“หืม มีอะไรหรืออาหง ข้าตกใจหมด” ชายหนุ่มที่ถูกพาให้ก้มลงหันไปมองแบบงงๆ เพราะอยู่ๆ หญิงสาวเล่นกระแทกหลังเขาอย่างแรง แต่นางกลับยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไร“ข้าสะดุดเจ้าค่ะท่านพี่ แหมนี่ถ้าคว้าไม่ทัน ข้าคงล้มหน้าคะมำไปแล้ว ข้านี่ซุ่มซ่ามเหลือเกิน ฮิฮิ” หัวเราะเคอะเขิน แต่ชายหนุ่มกลับสั่นหน้าอย่างเอ็นดู ลูบไหล่ลูบหลังอย่างจะปลอบใจ“ไม่เป็นไร คราวหน้าก็ระวังหน่อย เจ้าทำงานหนักมาตลอดเลยร่างกายไม่แข็งแรง ก็ไม่แปลกที่อาจจะแข้งขาอ่อนแรงบ้าง ดูท่าต่อไปเดินไปไหนข้าคงต้องจูงมือเจ้าไว้แล้ว อาหง ข้าควรทะนุถนอมเจ้าให้มากๆ”“แหะๆ เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่นะเจ้าคะ” นางตอบรับตอนเขาโอบหลัง แต่สายตากลับมองไปยังต้นไม้ที่สูงระดับเดียวกับศีรษะเขา เมื่อครู่หากไม่เพราะนางไปกดร่างเขาลงไป มีดบินเล่มนั้นคงได้ปักกลางหัวเขาแทนฮัวฮัวเห็นสายตาพี่สาวก็รู้ว่าไม่ปกติ เลยแอบเหลือบๆ หันไปมองตามบ้าง แค่เพียงเห็นด้ามมีดเท่านั้น เด็กหญิงก็หุบปากแน่น งานสายลับที่พี่สาวให้นางมาช่วยได้ไม่ค่อยได้เสี่ยงอันตรายนัก ส่วนใหญ่เป็นการหาข่าวและปลอมตัวมากกว่า แต่พอรู้ว่านี่มันเริ่มจะอันตรายแล้ว เด็กน้อยก็เริ่มปากเบะจะร้องไห้อยากกลับบ้าน แต่จำใ
“เจ้าเข้าใจถูกต้อง ความจริงบ้านข้าค่อนข้างเป็นคนใหญ่คนโตไม่น้อย และถ้าข้ารับสืบทอดต่อจากท่านพ่อ มันก็จะเป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มเด็ดดอกไม้ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แล้วเริ่มถักทอไปเรื่อยๆ “อาหง เจ้าอย่าโกรธข้าเลย ถ้าข้าทำได้ข้าก็จะปฏิเสธที่จะรับช่วงต่อจากท่านพ่อ ซึ่งมันจะทำให้ข้าไม่ได้มีสถานะเป็นผู้สูงส่ง ไม่มีเงินทองมากมายมาปรนเปรอเจ้า แต่ก็เพราะข้าคิดว่า...ข้าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ คนเป็นผู้นำต้องเด็ดขาดและเหี้ยมโหด ข้าใจอ่อนเกินไป จึงชอบที่จะเป็นหมอปรุงยารักษาชาวบ้านมากกว่า เวลาที่ข้ารักษาใครได้แล้วเขาขอบคุณข้าด้วยความซาบซึ้ง ข้ากลับรู้สึกว่าช่วงเวลาแบบนั้นต่างหากที่ชีวิตข้ามีคุณค่า ข้า...ไม่อยากอยู่บนหอคอย”คงเพราะได้เริ่มพูด ก็เลยพูดความในใจเสียมาก ไฉไฉพยายามรักษาใบหน้าที่ยังแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม แต่หัวใจกลับรู้สึกประหลาด มันไหวหวิวพิกล“ข้าก็ว่าท่านพี่ใจอ่อนเกินไปจริงๆ เจ้าค่ะ ไม่สิ ต้องเรียกว่าใจดีมากกว่า เมื่อครู่ตอนอยู่ในหมู่บ้าน ท่านพี่ก็ไปนั่งคุยกับคนจรอยู่นาน แล้วยังแนะนำให้เขาเก็บสมุนไพรอย่างหนึ่งไว้ต้มกินบำรุงกำลังด้วย ท่านเจอใครก็คอยแต่จะสังเกตอาการทำเหมือนตรวจรักษาโรคเขาไปหมด คนอย่
“องค์ชาย หม่อมฉันยังไม่เข้าใจว่าอภิเษกแปลว่าอะไร แต่ท่านยายบอกว่า มันแปลว่าเมื่อหม่อมฉันโตขึ้น จะต้องอยู่กับองค์ชายไปชั่วชีวิต” นั่นคือคำพูดเจื้อยแจ้วของคุณหนูเจิ้งในวัยแปดขวบ วันงานเลี้ยงนั่น นางกินขนมที่พระสนมเอกอิงหลันจัดการให้จนอิ่มแปล้แล้วก็เริ่มง่วง ลงไปนอนตะแคงอยู่กับแมวจอมขี้เกียจของพระสนม ท่าทางเกียจคร้านพอกัน “ฮ้าว...องค์ชาย ท่านยายบอกหม่อมฉันว่าต้องอภิเษกตามพระราชโองการให้ได้ วันหน้าจะได้ไม่มีใครกล้าทำอะไรตระกูลหลี่ของท่านแม่อีก ท่านยายบอกว่าก่อนข้าจะเกิดได้เคยมีคำสั่งล้มล้างตระกูลหลี่ไปแล้วครั้งหนึ่ง และได้รับการสถาปนาให้กลับขึ้นมาใหม่ การอภิเษกของหม่อมฉันกับองค์ชายนี้ จะทำให้ตระกูลหลี่เข้มแข็งขึ้น หม่อมฉันฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ฮ้าว...”พูดไปหาวไปเหมือนแมวหง่าวพุงโตๆ ไม่มีผิด คุณหนูเจิ้งพูดอะไรไปย่อมไม่เข้าใจความหมายพวกนั้น แต่องค์ชายฟู่เหรินฟังแล้วเข้าใจได้ทุกคำ“เป็นเช่นนั้นเอง” เขาทวนคำเบาๆ “นี่แนะคุณหนูเจิ้ง โตขึ้นอีกหน่อยเจ้าคงรู้เองว่าสิ่งที่พูดมามันแปลว่าอะไร แต่ข้าขอบอกไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ว่าหากทำได้เจ้าควรหาทางทำให้หัวหน้าเจิ้งผู้เป็นพ่อของเจ้า หาทางยับยั้งพ
ไฉไฉมาถึงบ้านยายเฒ่าที่ว่า ก็เจอนางนั่งทอผ้าอยู่หน้าบ้าน หญิงสาวเดินผ่านยายแก่ตาบอดไปโดยไม่ได้ทัก เข้าบ้านไปแล้วก็ปิดประตูมิดชิด ก่อนจะไปเปิดประตูลับที่อยู่หลังเตาไฟ แล้วมุดเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็วมันเป็นห้องใต้ดินแบบง่ายๆ ห้องหนึ่ง โดยปกติแล้วสำนักบูรพามักทุ่มเงินไว้ซื้อตระกูลผู้ดีที่ยากจนหรือไม่ก็กระท่อมของชาวบ้านที่ไม่ได้มีจุดเด่นน่าสนใจไว้ทำเป็นฐานลับเสมอ และบ้านของยายเฒ่าตาบอดก็เช่นกัน คือความจริงแกได้รับเงินค่าปิดปากมาแล้วจนร่ำรวยมาก แต่หน้าที่ของแกคือต้องแสร้งทำตัวยากจนและทอผ้าอยู่หน้าบ้านเสมอ เพื่อไม่ให้ใครผิดสังเกตได้ และจะได้มองแกเหมือนว่าเป็นคนแก่ทั่วไป“อาซานตัง ท่านมาเองเลยหรือเจ้าคะ นึกว่าจะให้ท่านอาคนอื่นมาเหมือนแต่ก่อนซะอีก” ไฉไฉทักทายทันทีที่เห็นหน้ารองหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรที่เป็นลูกน้องของพ่อ และเป็นคนสอนวิชาการปลอมตัวเป็นสายลับให้นางด้วย “อามาก็ดีแล้ว ข้ามีข่าวสำคัญจะแจ้ง ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้ที่อยู่ขององค์ชายแล้วแน่ๆ วันนี้มีนักฆ่าเกือบเล่นงานได้สำเร็จ ดูเหมือนตอนนี้มันจะอันตรายกว่าที่คิด ข้าเห็นที่ด้ามมีดบินสลักเป็นรูปหงส์”“อาก็มาเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน” ซา
กลับมาถึงบ้านปรากฏว่าฮัวฮัวหลับไปเรียบร้อยแล้วและนอนบนเตียงเล็กของตัวเองที่ตอนแรกงอแงไม่ยอมนอน ในบ้านมีเพียงแสงตะเกียงดวงหนึ่ง ส่วนฟู่เหรินออกมานั่งรอนางหน้าบ้าน แต่มีโคมไฟอยู่ข้างๆ เหมือนเตรียมจะออกไปตามหาแล้ว“ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวทำเสียงอ่อนเสียงหวาน วางตะกร้าบรรจุผ้าทอของยายเฒ่าลงข้างๆ เขา “ข้าสั่งผ้าทอไว้ พรุ่งนี้ตั้งใจจะตัดเย็บชุดใหม่ ความจริงไปพรุ่งนี้ก็ได้แต่ข้าใจร้อนไปหน่อย แล้วก็...เอ้อ พอดีได้เจอกับคนจากบ้านบิดาข้า เลยได้รู้ว่าท่านพ่อไม่ได้โกรธอะไรข้าแล้วที่หย่าร้างกับสามีที่ท่านหาให้ ก็เลยอยากจะ...อ่า...อยากจะให้ฮัวฮัวไปเที่ยวเล่นที่บ้านเสียหน่อย พรุ่งนี้จะมีคนมารับไปเจ้าค่ะ"สบโอกาสพอดีก็เลยแต่งเรื่องบอกให้เขารู้ว่าฮัวฮัวจะไม่อยู่ แต่ฟู่เหรินกลับคว้ามือนางขึ้นมา“อย่างนั้นพวกเรามิสู้ไปพร้อมฮัวฮัวไปเลย ข้าจะได้แนะนำตัวกับท่านพ่อตาด้วย ว่าต่อไปนี้ข้าจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง”“แหะๆๆ เอาไว้วันหลังก็ได้เจ้าค่ะ” ไฉไฉคิดไปถึงบิดาตัวจริงของตัวเอง แม้ท่านพ่อจะบอกว่าดีแล้วที่นางได้เป็นว่าที่พระชายา แต่ลึกๆ ก็รู้ว่าท่านพ่อไม่ได้ชอบหน้าองค์ชายเท่าไรนัก อาจจะเพราะเขาไม่เป็น
“คิด...อะไรเจ้าคะ” ไฉไฉกะพริบตาปริบๆ ค่อยพวงแก้มจะค่อยๆ ระเรื่อขึ้นสี เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าสิ่งที่อยู่ในหัว มันไม่ได้เป็นความลับแล้ว เพราะนางเล่นพูดไปหมดทุกคำ “ท่านพี่ ข้าง่วงนอนแล้ว ขอไปนอนดีกว่า ข้าจะ...อุ๊ย!”ไม่มีโอกาสได้หนี เพราะฟู่เหรินไม่ยอมปล่อย เขาใช้วงแขนกั้นนางไว้ และแม้ความจริงด้วยความสามารถของหญิงสาวย่อมเอาตัวรอดได้ แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมมันอ่อนปวกเปียกไปหมด รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย“อาหง...” ชายหนุ่มเรียกอีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำเสียงและแววตาเปลี่ยน “ข้าดูรูปงามปานนั้น จนเจ้าถึงขั้นอยากข่มเหง มันแปลว่าอะไรกัน”จะให้แปลว่าอะไรได้อีก เพราะมันก็คำพูดที่ตรงตัว ไฉไฉเลื่อนสายตาหนีเพราะไม่กล้ามองหน้าเขา แต่ฟู่เหรินไม่ปล่อย จับปลายคางของนางให้หันหน้ากลับมามองกันตรงๆสายลมราตรีพัดผ่าน ตอนนี้บรรยากาศช่างเป็นใจนัก แสงสลัวอันเกิดจากโคมไฟที่อยู่ข้างๆ ย้อมให้ใบหน้าของทั้งคู่เหมือนมีแสงสีทองบางๆ ฉาบเคลือบ และมันขับเน้นให้สันกรามไปจนจมูกปากคิ้วคางของฟู่เหรินดูโดดเด่นเหลือเกิน“เหมือนคืนนั้นไม่มีผิด” ไฉไฉละเมอ คิดไปถึงตอนอายุสิบสาม เมื่อครั้งเป็นสาวน้อยแรกรุ่นดรุณีที่แอบอ่านหนังสื
นางล้วงถุงใบย่อมที่ซุกไว้กับเอวขึ้นมาชูให้พี่สาวดูอย่างภาคภูมิใจ ท่าทางแบบนั้นทำไฉไฉหลุดหัวเราะออกมาได้“โถ...เจ้าลูกหินอาวุธลับของเจ้า ที่ให้ลู่ซือฝนให้นะหรือ” นางหมายถึงน้องชายคนถัดจากตน เจิ้งลู่ซือ หนุ่มน้อยที่ไม่ชอบศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง เขาชอบท่องตำรามากกว่า นัยว่าโตขึ้นจะได้เข้ารับราชการกรมคลังเหมือนท่านตาผู้ล่วงลับ “แล้วถ้าเจ้าให้อาวุธลับไว้กับพี่ ถ้าเกิดเจ้ากลับไปแล้วเกิดอันตรายขึ้นมา จะเอาอาวุธลับที่ไหนปกป้องตัวเองได้กัน"“ไม่เห็นเป็นไรเลยเจ้าค่ะ ข้าจะไปขอให้พี่รองทำให้ใหม่ อย่างไรเสียเขาก็ไม่รู้จะทำอะไรเพื่อแก้ง่วงเวลาท่องตำราอยู่แล้วนี่เจ้าคะ ก็ให้พี่รองฝนลูกหินให้ข้าไปพลางๆ เวลาง่วงๆ ไม่นานเดี๋ยวข้าก็ได้ลูกหินชุดใหม่เต็มถุงแล้วเจ้าค่ะ!”สงสารน้องรองแต่ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมไปแล้วกัน ฮัวฮัวเอาถุงใบนั้นไปซุกไว้ใต้หมอนแล้วตบปุๆ ทำนองว่าให้มันอยู่ดีๆ“ข้าซ่อนไว้ตรงนี้นะเจ้าคะ ใต้หมอนพี่ใหญ่ ถ้าเกิดฉุกเฉินอะไร พี่ใหญ่อย่าลืมลูกหินของข้านะเจ้าคะ เผื่อมันจะช่วยให้พี่รอดตาย แค่กำขึ้นมาแล้วซัดด้วยท่าก้อนหินดีดดึ๋งที่อาซานตังเคยสอน เท่านั้นก็เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!”ฮัวฮัวไม่รู้เลยว่า
เพิงที่ต่อเติมเพื่อให้เป็นที่ตรวจรักษาโรคถูกสร้างอย่างง่ายๆ เลยใช้เวลาไม่นานมาก ฟู่เหรินหยิบก้อนทองเตรียมจ่ายแต่ถูกไฉไฉผลักกลับไปแล้วหยิบเงินเหรียญในถุงของเขามาจ่ายแทน ค่าแรงแบบนี้มันไม่ได้สูงขนาดต้องชำระให้คนรับจ่ายด้วยตำลึงทอง“ต่อไปเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ให้ข้าจัดการดีกว่าเจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้ รู้สึกคุ้นๆ กับสถานการณ์แบบนี้ว่าเคยเห็นที่ไหนบ่อยๆ แล้วก็เพิ่งนึกได้ ว่านี่มันนิสัยแม่ตัวเองชัดๆ เจิ้งฮูหยินริบเงินสามีตั้งแต่แรกที่ยังไม่รับเขาเป็นสามี จวบจนปัจจุบัน “เอาถุงเงินท่านมาให้ข้าเก็บดีกว่าเจ้าค่ะ ข้ากลัวท่านพี่จะคอยหยิบแต่ก้อนทองอีก เป็นชาวบ้านที่มีชีวิตแบบธรรมดาๆ เราไม่ต้องใช้เงินมากมายขนาดนั้นหรอกนะเจ้าคะ"“อ้อ เป็นเช่นนั้นเอง อย่างนั้นเจ้าเอาไปเลย” คงเป็นบุญของผู้หญิงบ้านนี้ที่พวกผู้ชายยอมยกเงินทองให้ทั้งหมด ไฉไฉรีบเอามาเก็บก่อนอย่างรวดเร็ว องค์ชายคงไม่รู้ว่าเงินตำลึงทองก้อนเดียวแทบจะสร้างกระท่อมได้เจ็ดแปดหลัง ได้ยินเสียงตุ้บๆ มาจากหน้าบ้าน เห็นฮัวฮัวกำลังวิ่งมาหน้าตาตื่น “มีคนเจ็บมาเจ้าค่ะ เลือดเต็มไปหมดเลย!” เด็กน้อยพูดเรื่องน่ากลัวได้หน้าตาเฉย เป็นสายลับจะไปกลัวเลือดได้
สองปีผ่านไป...หลังจบเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก ก็ใช้เวลาไปเกือบปี ทำให้ฤกษ์หมั้นหมายเสียหาย องค์ชายฟู่เหรินจึงเสนอว่าให้ใช้ฤกษ์อภิเษกไปเลยในคราวเดียว นั่นคือหมั้นและแต่งในวันเดียวกันย่อมไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว เพราะใครๆ ต่างก็อยากให้องค์ชายใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่อไป แต่เป็นเขาเองที่ชิงทูลองค์จักรพรรดิก่อน ว่าไม่ต้องการขึ้นเป็นรัชทายาท“เจ้าเป็นลูกคนโต ถ้าเจ้าไม่เป็นรัชทายาท แล้วเจ้าจะเป็นอะไร”พระบิดาถามเขาในวันนั้น และเขาที่มีพระชายาอยู่เคียงข้าง ก็ตอบทันควัน“กระหม่อมจะเป็นหมอ จะรักษาผู้คนโดยไม่แบ่งแยกฐานะ นี่ก็เป็นการดูแลไพร่ฟ้าในฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นกัน...”องค์จักรพรรดิอยากจะขัด แต่พอเห็นโอรสกับชายาของเขาจับมือกันไว้แน่นราวกับว่าได้ร่วมกันตัดสินใจเรื่องนี้มาทั้งคู่ ก็ได้แต่ระลึกไปถึงพระสนมอิงหลันผู้ล่วงลับ นางไม่เคยมีใครรักชอบให้เขา แต่งงานเพราะหน้าที่ แต่ตลอดเวลานางก็ทำได้ดี กระทั่งอบรมสั่งสอนบุตรก็ยังทำได้ไม่มีบกพร่อง เป็นเขาเองที่กักขังนางไว้ในวังหลวงนี้จนวันตาย“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วก็ไปปกครองเมืองต้าหลี่ก็แล้วกัน” จักรพรรดิพูดถึงเมืองใหญ่ที่สุดที่อย
“ข้าจะไปช่วยเขา สนามพลังแบบนั้นต้องมีคนคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตราย” นางหันไปบอกสองคนข้างหลัง “ท่านพาลูกปลาตัวกลมไปที่บ้านยายเฒ่าตาบอดก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง”“คงไม่ต้องแล้ว” เป็นฮัวฮัวที่พูดขึ้น สายตานางมองไปอีกทางแล้วก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า “ท่านพ่อกับพวกอาๆ มาช่วยพวกเราแล้ว เย้!”เกิดการปะทะระหว่างนักฆ่าลึกลับกับพวกองครักษ์เสื้อแพรที่มากันเต็มรูปแบบ เพราะตอนนี้ได้จัดการภายในราชสำนักเสร็จสิ้น จึงตามออกมากวาดล้างทั้งหมดที่เหลือข้างนอกในคราวเดียว“ถวายการอารักขาองค์ชายใหญ่!” เสียงเจิ้งห่าวหรานหัวหน้าองครักษ์ตะโกนก้อง “ไฉไฉ ฮัวฮัว หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย เร็ว!”เมื่อพ่อสั่งก็มีอย่างเดียวคือห้ามต่อต้าน สามสายลับต่างวัยวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ไกลๆ และคอยดูห่างๆ พวกเขาไม่ได้เก่งต่อสู้สักคน แค่พอมีวิชาและเอาตัวรอดเป็นเท่านั้น ในเมื่อองครักษ์มาแล้ว ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของคนมีความสามารถแล้วกัน“นั่น...เสียงอะไร” เพราะความเป็นคนหูดีที่สุดของไฉไฉทำให้ได้ยินอะไรแปลกๆ นางรู้ทันทีว่ามีคนแอบอยู่แถวนั้นและกำลังจะหนี หันไปมองหน้าน้องสาว เห็นนางจ้องอยู่เช่นกัน แสดงว่ารู้แล้ว “ฮัวฮัว พี่เพิ่งเจอว่าเหลือลู
“นี่เจ้า! ริอ่านติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อตีเจ้าตายแน่ๆ! ตุ่นภูเขา! แล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร พาเด็กห้าขวบมาในสถานที่แบบนี้ ท่านเองก็ต้องถูกลงโทษด้วยแน่นอน!”“โฮ่! แมวพันหน้า อย่าเพิ่งพูดมากเลยดีกว่า ถ้าไม่ได้ข้ากับลูกปลาตัวกลมเมื่อครู่ ท่านเองก็คงไม่เหลือซาก”“นี่พวกเจ้า...พูดอะไรกัน ข้างงไปหมด” ฟู่เหรินที่ฟังสายลับสามคนสามวัยเถียงกันด้วยภาษาอะไรก็ไม่รู้ช่างปวดหัวนัก “เดี๋ยวก่อน ทำไมเราต้องมาเถียงกันในเวลานี้ นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน! พวกนักฆ่าตามมาถึงตัวแล้ว!”“ลูกหินของข้าหมดแล้ว! พี่ใหญ่ ท่านเอาที่ข้าให้ไว้มาด้วยหรือเปล่า” ฮัวฮัวแบมือหาพี่สาวทันที ไฉไฉรีบล้วงเสื้อ ปรากฏว่ามีแต่หมั่นโถวตากแดดร่วงลงมาหลายชิ้น “พี่ใหญ่! แล้วก็ชอบห้ามข้ากินของหวานตอนกลางคืน แต่พี่กลับพกติดตัวตอนหนีพวกนักฆ่าออกมาแบบนี้ จะให้ข้าคิดยังไงกัน!”“นี่ทำไมข้าถึงได้พกหมั่นโถวออกมาขนาดนี้เนี่ย ข้าต้องหยิบเสื้อมาผิดตัวแน่ๆ” นางคิดไปถึงเหตุผลว่าทำไมต้องหยิบเสื้อมาใส่ แล้วก็ดันเกิดหน้าแดง เพราะตอนนั้นเกือบได้สานสัมพันธ์กับฟู่เหรินอยู่แล้วเชียว “โอ๊ย! ไม่รู้แล้ว พวกเราหาอาวุธเอาเท่าที่มีรอบตัวสู้ไป
“หา...หมายความว่า...ว้าย!”พรึ่บ!ไฉไฉมัวแต่เถียงกับองค์ชายเลยไม่ทันระวังตัว นางก้าวพลาดลงไปในบ่อที่ขุดไว้ดักสัตว์ แม้จะไม่เจ็บเท่าไรเพราะกลิ้งม้วนตัวลงไปพอดี แต่หลุมนี้ลึกมาก เรียกว่าเป็นความซวยจริงๆ“องค์ชาย! ท่านวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่เท่าไรจะเจอต้นไม้สองง่าม มีกระท่อมของยายเฒ่าตาบอดอยู่ไม่ไกลจากนั้น” นางตะโกนบอกเขาเสียงดัง “ที่นั่นเป็นจุดนัดพบของสายลับกับองครักษ์ ท่านจะปลอดภัย”“ไม่ได้! รอก่อน ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ฟู่เหรินลงไปนอนแนบพื้นแล้วพยายามส่งมือเข้าไปหา “ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ถ้าจะรอด เราต้องรอดไปด้วยกัน!”“โอ๊ย! ท่านนี่โง่จริง ข้าให้ท่านหนีไปก่อนเพราะท่านเป็นตัวถ่วง ยังไม่รู้ตัวอีก” เสียงหญิงสาวแผดขึ้นมา “ท่านมันอ่อนแอจึงเป็นตัวภาระ นี่ข้ามีแผนแล้ว ข้ามีระเบิดพลุติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน ข้าจะยิงใส่พวกมัน แล้วท่านจะมาอยู่แถวนี้ให้เกะกะทำไมเล่า!”หญิงสาวโกหก นางไม่มีของที่ว่า แต่ทำเป็นชูอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา เพื่อให้เขาสบายใจ“ระเบิดพลุอะไรของเจ้าหา นั่นมันหมั่นโถวตากแดดที่เอาไว้ปิ้งกินกับน้ำผึ้งที่น้องสาวชอบไม่ใช่หรือไง แล้วนี่พกมาทำไมเนี่ย!” เขาพูดแบบนั้นนางเลยได้หันดู อ้าวจริงด้วย ไม่ร
โอ๊ย!...อุ้บ!”ไฉไฉดึงหูฟู่เหรินเหมือนที่เห็นหลี่ซูเจินทำเจิ้งห่าวหรานมาตั้งแต่นางจำความได้ ท่านแม่ดึงหูท่านพ่อทีไร ท่านพ่อมีอันได้ยอมแพ้ เพราะมันเจ็บ!มือหนึ่งดึงหู อีกมืออุดปากเขาแน่นไม่ให้ร้อง แต่เพียงครู่เดียวก็ปล่อยมือที่บิดหูออกแล้วไปกระซิบ“ข้างนอกเป็นนักฆ่าที่ตั้งใจลอบฆ่าท่านมาตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว และท่านคงคิดไม่ผิด ฝู่เตี้ยวเป็นหนอนจริงๆ ตอนนี้พวกเราถึงได้ตกอยู่ในอันตราย”“ขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงพวกเราก็คงได้ตาย” ฟู่เหรินได้พูดเป็นคำแรกตนที่เอามือลูบหูตัวเองป้อยๆ คิ้วขมวดตึง มองไปข้างนอกยังเห็นห่ามีดบินอยู่เลย “ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง เจ้าหลบข้างหลังข้าไว้ก็แล้วกัน”กลายเป็นไฉไฉที่คิ้วขมวดไปด้วย เพราะสำหรับนางแล้วฟู่เหรินหาได้เป็นวรยุทธ์ไม่ ซ้ำยังอ่อนแอจนไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากวังหลวงมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ถึงนางไม่เก่งอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็รู้หลักพื้นฐาน และเอาตัวรอดเก่งด้วย “ท่านอยู่ข้างหน้าข้า คงอยากเป็นเป้าเคลื่อนที่กระมัง” นางเอื้อมมือขึ้นไปบนเตียง ควานหาลูกหินของฮัวฮัวอีกชุด ซึ่งมันเป็นชุดสุดท้ายแล้ว “นี่แหละองค์ชาย ท่านคงยังไม่รู้ว่าอะไร ข้าถูกท่านพ่อจับไปฝึกเป็นสา
“ฝู่เตี้ยวคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก” นางบอก หลังคาดการณ์จากสิ่งที่ฮัวฮัวบอกไว้ก่อนกลับบ้านไป พฤติกรรมประหลาดของขันทีน้อย คือเขาชอบหายไปไหนในช่วงที่ฟู่เหรินจะไม่มีทางรับรู้ ฮัวฮัวสะกดรอยตามแบบห่างๆ จึงรู้ว่าฝู่เตี้ยวต้องไปพบใครมาแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน เพราะฝ่ายเดียวกันนี้ก็มีเพียงหน่วยองครักษ์กับคนของเซี่ยงกงกงเท่านั้นเอง ประจวบเหมาะกับที่อยู่ดีๆ ตำแหน่งขององค์ชายถูกเปิดเผย จึงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้เลย นอกจาก... “ฝู่เตี้ยวคือหนอนบ่อนไส้สินะ” ฟู่เหรินพูดขึ้นมาเอง เป็นไฉไฉที่ต้องหันหน้าไปมอง เพราะเขาพูดเหมือนรู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ชายหนุ่มสั่นหน้าด้วยความหดหู่ใจ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฝู่เตี้ยวที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่อายุสิบปีกลับมาหักหลังข้าได้” “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปสืบภายหลัง แต่ตอนนี้...” ข้างนอกเงียบเกินไป ราวกับไม่มีแม้แต่เสียงของสายลมราตรี หญิงสาวล้วงไปใต้เตียงแล้วหยิบดาบที่เป็นอาวุธประจำตัวซึ่งซุกซ่อนไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน “เราต้องรอดไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน ได้โปรดอยู่ข้างหลังข้าก็พอ” “อาหง ท่าทีเจ้าเปลี่ยน หรือว่าความจริง...เจ้ามีสถานะอื่น”
ไม่ทันได้บอกว่าห้ามอะไรด้วยซ้ำเพราะชายหนุ่มไม่ฟัง เขากระโดดขึ้นเตียงมาทำตัวเหมือนเด็กๆ เท่านั้นไม่พอยังชักผ้าขึ้นมาห่ม แล้วเอามือตบปุๆ กับที่นอนข้างกาย “อาหง ลงมานอนเถอะ วันนี้พวกเราก็เหนื่อยกันมามาก เจ้าไม่ง่วงหรือไง” เจ้าตัวพูดไปก็หาวไป แล้วก็ดึงร่างบางให้ลงมานอนเคียงกัน “ฮ้าว...ที่นอนของเจ้าหอมเหลือเกิน ไหนขอดมใกล้ๆ หน่อย อื้ม...ข้าเข้าใจฮัวฮัวแล้วว่าทำไมติดแม่ เพราะแม่ของนางนอกจากจะหอมแล้วยังตัวอุ่นและนุ่มน่ากอดอีกด้วย ดูท่าหากฮัวฮัวกลับมาเมื่อใด คงได้ทะเลาะกับข้าเป็นแน่ เรื่องแย่งกันกอดแม่ของนาง” “ท่านพี่...” ได้แต่ดีดดิ้นและร้องอย่างถอนอกถอนใจ เพราะตอนนี้นางถูกเขาดึงไปกอดหน้าตาเฉย รับรู้ได้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นระรัวของตัวเอง และกายอันอบอุ่นขององค์ชายที่ตอนนี้กดนางให้แนบร่างเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม “ท่านพี่ ข้าหายใจไม่ออกเจ้าค่ะ” “หายใจไม่ออก อย่างนั้นคงต้องช่วยให้หายใจคล่องเสียหน่อย” เขาผละตัวแล้วเชยคางนางขึ้น หญิงสาวเลิกคิ้วงงๆ เพราะอยู่ๆ ดันเกิดตามเขาไม่ทัน “สิ่งนี้มีในตำราแพทย์ เรียกว่าการแลกเปลี่ยนลมปราณ ข้าจะแสดงให้เจ้าดูเอง...” “หือ...อื้อ! อื้อ!”
กลัวเขาไม่รู้ว่านางใส่ใจมากเลยต้องคุยโอ้อวดเสียหน่อย ความจริงแล้วก็เป็นฟู่เหรินนั่นเองที่ตามนางไม่ทัน เพราะไฉไฉนั้นนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มกินน้ำแกงที่ถูกป้อนให้จนเกลี้ยง รู้สึกสบายท้องมาก เพราะเขาก็ไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า ไฉไฉรีบเก็บชาม “ข้าจะไปเตรียมน้ำให้ท่านอาบ ท่านพี่ก็ไปผลัดผ้าได้เลยนะเจ้าคะ” หันไปมองห้องพักคนไข้ชั่วคราว เห็นหญิงชรายังป้อนน้ำข้าวให้ลูกชายยังไม่เสร็จ “ข้าควรไปดูพวกเขา...” “เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าจะไปดูเอง และจะได้ตรวจอาการครั้งสุดท้ายก่อนจะให้ยาระงับปวดด้วย เพราะคนไข้จะได้หลับยาว” ในเมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นจึงแยกกัน ไฉไฉเข้าครัวไปจัดน้ำต้มน้ำหม้อหนึ่ง เห็นฝู่เตี้ยวทำอาหารใกล้เสร็จแล้ว นอกจากผัดผักและน้ำแกง ก็มีปลาย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย มิช้ามินานนัก น้ำอุ่นก็ถูกผสมจนเสร็จสิ้น ไฉไฉมองด้วยความภูมิใจ เรื่องการบ้านการเรือนแบบนี้ท่านยายย่อมเป็นผู้อบรมสั่งสอนอย่างดี ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมาย ได้ผสมน้ำให้องค์ชายอาบเสียที “อ๊ะ ลืมไปเลย ต้องใส่นี่เข้าไปด้วย คิก...” นางหยิบห่อเครื่องหอมออกมาจากอกเสื้อ มันเป็นเครื่องหอมประจำตัวที่ม
“ไฮ้...เจ้าพูดอะไรแบบนั้น ข้าจะรังเกียจทำไมกัน ภรรยาตั้งใจทำให้ขนาดนี้ ข้าต้องดีใจมากอยู่แล้ว” รีบลุกมาแล้วประคองให้นางมานั่ง ก่อนจะเอาผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ “อาหง เจ้าเดินไปมาทั้งวันแล้วก็พูดไม่หยุด คงจะเหนื่อยมาก แล้วยังลำบากมาทำอาหารอีก เรื่องแบบนี้ให้ฝู่เตี้ยวทำให้ได้ เขาถนัด”ปกติคงต้องมีขัดคอกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะขันทีน้อยเห็นด้วย ในสายตาเขาก็ยังคิดว่าคุณหนูเจิ้งเป็นลูกผู้ดีเป็นชนชั้นสูง แต่ทำงานพอๆ กับสาวชาวบ้าน ตอนนี้คงเหนื่อยสายตัวแทบขาดหารู้ไม่ว่าไฉไฉไม่เหมือนคุณหนูบ้านไหน เพราะนางแอบเข้ามาฝึกเป็นสายลับกับหน่วยของบิดาตั้งแต่อายุแปดขวบแล้ว...ก็ตั้งแต่หลังจากพบกับองค์ชายว่าที่คู่หมั้น เจิ้งห่าวหรานก็จับลูกสาวมาฝึกวิชายุทธ์ทันที ทำให้แค่นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเหนื่อยล้าหรือพลังถดถอยได้เลย“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ วันนี้พวกเราทั้งสามคนเหนื่อยเหมือนกันหมด เรื่องแค่นี้ข้าทำได้ อีกอย่างข้ารู้ว่าฝู่เตี้ยวคงต้องกำลังดูแลท่านพี่อยู่ด้วย ข้าเลยไม่ได้เข้ามาปรนนิบัติท่านพี่ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“นั่นสิ ความจริงแม่นางหงควรมาดูแลคุณชาย แล้วบ่าวต่างหากที่ไปทำกับข้าว” ฝู่เตี้ยวลุกขึ