ไฉไฉมาถึงบ้านยายเฒ่าที่ว่า ก็เจอนางนั่งทอผ้าอยู่หน้าบ้าน หญิงสาวเดินผ่านยายแก่ตาบอดไปโดยไม่ได้ทัก เข้าบ้านไปแล้วก็ปิดประตูมิดชิด ก่อนจะไปเปิดประตูลับที่อยู่หลังเตาไฟ แล้วมุดเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็วมันเป็นห้องใต้ดินแบบง่ายๆ ห้องหนึ่ง โดยปกติแล้วสำนักบูรพามักทุ่มเงินไว้ซื้อตระกูลผู้ดีที่ยากจนหรือไม่ก็กระท่อมของชาวบ้านที่ไม่ได้มีจุดเด่นน่าสนใจไว้ทำเป็นฐานลับเสมอ และบ้านของยายเฒ่าตาบอดก็เช่นกัน คือความจริงแกได้รับเงินค่าปิดปากมาแล้วจนร่ำรวยมาก แต่หน้าที่ของแกคือต้องแสร้งทำตัวยากจนและทอผ้าอยู่หน้าบ้านเสมอ เพื่อไม่ให้ใครผิดสังเกตได้ และจะได้มองแกเหมือนว่าเป็นคนแก่ทั่วไป“อาซานตัง ท่านมาเองเลยหรือเจ้าคะ นึกว่าจะให้ท่านอาคนอื่นมาเหมือนแต่ก่อนซะอีก” ไฉไฉทักทายทันทีที่เห็นหน้ารองหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรที่เป็นลูกน้องของพ่อ และเป็นคนสอนวิชาการปลอมตัวเป็นสายลับให้นางด้วย “อามาก็ดีแล้ว ข้ามีข่าวสำคัญจะแจ้ง ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้ที่อยู่ขององค์ชายแล้วแน่ๆ วันนี้มีนักฆ่าเกือบเล่นงานได้สำเร็จ ดูเหมือนตอนนี้มันจะอันตรายกว่าที่คิด ข้าเห็นที่ด้ามมีดบินสลักเป็นรูปหงส์”“อาก็มาเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน” ซา
กลับมาถึงบ้านปรากฏว่าฮัวฮัวหลับไปเรียบร้อยแล้วและนอนบนเตียงเล็กของตัวเองที่ตอนแรกงอแงไม่ยอมนอน ในบ้านมีเพียงแสงตะเกียงดวงหนึ่ง ส่วนฟู่เหรินออกมานั่งรอนางหน้าบ้าน แต่มีโคมไฟอยู่ข้างๆ เหมือนเตรียมจะออกไปตามหาแล้ว“ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวทำเสียงอ่อนเสียงหวาน วางตะกร้าบรรจุผ้าทอของยายเฒ่าลงข้างๆ เขา “ข้าสั่งผ้าทอไว้ พรุ่งนี้ตั้งใจจะตัดเย็บชุดใหม่ ความจริงไปพรุ่งนี้ก็ได้แต่ข้าใจร้อนไปหน่อย แล้วก็...เอ้อ พอดีได้เจอกับคนจากบ้านบิดาข้า เลยได้รู้ว่าท่านพ่อไม่ได้โกรธอะไรข้าแล้วที่หย่าร้างกับสามีที่ท่านหาให้ ก็เลยอยากจะ...อ่า...อยากจะให้ฮัวฮัวไปเที่ยวเล่นที่บ้านเสียหน่อย พรุ่งนี้จะมีคนมารับไปเจ้าค่ะ"สบโอกาสพอดีก็เลยแต่งเรื่องบอกให้เขารู้ว่าฮัวฮัวจะไม่อยู่ แต่ฟู่เหรินกลับคว้ามือนางขึ้นมา“อย่างนั้นพวกเรามิสู้ไปพร้อมฮัวฮัวไปเลย ข้าจะได้แนะนำตัวกับท่านพ่อตาด้วย ว่าต่อไปนี้ข้าจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง”“แหะๆๆ เอาไว้วันหลังก็ได้เจ้าค่ะ” ไฉไฉคิดไปถึงบิดาตัวจริงของตัวเอง แม้ท่านพ่อจะบอกว่าดีแล้วที่นางได้เป็นว่าที่พระชายา แต่ลึกๆ ก็รู้ว่าท่านพ่อไม่ได้ชอบหน้าองค์ชายเท่าไรนัก อาจจะเพราะเขาไม่เป็น
“คิด...อะไรเจ้าคะ” ไฉไฉกะพริบตาปริบๆ ค่อยพวงแก้มจะค่อยๆ ระเรื่อขึ้นสี เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าสิ่งที่อยู่ในหัว มันไม่ได้เป็นความลับแล้ว เพราะนางเล่นพูดไปหมดทุกคำ “ท่านพี่ ข้าง่วงนอนแล้ว ขอไปนอนดีกว่า ข้าจะ...อุ๊ย!”ไม่มีโอกาสได้หนี เพราะฟู่เหรินไม่ยอมปล่อย เขาใช้วงแขนกั้นนางไว้ และแม้ความจริงด้วยความสามารถของหญิงสาวย่อมเอาตัวรอดได้ แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมมันอ่อนปวกเปียกไปหมด รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย“อาหง...” ชายหนุ่มเรียกอีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำเสียงและแววตาเปลี่ยน “ข้าดูรูปงามปานนั้น จนเจ้าถึงขั้นอยากข่มเหง มันแปลว่าอะไรกัน”จะให้แปลว่าอะไรได้อีก เพราะมันก็คำพูดที่ตรงตัว ไฉไฉเลื่อนสายตาหนีเพราะไม่กล้ามองหน้าเขา แต่ฟู่เหรินไม่ปล่อย จับปลายคางของนางให้หันหน้ากลับมามองกันตรงๆสายลมราตรีพัดผ่าน ตอนนี้บรรยากาศช่างเป็นใจนัก แสงสลัวอันเกิดจากโคมไฟที่อยู่ข้างๆ ย้อมให้ใบหน้าของทั้งคู่เหมือนมีแสงสีทองบางๆ ฉาบเคลือบ และมันขับเน้นให้สันกรามไปจนจมูกปากคิ้วคางของฟู่เหรินดูโดดเด่นเหลือเกิน“เหมือนคืนนั้นไม่มีผิด” ไฉไฉละเมอ คิดไปถึงตอนอายุสิบสาม เมื่อครั้งเป็นสาวน้อยแรกรุ่นดรุณีที่แอบอ่านหนังสื
นางล้วงถุงใบย่อมที่ซุกไว้กับเอวขึ้นมาชูให้พี่สาวดูอย่างภาคภูมิใจ ท่าทางแบบนั้นทำไฉไฉหลุดหัวเราะออกมาได้“โถ...เจ้าลูกหินอาวุธลับของเจ้า ที่ให้ลู่ซือฝนให้นะหรือ” นางหมายถึงน้องชายคนถัดจากตน เจิ้งลู่ซือ หนุ่มน้อยที่ไม่ชอบศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง เขาชอบท่องตำรามากกว่า นัยว่าโตขึ้นจะได้เข้ารับราชการกรมคลังเหมือนท่านตาผู้ล่วงลับ “แล้วถ้าเจ้าให้อาวุธลับไว้กับพี่ ถ้าเกิดเจ้ากลับไปแล้วเกิดอันตรายขึ้นมา จะเอาอาวุธลับที่ไหนปกป้องตัวเองได้กัน"“ไม่เห็นเป็นไรเลยเจ้าค่ะ ข้าจะไปขอให้พี่รองทำให้ใหม่ อย่างไรเสียเขาก็ไม่รู้จะทำอะไรเพื่อแก้ง่วงเวลาท่องตำราอยู่แล้วนี่เจ้าคะ ก็ให้พี่รองฝนลูกหินให้ข้าไปพลางๆ เวลาง่วงๆ ไม่นานเดี๋ยวข้าก็ได้ลูกหินชุดใหม่เต็มถุงแล้วเจ้าค่ะ!”สงสารน้องรองแต่ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมไปแล้วกัน ฮัวฮัวเอาถุงใบนั้นไปซุกไว้ใต้หมอนแล้วตบปุๆ ทำนองว่าให้มันอยู่ดีๆ“ข้าซ่อนไว้ตรงนี้นะเจ้าคะ ใต้หมอนพี่ใหญ่ ถ้าเกิดฉุกเฉินอะไร พี่ใหญ่อย่าลืมลูกหินของข้านะเจ้าคะ เผื่อมันจะช่วยให้พี่รอดตาย แค่กำขึ้นมาแล้วซัดด้วยท่าก้อนหินดีดดึ๋งที่อาซานตังเคยสอน เท่านั้นก็เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!”ฮัวฮัวไม่รู้เลยว่า
เพิงที่ต่อเติมเพื่อให้เป็นที่ตรวจรักษาโรคถูกสร้างอย่างง่ายๆ เลยใช้เวลาไม่นานมาก ฟู่เหรินหยิบก้อนทองเตรียมจ่ายแต่ถูกไฉไฉผลักกลับไปแล้วหยิบเงินเหรียญในถุงของเขามาจ่ายแทน ค่าแรงแบบนี้มันไม่ได้สูงขนาดต้องชำระให้คนรับจ่ายด้วยตำลึงทอง“ต่อไปเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ให้ข้าจัดการดีกว่าเจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้ รู้สึกคุ้นๆ กับสถานการณ์แบบนี้ว่าเคยเห็นที่ไหนบ่อยๆ แล้วก็เพิ่งนึกได้ ว่านี่มันนิสัยแม่ตัวเองชัดๆ เจิ้งฮูหยินริบเงินสามีตั้งแต่แรกที่ยังไม่รับเขาเป็นสามี จวบจนปัจจุบัน “เอาถุงเงินท่านมาให้ข้าเก็บดีกว่าเจ้าค่ะ ข้ากลัวท่านพี่จะคอยหยิบแต่ก้อนทองอีก เป็นชาวบ้านที่มีชีวิตแบบธรรมดาๆ เราไม่ต้องใช้เงินมากมายขนาดนั้นหรอกนะเจ้าคะ"“อ้อ เป็นเช่นนั้นเอง อย่างนั้นเจ้าเอาไปเลย” คงเป็นบุญของผู้หญิงบ้านนี้ที่พวกผู้ชายยอมยกเงินทองให้ทั้งหมด ไฉไฉรีบเอามาเก็บก่อนอย่างรวดเร็ว องค์ชายคงไม่รู้ว่าเงินตำลึงทองก้อนเดียวแทบจะสร้างกระท่อมได้เจ็ดแปดหลัง ได้ยินเสียงตุ้บๆ มาจากหน้าบ้าน เห็นฮัวฮัวกำลังวิ่งมาหน้าตาตื่น “มีคนเจ็บมาเจ้าค่ะ เลือดเต็มไปหมดเลย!” เด็กน้อยพูดเรื่องน่ากลัวได้หน้าตาเฉย เป็นสายลับจะไปกลัวเลือดได้
เมื่อความสงบกลับมาสู่ห้องรักษา ก็เป็นตอนที่ไฉไฉกลับเข้ามา นางเป็นคนปิดม่านกั้นระหว่างห้องลง เห็นฟู่เหรินกำลังใช้ผ้าขาวสะอาดวางรอบแผล เตรียมจะเอาเศษคราดที่ปักในร่างชายหนุ่มผู้นั้นออก“บาดแผลไม่โดยอวัยวะสำคัญก็จริงแต่เรียกได้ว่าฉกรรจ์ไม่น้อย” เขาบอกอย่างเคร่งเครียด “อาหง คนไข้เสียเลือดมากและข้าต้องเอาสิ่งแปลกปลอมออก จากนั้นต้องรีบห้ามเลือดเพราะหลังจากเอาคราดออก เลือดเขาจะทะลักหรืออาจจะพุ่งกระฉูด ภาพเหล่านี้ไม่น่าดูนัก เจ้าอาจจะติดตาและทำให้ฝันร้าย ข้าว่าเจ้าควรจะ...”“ท่านพี่...” เป็นไฉไฉที่ล้างมือสะอาดเรียบร้อยและเช็ดผ้าแห้งมาอย่างดี นางวางมือลงบนมือเขาที่อยู่บนตัวของคนเจ็บ ท่าทางมาดมั่นจริงจัง “ข้าจะคอยให้ท่านเอาเศษคราดออก แล้วข้าจะรอสัญญาณจากท่าน เพื่อจะเป็นคนเอาผ้ากดปากแผลไว้ ให้เลือดหยุดไหลเองเจ้าค่ะ”“อาหง...” ใจก็อยากจะให้นางออกไป แต่อีกใจตอนนี้ไม่มีใครอยู่เป็นผู้ช่วยได้สักคน “อาหง ข้าคิดว่าข้าทำเองได้”“ท่านพี่...” หญิงสาวทอดเสียงอ่อนลง “ข้าเคยบอกไปแล้วนี่เจ้าคะ ไม่ว่าท่านเลือกสิ่งใด ข้าจะพร้อมรับสิ่งนั้นไปกับท่าน เราจะอยู่เคียงข้างกันเจ้าค่ะ”ในที่สุดชายหนุ่มก็พยักหน้าให้ มันคื
“ท่านพี่ อาหารเย็นมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่มานั่งกินข้าวก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะจัดวางให้” ไฉไฉจัดการอาหารลงกับโต๊ะตัวย่อม “ข้าป้อนน้ำข้าวให้คนไข้ได้หรือยังเจ้าคะ นี่ไม่ร้อนแล้วเจ้าค่ะ ใช้ข้อมือวัดความรู้สึกตามที่ท่านพี่สอนทุกอย่าง ข้าจะจัดการเขาเองเจ้าค่ะ”“อาหง ให้ข้าทำเองเถอะ เจ้านั่นแหละที่ควรกินข้าว” ฟู่เหรินทำท่าจะแย่งชามน้ำข้าวแต่หญิงสาวชักถ้วยหนี “อาหง เจ้านี่ดื้อจริงๆ”“ท่านพี่ก็ดื้อเจ้าค่ะ ไปกินข้าวเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าคะ” นางแสร้งทำเสียงดุ “ท่านป้าฝากคนไข้ไว้กับข้าแล้ว บอกให้ข้าเป็นคนป้อนข้าวป้อนน้ำให้อาลู่ ท่านป้าบอกว่าสัมผัสของข้าน่าจะอ่อนโยนและทำให้อาลู่คิดถึงท่านป้า เขาจะได้หายเร็วๆ” “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เคยคิดมาก่อน” ฟู่เหรินดันคิดเป็นจริงเป็นจัง “อืม ก็ว่ามิได้ สัมผัสระหว่างชายหญิงย่อมมีความแตกต่าง อาจจะจริงอย่างท่านป้าผู้นั้นบอก อย่างนั้นให้เจ้าป้อนคนไข้ก็อาจจะดี ลองดูก็แล้วกัน" “เจ้าค่ะ” นางตอบรับเสียงใส แล้วไปทรุดลงนั่งแทนที่เขา เห็นสีหน้าซีดเซียวของคนเจ็บแล้วก็น่ากลัวไม่น้อย แต่ดูเหมือนทรวงอกเขาขยับได้แล้วอย่างช้าๆ ลมหายใจสม่ำเสมอ “เขาปลอดภัยแล้วใช่หรือไ
“ไฮ้...เจ้าพูดอะไรแบบนั้น ข้าจะรังเกียจทำไมกัน ภรรยาตั้งใจทำให้ขนาดนี้ ข้าต้องดีใจมากอยู่แล้ว” รีบลุกมาแล้วประคองให้นางมานั่ง ก่อนจะเอาผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ “อาหง เจ้าเดินไปมาทั้งวันแล้วก็พูดไม่หยุด คงจะเหนื่อยมาก แล้วยังลำบากมาทำอาหารอีก เรื่องแบบนี้ให้ฝู่เตี้ยวทำให้ได้ เขาถนัด”ปกติคงต้องมีขัดคอกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะขันทีน้อยเห็นด้วย ในสายตาเขาก็ยังคิดว่าคุณหนูเจิ้งเป็นลูกผู้ดีเป็นชนชั้นสูง แต่ทำงานพอๆ กับสาวชาวบ้าน ตอนนี้คงเหนื่อยสายตัวแทบขาดหารู้ไม่ว่าไฉไฉไม่เหมือนคุณหนูบ้านไหน เพราะนางแอบเข้ามาฝึกเป็นสายลับกับหน่วยของบิดาตั้งแต่อายุแปดขวบแล้ว...ก็ตั้งแต่หลังจากพบกับองค์ชายว่าที่คู่หมั้น เจิ้งห่าวหรานก็จับลูกสาวมาฝึกวิชายุทธ์ทันที ทำให้แค่นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเหนื่อยล้าหรือพลังถดถอยได้เลย“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ วันนี้พวกเราทั้งสามคนเหนื่อยเหมือนกันหมด เรื่องแค่นี้ข้าทำได้ อีกอย่างข้ารู้ว่าฝู่เตี้ยวคงต้องกำลังดูแลท่านพี่อยู่ด้วย ข้าเลยไม่ได้เข้ามาปรนนิบัติท่านพี่ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“นั่นสิ ความจริงแม่นางหงควรมาดูแลคุณชาย แล้วบ่าวต่างหากที่ไปทำกับข้าว” ฝู่เตี้ยวลุกขึ
สองปีผ่านไป...หลังจบเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก ก็ใช้เวลาไปเกือบปี ทำให้ฤกษ์หมั้นหมายเสียหาย องค์ชายฟู่เหรินจึงเสนอว่าให้ใช้ฤกษ์อภิเษกไปเลยในคราวเดียว นั่นคือหมั้นและแต่งในวันเดียวกันย่อมไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว เพราะใครๆ ต่างก็อยากให้องค์ชายใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่อไป แต่เป็นเขาเองที่ชิงทูลองค์จักรพรรดิก่อน ว่าไม่ต้องการขึ้นเป็นรัชทายาท“เจ้าเป็นลูกคนโต ถ้าเจ้าไม่เป็นรัชทายาท แล้วเจ้าจะเป็นอะไร”พระบิดาถามเขาในวันนั้น และเขาที่มีพระชายาอยู่เคียงข้าง ก็ตอบทันควัน“กระหม่อมจะเป็นหมอ จะรักษาผู้คนโดยไม่แบ่งแยกฐานะ นี่ก็เป็นการดูแลไพร่ฟ้าในฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นกัน...”องค์จักรพรรดิอยากจะขัด แต่พอเห็นโอรสกับชายาของเขาจับมือกันไว้แน่นราวกับว่าได้ร่วมกันตัดสินใจเรื่องนี้มาทั้งคู่ ก็ได้แต่ระลึกไปถึงพระสนมอิงหลันผู้ล่วงลับ นางไม่เคยมีใครรักชอบให้เขา แต่งงานเพราะหน้าที่ แต่ตลอดเวลานางก็ทำได้ดี กระทั่งอบรมสั่งสอนบุตรก็ยังทำได้ไม่มีบกพร่อง เป็นเขาเองที่กักขังนางไว้ในวังหลวงนี้จนวันตาย“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วก็ไปปกครองเมืองต้าหลี่ก็แล้วกัน” จักรพรรดิพูดถึงเมืองใหญ่ที่สุดที่อย
“ข้าจะไปช่วยเขา สนามพลังแบบนั้นต้องมีคนคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตราย” นางหันไปบอกสองคนข้างหลัง “ท่านพาลูกปลาตัวกลมไปที่บ้านยายเฒ่าตาบอดก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง”“คงไม่ต้องแล้ว” เป็นฮัวฮัวที่พูดขึ้น สายตานางมองไปอีกทางแล้วก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า “ท่านพ่อกับพวกอาๆ มาช่วยพวกเราแล้ว เย้!”เกิดการปะทะระหว่างนักฆ่าลึกลับกับพวกองครักษ์เสื้อแพรที่มากันเต็มรูปแบบ เพราะตอนนี้ได้จัดการภายในราชสำนักเสร็จสิ้น จึงตามออกมากวาดล้างทั้งหมดที่เหลือข้างนอกในคราวเดียว“ถวายการอารักขาองค์ชายใหญ่!” เสียงเจิ้งห่าวหรานหัวหน้าองครักษ์ตะโกนก้อง “ไฉไฉ ฮัวฮัว หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย เร็ว!”เมื่อพ่อสั่งก็มีอย่างเดียวคือห้ามต่อต้าน สามสายลับต่างวัยวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ไกลๆ และคอยดูห่างๆ พวกเขาไม่ได้เก่งต่อสู้สักคน แค่พอมีวิชาและเอาตัวรอดเป็นเท่านั้น ในเมื่อองครักษ์มาแล้ว ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของคนมีความสามารถแล้วกัน“นั่น...เสียงอะไร” เพราะความเป็นคนหูดีที่สุดของไฉไฉทำให้ได้ยินอะไรแปลกๆ นางรู้ทันทีว่ามีคนแอบอยู่แถวนั้นและกำลังจะหนี หันไปมองหน้าน้องสาว เห็นนางจ้องอยู่เช่นกัน แสดงว่ารู้แล้ว “ฮัวฮัว พี่เพิ่งเจอว่าเหลือลู
“นี่เจ้า! ริอ่านติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อตีเจ้าตายแน่ๆ! ตุ่นภูเขา! แล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร พาเด็กห้าขวบมาในสถานที่แบบนี้ ท่านเองก็ต้องถูกลงโทษด้วยแน่นอน!”“โฮ่! แมวพันหน้า อย่าเพิ่งพูดมากเลยดีกว่า ถ้าไม่ได้ข้ากับลูกปลาตัวกลมเมื่อครู่ ท่านเองก็คงไม่เหลือซาก”“นี่พวกเจ้า...พูดอะไรกัน ข้างงไปหมด” ฟู่เหรินที่ฟังสายลับสามคนสามวัยเถียงกันด้วยภาษาอะไรก็ไม่รู้ช่างปวดหัวนัก “เดี๋ยวก่อน ทำไมเราต้องมาเถียงกันในเวลานี้ นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน! พวกนักฆ่าตามมาถึงตัวแล้ว!”“ลูกหินของข้าหมดแล้ว! พี่ใหญ่ ท่านเอาที่ข้าให้ไว้มาด้วยหรือเปล่า” ฮัวฮัวแบมือหาพี่สาวทันที ไฉไฉรีบล้วงเสื้อ ปรากฏว่ามีแต่หมั่นโถวตากแดดร่วงลงมาหลายชิ้น “พี่ใหญ่! แล้วก็ชอบห้ามข้ากินของหวานตอนกลางคืน แต่พี่กลับพกติดตัวตอนหนีพวกนักฆ่าออกมาแบบนี้ จะให้ข้าคิดยังไงกัน!”“นี่ทำไมข้าถึงได้พกหมั่นโถวออกมาขนาดนี้เนี่ย ข้าต้องหยิบเสื้อมาผิดตัวแน่ๆ” นางคิดไปถึงเหตุผลว่าทำไมต้องหยิบเสื้อมาใส่ แล้วก็ดันเกิดหน้าแดง เพราะตอนนั้นเกือบได้สานสัมพันธ์กับฟู่เหรินอยู่แล้วเชียว “โอ๊ย! ไม่รู้แล้ว พวกเราหาอาวุธเอาเท่าที่มีรอบตัวสู้ไป
“หา...หมายความว่า...ว้าย!”พรึ่บ!ไฉไฉมัวแต่เถียงกับองค์ชายเลยไม่ทันระวังตัว นางก้าวพลาดลงไปในบ่อที่ขุดไว้ดักสัตว์ แม้จะไม่เจ็บเท่าไรเพราะกลิ้งม้วนตัวลงไปพอดี แต่หลุมนี้ลึกมาก เรียกว่าเป็นความซวยจริงๆ“องค์ชาย! ท่านวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่เท่าไรจะเจอต้นไม้สองง่าม มีกระท่อมของยายเฒ่าตาบอดอยู่ไม่ไกลจากนั้น” นางตะโกนบอกเขาเสียงดัง “ที่นั่นเป็นจุดนัดพบของสายลับกับองครักษ์ ท่านจะปลอดภัย”“ไม่ได้! รอก่อน ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ฟู่เหรินลงไปนอนแนบพื้นแล้วพยายามส่งมือเข้าไปหา “ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ถ้าจะรอด เราต้องรอดไปด้วยกัน!”“โอ๊ย! ท่านนี่โง่จริง ข้าให้ท่านหนีไปก่อนเพราะท่านเป็นตัวถ่วง ยังไม่รู้ตัวอีก” เสียงหญิงสาวแผดขึ้นมา “ท่านมันอ่อนแอจึงเป็นตัวภาระ นี่ข้ามีแผนแล้ว ข้ามีระเบิดพลุติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน ข้าจะยิงใส่พวกมัน แล้วท่านจะมาอยู่แถวนี้ให้เกะกะทำไมเล่า!”หญิงสาวโกหก นางไม่มีของที่ว่า แต่ทำเป็นชูอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา เพื่อให้เขาสบายใจ“ระเบิดพลุอะไรของเจ้าหา นั่นมันหมั่นโถวตากแดดที่เอาไว้ปิ้งกินกับน้ำผึ้งที่น้องสาวชอบไม่ใช่หรือไง แล้วนี่พกมาทำไมเนี่ย!” เขาพูดแบบนั้นนางเลยได้หันดู อ้าวจริงด้วย ไม่ร
โอ๊ย!...อุ้บ!”ไฉไฉดึงหูฟู่เหรินเหมือนที่เห็นหลี่ซูเจินทำเจิ้งห่าวหรานมาตั้งแต่นางจำความได้ ท่านแม่ดึงหูท่านพ่อทีไร ท่านพ่อมีอันได้ยอมแพ้ เพราะมันเจ็บ!มือหนึ่งดึงหู อีกมืออุดปากเขาแน่นไม่ให้ร้อง แต่เพียงครู่เดียวก็ปล่อยมือที่บิดหูออกแล้วไปกระซิบ“ข้างนอกเป็นนักฆ่าที่ตั้งใจลอบฆ่าท่านมาตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว และท่านคงคิดไม่ผิด ฝู่เตี้ยวเป็นหนอนจริงๆ ตอนนี้พวกเราถึงได้ตกอยู่ในอันตราย”“ขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงพวกเราก็คงได้ตาย” ฟู่เหรินได้พูดเป็นคำแรกตนที่เอามือลูบหูตัวเองป้อยๆ คิ้วขมวดตึง มองไปข้างนอกยังเห็นห่ามีดบินอยู่เลย “ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง เจ้าหลบข้างหลังข้าไว้ก็แล้วกัน”กลายเป็นไฉไฉที่คิ้วขมวดไปด้วย เพราะสำหรับนางแล้วฟู่เหรินหาได้เป็นวรยุทธ์ไม่ ซ้ำยังอ่อนแอจนไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากวังหลวงมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ถึงนางไม่เก่งอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็รู้หลักพื้นฐาน และเอาตัวรอดเก่งด้วย “ท่านอยู่ข้างหน้าข้า คงอยากเป็นเป้าเคลื่อนที่กระมัง” นางเอื้อมมือขึ้นไปบนเตียง ควานหาลูกหินของฮัวฮัวอีกชุด ซึ่งมันเป็นชุดสุดท้ายแล้ว “นี่แหละองค์ชาย ท่านคงยังไม่รู้ว่าอะไร ข้าถูกท่านพ่อจับไปฝึกเป็นสา
“ฝู่เตี้ยวคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก” นางบอก หลังคาดการณ์จากสิ่งที่ฮัวฮัวบอกไว้ก่อนกลับบ้านไป พฤติกรรมประหลาดของขันทีน้อย คือเขาชอบหายไปไหนในช่วงที่ฟู่เหรินจะไม่มีทางรับรู้ ฮัวฮัวสะกดรอยตามแบบห่างๆ จึงรู้ว่าฝู่เตี้ยวต้องไปพบใครมาแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน เพราะฝ่ายเดียวกันนี้ก็มีเพียงหน่วยองครักษ์กับคนของเซี่ยงกงกงเท่านั้นเอง ประจวบเหมาะกับที่อยู่ดีๆ ตำแหน่งขององค์ชายถูกเปิดเผย จึงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้เลย นอกจาก... “ฝู่เตี้ยวคือหนอนบ่อนไส้สินะ” ฟู่เหรินพูดขึ้นมาเอง เป็นไฉไฉที่ต้องหันหน้าไปมอง เพราะเขาพูดเหมือนรู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ชายหนุ่มสั่นหน้าด้วยความหดหู่ใจ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฝู่เตี้ยวที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่อายุสิบปีกลับมาหักหลังข้าได้” “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปสืบภายหลัง แต่ตอนนี้...” ข้างนอกเงียบเกินไป ราวกับไม่มีแม้แต่เสียงของสายลมราตรี หญิงสาวล้วงไปใต้เตียงแล้วหยิบดาบที่เป็นอาวุธประจำตัวซึ่งซุกซ่อนไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน “เราต้องรอดไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน ได้โปรดอยู่ข้างหลังข้าก็พอ” “อาหง ท่าทีเจ้าเปลี่ยน หรือว่าความจริง...เจ้ามีสถานะอื่น”
ไม่ทันได้บอกว่าห้ามอะไรด้วยซ้ำเพราะชายหนุ่มไม่ฟัง เขากระโดดขึ้นเตียงมาทำตัวเหมือนเด็กๆ เท่านั้นไม่พอยังชักผ้าขึ้นมาห่ม แล้วเอามือตบปุๆ กับที่นอนข้างกาย “อาหง ลงมานอนเถอะ วันนี้พวกเราก็เหนื่อยกันมามาก เจ้าไม่ง่วงหรือไง” เจ้าตัวพูดไปก็หาวไป แล้วก็ดึงร่างบางให้ลงมานอนเคียงกัน “ฮ้าว...ที่นอนของเจ้าหอมเหลือเกิน ไหนขอดมใกล้ๆ หน่อย อื้ม...ข้าเข้าใจฮัวฮัวแล้วว่าทำไมติดแม่ เพราะแม่ของนางนอกจากจะหอมแล้วยังตัวอุ่นและนุ่มน่ากอดอีกด้วย ดูท่าหากฮัวฮัวกลับมาเมื่อใด คงได้ทะเลาะกับข้าเป็นแน่ เรื่องแย่งกันกอดแม่ของนาง” “ท่านพี่...” ได้แต่ดีดดิ้นและร้องอย่างถอนอกถอนใจ เพราะตอนนี้นางถูกเขาดึงไปกอดหน้าตาเฉย รับรู้ได้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นระรัวของตัวเอง และกายอันอบอุ่นขององค์ชายที่ตอนนี้กดนางให้แนบร่างเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม “ท่านพี่ ข้าหายใจไม่ออกเจ้าค่ะ” “หายใจไม่ออก อย่างนั้นคงต้องช่วยให้หายใจคล่องเสียหน่อย” เขาผละตัวแล้วเชยคางนางขึ้น หญิงสาวเลิกคิ้วงงๆ เพราะอยู่ๆ ดันเกิดตามเขาไม่ทัน “สิ่งนี้มีในตำราแพทย์ เรียกว่าการแลกเปลี่ยนลมปราณ ข้าจะแสดงให้เจ้าดูเอง...” “หือ...อื้อ! อื้อ!”
กลัวเขาไม่รู้ว่านางใส่ใจมากเลยต้องคุยโอ้อวดเสียหน่อย ความจริงแล้วก็เป็นฟู่เหรินนั่นเองที่ตามนางไม่ทัน เพราะไฉไฉนั้นนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มกินน้ำแกงที่ถูกป้อนให้จนเกลี้ยง รู้สึกสบายท้องมาก เพราะเขาก็ไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า ไฉไฉรีบเก็บชาม “ข้าจะไปเตรียมน้ำให้ท่านอาบ ท่านพี่ก็ไปผลัดผ้าได้เลยนะเจ้าคะ” หันไปมองห้องพักคนไข้ชั่วคราว เห็นหญิงชรายังป้อนน้ำข้าวให้ลูกชายยังไม่เสร็จ “ข้าควรไปดูพวกเขา...” “เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าจะไปดูเอง และจะได้ตรวจอาการครั้งสุดท้ายก่อนจะให้ยาระงับปวดด้วย เพราะคนไข้จะได้หลับยาว” ในเมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นจึงแยกกัน ไฉไฉเข้าครัวไปจัดน้ำต้มน้ำหม้อหนึ่ง เห็นฝู่เตี้ยวทำอาหารใกล้เสร็จแล้ว นอกจากผัดผักและน้ำแกง ก็มีปลาย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย มิช้ามินานนัก น้ำอุ่นก็ถูกผสมจนเสร็จสิ้น ไฉไฉมองด้วยความภูมิใจ เรื่องการบ้านการเรือนแบบนี้ท่านยายย่อมเป็นผู้อบรมสั่งสอนอย่างดี ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมาย ได้ผสมน้ำให้องค์ชายอาบเสียที “อ๊ะ ลืมไปเลย ต้องใส่นี่เข้าไปด้วย คิก...” นางหยิบห่อเครื่องหอมออกมาจากอกเสื้อ มันเป็นเครื่องหอมประจำตัวที่ม
“ไฮ้...เจ้าพูดอะไรแบบนั้น ข้าจะรังเกียจทำไมกัน ภรรยาตั้งใจทำให้ขนาดนี้ ข้าต้องดีใจมากอยู่แล้ว” รีบลุกมาแล้วประคองให้นางมานั่ง ก่อนจะเอาผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ “อาหง เจ้าเดินไปมาทั้งวันแล้วก็พูดไม่หยุด คงจะเหนื่อยมาก แล้วยังลำบากมาทำอาหารอีก เรื่องแบบนี้ให้ฝู่เตี้ยวทำให้ได้ เขาถนัด”ปกติคงต้องมีขัดคอกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะขันทีน้อยเห็นด้วย ในสายตาเขาก็ยังคิดว่าคุณหนูเจิ้งเป็นลูกผู้ดีเป็นชนชั้นสูง แต่ทำงานพอๆ กับสาวชาวบ้าน ตอนนี้คงเหนื่อยสายตัวแทบขาดหารู้ไม่ว่าไฉไฉไม่เหมือนคุณหนูบ้านไหน เพราะนางแอบเข้ามาฝึกเป็นสายลับกับหน่วยของบิดาตั้งแต่อายุแปดขวบแล้ว...ก็ตั้งแต่หลังจากพบกับองค์ชายว่าที่คู่หมั้น เจิ้งห่าวหรานก็จับลูกสาวมาฝึกวิชายุทธ์ทันที ทำให้แค่นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเหนื่อยล้าหรือพลังถดถอยได้เลย“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ วันนี้พวกเราทั้งสามคนเหนื่อยเหมือนกันหมด เรื่องแค่นี้ข้าทำได้ อีกอย่างข้ารู้ว่าฝู่เตี้ยวคงต้องกำลังดูแลท่านพี่อยู่ด้วย ข้าเลยไม่ได้เข้ามาปรนนิบัติท่านพี่ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“นั่นสิ ความจริงแม่นางหงควรมาดูแลคุณชาย แล้วบ่าวต่างหากที่ไปทำกับข้าว” ฝู่เตี้ยวลุกขึ