“ฉันกล้าพนันเลยว่าโอลิเวอร์รับคำท้าเพราะคิดว่าเขาจะสามารถเล่นงานเฟนด์ได้ภายในไม่กี่กระบวนท่า แต่ดูสิว่าเฟนด์สามารถหลบการโจมตีทั้งสองครั้งของเขาได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะเกลียดเด็กนั้นมาก”คำอธิบายของชายผู้นี้ฟังดูสมเหตุสมผล และทุกคนรอบตัวเขาก็พยักหน้า เขาพูดถูกจริง ๆ ความเกลียดชังของโอลิเวอร์ที่มีต่อเฟนด์นั้นนับว่ารุนแรงอย่างแน่นอน เป็นเรื่องจริงที่เขาคิดว่าจะสามารถยุติการต่อสู้ได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เขาไม่คาดหวังว่าเฟนด์จะมาได้ไกลถึงขนาดนี้โอลิเวอร์เยาะเย้ยและพูดว่า “ทำได้แค่นี้เองเหรอ? อยากจะหนีขึ้นก็หนีต่อไปเถอะ แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย! ตอนนี้ฉันยังออมแรงอยู่ เพราะงั้นอย่าคิดว่าความเร็วของฉันจะจำกัดอยู่แค่นี้!”ทันใดนั้น เขาก็พุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ตรงไปยังเฟนด์ลูกบอลแห่งแสงส่องแสงเรืองรองในมือของเขา และด้วยการหวดไม่กี่ครั้ง ดาบแห่งแสงห้าเล่มก็บินออกมาอีก พวกมันพุ่งเข้าหาเฟนด์ด้วยรังสีสังหาร เฟนด์ขมวดคิ้วแล้วเลิกคิ้วขึ้น เขารู้ว่าโอลิเวอร์ยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่ในสองกระบวนท่าแรก เพราะว่าในสายตาของเขา เฟนด์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าขยะข้างถนน ดังสุภ
ผู้ชมส่งเสียงเชียร์ทุกครั้งที่เฟนด์รอดพ้นจากคมมีด ในตอนแรกทุกคนดูแคลนเขา แต่ตอนนี้พวกเขาประทับใจในตัวเฟนด์จริง ๆแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ใช้ทักษะยุทธของตัวเอง แต่จากวิธีที่เขาหลบเลี่ยงการโจมตีของโอลิเวอร์ พวกเขาก็สามารถมองออกเลยว่าเขาไม่ธรรมดาจริง ๆ พวกเขามีความตระหนักรู้ในตนเองดีว่าหากเป็นพวกเขาที่ต้องขึ้นไปสู้ผลลัพธ์คงไม่เป็นเช่นนี้“นี่มันแปลกมาก! ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถควบคุมอวกาศได้ เป็นไปได้ไหมว่าทักษะที่เขาฝึกฝนนั้นเกี่ยวข้องกับอวกาศหรือเป็นทักษะธาตุที่มีเอกลักษณ์?”"ใครจะรู้? ฉันรู้แค่ว่าเขาเร็วกว่าฉัน! ศิษย์พี่โอลิเวอร์เพิ่มความเร็วในการโจมตีเป็นสองเท่าแล้ว แต่ถึงกระนั้น เขาก็สามารถหลบหลีกได้ตั้งครึ่งหลา”“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้เด็กนี่จะอวดดีถึงขนาดนั้น เขามีความสามารถมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น การเอาแต่หลบหลีกก็ไม่ได้ช่วยให้ชนะการต่อสู้ ท้ายที่สุด ระดับการบ่มเพาะระหว่างพวกเขายังต่างกัน หนึ่งระดับ นั่นทำให้ปริมาณของพลังงานที่แท้จริงแตกต่างกันไปด้วย เด็กคนนี้สามารถหลบได้ทุกครั้งตามที่เขาต้องการ แต่หากพลังงานที่แท้จริงของเขาหมดลง เกมก็จบ”หลายคนพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ก็อย่า
“บัดซบ! แกทำได้แค่นี้รึไง?” โอลิเวอร์คำรามเฟนด์ไม่แยแสต่อเขาอย่างสิ้นเชิงและมุ่งความสนใจไปที่การหลีกเลี่ยงดาบแห่งแสงทั้งหมดที่เข้ามา ทุกย่างก้าวที่เขาก้าวไป เขายิ่งเชี่ยวชาญในกฎแห่งสุญญะมากขึ้นเรื่อย ๆโอลิเวอร์กัดฟันด้วยความโกรธ โนเอลกระพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไร ในขณะที่บรู๊คซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขาอ้าปากค้างและเบิกตากว้างหลังจากนั้นไม่นาน โนเอลก็พูดขึ้นว่า “เฟนด์คงคิดว่าเขาจะสามารถพึ่งพาทักษะประหลาดนั้นได้ แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะต้องโต้กลับเพื่อให้ตัวเองชนะ”บรู๊คอาจไม่แข็งแกร่ง แต่เขาได้รับความรู้มากมายและได้รับชมการต่อสู้ระหว่างศิษย์ภายในในช่วงที่เขาอยู่ที่นั่นมามากมาย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าโนเอลพูดถูก “ศิษย์พี่เฟนด์จะต้องใช้การโจมตีที่ทรงพลังอย่างมากถึงจะสามารถเอาชนะโอลิเวอร์ได้ ไม่อย่างนั้นหากได้แต่หลบหลีกไปเรื่อย ๆ คงไม่มีวันชนะ”ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์กำหมัดแน่นอยู่ภายใต้เสื้อคลุม แม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูสงบ แต่หัวใจของเขาไม่สบายใจเอาเสียเลย ความเข้าใจในตัวเฟนด์มาจากการเผชิญหน้ากันที่ป่าดงอสูรเท่านั้น เขาไม่รู้ถึงขีด จำกัดของพลังเฟนด์เลยเมื่อเห็นว่าเฟนด์เอาแต่หลบการโจมตี เขาก
เสียงของคนที่พูดสั่นด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นทุกคนก็ตระหนักว่าโอลิเวอร์ได้เปลี่ยนมุมการโจมตีของดาบแห่งแสงอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เฟนด์ถูกผลักไปยังขอบของเวทีการต่อสู้เวทีการต่อสู้เป็นรูปวงกลมซึ่งถูกล้อมรอบด้วยธงเวทย์ หลังจากเปิดใช้ธงเวทย์ ม่านพลังก็เพิ่มขึ้น เวทย์ป้องกันรูปแบบนี้เรียกว่าเกราะผู้พิทักษ์เกราะผู้พิทักษ์นั้นโปร่งใส ราวกับชามใบใหญ่ที่คว่ำอยู่บนเวทีประลอง ซึ่งปกป้องทั้งเวทีเอาไว้ ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกได้เมื่อเกราะผู้พิทักษ์เปิดใช้งานกล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังของเฟนด์จะชนเข้ากับเกราะผู้พิทักษ์เมื่อเขาถูกบีบไปจนขอบเวที ศิษย์ทั้งหลายเห็นดังนั้นก็หายใจออกยาว ในที่สุดพวกเขาก็จะได้เห็นการต่อสู้ที่แท้จริงเสียที“ต้องยอมรับในตัวศิษย์พี่โอลิเวอร์เลย เขาหาวิธีจัดการกับเด็กปลิ้นปล้อนนั่นได้ ฉันเดาว่าเขาคงต้องขอบคุณประสบการณ์การต่อสู้ที่ตัวเองมีหรือจัดการกับเรื่องแบบนี้ได้” ศิษย์ภายในกล่าวด้วยความกลัวเฟนด์ไม่อาจหลบเลี่ยงการโจมตีของโอลิเวอร์ได้อีกต่อไป เมื่อหลังของเขาถูกกดเข้ากับม่านพลัง เมื่อไม่สามารถถอยหนีได้อีก เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเผชิญหน้ากับโอลิเวอร์ตรง ๆ“ฮ่าฮ่า มาด
ทุกคนตกตะลึงกับทักษะยุทธของเฟนด์ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ญาณทิพย์ตรวจสอบทักษะยุทธของเฟนด์อย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานจากทักษะศิลปยุทธที่เฟนด์ร่ายออกมาเลยแม้แต่น้อยแปลว่าทักษะศิลปยุทธที่ทรงพลังจะยิ่งมีความผันผวนของพลังงานสูงขึ้น แต่กริชสีดำอมเทาในมือของเฟนด์ก็ดูคล้ายกับหลุมดำที่ปราศจากความผันผวนของพลังงานในเวลานี้ ดาบแห่งแสงสิบเล่มอยู่ห่างจากเฟนด์เข้าระยะสิบหลาแล้ว เขาดันฝ่ามือไปข้างหน้าอย่างไร้อารมณ์ ในขณะที่ดาบวิญญาณทั้งสิบเล่มเข้าปะทะกับดาบแห่งแสงทั้งสิบทันทีทุกคนได้ยินเพียงเสียงระเบิดดัง ปัง ปัง ปัง ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่กระทบกัน แสงที่แยงตาปกคลุมคนทั้งสองไว้ชั่วครู่ และในวินาทีต่อมา เฟนด์ก็ประสานมือเข้าด้วยกันหลังจากที่แสงอ่อนลงดาบวิญญาณขนาดยักษ์ยาวสามฟุตก็พุ่งขึ้นไปในอากาศตรงไปยังจุดที่โอลิเวอร์อยู่ คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขารู้ว่าดาบแห่งแสงทั้งสิบของเขาระเบิดกลายเป็นลูกแสง และดับลงหลังจากสัมผัสกับพลังงานสีดำอมเทาของเฟนด์สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั่นก็คือดาบวิญญาณทั้งสิบไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย ดาบวิญญาณสิบตัวรวบรวมกันเป็นดาบวิญญาณขนาดยักษ์หลังจากที่
การต่อสู้ครั้งนี้ได้ผู้ชนะอย่างชัดเจนแล้ว แต่ผลลัพธ์นี้ไม่ให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นจะยอมรับได้ นับตั้งแต่วินาทีแรกไม่มีใครคิดว่าโอลิเวอร์จะพ่ายแพ้ให้กับเฟนด์เช่นนี้ ทุกคนคิดว่าโอลิเวอร์จะสามารถจัดการเฟนด์ได้ในหนึ่งหรือสามกระบวนท่าอย่างมากที่สุดถึงกระนั้นมันก็กลายเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนาน และแม้ว่าเขาจะใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดแล้วแต่โอลิเวอร์ก็ยังสู้เฟนด์ไม่ได้ เขาพ่ายแพ้อย่างหมดจดและได้รับบาดเจ็บสาหัสเขายังคงกรีดร้องและร่ำไห้อยู่กับพื้น ไม่ต้องคิดแล้วว่าเขาเจ็บปวดขนาดไหน ไม่มีนักศิลปะยุทธคนไหนจะยอมหลั่งน้ำตาต่อหน้าผู้ต่อสู้ ศักดิ์ศรีไม่อนุญาตให้พวกเขาร้องไห้“เฟนด์แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีว่าเขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?” ใครบางคนพูดด้วยความตกใจ“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน! เขาสามารถติดอันดับหนึ่งในห้าอันดับแรกในหมู่ศิษย์ภายในได้เลยด้วยซ้ำ!”“ไม่แปลกใจแล้วที่ทำไมเขาถึงอวดดีขนาดนั้น! ศิษย์พี่โอลิเวอร์เทียบไม่ติดเลย!”การประเมินเฟนด์ในสายตาของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้คนที่ดูเหมือนตัวตลกคือพวกเขา ไม่ใช่เฟนด์อีกต่อไป!จนถึงตอนนี้เฟนด์ก็ยังไม่แยแสคนพวกนั้น
เมื่อเดือนที่แล้วเฟนด์ต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชนะเวสลีย์ แต่ตอนนี้เขาสามารถเอาชนะโอลิเวอร์ได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าเวสลีย์และโอลิเวอร์จะเป็นพี่น้องกัน แต่พลังของพวกเขาก็ต่างกันราวอยู่กันคนละโลก แถมโอลิเวอร์ยังเข้าร่วมในตำหนักสองกษัตริย์เร็วกว่าเวสลีย์หลายปีอีกด้วยไหนจะความจริงที่ว่าโอลิเวอร์อยู่ในอันดับที่แปดในหมู่ศิษย์ภายในในขณะที่เวสลีย์ยังไม่ติดห้าสิบอันดับแรกของศิษย์ภายนอกเลยด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่เวสลีย์จะไล่ตามพี่ชายของเขาทัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการที่เฟนด์มีความสำเร็จที่ก้าวกระโดดอย่างยิ่งใหญ่ได้ภายในหนึ่งเดือนเช่นนี้ถึงแล้วน่าตกใจมากขนาดนั้น!“เฟนด์ซ่อนพลังที่แท้จริงไว้ไม่ให้เรารู้แน่นอน! ไม่มีทางที่เขาจะพัฒนาตัวเองได้มากขนาดนี้ภายในหนึ่งเดือน!” ศิษย์ภายนอกกล่าวอย่างหนักแน่น“ต้องเป็นอย่างนั้นแน่! อย่างไรซะ ช่องว่างระหว่างพลังของโอลิเวอร์และเวสลีย์นั้นกว้างเกินไปจริง ๆ เทียบกันแล้วก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว เมื่อเดือนที่แล้วเฟนด์เอาชนะเวสลีย์ได้อย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้เขากลับเอาชนะโอลิเวอร์ได้โดยไม่เสียเหงื่อเลยแม้แต่หยดเดียว! นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ภาย
ใบหน้าของผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและสองเปลี่ยนมืดมนลงหลังจากได้ยินสิ่งนี้ ผู้อาวุโสลำดับที่สองโกรธเสียจนมุมปากกระตุกไม่หยุดขณะที่เขาหรี่ตา ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งไม่ได้ซ่อนความโกรธของเขาไว้เลยและยังจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์อย่างอาฆาต เขาดูคล้ายอยากจะพุ่งตัวไปก่นด่าผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เสียเต็มประดา ผู้อาวุโสเซเยอร์ซึ่งนั่งข้างหลังตลอดเวลาก็ดูแย่มากเช่นกัน เขามีสีหน้าบิดเบี้ยวขณะกำหมัดแน่น เฟนด์ถือเป็นศัตรูของตระกูลเซเยอร์ ยิ่งเฟนด์แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ สถานการณ์ก็ยิ่งไม่เข้าข้างเขามากขึ้นเท่านั้นในขณะนี้โอลิเวอร์ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง ครั้งนี้ เสียงร้องของเขารุนแรงกว่าเดิมมาก เนื่องจากความเจ็บปวดดูคล้ายจะเคลื่อนตัวไปยังกระดูกสันหลัง "อ๊าก! เจ็บชะมัด! ช่วยด้วย!"ผู้อาวุโสเซเยอร์ตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง เขาลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีและรีบตรงไปยังเวทีต่อสู้ เขาทำร่ายผนึกเวทย์ด้วยมือของเขาเอง แล้วผนึกเวทย์ดังกล่าวก็วิ่งเข้าหาเกราะผู้พิทักษ์เหมือนหากฝนก่อนที่จะหลอมรวมเข้ากับเกราะผู้พิทักษ์ทุกคนได้ยินเพียงเสียงคลิกของกลไกที่กำลังทำงาน และเกราะผู้พิทักษ์ก็ถูกปลดทิ้งในทั
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ