เสียงของคนที่พูดสั่นด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นทุกคนก็ตระหนักว่าโอลิเวอร์ได้เปลี่ยนมุมการโจมตีของดาบแห่งแสงอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เฟนด์ถูกผลักไปยังขอบของเวทีการต่อสู้เวทีการต่อสู้เป็นรูปวงกลมซึ่งถูกล้อมรอบด้วยธงเวทย์ หลังจากเปิดใช้ธงเวทย์ ม่านพลังก็เพิ่มขึ้น เวทย์ป้องกันรูปแบบนี้เรียกว่าเกราะผู้พิทักษ์เกราะผู้พิทักษ์นั้นโปร่งใส ราวกับชามใบใหญ่ที่คว่ำอยู่บนเวทีประลอง ซึ่งปกป้องทั้งเวทีเอาไว้ ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกได้เมื่อเกราะผู้พิทักษ์เปิดใช้งานกล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังของเฟนด์จะชนเข้ากับเกราะผู้พิทักษ์เมื่อเขาถูกบีบไปจนขอบเวที ศิษย์ทั้งหลายเห็นดังนั้นก็หายใจออกยาว ในที่สุดพวกเขาก็จะได้เห็นการต่อสู้ที่แท้จริงเสียที“ต้องยอมรับในตัวศิษย์พี่โอลิเวอร์เลย เขาหาวิธีจัดการกับเด็กปลิ้นปล้อนนั่นได้ ฉันเดาว่าเขาคงต้องขอบคุณประสบการณ์การต่อสู้ที่ตัวเองมีหรือจัดการกับเรื่องแบบนี้ได้” ศิษย์ภายในกล่าวด้วยความกลัวเฟนด์ไม่อาจหลบเลี่ยงการโจมตีของโอลิเวอร์ได้อีกต่อไป เมื่อหลังของเขาถูกกดเข้ากับม่านพลัง เมื่อไม่สามารถถอยหนีได้อีก เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเผชิญหน้ากับโอลิเวอร์ตรง ๆ“ฮ่าฮ่า มาด
ทุกคนตกตะลึงกับทักษะยุทธของเฟนด์ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ญาณทิพย์ตรวจสอบทักษะยุทธของเฟนด์อย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานจากทักษะศิลปยุทธที่เฟนด์ร่ายออกมาเลยแม้แต่น้อยแปลว่าทักษะศิลปยุทธที่ทรงพลังจะยิ่งมีความผันผวนของพลังงานสูงขึ้น แต่กริชสีดำอมเทาในมือของเฟนด์ก็ดูคล้ายกับหลุมดำที่ปราศจากความผันผวนของพลังงานในเวลานี้ ดาบแห่งแสงสิบเล่มอยู่ห่างจากเฟนด์เข้าระยะสิบหลาแล้ว เขาดันฝ่ามือไปข้างหน้าอย่างไร้อารมณ์ ในขณะที่ดาบวิญญาณทั้งสิบเล่มเข้าปะทะกับดาบแห่งแสงทั้งสิบทันทีทุกคนได้ยินเพียงเสียงระเบิดดัง ปัง ปัง ปัง ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่กระทบกัน แสงที่แยงตาปกคลุมคนทั้งสองไว้ชั่วครู่ และในวินาทีต่อมา เฟนด์ก็ประสานมือเข้าด้วยกันหลังจากที่แสงอ่อนลงดาบวิญญาณขนาดยักษ์ยาวสามฟุตก็พุ่งขึ้นไปในอากาศตรงไปยังจุดที่โอลิเวอร์อยู่ คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขารู้ว่าดาบแห่งแสงทั้งสิบของเขาระเบิดกลายเป็นลูกแสง และดับลงหลังจากสัมผัสกับพลังงานสีดำอมเทาของเฟนด์สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั่นก็คือดาบวิญญาณทั้งสิบไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย ดาบวิญญาณสิบตัวรวบรวมกันเป็นดาบวิญญาณขนาดยักษ์หลังจากที่
การต่อสู้ครั้งนี้ได้ผู้ชนะอย่างชัดเจนแล้ว แต่ผลลัพธ์นี้ไม่ให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นจะยอมรับได้ นับตั้งแต่วินาทีแรกไม่มีใครคิดว่าโอลิเวอร์จะพ่ายแพ้ให้กับเฟนด์เช่นนี้ ทุกคนคิดว่าโอลิเวอร์จะสามารถจัดการเฟนด์ได้ในหนึ่งหรือสามกระบวนท่าอย่างมากที่สุดถึงกระนั้นมันก็กลายเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนาน และแม้ว่าเขาจะใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดแล้วแต่โอลิเวอร์ก็ยังสู้เฟนด์ไม่ได้ เขาพ่ายแพ้อย่างหมดจดและได้รับบาดเจ็บสาหัสเขายังคงกรีดร้องและร่ำไห้อยู่กับพื้น ไม่ต้องคิดแล้วว่าเขาเจ็บปวดขนาดไหน ไม่มีนักศิลปะยุทธคนไหนจะยอมหลั่งน้ำตาต่อหน้าผู้ต่อสู้ ศักดิ์ศรีไม่อนุญาตให้พวกเขาร้องไห้“เฟนด์แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีว่าเขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?” ใครบางคนพูดด้วยความตกใจ“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน! เขาสามารถติดอันดับหนึ่งในห้าอันดับแรกในหมู่ศิษย์ภายในได้เลยด้วยซ้ำ!”“ไม่แปลกใจแล้วที่ทำไมเขาถึงอวดดีขนาดนั้น! ศิษย์พี่โอลิเวอร์เทียบไม่ติดเลย!”การประเมินเฟนด์ในสายตาของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้คนที่ดูเหมือนตัวตลกคือพวกเขา ไม่ใช่เฟนด์อีกต่อไป!จนถึงตอนนี้เฟนด์ก็ยังไม่แยแสคนพวกนั้น
เมื่อเดือนที่แล้วเฟนด์ต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชนะเวสลีย์ แต่ตอนนี้เขาสามารถเอาชนะโอลิเวอร์ได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าเวสลีย์และโอลิเวอร์จะเป็นพี่น้องกัน แต่พลังของพวกเขาก็ต่างกันราวอยู่กันคนละโลก แถมโอลิเวอร์ยังเข้าร่วมในตำหนักสองกษัตริย์เร็วกว่าเวสลีย์หลายปีอีกด้วยไหนจะความจริงที่ว่าโอลิเวอร์อยู่ในอันดับที่แปดในหมู่ศิษย์ภายในในขณะที่เวสลีย์ยังไม่ติดห้าสิบอันดับแรกของศิษย์ภายนอกเลยด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่เวสลีย์จะไล่ตามพี่ชายของเขาทัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการที่เฟนด์มีความสำเร็จที่ก้าวกระโดดอย่างยิ่งใหญ่ได้ภายในหนึ่งเดือนเช่นนี้ถึงแล้วน่าตกใจมากขนาดนั้น!“เฟนด์ซ่อนพลังที่แท้จริงไว้ไม่ให้เรารู้แน่นอน! ไม่มีทางที่เขาจะพัฒนาตัวเองได้มากขนาดนี้ภายในหนึ่งเดือน!” ศิษย์ภายนอกกล่าวอย่างหนักแน่น“ต้องเป็นอย่างนั้นแน่! อย่างไรซะ ช่องว่างระหว่างพลังของโอลิเวอร์และเวสลีย์นั้นกว้างเกินไปจริง ๆ เทียบกันแล้วก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว เมื่อเดือนที่แล้วเฟนด์เอาชนะเวสลีย์ได้อย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้เขากลับเอาชนะโอลิเวอร์ได้โดยไม่เสียเหงื่อเลยแม้แต่หยดเดียว! นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ภาย
ใบหน้าของผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและสองเปลี่ยนมืดมนลงหลังจากได้ยินสิ่งนี้ ผู้อาวุโสลำดับที่สองโกรธเสียจนมุมปากกระตุกไม่หยุดขณะที่เขาหรี่ตา ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งไม่ได้ซ่อนความโกรธของเขาไว้เลยและยังจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์อย่างอาฆาต เขาดูคล้ายอยากจะพุ่งตัวไปก่นด่าผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เสียเต็มประดา ผู้อาวุโสเซเยอร์ซึ่งนั่งข้างหลังตลอดเวลาก็ดูแย่มากเช่นกัน เขามีสีหน้าบิดเบี้ยวขณะกำหมัดแน่น เฟนด์ถือเป็นศัตรูของตระกูลเซเยอร์ ยิ่งเฟนด์แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ สถานการณ์ก็ยิ่งไม่เข้าข้างเขามากขึ้นเท่านั้นในขณะนี้โอลิเวอร์ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง ครั้งนี้ เสียงร้องของเขารุนแรงกว่าเดิมมาก เนื่องจากความเจ็บปวดดูคล้ายจะเคลื่อนตัวไปยังกระดูกสันหลัง "อ๊าก! เจ็บชะมัด! ช่วยด้วย!"ผู้อาวุโสเซเยอร์ตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง เขาลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีและรีบตรงไปยังเวทีต่อสู้ เขาทำร่ายผนึกเวทย์ด้วยมือของเขาเอง แล้วผนึกเวทย์ดังกล่าวก็วิ่งเข้าหาเกราะผู้พิทักษ์เหมือนหากฝนก่อนที่จะหลอมรวมเข้ากับเกราะผู้พิทักษ์ทุกคนได้ยินเพียงเสียงคลิกของกลไกที่กำลังทำงาน และเกราะผู้พิทักษ์ก็ถูกปลดทิ้งในทั
สิ่งที่เฟนด์พูดทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบลงทันที คำพูดของเฟนด์เฉียบคมและตรงประเด็น อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสเซเยอร์กำลังหมายถึงเช่นนั้นจริง ๆ เขาอนุญาตให้โอลิเวอร์โจมตีเฟนด์ได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ห้ามไม่ให้เฟนด์ทำเช่นเดียวกัน!ศิษย์ทุกคนที่ยืนอยู่ที่นั่นมองดูผู้อาวุโสเซเยอร์ด้วยความโกรธ ผู้อาวุโสเซเยอร์ส่งเสียงพึมฮึมฮำเบา ๆ และเข้าใจว่าเฟนด์กำลังวางกับดักใส่เขา หากเขาพูดต่อก็เท่ากับทำลายศักดิ์ศรีของตัวเอง เขาอาจจะสูญเสียตำแหน่งผู้อาวุโสเพราะเหตุนี้ เขาส่งเสียงฮึ่มในลำคออย่างเย็นชาและพูดว่า “ไอ้สารเลว ไม่ต้องมาทำตัวเป็นฤาษีแปลงสาร ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...”“แล้วคุณกำลังหมายความว่ายังไงล่ะ? ทำไมต้องถามผมอย่างโกรธเกรี้ยวแบบนั้น ผมไม่ได้ทำผิดกฎและไม่ได้ฆ่าโอลิเวอร์ แล้วผมก็ไม่ได้ทำให้เขาพิการไปตลอดชีวิตด้วย ในเมื่อผมไม่ได้ทำผิดกฎ คุณกล่าวหาผมแบบนั้นได้ยังไง?”สิ่งที่เฟนด์พูดทำให้ผู้อาวุโสเซเยอร์ถึงกับสะอึก และเขารู้สึกราวกับเพิ่งกลืนก้อนหินก้อนใหญ่ลงคอ ก้อนหินติดอยู่ที่คอของเขาและทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในฐานะผู้อาวุโสของสำนัก เขาถูกเฟนด์บีบจนหมดคำพูดเฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชาแ
ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งเย้ยหยันอย่างขุ่นเคืองและพูดอย่างหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ต้องห่วงหรอก ในฐานะผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง ฉันจะรักษาสัญญาและจะส่งคะแนนสะสมของสำนักให้เธอในภายหลัง!”จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนตัวเพื่อจากไป เขาอาจรู้สึกว่าการรั้งอยู่ของเขามีแต่จะทำให้ตัวเองต้องอับอาย เนื่องจากผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งจากไปแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อเช่นกันห้องของเฟนด์ยังดูเหมือนเดิม มันเป็นห้องเตียงเดี่ยวขนาดมาตรฐานที่มีตู้เสื้อผ้า โต๊ะ เก้าอี้ และชั้นวางของ หลังจากที่เขากลับมาจากจุดรวมพลที่มีเสียงดังน่าหนวกหู เฟนด์ก็จัดการข้าวของของเขา อันที่จริงเขาไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรอยู่ในบ้านหลังนี้มากมาย นอกเหนือจากเครื่องนอนของเขาแล้ว ก็มีเพียงตำราโบราณที่เขายืมมาไม่กี่เล่มเท่านั้นบรู๊คและโนเอลก็ตามเฟนด์ไปที่ห้องของเขาด้วย และพวกเขาคุยกันตลอดการเดินทาง หลังจากเข้ามาภายในบ้านและนั่งพูดคุยกันบนโต๊ะบทสนทนาของพวกเขาก็ยังคงดำเนินต่อไปสีหน้าของโนเอลเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “นายรู้ไหมว่าหลังจากที่นายเดินออกไปจากฝูงชนแล้วคนอื่น ๆ คิดยังไงกับนาย บางคนอิจฉา บางคนเกลียดนาย และบ
พวกเขาพูดคุยกันขณะเดิน พบกับศิษย์คนอื่น ๆ มากมายตามรายทางที่กำลังพูดคุยกันเช่นเดียวกับพวกเขาการประลองที่จุดรวมพลทำให้เฟนด์ค่อนข้างเป็นที่รู้จัก และผู้คนมากมายก็มองเขาในแง่ที่ต่างออกไปนับจากนั้นเป็นต้นมา พวกเขาส่วนใหญ่มองเขาด้วยความชื่นชม แต่บางคนก็อิจฉาเฟนด์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของเฟนด์ยังคงเรียบเฉยและนิ่งสงบ ไม่ว่าผู้คนจะคิดเห็นอย่างไรกับเขาก็ตามยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ฝั่งตะวันออกมากเท่าไร พวกศิษย์ก็ยิ่งมีจำนวนน้อยลงเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว คนที่มีหน้าที่ในฝั่งตะวันออกส่วนใหญ่ล้วนเป็นฝ่ายบริหารที่มีตำแหน่งสูงหรือไม่ก็ศิษย์ผู้อาวุโส เฟนด์และพรรคพวกของเขาไม่รู้ทางเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามาเหยียบที่นี่ พวกเขาพยายามค้นหาเส้นทางและต้องขอคำแนะนำจากศิษย์หลายคนถนนสายเดียวที่ไปสู่หอหยกอาถรรพ์อยู่ห่างออกไปเพียงหัวมุมเดียว พวกเขาเงียบลงเล็กน้อยเมื่อเข้าใกล้ที่ดังกล่าวเนื่องจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเงียบสนิท นอกจากเสียงลมที่พัดผ่านต้นไผ่แล้ว สิ่งเดียวที่ได้ยินคือเสียงของพวกเขาเอง ในขณะนี้ จู่ๆ โนเอลก็ขมวดคิ้วในขณะที่เขาลดเสียงลงและกระซิบว่า “คนข้างหน้าคือใคร? ทำไมมองเราแบบนั้น?”เฟนด์