมาก เพราะเขาก็ไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า ไฉไฉรีบเก็บชาม “ข้าจะไปเตรียมน้ำให้ท่านอาบ ท่านพี่ก็ไปผลัดผ้าได้เลยนะเจ้าคะ” หันไปมองห้องพักคนไข้ชั่วคราว เห็นหญิงชรายังป้อนน้ำข้าวให้ลูกชายยังไม่เสร็จ “ข้าควรไปดูพวกเขา...” “เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าจะไปดูเอง และจะได้ตรวจอาการครั้งสุดท้ายก่อนจะให้ยาระงับปวดด้วย เพราะคนไข้จะได้หลับยาว” ในเมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นจึงแยกกัน ไฉไฉเข้าครัวไปจัดน้ำต้มน้ำหม้อหนึ่ง เห็นฝู่เตี้ยวทำอาหารใกล้เสร็จแล้ว นอกจากผัดผักและน้ำแกง ก็มีปลาย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย มิช้ามินานนัก น้ำอุ่นก็ถูกผสมจนเสร็จสิ้น ไฉไฉมองด้วยความภูมิใจ เรื่องการบ้านการเรือนแบบนี้ท่านยายย่อมเป็นผู้อบรมสั่งสอนอย่างดี ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมาย ได้ผสมน้ำให้องค์ชายอาบเสียที “อ๊ะ ลืมไปเลย ต้องใส่นี่เข้าไปด้วย คิก...” นางหยิบห่อเครื่องหอมออกมาจากอกเสื้อ มันเป็นเครื่องหอมประจำตัวที่ม
“ไฮ้...เจ้าพูดอะไรแบบนั้น ข้าจะรังเกียจทำไมกัน ภรรยาตั้งใจทำให้ขนาดนี้ ข้าต้องดีใจมากอยู่แล้ว” รีบลุกมาแล้วประคองให้นางมานั่ง ก่อนจะเอาผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ “อาหง เจ้าเดินไปมาทั้งวันแล้วก็พูดไม่หยุด คงจะเหนื่อยมาก แล้วยังลำบากมาทำอาหารอีก เรื่องแบบนี้ให้ฝู่เตี้ยวทำให้ได้ เขาถนัด”ปกติคงต้องมีขัดคอกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะขันทีน้อยเห็นด้วย ในสายตาเขาก็ยังคิดว่าคุณหนูเจิ้งเป็นลูกผู้ดีเป็นชนชั้นสูง แต่ทำงานพอๆ กับสาวชาวบ้าน ตอนนี้คงเหนื่อยสายตัวแทบขาดหารู้ไม่ว่าไฉไฉไม่เหมือนคุณหนูบ้านไหน เพราะนางแอบเข้ามาฝึกเป็นสายลับกับหน่วยของบิดาตั้งแต่อายุแปดขวบแล้ว...ก็ตั้งแต่หลังจากพบกับองค์ชายว่าที่คู่หมั้น เจิ้งห่าวหรานก็จับลูกสาวมาฝึกวิชายุทธ์ทันที ทำให้แค่นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเหนื่อยล้าหรือพลังถดถอยได้เลย“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ วันนี้พวกเราทั้งสามคนเหนื่อยเหมือนกันหมด เรื่องแค่นี้ข้าทำได้ อีกอย่างข้ารู้ว่าฝู่เตี้ยวคงต้องกำลังดูแลท่านพี่อยู่ด้วย ข้าเลยไม่ได้เข้ามาปรนนิบัติท่านพี่ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“นั่นสิ ความจริงแม่นางหงควรมาดูแลคุณชาย แล้วบ่าวต่างหากที่ไปทำกับข้าว” ฝู่เตี้ยวลุกขึ