แม้หลี่ซูเจินจะปฏิเสธเสียงแข็งไปในตอนแรกที่ถูกตามให้มาทำงานที่ร้านขายข้าวตระกูลหู แต่พอถูกยื่นข้อเสนอเป็นค่าจ้างจำนวนที่มากโขชนิดที่นางต้องตาลุกวาว หญิงสาวก็เปลี่ยนใจ
“ไฉไฉ วันนี้อยู่บ้านกับท่านตาเล็ก ห้ามก่อกวนให้ท่านวุ่นวายนะจ๊ะ” สั่งเสียลูกสาวอย่างดี แต่ก็ไม่ได้คิดว่านางจะก่อเรื่องได้ เพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จักพวกตน ถึงจะมีคนรู้จักแต่หกปีที่ผ่านผัน ใครๆ ก็คงหลงลืมเรื่องราวของตระกูลหลี่และคุณหนูหลี่ซูเจินไปกันหมดแล้ว “ตอนเย็นแม่จะกลับมา วันนี้แม่จะซื้อไก่ตัวอ้วนๆ มาด้วย เราจะกินไก่กันให้ท้องแตกไปเลย!” “เย้ๆๆ กินไก่” เด็กน้อยดีใจกระโดดโลดเต้นไปทั้งห้อง เหลียงซือยิ้มเอ็นดู เขาไปหาของเล่นของเด็กบ้านอื่นที่เลิกใช้แล้วเอามาให้หลานเล่น อย่างน้อยก็แก้ขัดไปพลางๆ “รีบไปเถอะซูเจิน ไม่ต้องห่วงทางนี้ อาจะดูแลไฉไฉให้เอง” เมื่อไม่มีห่วงอะไรแล้ว หญิงสาวก็รีบมาที่ร้านข้าวตระกูลหู ไม่เจอตาเฒ่าหัวงูแล้ว แต่เจอผู้ชายอีกคนแต่งตัวเป็นคุณชายมานั่งที่คิดเงินแทน เขาเห็นนางแล้วก็ยิ้มแห้งๆ เหมือนเกรงๆ รีบเดินมาต้อนรับ “พี่สาวท่านนี้คงเป็นแม่นางซูเจินที่จะมาทำงานเสมียนเป็นแน่” เขาทักทายก่อน “ข้าชื่อหูเยี่ยนฉาง เป็นคนสกุลหู ต่อไปนี้ข้าจะมาอยู่เฝ้าร้านกับเจ้า ถ้ามีอะไรก็เรียกข้าได้ เช่นถ้ามีลูกค้าใหญ่ๆ หรือเรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจ ข้าจะอยู่ร้านจนกว่าจะถึงตอนปิดร้านเลย” “คุณชายหู เรียกข้าว่าซูเจินเฉยๆ ก็พอเจ้าค่ะ ว่าแต่...ท่านเป็นนายจ้างใช่หรือไม่เจ้าคะ” ถามเพราะยังสับสนกับเรื่องเมื่อวาน ผู้คนมากมายพวกนั้นคือใครกัน “คือเมื่อวานนี้เหมือนมีคนที่น่าจะเป็น...เอ่อ...สำนักคุ้มกันหรือเปล่าเจ้าคะ มาจัดการเรื่องผู้เฒ่าหูให้ ข้าก็เลยสงสัย” “อ้อๆ ใช่ๆ พวกเขา เอ๊ย! ตระกูลหูของเราได้ว่าจ้างสำนักคุ้มกันมาจากทางใต้ เอาไว้ดูเรื่องทุกเรื่องให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย” เขาโกหก แต่ก็เป็นสิ่งที่คนตระกูลหูทุกคนต้องยอมรับและพูดให้ตรงกัน ถ้ายังอยากจะมีชีวิตสุขสบายบนกองเงินกองทองที่สำนักบูรพาให้ “เอาล่ะๆ เลิกคุยเล่นกันได้แล้ว เจ้าไปทำงานเถอะ วันนี้จะมีข้าวเปลือกมาส่งจากพ่อค้าแดนเหนือ เป็นตัวอย่างข้าวที่เสนอให้เราพิจารณา เห็นลุงข้า...หูซีห่าว บอกว่าเจ้ารู้เรื่องประเภทของข้าวเป็นอย่างดี คงจะตรวจสอบได้กระมัง” “ได้แน่นอนเจ้าค่ะสบายใจได้เลย” ซูเจินตอบกลับเสียงสดใส จะมีอะไรดีไปกว่าการได้ใช้ความรู้ความสามารถที่ตนเองมีเพื่อการทำมาหากินอีกเล่า “เชิญคุณชายหูไปนั่งพัก ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เริ่มจากการทำระเบียนประวัติของสินค้าทั้งหมดในร้าน เรียบร้อยแล้วข้าจะส่งให้ตรวจสอบเจ้าค่ะ!” “ทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ขอรับท่านหัวหน้าองครักษ์” หูเยี่ยนฉางรายงานพฤติกรรมทั้งหมดที่คอยจับสังเกตหลี่ซูเจิน แม้จะไม่รู้ว่าหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรจะให้เขานั่งเฝ้าลูกจ้างหญิงทำไม แต่ชายหนุ่มเป็นคนฉลาดมากกว่าลุงของเขาหูซีห่าว เลยคิดว่าหุบปากให้เงียบที่สุด และตอบในสิ่งที่ถูกถามก็พอ ซึ่งเขาคิดถูก “และนี่คือระเบียนร้านค้าที่นางเป็นคนทำขอรับ ถึงข้าน้อยจะดูเหลวไหลไปบ้าง แต่ก็ได้เรียนหนังสือจากสำนักตงฟางจบการศึกษาขั้นสูงสุด ข้าน้อยตรวจสอบสมุดนี้แล้วพบว่านางมีความรู้ความเชี่ยวชาญ และละเอียดรอบคอบมากๆ เลยขอรับ อ้อๆ วันนี้มีพ่อค้าเอาตัวอย่างข้าวมาให้ดูด้วย นางก็สามารถวิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ เลยขอรับ ว่าข้าวแบบนี้น่าจะปลูกที่ไหน คุณภาพแบบนี้เกิดอะไร ความชื้นของของ ไปจนแมลงมอดที่ปะปน นี่ถ้าบอกว่านางเคยคลุกคลีกับของพวกนี้จนเชี่ยวชาญ ข้าน้อยก็จะไม่แปลกใจเลยขอรับ แต่ก็คงจะแปลกอยู่ดี เพราะสตรีที่เป็นชาวบ้าน ไฉนเลยจะรู้ลึกรู้ละเอียด ราวกับคุ้นเคยกับมันมานาน” เจิ้งห่าวหรานรับสมุดระเบียนมาเปิดดู เห็นลายมือที่เขียนอย่างเรียบร้อยแบบบรรจง ตัวอักษรเท่ากันทุกอักขระ ก็พอรู้แล้วว่านางเป็นคนมีการศึกษาจริงๆ “ขอบใจมาก แล้วเจ้าให้ค่าจ้างนางไปแล้วเรียบร้อยดีหรือไม่” “เรียบร้อยดีขอรับ ได้ยินว่านางจะเอาไปซื้อไก่ให้ลูกสาว ข้าน้อยเลยแนะนำให้ไปที่โรงเตี๊ยมเยว่เลี่ยง เพราะพ่อครัวที่นั่นทำไก่ได้อร่อยที่สุด แหมว่าแล้วก็อยากไปร่ำสุราดูสาวๆ ร่ายรำเสียเหลือเกิน...” พูดไปแล้วก็ทำท่าเปรี้ยวปาก โรงเตี๊ยมเยว่เลี่ยงตอนกลางวันคนมักจะไปนั่งกินอาหาร ส่วนกลางคืนก็จะเปิดเป็นโรงเตี๊ยมที่บางครั้งก็จะมีสาวๆ นางรำมาเต้นระบำให้ดู นับว่าเป็นที่เปิดเผยไม่น้อยมิใช่ซ่องโสเภณีแต่อย่างใด แต่กลับไปกระตุกใจเจิ้งห่าวหรานขึ้นมา เพราะที่นั่นคือจุดเกิดเหตุที่เขาได้พรากพรหมจรรย์สตรีปริศนาไปหนึ่งคน! “ข้ากลับแล้ว วันนี้ดีมาก พรุ่งนี้ก็ขอให้ทำตัวปกติ ให้ดีต่อไปเช่นกัน” ชายหนุ่มลุกขึ้น คิดว่าต้องรีบติดตามหญิงสาวไป อย่างน้อยเผื่อจะได้เห็นอะไรดีๆ “ซานตัง เอาระเบียนนี้กลับไปตรวจสอบด้วย และพรุ่งนี้ให้เอามาคืนก่อนที่ร้านข้าวสารตระกูลหูจะเปิด สตรีผู้นั้นจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมระเบียนการค้าหายไป” “ขอรับหัวหน้า แล้วนี่เราจะกลับหน่วยกันเลยหรือไม่ขอรับ” “ไม่ล่ะ เจ้ากับพวกลูกน้องกลับไปเถอะ จัดงานตามที่สั่งให้เรียบร้อย วันนี้คงไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะรายงานความคืบหน้าเรื่องอื่นกับสำนักบูรพาเอง” เขาไม่รอให้ทุกคนแยกย้าย แต่เป็นคนจากไปก่อนคนแรก ตอนนี้ร้อนใจนัก ค่อนข้างมั่นใจว่านางคือหญิงคนนั้นแม้ยังไม่พิสูจน์ ที่สำคัญได้ยินจากหูเยี่ยนฉางแล้วว่าลูกของนางเป็นผู้หญิงและอายุห้าปี ก็อยากจะรีบเจอตอนนี้เลย “เด็กอายุห้าปี ถ้านับจากเหตุการณ์ตอนนั้น นี่ก็ผ่านมาหกปีแล้ว” เขาคิดในใจ “อาจเป็นเด็กที่เกิดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็เป็นได้! ไม่ได้การล่ะ ข้าต้องให้นางยอมรับว่ามันใช่จริงๆ”หลี่ซูเจินกำเงินไปโรงเตี๊ยมเยว่เลี่ยงด้วยความลิงโลดนัก หลายปีมาแล้วที่ไม่ได้จับเงินเยอะขนาดนี้ นับว่าร้านข้าวสารตระกูลหูยังเห็นค่าของฝีมือนางอยู่บ้าง คุณชายหูจึงได้ให้ทั้งค่าจ้างรายวันและเงินพิเศษอีกด้วย ทำให้วันนี้หญิงสาวมีเงินมากพอจะซื้อได้ทั้งเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ไฉไฉ และแน่นอนว่านางไม่ลืมเรื่องไก่ตัวอ้วนๆ ที่สัญญากับลูกไว้ คุณชายหูรู้เข้าเลยแนะนำร้านที่ว่ามีไก่เป็นทีเด็ดให้เลยทีเดียวแต่กว่าจะรู้ตัวว่าได้มายังสถานที่อันไม่คาดคิด ก็เป็นตอนที่นางมาหยุดยืนตรงหน้าประตูพอดี“ที่แท้โรงเตี๊ยมเถียนเยว่ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเตี๊ยมเยว่เลี่ยงนี่เอง” ว่าแล้ว...ในเมืองหลวงแห่งนี้จะมีไก่ที่ไหนอร่อยได้ขนาดที่คนกินแล้วแทบจะเหาะขึ้นสวรรค์ ทำไมนางคิดไม่ถึงกันนะว่ามันก็แค่เปลี่ยนชื่อนิดหน่อย แต่ยังเป็นสถานที่เดิมที่นางมีความทรงจำ “เอาเถอะ ไหนๆ วันหนึ่งก็ต้องมาตามหาผู้ชายคนนั้นที่นี่อยู่แล้ว มิสู้เข้าไปดูลู่ทางเสียตั้งแต่ตอนนี้ เผื่อโชคดี จะได้เจอเขาเลย”พูดไปทั้งที่รู้ว่าหน้าตาของอีกฝ่ายเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ จำได้แค่ไฝ แล้วนี่นางจะต้องจับผู้ชายทั้งโรงเตี๊ยมเปลื้องผ้าหรือไร แค่คิดก็รู้สึกว่าตัวเอ
ความเข้มแข็งทั้งหมดแตกสลายลงไปตรงนั้น ต่อให้วันเวลาผ่านไปจนพบเจอเรื่องราวมากมาย คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น แต่สุดท้ายนางก็ยังเป็นสตรีนางหนึ่งที่ข้างในใจยังเจ็บช้ำไม่เคยจางหาย ยังอ่อนแออยู่ดี เป็นเจิ้งห่าวหรานที่ตามนางมาและกำลังจะเข้ามาทัก แต่เพราะเขาเห็นจางหวังซู่ที่ตอนนี้สำนักบูรพาสั่งให้จับตามองอย่างใกล้ชิดอยู่ที่นี่ด้วยพอดี ทว่ายังไม่ทันทำอะไรก็เห็นหญิงสาวพุ่งเข้าใส่ราวกับมีความเจ็บแค้นต่อกัน “ชู่ว...ใจเย็นๆ” แม้จะเป็นองครักษ์ผู้เย็นชา แต่ว่ากลับอ่อนไหวกับน้ำตาผู้หญิง เขาคลายอ้อมแขนลงแล้วลูบหัวลูบหลังนางอย่างจะปลอบใจ “พวกนั้นไปกันแล้ว ทีนี้เราก็...อุ่ก!” เป็นเรื่องโหดเหี้ยมที่สุดเพราะอยู่ๆ สตรีที่ร้องไห้ก็เตะขาขึ้นมาใส่หว่างขาเขา แม้นางจะทำไม่แรงนักแต่มันก็เจ็บและจุกไม่น้อย นางผลักเขาอย่างแรงจนชายหนุ่มหงายลงไปใส่เก้าอี้ยาวพอดี และยังไม่ทันตั้งตัว นางก็พุ่งเข้าหา กระชากทีเดียวเสื้อเขาก็หลุด มือล้วงเข้าไปที่ท้องน้อยอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยว! แม่นาง นี่เจ้าจะทำอะไร” “ข้าจะทำอะไร” นางถามย้อนกลับ แต่เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาด้วยสายตาลุกวาว ก่อนนิ้วจะจิ้มลง
“ไม่มี!” หญิงสาวสวนกลับไปก่อนด้วยความตกใจเพราะไม่ได้คิดจะบอกเขาอยู่แล้วแต่แรก เพียงครู่เดียวนางก็คิดขึ้นมาได้ว่า...แล้วนายโลมผู้นี้รู้ว่าข้ามีลูกได้อย่างไร? “จะว่าไปหน้าตาเจ้าคุ้นๆ เหมือนข้าเพิ่งเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” ซูเจินครุ่นคิด ก่อนจะเบิกตาลุกโพลง “ใช่แล้ว! เราเจอกันเมื่อวานที่ร้านข้าวสารตระกูลหู นี่เจ้าเป็นนายโลมด้วยและยังทำงานในสำนักคุ้มกันด้วยหรือนี่ แสดงว่าอาชีพให้บริการทางกามของเจ้าคงรายได้ลดน้อยลงแล้วสินะ ข้าเข้าใจๆ อายุมากแล้วก็เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่หนุ่มน้อยเต่งตึงวัยกลัดมันที่มีกำลังวังชาเยอะๆ จะได้เป็นอันดับหนึ่งตลอดไปนี่นา แต่ความจริงเจ้าน่าจะไปทำงานในสำนักคุ้มกันอย่างเดียวเลยจะดีกว่า จะได้เลิกอาชีพที่ไม่มั่นคงอย่างการค้ากาม เพราะมันช่างดูเป็นบุรุษที่ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย...” นางพูดเองเออเองทั้งหมด คิดไปเองได้เก่งมากด้วย เจิ้งห่าวหรานได้แต่ชี้หน้าแต่ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้ กลัวนางวกกลับมาสงสัยว่าเขาทำอาชีพอื่นแล้วจะอธิบายยาก เพราะงานที่เขาทำมันบอกใครได้เสียที่ไหนกัน “เอาเถอะๆ ไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว ความจริงข้ามาเมืองหลวงก็เพื่อตั้งใจจะตามหาเจ้าโดยเฉพาะ” ห
“ลูกพี่ลูกน้องอะไร มันคนละความหมายกับคำว่าลูก” ใครจะไปเชื่อคนที่พูดไปตัวสั่นไปได้กันเล่า แต่ห่าวหรานรู้แล้วว่าบีบไปก็ตายเปล่า เห็นรองหัวหน้าซานตังรายงานเมื่อวานว่าตอนไปแจ้งข่าวรับเข้าทำงานกับนางตามที่อยู่ที่ให้ไว้ นางอยู่กับชายวัยกลางคนท่านหนึ่งที่หน้าตาละม้ายกัน บางทีอาจเป็นน้องชายต่างมารดาของอดีตเสนาบดีหลี่ที่ปลอมตัวด้วยการเปลี่ยนชื่อแซ่ก็ได้ เช่นนั้นก็ดีเลย เพราะเขาจะได้เชิญท่านหลี่ผู้นั้นให้ออกมารับสมบัติทั้งหลายของตระกูลหลี่กลับคืนไป “เอาเถอะๆ เอาไว้คุยกันวันหลัง เอาอย่างนี้ นี่เงินที่ข้ามีติดตัวทั้งหมด ให้เจ้าไว้ก่อน” เขายัดเยียดถุงเงินใส่มือซูเจิน นางรีบเปิดดูก็เห็นว่ามีมากจึงยิ้มดีใจ “ส่วนที่เหลือข้าฝากไว้กับโรงเก็บเงินแต่ตอนนี้มันเลยเวลาทำการไปแล้ว ข้าจะไปเอาเงินออกมาให้พรุ่งนี้ แล้วจะให้เจ้าหมดตามที่เจ้าต้องการ” “พูดง่ายดีนี่ แสดงว่าที่ผ่านมาก็คงรู้สึกผิดสินะ” นางเอ่ยกับเขาแบบนั้น แต่ตัวเองกลับอยู่ๆ รู้สึกละอายใจขึ้นมาเฉยๆ เพราะพื้นฐานไม่ได้เป็นคนเห็นแก่เงิน แต่เพราะสถานการณ์มันบังคับ สุดท้ายนางก็หยิบเงินบางส่วนออกจากถุงนั้นแล้วยัดมือเขากลับคืนไป “จะเอาเงินเจ้าที่พกติดตัวม
ค่ำคืนของมื้ออาหารผ่านไปด้วยความรื่นรมย์ ส่วนซูเจินก็เพิ่งได้รู้ว่าป้าหมินที่ไฉไฉเอ่ยถึง ก็คือพี่สาวคนหนึ่งที่อายุน่าจะมากกว่าซูเจินสักสิบปีได้ นางเป็นหม้ายสามีตายตั้งแต่ยังสาวและขายหมั่นโถวอยู่ร้านข้างๆ ดูท่าอารองจะมีใจไม่น้อย แต่อาจจะเพราะอาสะใภ้เพิ่งจากไปได้ไม่เท่าไร อยู่ๆ จะมีครอบครัวใหม่อาจจะกระดากใจเสียเอง“ข้าว่าอาสะใภ้ไม่โกรธหรอกเจ้าค่ะ” ซูเจินเอ่ยขึ้นตอนไฉไฉไปนั่งเล่นของเล่นคนเดียว “อารอง...อย่าอยู่คนเดียวเลยนะเจ้าคะ ถ้ามีคนอยากจะอยู่ด้วยแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันไปในยามแก่เฒ่าก็ได้เจ้าค่ะ เท่าที่ข้าฟังมา แม่นางหมินคนนี้ ก็ดูจะเข้าที”“นี่แนะ อาแก่แล้ว ไม่อยากมีคู่อีก มันมีแต่ความทุกข์” ทำเป็นบ่นแต่สีหน้ากลับตรงข้าม เห็นหลานทำหน้ากลั้วขำ ก็รู้แล้วว่าถูกจับได้ เลยรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ตัวเองเถอะ ไม่คิดจะหาพ่อให้ไฉไฉบ้างหรือไง หรือที่หมู่บ้านชนบทของพี่สะใภ้ไม่มีผู้ชายที่เข้าท่าเลยสักคน อาว่าหากเจ้าได้เงินทองจากผู้ชายคนนั้นแล้วเมื่อไร กลับบ้านไปก็ลองมองหาผู้ชายดีๆ เถอะ ยังสาวยังแส้ ยังต้องอยู่อีกนาน ควรจะมีสามีเป็นหลักเป็นฐานรู้หรือไม่ อย่างน้อยจะได้มีเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขไ
เมื่อทุกคนได้มานั่งล้อมวงที่โต๊ะอาหารกันเหมือนเดิมแล้ว เพียงแต่คราวนี้มีไฉไฉที่ไม่ยอมห่างพ่อ นางกอดออเซาะและนั่งตักอยู่อย่างนั้น ผู้ใหญ่สามคนก็เลยได้แต่มองหน้ากันไปมาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี“ไม่เห็นซูเจินบอกอาเลยว่าได้เจอกับ...เอ่อ...พ่อของไฉไฉแล้ว” เหลียงซือคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่เลยเริ่มพูดก่อน “หลานชาย เจ้าชื่ออะไร เป็นคนที่ไหน หน้าตาไม่คุ้นเลย”“ข้าชื่อห่าวหรานขอรับ เจิ้งห่าวหราน” แนะนำตัวเสียงดังฟังชัด “ข้าเกิดในตำบลต้าเสียง ย้ายตามบิดามารดามาอยู่เมืองหลวง แต่พวกท่านก็จากไปนานมากแล้ว ข้าไม่มีพี่น้อง อยู่ตัวคนเดียว ตอนนี้ก็ทำงานอยู่ในสำนักคุ้มกัน”เขาย้ำเรื่องอาชีพเป็นครั้งที่สาม ราวกับจะให้มันล้างคำว่านายโลมไปให้หมดสิ้น ชายวัยกลางคนพยักหน้า พิจารณาคนนั่งตรงข้ามอีกที“อาหราน จะว่าไปเจ้าก็ดูสง่างามไม่น้อย สงสัยสำนักคุ้มกันแห่งนี้คงจะมีระเบียบเข้มแข็งเป็นแน่ ฝึกคนได้จนดูเหมือนองครักษ์เสียก็ไม่ปาน ฮ่าๆๆ”“แค่กๆๆ” กลายเป็นห่าวหรานที่สำลักน้ำลาย เหลียงซือแม้จะไม่ได้เป็นขุนน้ำขุนนางและอยู่อย่างเงียบๆ มาตลอด แต่เขาก็มีบิดาและพี่ชายเป็นคนใหญ่คนโต ย่อมใกล้ชิดจนคุ้นเคยกับบุคลิกของคนแบบ
ในที่สุดแผนการของเจิ้งห่าวหรานก็สำเร็จ เขาสามารถแทรกซึมมาอยู่ในบ้านนี้ได้แล้ว และคืนนี้ก็เป็นคืนแรกที่ชายหนุ่มได้นอนเบียดๆ กับสองแม่ลูกบนเตียงแคบๆ แต่ช่างเป็นค่ำคืนที่คนขาดความรักในครอบครัวอย่างเขา รู้สึกอุ่นใจเหลือเกิน“ท่านพ่อ...งืมๆ ท่านพ่อรูปงามที่สุดของไฉไฉ อย่าจากไปไหนอีกนะเจ้าคะ ไฉไฉคิดถึงท่านพ่อ...งืม...” เด็กน้อยที่นอนตรงกลางนอนละเมอไปเรื่อย หันไปกอดแขนผู้เป็นพ่อไปอย่างกลัวว่าตื่นมาเขาจะหาย “นี่ข้าคิดถูกใช่ไหมเนี่ย” ซูเจินบ่นคนเดียว รอจนทุกอย่างในห้องเงียบสงบแล้ว นางจึงค่อยๆ ผินหน้าไปมองคนข้างๆ เห็นหัวกลมๆ ของลูกสาวหันหลังให้ และเห็นใบหน้าครึ่งซีกของห่าวหรานที่สะท้อนกับแสงจันทร์ “รูปงามจริงด้วย...” ดันละเมอเพ้อฝันตามลูก ก่อนจะรีบสลัดหน้าขับไล่ความคิด “รูปงามแล้วไง ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ความจริงถ้าไม่เป็นนายโลมแล้วก็ควรไปมองหาสาวๆ ที่ไหนที่ดีๆ แล้วก็คบหาดูใจ และก็อยู่กินกันไปให้มันจบๆ จะมาวุ่นวายกับข้าทำไม ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้ต้องการอะไรจากเจ้า นอกจากเงิน...”สุดท้ายหลี่ซูเจินก็เคลิ้มหลับไปทั้งที่ความคิดสับสนวุ่นวาย และเมื่อลมหายใจของนางสม่ำเสมอ คนที่นอนหน้ารูปงามสะท้อนแสงจันท
“เหอะๆ” หญิงสาวดันเผลอหลุดหัวเราะ เสียงของนางค่อนไปทางเยาะเย้ย “ไฉไฉกินผักยากอย่างกับอะไร ลองให้นางเห็นผักเป็นใบๆ แบบนี้ ไม่มีทางยอมกินแน่นอน เจ้าไปซอยผักให้ละเอียดเดี๋ยวนี้เลยไป”“แล้วเราจะทำอย่างไรได้” เขาถามไปแต่ก็เห็นว่านางเริ่มตักแป้งใส่ชามตามด้วยน้ำเล็กน้อยแล้วเริ่มนวด เมื่อซูเจินไม่ตอบแต่ทำหน้าดุใส่ เขาเลยไปหั่นผักตามที่นางสั่ง สักพักก็เหมือนจะรู้ขึ้นมาเอง “จะเอาผักใส่ลงไปในแป้งเสียกระมัง!”“ไฉไฉชอบแป้งทอด ข้าจะทำแป้งทอดที่มีผักเป็นส่วนผสม ใส่ลงไปเป็นไส้ แล้วก็ผสมกับเนื้อแป้งด้วย” แม้จะเป็นเรื่องยุ่งยากหลายขั้นตอนไม่น้อย แต่สำหรับคนเป็นแม่ที่แม้จะยากจนเพียงไหน ก็ทำให้ลูกได้เสมอ “กินกับน้ำจิ้มหวาน เป็นสูตรเฉพาะครอบครัวข้า ตอนเด็กๆ ข้าก็ไม่ชอบกินผักเหมือนกัน จนท่านพ่อยอมเข้าครัวและทำแป้งทอดไส้ผักนี้ให้ น้ำจิ้มนี้ก็เป็นตำรับของท่านด้วย มัน...อร่อยมากเหลือเกิน”น้ำตาหยดหนึ่งดันตกลงไปในชามผสมแป้ง ห่าวหรานหันไปมองทันที เห็นซูเจินยกแขนเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา ทว่านางกลับยิ้มให้อย่างขวยเขิน“ขอโทษที พอดีพูดเรื่องท่านพ่อทีไร ข้ามักจะเป็นแบบนี้เสมอ ข้าเลยมักหลีกเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยถึง ข้าสนิทกั
สองปีผ่านไป...หลังจบเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก ก็ใช้เวลาไปเกือบปี ทำให้ฤกษ์หมั้นหมายเสียหาย องค์ชายฟู่เหรินจึงเสนอว่าให้ใช้ฤกษ์อภิเษกไปเลยในคราวเดียว นั่นคือหมั้นและแต่งในวันเดียวกันย่อมไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว เพราะใครๆ ต่างก็อยากให้องค์ชายใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่อไป แต่เป็นเขาเองที่ชิงทูลองค์จักรพรรดิก่อน ว่าไม่ต้องการขึ้นเป็นรัชทายาท“เจ้าเป็นลูกคนโต ถ้าเจ้าไม่เป็นรัชทายาท แล้วเจ้าจะเป็นอะไร”พระบิดาถามเขาในวันนั้น และเขาที่มีพระชายาอยู่เคียงข้าง ก็ตอบทันควัน“กระหม่อมจะเป็นหมอ จะรักษาผู้คนโดยไม่แบ่งแยกฐานะ นี่ก็เป็นการดูแลไพร่ฟ้าในฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นกัน...”องค์จักรพรรดิอยากจะขัด แต่พอเห็นโอรสกับชายาของเขาจับมือกันไว้แน่นราวกับว่าได้ร่วมกันตัดสินใจเรื่องนี้มาทั้งคู่ ก็ได้แต่ระลึกไปถึงพระสนมอิงหลันผู้ล่วงลับ นางไม่เคยมีใครรักชอบให้เขา แต่งงานเพราะหน้าที่ แต่ตลอดเวลานางก็ทำได้ดี กระทั่งอบรมสั่งสอนบุตรก็ยังทำได้ไม่มีบกพร่อง เป็นเขาเองที่กักขังนางไว้ในวังหลวงนี้จนวันตาย“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วก็ไปปกครองเมืองต้าหลี่ก็แล้วกัน” จักรพรรดิพูดถึงเมืองใหญ่ที่สุดที่อย
“ข้าจะไปช่วยเขา สนามพลังแบบนั้นต้องมีคนคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตราย” นางหันไปบอกสองคนข้างหลัง “ท่านพาลูกปลาตัวกลมไปที่บ้านยายเฒ่าตาบอดก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง”“คงไม่ต้องแล้ว” เป็นฮัวฮัวที่พูดขึ้น สายตานางมองไปอีกทางแล้วก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า “ท่านพ่อกับพวกอาๆ มาช่วยพวกเราแล้ว เย้!”เกิดการปะทะระหว่างนักฆ่าลึกลับกับพวกองครักษ์เสื้อแพรที่มากันเต็มรูปแบบ เพราะตอนนี้ได้จัดการภายในราชสำนักเสร็จสิ้น จึงตามออกมากวาดล้างทั้งหมดที่เหลือข้างนอกในคราวเดียว“ถวายการอารักขาองค์ชายใหญ่!” เสียงเจิ้งห่าวหรานหัวหน้าองครักษ์ตะโกนก้อง “ไฉไฉ ฮัวฮัว หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย เร็ว!”เมื่อพ่อสั่งก็มีอย่างเดียวคือห้ามต่อต้าน สามสายลับต่างวัยวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ไกลๆ และคอยดูห่างๆ พวกเขาไม่ได้เก่งต่อสู้สักคน แค่พอมีวิชาและเอาตัวรอดเป็นเท่านั้น ในเมื่อองครักษ์มาแล้ว ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของคนมีความสามารถแล้วกัน“นั่น...เสียงอะไร” เพราะความเป็นคนหูดีที่สุดของไฉไฉทำให้ได้ยินอะไรแปลกๆ นางรู้ทันทีว่ามีคนแอบอยู่แถวนั้นและกำลังจะหนี หันไปมองหน้าน้องสาว เห็นนางจ้องอยู่เช่นกัน แสดงว่ารู้แล้ว “ฮัวฮัว พี่เพิ่งเจอว่าเหลือลู
“นี่เจ้า! ริอ่านติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อตีเจ้าตายแน่ๆ! ตุ่นภูเขา! แล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร พาเด็กห้าขวบมาในสถานที่แบบนี้ ท่านเองก็ต้องถูกลงโทษด้วยแน่นอน!”“โฮ่! แมวพันหน้า อย่าเพิ่งพูดมากเลยดีกว่า ถ้าไม่ได้ข้ากับลูกปลาตัวกลมเมื่อครู่ ท่านเองก็คงไม่เหลือซาก”“นี่พวกเจ้า...พูดอะไรกัน ข้างงไปหมด” ฟู่เหรินที่ฟังสายลับสามคนสามวัยเถียงกันด้วยภาษาอะไรก็ไม่รู้ช่างปวดหัวนัก “เดี๋ยวก่อน ทำไมเราต้องมาเถียงกันในเวลานี้ นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน! พวกนักฆ่าตามมาถึงตัวแล้ว!”“ลูกหินของข้าหมดแล้ว! พี่ใหญ่ ท่านเอาที่ข้าให้ไว้มาด้วยหรือเปล่า” ฮัวฮัวแบมือหาพี่สาวทันที ไฉไฉรีบล้วงเสื้อ ปรากฏว่ามีแต่หมั่นโถวตากแดดร่วงลงมาหลายชิ้น “พี่ใหญ่! แล้วก็ชอบห้ามข้ากินของหวานตอนกลางคืน แต่พี่กลับพกติดตัวตอนหนีพวกนักฆ่าออกมาแบบนี้ จะให้ข้าคิดยังไงกัน!”“นี่ทำไมข้าถึงได้พกหมั่นโถวออกมาขนาดนี้เนี่ย ข้าต้องหยิบเสื้อมาผิดตัวแน่ๆ” นางคิดไปถึงเหตุผลว่าทำไมต้องหยิบเสื้อมาใส่ แล้วก็ดันเกิดหน้าแดง เพราะตอนนั้นเกือบได้สานสัมพันธ์กับฟู่เหรินอยู่แล้วเชียว “โอ๊ย! ไม่รู้แล้ว พวกเราหาอาวุธเอาเท่าที่มีรอบตัวสู้ไป
“หา...หมายความว่า...ว้าย!”พรึ่บ!ไฉไฉมัวแต่เถียงกับองค์ชายเลยไม่ทันระวังตัว นางก้าวพลาดลงไปในบ่อที่ขุดไว้ดักสัตว์ แม้จะไม่เจ็บเท่าไรเพราะกลิ้งม้วนตัวลงไปพอดี แต่หลุมนี้ลึกมาก เรียกว่าเป็นความซวยจริงๆ“องค์ชาย! ท่านวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่เท่าไรจะเจอต้นไม้สองง่าม มีกระท่อมของยายเฒ่าตาบอดอยู่ไม่ไกลจากนั้น” นางตะโกนบอกเขาเสียงดัง “ที่นั่นเป็นจุดนัดพบของสายลับกับองครักษ์ ท่านจะปลอดภัย”“ไม่ได้! รอก่อน ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ฟู่เหรินลงไปนอนแนบพื้นแล้วพยายามส่งมือเข้าไปหา “ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ถ้าจะรอด เราต้องรอดไปด้วยกัน!”“โอ๊ย! ท่านนี่โง่จริง ข้าให้ท่านหนีไปก่อนเพราะท่านเป็นตัวถ่วง ยังไม่รู้ตัวอีก” เสียงหญิงสาวแผดขึ้นมา “ท่านมันอ่อนแอจึงเป็นตัวภาระ นี่ข้ามีแผนแล้ว ข้ามีระเบิดพลุติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน ข้าจะยิงใส่พวกมัน แล้วท่านจะมาอยู่แถวนี้ให้เกะกะทำไมเล่า!”หญิงสาวโกหก นางไม่มีของที่ว่า แต่ทำเป็นชูอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา เพื่อให้เขาสบายใจ“ระเบิดพลุอะไรของเจ้าหา นั่นมันหมั่นโถวตากแดดที่เอาไว้ปิ้งกินกับน้ำผึ้งที่น้องสาวชอบไม่ใช่หรือไง แล้วนี่พกมาทำไมเนี่ย!” เขาพูดแบบนั้นนางเลยได้หันดู อ้าวจริงด้วย ไม่ร
โอ๊ย!...อุ้บ!”ไฉไฉดึงหูฟู่เหรินเหมือนที่เห็นหลี่ซูเจินทำเจิ้งห่าวหรานมาตั้งแต่นางจำความได้ ท่านแม่ดึงหูท่านพ่อทีไร ท่านพ่อมีอันได้ยอมแพ้ เพราะมันเจ็บ!มือหนึ่งดึงหู อีกมืออุดปากเขาแน่นไม่ให้ร้อง แต่เพียงครู่เดียวก็ปล่อยมือที่บิดหูออกแล้วไปกระซิบ“ข้างนอกเป็นนักฆ่าที่ตั้งใจลอบฆ่าท่านมาตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว และท่านคงคิดไม่ผิด ฝู่เตี้ยวเป็นหนอนจริงๆ ตอนนี้พวกเราถึงได้ตกอยู่ในอันตราย”“ขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงพวกเราก็คงได้ตาย” ฟู่เหรินได้พูดเป็นคำแรกตนที่เอามือลูบหูตัวเองป้อยๆ คิ้วขมวดตึง มองไปข้างนอกยังเห็นห่ามีดบินอยู่เลย “ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง เจ้าหลบข้างหลังข้าไว้ก็แล้วกัน”กลายเป็นไฉไฉที่คิ้วขมวดไปด้วย เพราะสำหรับนางแล้วฟู่เหรินหาได้เป็นวรยุทธ์ไม่ ซ้ำยังอ่อนแอจนไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากวังหลวงมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ถึงนางไม่เก่งอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็รู้หลักพื้นฐาน และเอาตัวรอดเก่งด้วย “ท่านอยู่ข้างหน้าข้า คงอยากเป็นเป้าเคลื่อนที่กระมัง” นางเอื้อมมือขึ้นไปบนเตียง ควานหาลูกหินของฮัวฮัวอีกชุด ซึ่งมันเป็นชุดสุดท้ายแล้ว “นี่แหละองค์ชาย ท่านคงยังไม่รู้ว่าอะไร ข้าถูกท่านพ่อจับไปฝึกเป็นสา
“ฝู่เตี้ยวคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก” นางบอก หลังคาดการณ์จากสิ่งที่ฮัวฮัวบอกไว้ก่อนกลับบ้านไป พฤติกรรมประหลาดของขันทีน้อย คือเขาชอบหายไปไหนในช่วงที่ฟู่เหรินจะไม่มีทางรับรู้ ฮัวฮัวสะกดรอยตามแบบห่างๆ จึงรู้ว่าฝู่เตี้ยวต้องไปพบใครมาแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน เพราะฝ่ายเดียวกันนี้ก็มีเพียงหน่วยองครักษ์กับคนของเซี่ยงกงกงเท่านั้นเอง ประจวบเหมาะกับที่อยู่ดีๆ ตำแหน่งขององค์ชายถูกเปิดเผย จึงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้เลย นอกจาก... “ฝู่เตี้ยวคือหนอนบ่อนไส้สินะ” ฟู่เหรินพูดขึ้นมาเอง เป็นไฉไฉที่ต้องหันหน้าไปมอง เพราะเขาพูดเหมือนรู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ชายหนุ่มสั่นหน้าด้วยความหดหู่ใจ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฝู่เตี้ยวที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่อายุสิบปีกลับมาหักหลังข้าได้” “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปสืบภายหลัง แต่ตอนนี้...” ข้างนอกเงียบเกินไป ราวกับไม่มีแม้แต่เสียงของสายลมราตรี หญิงสาวล้วงไปใต้เตียงแล้วหยิบดาบที่เป็นอาวุธประจำตัวซึ่งซุกซ่อนไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน “เราต้องรอดไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน ได้โปรดอยู่ข้างหลังข้าก็พอ” “อาหง ท่าทีเจ้าเปลี่ยน หรือว่าความจริง...เจ้ามีสถานะอื่น”
ไม่ทันได้บอกว่าห้ามอะไรด้วยซ้ำเพราะชายหนุ่มไม่ฟัง เขากระโดดขึ้นเตียงมาทำตัวเหมือนเด็กๆ เท่านั้นไม่พอยังชักผ้าขึ้นมาห่ม แล้วเอามือตบปุๆ กับที่นอนข้างกาย “อาหง ลงมานอนเถอะ วันนี้พวกเราก็เหนื่อยกันมามาก เจ้าไม่ง่วงหรือไง” เจ้าตัวพูดไปก็หาวไป แล้วก็ดึงร่างบางให้ลงมานอนเคียงกัน “ฮ้าว...ที่นอนของเจ้าหอมเหลือเกิน ไหนขอดมใกล้ๆ หน่อย อื้ม...ข้าเข้าใจฮัวฮัวแล้วว่าทำไมติดแม่ เพราะแม่ของนางนอกจากจะหอมแล้วยังตัวอุ่นและนุ่มน่ากอดอีกด้วย ดูท่าหากฮัวฮัวกลับมาเมื่อใด คงได้ทะเลาะกับข้าเป็นแน่ เรื่องแย่งกันกอดแม่ของนาง” “ท่านพี่...” ได้แต่ดีดดิ้นและร้องอย่างถอนอกถอนใจ เพราะตอนนี้นางถูกเขาดึงไปกอดหน้าตาเฉย รับรู้ได้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นระรัวของตัวเอง และกายอันอบอุ่นขององค์ชายที่ตอนนี้กดนางให้แนบร่างเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม “ท่านพี่ ข้าหายใจไม่ออกเจ้าค่ะ” “หายใจไม่ออก อย่างนั้นคงต้องช่วยให้หายใจคล่องเสียหน่อย” เขาผละตัวแล้วเชยคางนางขึ้น หญิงสาวเลิกคิ้วงงๆ เพราะอยู่ๆ ดันเกิดตามเขาไม่ทัน “สิ่งนี้มีในตำราแพทย์ เรียกว่าการแลกเปลี่ยนลมปราณ ข้าจะแสดงให้เจ้าดูเอง...” “หือ...อื้อ! อื้อ!”
กลัวเขาไม่รู้ว่านางใส่ใจมากเลยต้องคุยโอ้อวดเสียหน่อย ความจริงแล้วก็เป็นฟู่เหรินนั่นเองที่ตามนางไม่ทัน เพราะไฉไฉนั้นนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มกินน้ำแกงที่ถูกป้อนให้จนเกลี้ยง รู้สึกสบายท้องมาก เพราะเขาก็ไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า ไฉไฉรีบเก็บชาม “ข้าจะไปเตรียมน้ำให้ท่านอาบ ท่านพี่ก็ไปผลัดผ้าได้เลยนะเจ้าคะ” หันไปมองห้องพักคนไข้ชั่วคราว เห็นหญิงชรายังป้อนน้ำข้าวให้ลูกชายยังไม่เสร็จ “ข้าควรไปดูพวกเขา...” “เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าจะไปดูเอง และจะได้ตรวจอาการครั้งสุดท้ายก่อนจะให้ยาระงับปวดด้วย เพราะคนไข้จะได้หลับยาว” ในเมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นจึงแยกกัน ไฉไฉเข้าครัวไปจัดน้ำต้มน้ำหม้อหนึ่ง เห็นฝู่เตี้ยวทำอาหารใกล้เสร็จแล้ว นอกจากผัดผักและน้ำแกง ก็มีปลาย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย มิช้ามินานนัก น้ำอุ่นก็ถูกผสมจนเสร็จสิ้น ไฉไฉมองด้วยความภูมิใจ เรื่องการบ้านการเรือนแบบนี้ท่านยายย่อมเป็นผู้อบรมสั่งสอนอย่างดี ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมาย ได้ผสมน้ำให้องค์ชายอาบเสียที “อ๊ะ ลืมไปเลย ต้องใส่นี่เข้าไปด้วย คิก...” นางหยิบห่อเครื่องหอมออกมาจากอกเสื้อ มันเป็นเครื่องหอมประจำตัวที่ม
“ไฮ้...เจ้าพูดอะไรแบบนั้น ข้าจะรังเกียจทำไมกัน ภรรยาตั้งใจทำให้ขนาดนี้ ข้าต้องดีใจมากอยู่แล้ว” รีบลุกมาแล้วประคองให้นางมานั่ง ก่อนจะเอาผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ “อาหง เจ้าเดินไปมาทั้งวันแล้วก็พูดไม่หยุด คงจะเหนื่อยมาก แล้วยังลำบากมาทำอาหารอีก เรื่องแบบนี้ให้ฝู่เตี้ยวทำให้ได้ เขาถนัด”ปกติคงต้องมีขัดคอกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะขันทีน้อยเห็นด้วย ในสายตาเขาก็ยังคิดว่าคุณหนูเจิ้งเป็นลูกผู้ดีเป็นชนชั้นสูง แต่ทำงานพอๆ กับสาวชาวบ้าน ตอนนี้คงเหนื่อยสายตัวแทบขาดหารู้ไม่ว่าไฉไฉไม่เหมือนคุณหนูบ้านไหน เพราะนางแอบเข้ามาฝึกเป็นสายลับกับหน่วยของบิดาตั้งแต่อายุแปดขวบแล้ว...ก็ตั้งแต่หลังจากพบกับองค์ชายว่าที่คู่หมั้น เจิ้งห่าวหรานก็จับลูกสาวมาฝึกวิชายุทธ์ทันที ทำให้แค่นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเหนื่อยล้าหรือพลังถดถอยได้เลย“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ วันนี้พวกเราทั้งสามคนเหนื่อยเหมือนกันหมด เรื่องแค่นี้ข้าทำได้ อีกอย่างข้ารู้ว่าฝู่เตี้ยวคงต้องกำลังดูแลท่านพี่อยู่ด้วย ข้าเลยไม่ได้เข้ามาปรนนิบัติท่านพี่ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“นั่นสิ ความจริงแม่นางหงควรมาดูแลคุณชาย แล้วบ่าวต่างหากที่ไปทำกับข้าว” ฝู่เตี้ยวลุกขึ