ศิษย์เหล่านี้เป็นคนพิเศษในสำนักและใช้ชีวิตอยู่แต่กับคำเยินยอ พวกเขาไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้ และสายตาที่นักรบแห่งสุญญะมองมาที่พวกเขาก็ทำให้พวกเขารู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง“เราดูไร้ค่าขนาดนั้นเชียวเหรอ? ทำไมถึงมองเราแบบนั้น? ทั้งที่พวกคุณก็อยู่เพียงขั้นต้นระดับแรกกำเนิดเท่านั้น!” บางคนบ่น ความกังวลของพวกเขาหายไปบางส่วนเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้มีระดับพลังยุทธสูงกว่าพวกเขานักรบแห่งสุญญะที่ยืนอยู่ต่อหน้าศิษย์เหล่านี้ยังคงนิ่งเฉยพวกเขามีสายตาเหมือนกันและเงียบงันราวกับพวกเขาไม่ได้ยินอะไรเลยเฟนด์กอดอกและสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก คนอื่น ๆ พูดไม่ออกกับการกระทำของเขา ขณะที่เขาจมอยู่กับการพินิจพิเคราะห์ของตัวเอง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวรอบตัวเขา นักรบแห่งสุญญะที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาจู่ ๆ ก็ยกผลึกลูกแก้วในมือขึ้นไปในอากาศ แสงจ้าจำนวนเจ็ดสีปกคลุมรอบตัวเขาในทันทีก่อนที่เฟนด์จะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพบว่าตัวเองอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตระหนักได้ว่าเขาเป็นคนเดียวที่อยู่อีกฟากของทุ่งหญ้าว่างเปล่า ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ที่นี่ที
ศัตรูสามคนรายล้อมเฟนด์ สายตาของพวกเขาเร่าร้อนไปด้วยความเคียดแค้น แต่ก็ยินดีที่จะได้บดขยี้เฟนด์จนเป็นชิ้น ๆ เฟนด์ไม่ลงรอยกับคนทั้งสาม และเขารู้ว่าอีกฝ่ายสามารถเข้ามารุมทึ้งฉีกเลือดเนื้อของเขาได้ขณะนี้เฟนด์ตกอยู่ในความโกลาหล เขารู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง เพราะศัตรูกำลังจะทรมานเขาจนตาย เขาอยากจะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้ แต่ร่างกายของเขาให้ความรู้สึกราวกับถูกโบกทับด้วยปูนซีเมนต์ เขาขยับไปไหนไม่ได้ด้วยซ้ำลมหนาวพัดผ่านจอนผมของเขา และหัวใจของเขาก็เต้นรัว เขาหันหลังกลับไปและเห็นว่าชายสวมหน้ากากกำลังถือมีดสั้นอยู่ในมือ ขณะที่เขาเข้าใกล้เฟนด์ ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็เคลื่อนไหวเช่นกัน พวกเขาทั้งสามมีอาวุธแหลมคมอยู่ในมือด้วยกันทั้งนั้น และเขารู้ว่าพวกเขากำลังจะทำอะไรแน่นอนว่าสิ่งที่เขากลัวที่สุดกำลังเกิดขึ้นทันใดนั้น ความคิดแวบเข้ามาในหัวของเฟนด์ ในขณะนั้นเองเฟนด์ดูเหมือนจะตระหนักได้ในทันที และสีหน้าของเขาก็แข็งทื่อไปไม่สิ… ทำไมสิ่งที่เขากลัวที่สุดถึงเกิดขึ้นกับเขาได้? เพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่เขาคิดว่าชายสามคนจะเลาะกระดูกเขาจนเกลี้ยง และในตอนนั้นเอง พวกเขาก็ก้าวเข้ามาหา
อย่างไรก็ตามเฟนด์ไม่ได้คิดแค่นั้นอีกเมื่อเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงในดวงตาของนักรบแห่งสุญญะ ร่างเงาพวกนี้สติปัญญาเป็นของตัวเอง!นี่…มันชักจะเกินไปแล้ว…เฟนด์รู้สึกกระวนกระวายใจเพราะเขาไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร สิ่งเหล่านี้คืออะไร?“ปล่อยผมไป! ผมขอโทษ! มันเป็นความผิดของผมเอง! ผมจะไม่ทำอีกแล้ว!” เสียงร้องอันน่าสะเทือนใจดังมาจากทางซ้ายของเขา และเฟนด์ก็หันกลับไปมอง เขาสังเกตเห็นว่าเกือบทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ใบหน้าของพวกเขาแสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน เสียงร้องดังกล่าวมาจากศิษย์ของเผ่าปฐมหายนะร่างกายของศิษย์คนนั้นแข็งเกร็ง ในขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดูเหมือนเขาจะอ้อนวอนน้ำตาไหลอาบแก้ม จนเสื้อที่สวมอยู่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เห็นได้ชัดว่าเขาร้องไห้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่ใช่คนเดียวที่มีปฏิกิริยาในลักษณะนี้ เนื่องจากศิษย์ส่วนใหญ่อยู่ในสถานะการณ์เดียวกัน ขณะที่เฟนด์มองไปรอบ ๆไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เฟนด์จะจินตนาการออกว่าคนเหล่านี้ตกอยู่ในภาพลวงตาแบบไหน เมื่อนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เขาประสบมากับตัวเองก่อนหน้านี้ ภาพลวงตานั้นค่อย ๆ เปิดเผยความกลัวที่ฝังอยู่ในใจของเหล่าศิษย
เฟนด์และธีโอทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้และศิษย์ของเผ่าปฐมหายนะก็ไม่กล้าติดตามธีโอไปหาเรื่องตำหนักสองกษัตริย์ พวกเขาต่างก็มุ่งความสนใจไปที่ด้านนั้นทั้งหมด ดังนั้นศิษย์คนนี้จึงรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าคนคนนี้คือใครผู้ชายคนนี้เป็นคนแรกที่หลุดพ้นออกมาจากภาพลวงตาได้? เขาแค่โชคดีหรือว่าเขามีความสามารถจริง ๆกันแน่? ศิษย์ของเผ่าปฐมหายนะมีสีหน้ามืดมน ระดับพลังยุททธของเขาสูงกว่าเฟนด์อยู่หนึ่งระดับและอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดทุกคนให้ความสนใจกับความวุ่นวายในตอนที่ธีโอสร้างปัญหาให้เฟนด์เนื่องจากชายผู้นี้อยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด พวกเขาจึงไม่ได้สนใจเขามากนัก พวกเขาได้ยินมาว่าเขาเป็นเพียงศิษย์ของผู้อาวุโสและไม่ใช่ศิษย์ที่ถูกเลือกด้วยซ้ำศิษย์ของเผ่าปฐมหายนะไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่าคนที่เขาดูถูกนั้นแข็งแกร่งกว่าเขาได้ เขาไม่มีแก่ใจจะมารักษาบาดแผลของตัวเองเลย"อ๊าก!" ชายสวมหน้ากากตะโกนเสียงดัง และสติก็ค่อย ๆ กลับคืนมาสู่ดวงตาของเขา เขาหอบอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากภาพลวงตาได้เพล้ง!ร่างเงาของนักรบแห่งสุญญะที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาจางหายไป ไม่มีอะไรม
ในขณะนี้ ผู้คนจำนวนมากที่อยู่รอบตัวเขาค่อย ๆ หลุดพ้นจากการถูกคุมขังทางจิต พวกเขาหลายคนดูเหมือนจะอยู่ในภาวะตื่นตระหนกและไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เต็มร้อยนัก ในตอนที่หลุดพ้นออกมาจากภาพลวงตาได้ หลังจากที่ภาพลวงแห่งสุญญะได้เล่นงานจุดอ่อนของหัวใจมนุษย์ทำให้พวกเขาเห็นในสิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะเผชิญเหล่าศิษย์ต่างรู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกขอบคุณที่รอดพ้นจากภาพลวงตามาได้"โอ้พระเจ้า! นี่มันเป็นทักษะประเภททักษะลวงตางั้นเหรอ? มันช่าง...แข็งแกร่งซะจนคิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง! ฉันเกือบไม่รอดแล้ว!"“เย้! ศิษย์พี่รอง คุณก็ได้สติแล้วเหมือนกันเหรอ? คุณฟื้นสติได้เร็วกว่าเราศิษย์สำนักอื่นมาก!”ในเมื่อมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ด้วยเช่นกัน หลายคนล้มเหลวและถึงกับอาเจียนเป็นเลือดเนื่องจากจิตใจอ่อนแอ คนเหล่านี้ถูกแสงสีส้มอมแดงปกคลุมอยู่เช่นนั้น และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไปเนื่องจากพวกเขาไม่ผ่านการทดสอบ อย่างไรก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่ต่างประสบความสำเร็จ และมีอัตราความสำเร็จสูงถึงเจ็ดในสิบส่วนทีเดียว ผู้คนจำนวนนี้คือผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทดสอบ และนักรบแห่งสุญญะที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาก็หายไปในไม่ช้า ก็มีค
ชายสวมหน้ากากถอนหายใจยาว ในขณะที่เขาหรี่ตามองไปยังเฟนด์ การจ้องมองของเขาอาจรุนแรงจนทำให้เฟนด์ต้องหันมามองเขา แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล แม้ว่าหน้ากากจะปกปิดใบหน้าของเขาอยู่ แต่เฟนด์ก็ยังสามารถบอกได้ว่าสีหน้าที่แสดงออกที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นเป็นอย่างไรจากการมองเพียงแค่ดวงตาของเขามันเป็นสิ่งที่รับไม่ได้หรือเปล่า? หรือเป็นความริษยา? บางทีอาจจะเป็นความขมขื่นก็เป็นได้ใช่ไหม?เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา หากชายสวมหน้ากากจะรู้สึกเช่นนั้นแล้วจะสำคัญตรงไหน? คนแพ้ยังไงก็แพ้อยู่วันยังค่ำ รอยยิ้มเยือกเย็นของเฟนด์กระตุ้นความโกรธของชายสวมหน้ากาก“นายคงพอใจในตัวเองมากนักสินะ คิดว่าสามารถเอาชนะฉันได้แล้วหรือไง นายเร็วกว่าฉันก็จริง แต่นั่นก็แค่แปลว่านายมุ่งมั่นมากกว่าฉัน ถ้านายแข็งแกร่งกว่าฉันจริง ๆ แล้วตลอดเวลาที่เราต่อสู้กันมาทำไมนายถึงเอาแต่หนีล่ะ?”เสียงของชายสวมหน้ากากนั้นทั้งดังและชัดเจน แม้ว่าเขากับเฟนด์จะอยู่ห่างกันก็ตามเฟนด์เลิกคิ้ว ไม่ได้โกรธกับคำพูดของเขา "ผมรู้ว่าทักษะเราแตกต่างกันอย่างไร แต่อย่าได้ลืมความจริงว่าระดับการบ่มเพาะของคุณนั้นสูงกว่าผมอยู่ หากเราทั้งคู่มีระดับการบ่มเพ
ความสนใจของทุกคนมุ่งเน้นไปที่ชายคนนั้น นักรบแห่งสุญญะที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาเริ่มเคลื่อนไหวในขณะที่ศิษย์เริ่มเรียกใช้ทักษะยุทธใบมีดสีม่วงในมือของนักรบเปล่งแสงเจิดจ้า ในขณะที่นักรบรับมือกับคลื่นโลหิตที่พุ่งมาข้างหน้าแต่ทว่าในขณะนั้น ก็เกิดเสียงกริ๊กดังขึ้นเมื่อออร่าสีม่วงที่อยู่บนร่างของนักรบแห่งสุญญะเปล่งประกายเจิดจ้าจนทุกคนต้องหลับตาลง นักรบแห่งสุญญะจางหายไปในแสงสีม่วงในวินาทีต่อมาแสงสีม่วงดังกล่าวก็สลายไป แต่ภาพที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้นล่วงหน้าทุกคน นักรบแห่งสุญญะแบ่งออกเป็นสองร่าง ทั้งคู่ถือดาบสีม่วงและเผชิญหน้ากับการโจมตีของศิษย์จากสำนักสหัสบรรณ"ทักษะลวงตาอีกแล้ว! คราวนี้เป็นภาพลวงตา!" ศิษย์จำนวนหนึ่งอุทานด้วยความตกใจศิษย์จากสำนักสหัสบรรณก็คิดเช่นเดียวกัน ศิษย์คนนั้นขมวดคิ้วและจ้องมองนักรบแห่งสุญญะที่แบ่งออกเป็นเป็นสองร่างก่อนจะพูดอย่างเย็นชา "แกหลอกฉันไม่ได้หรอก!"ดาบยาวหนึ่งเมตรของเขาเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะฟาดฟันไปยังนักรบแห่งสุญญะที่อยู่ด้านซ้ายการระเบิดครั้งใหญ่ดังก้องไปทั่วสถานที่ และแสงสีม่วงก็ปะทะเข้ากับรัศมีสีเลือด มันส่งเสียงแหลมคมบาดหูดังสนั่น แสงสีม่วงเปล่งประกายอย่า
ก่อนที่ความสับสนของเหล่าศิษย์จะตกผลึก ฝูงชนสังเกตเห็นว่านักรบแห่งสุญญะที่ถูกฟันกลายเป็นจุดแสงสีม่วงในทันที และถูกนักรบแห่งสุญญะทางด้านขวาดูดกลืนพลังของร่างนั้นไปอย่างรวดเร็วภาพนี้ทำให้ทุกคนถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง ร่างที่ถูกแทงไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่ร่างที่แท้จริง!ขณะนี้มีนักรบแห่งสุญญะยืนอยู่ต่อหน้าศิษย์ของสำนักสหัสบรรณเพียงแค่ร่างเดียว ศิษย์คนนั้นเบิกตากว้างในขณะที่เขาจ้องมองไปยังนักรบแห่งสุญญะด้วยความไม่เชื่อจากนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาเดาผิด…แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ดาบของนักรบแห่งสุญญะอยู่ตรงหน้าศิษย์แล้วทุกคนได้ยินเสียงของการถูกแทงศิษย์จากสำนักสหัสบรรณได้รับบาดแผลขนาดใหญ่จากดาบของนักรบแห่งสุญญะอย่างไม่อาจป้องกันการโจมตีได้ แผลของเขาลึกไปตั้งแต่ไหล่ซ้ายถึงเอวด้านขวาศิษย์ของสำนักสหัสบรรณกระอักเลือดออกมาและทรุดตัวลงกับพื้นทันที อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับจากการฟันนั้นทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลือที่จะต่อสู้ได้อีกต่อไป เลือดของเขาเปียกชุ่มเสื้อผ้าที่สวมอยู่ และเหล่าศิษย์จากสำนักสหัสบรรณที่รู้จักกับเขาต่างก็ตะโกนเสียงดังว่า "ฮิวส์! นายเป็นยังไงบ้าง?!"ในขณะนั้น ฮิวส์ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ