พวกเขาพูดคุยกันขณะเดิน พบกับศิษย์คนอื่น ๆ มากมายตามรายทางที่กำลังพูดคุยกันเช่นเดียวกับพวกเขาการประลองที่จุดรวมพลทำให้เฟนด์ค่อนข้างเป็นที่รู้จัก และผู้คนมากมายก็มองเขาในแง่ที่ต่างออกไปนับจากนั้นเป็นต้นมา พวกเขาส่วนใหญ่มองเขาด้วยความชื่นชม แต่บางคนก็อิจฉาเฟนด์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของเฟนด์ยังคงเรียบเฉยและนิ่งสงบ ไม่ว่าผู้คนจะคิดเห็นอย่างไรกับเขาก็ตามยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ฝั่งตะวันออกมากเท่าไร พวกศิษย์ก็ยิ่งมีจำนวนน้อยลงเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว คนที่มีหน้าที่ในฝั่งตะวันออกส่วนใหญ่ล้วนเป็นฝ่ายบริหารที่มีตำแหน่งสูงหรือไม่ก็ศิษย์ผู้อาวุโส เฟนด์และพรรคพวกของเขาไม่รู้ทางเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามาเหยียบที่นี่ พวกเขาพยายามค้นหาเส้นทางและต้องขอคำแนะนำจากศิษย์หลายคนถนนสายเดียวที่ไปสู่หอหยกอาถรรพ์อยู่ห่างออกไปเพียงหัวมุมเดียว พวกเขาเงียบลงเล็กน้อยเมื่อเข้าใกล้ที่ดังกล่าวเนื่องจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเงียบสนิท นอกจากเสียงลมที่พัดผ่านต้นไผ่แล้ว สิ่งเดียวที่ได้ยินคือเสียงของพวกเขาเอง ในขณะนี้ จู่ๆ โนเอลก็ขมวดคิ้วในขณะที่เขาลดเสียงลงและกระซิบว่า “คนข้างหน้าคือใคร? ทำไมมองเราแบบนั้น?”เฟนด์
คำพูดของกริฟฟินและการที่เขามารอเฟนด์ที่นี่ทำให้เฟนด์สับสนอย่างมาก แม้ว่ากริฟฟินจะเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกและศิษย์ทุกคนจะรู้สึกด้อยกว่าพวกเขาตามระเบียบเนื่องจากพวกเขาเป็นความหวังรุ่นต่อไปของทั้งสำนัก ศิษย์ที่ถูกเลือกเช่นเขาไม่ควรมาปฏิบัติเช่นนี้กับเฟนด์ก่อนที่เฟนด์จะได้เข้าใจในเบื้องลึกเบื้องหลังคำพูดและน้ำเสียงของกริฟฟิน กริฟฟินก็ยิ่งเหยียดหยามเขาขึ้นไปอีก เฟนด์ไม่สามารถทนต่อพฤติกรรมดังกล่าวได้และไม่อยากเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น หัวเราะเบา ๆ และพูดด้วยท่าทีเย็นชาเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าคุณหมายถึงอะไร ศิษย์พี่กริฟฟิน ผมไม่รู้ว่าตำแหน่งที่คุณพูดถึงเมื่อครู่มันหมายความว่าอะไร”กริฟฟินเลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เฟนด์พูด กริฟฟินเย้ยหยันอย่างขุ่นเคืองและมองไปที่เฟนด์ราวกับว่าเขาคิดจะใช้ไม้แข็งในการจัดการอีกฝ่าย “นายคิดว่าฉันไม่กล้าลงมือกับนายเหรอ? ถึงแม้ว่านายจะเป็นศิษย์คนสุดท้ายของผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ดแล้วก็ตาม แต่นายก็เป็นแค่ศิษย์ของผู้อาวุโส ไม่ใช่ศิษย์ที่ถูกเลือกแบบพวกเรา โอลิเวอร์ เซเยอร์เป็นศิษย์อันดับต้น ๆ ในหมู่ศิษย์ภายใน แต่ในสายตาของฉันเขาก็เป็นแค่มือใหม่ สิ่งที
สีหน้าของกริฟฟินสั่นคลอนและมืดมน รู้สึกอับอายอย่างที่สุดที่ไม่สามารถเอาชนะเฟนด์ได้ อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าหากเขายังเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อ เฟนด์อาจพูดอะไรที่แย่ยิ่งกว่านี้ออกมาอีก เขารู้ว่านี่เป็นทางเดียวที่สามารถไปยังหอหยกอาถรรพ์ได้ และหากมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่ สมาชิกของหอหยกอาถรรพ์จะต้องเข้าข้างเฟนด์อย่างแน่นอน แล้วเขาอาจจะมีปัญหาเพราะเรื่องนี้กริฟฟินระงับความโกรธของตัวเองไว้หลังจากพิจารณาสถานการณ์ “วันนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมีเรื่องกับนาย แต่ฉันหวังว่านายจะฉลาดพอที่จะไม่ไปยุ่งย่ามกับแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม นายเพิ่งอยู่ในขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด และถ้านายไปที่นั่นนายจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ นายควรอยู่ในสำนักและจดจ่ออยู่กับการบ่มเพาะของตัวเองจะดีกว่า ในอนาคตหากมีโอกาสอีกหนก็ยังไม่สายเกินไปที่จะไปเยี่ยมชม”แม้จะดูราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังแนะนำเฟนด์ก็ตามที แต่เฟนด์ไม่ใช่คนโง่และรู้ว่ากริฟฟินไม่ได้เห็นใจเขา เหตุผลที่กริฟฟินมาหาเขาก็เพราะแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม แต่ถึงอย่างนั้นเฟนด์ก็ไม่เคยได้ยินว่าตัวเขาเองจะได้ไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามแม้แต่ครั้งเดียวร่างของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์แวบเข้
โนเอลค่อย ๆ หันกลับมามองกริฟฟินอย่างระมัดระวังในขณะที่เดินไปข้างหน้า และเมื่อเขาเห็นกริฟฟินเลี้ยวไปตรงหัวมุมและจากไป เขาจึงร้องเรียกเฟนด์ว่า “รอฉันด้วย!”เฟนด์หยุดเดินและหันไปมองโนเอลซึ่งดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัดแถมยังมีอาการนิ้วสั่น เฟนด์ได้แต่หัวเราะเบา ๆ และรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่โนเอลได้เผชิญหน้ากับศิษย์ที่ถูกเลือก ไม่แปลกเลยที่เขาจะรู้สึกหวาดกลัวเมื่อถูกบีบด้วยรังสีของศิษย์ที่ถูกเลือกโนเอลสูดหายใจเข้าลึก “นายมันกล้าหาญจริง ๆ ฉันต้องขอเอ่ยปากชมเลย ฉันไม่คิดว่าถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะกล้าพอที่จะต่อปากต่อคำกับเขา!”เฟนด์พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรบรู๊คเชิดคางขึ้นและพูดอย่างมั่นใจว่า “ศิษย์พี่เฟนด์ไม่เหมือนคุณไงล่ะ เขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสและได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ด การที่ผู้ชายคนนั้นเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกแล้วมันสำคัญตรงไหน? แล้วอีกอย่างนะ เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจหาเรื่อง ต่อให้เราไม่รู้ว่าตรงไหนที่จะพาเราเข้าสู่แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม แต่มันก็คงมีประโยชน์มากแน่เพราะแม้แต่กริฟฟินยังคิดที่จะต่อสู้เพื่อมัน เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็เป็นธรรมดาที่เราจะไม่มีทางมอบสิ่งนี้ให้คนอื่น!”
ห้องของเฟนด์อยู่ที่ห้องโถงด้านทิศตะวันตก ที่นี่เคยเป็นที่เก็บของเบ็ดเตล็ด แต่ทุกอย่างถูกทำความสะอาดและพื้นที่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดีหลังจากที่ศิษย์นอกสำนักไป เฟนด์ก็รินน้ำชาให้โนเอลและบรู๊คซึ่งบอกลาเขาหลังจากใช้เวลาคุยกับพวกเขาอยู่ครึ่งค่อนวันหลังจากส่งบรู๊คและโนเอลออกไป เฟนด์จึงเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องโถงฝั่งตะวันตก เฟนด์ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ในขณะที่เขายืนห้องโถงด้านข้างเพียงลำพัง เขาคิดว่าผู้อาวุโสก็อดฟรีย์จะเรียกพบเขาหลังจากที่เขามามาถึงที่นี่ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะถูกเมินเฉยเช่นนี้หลังจากนั่งในห้องโถงด้านข้างเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายและไม่อาจปัดเป่าความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไปได้ จากนั้นเขาก็เปิดประตูห้องโถงด้านข้างและเดินออกจากห้องโถงด้านทิศตะวันตกไป เฟนด์เพิ่งก้าวเดินไปตามบนเส้นทางหินสีเขียวขณะที่เขาได้เห็นกับชายคนหนึ่งในชุดผู้อาวุโสภายในนั่งอยู่ในศาลา ชายคนนั้นหันหลังให้เฟนด์และดูคล้ายกำลังเพลิดเพลินไปกับชาของเขาความตึงเครียดของเฟนด์ลดลงเมื่อได้เห็นแผ่นหลังของบุคคลดังกล่าว เขาเดินตรงไปยังศาลาที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ต้นไม้ที่อยู่รอบ ๆ นั้นเขียวชะอุ่มอย่า
นั่นเท่ากับว่าผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ดจะไม่สูญเสียอะไรเลย ในขณะที่เฟนด์เป็นคนเดียวที่ต้องทนทุกข์ทรมานเฟนด์ถลึงตาใส่ผู้อาวุโสแม้จะไม่ดุดันมากนัก แต่เขาก็ยังเอ่ยปากตอบเสียงห้วน “คุณนี่เก่งในเรื่องการคำนวณเรื่องพวกนี้มากจริง ๆ ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ เมื่อเทียบกับคุณแล้ว ความเจ้าแผนการของผมเทียบอะไรไม่ได้เลย”ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เข้าใจคำพูดเหน็บแนมที่แฝงอยู่ของเฟนด์ได้ในทันที เขาวางถ้วยชาในมือลงและเงยหน้าขึ้นมองเฟนด์ “เธอไม่จำเป็นต้องโกรธขนาดนี้หรอก ชะตาของเราสองคนถูกลิขิตเอาไว้ด้วยกัน และฉันต้องขอขอบคุณเธอที่ช่วยฉันออกมาจากป่าดงอสูร ฉันเป็นหนี้เธอสำหรับความเมตตาในครั้งนั้น และฉันจะไม่เพิกเฉยต่อเธอเมื่อเธอต้องประสบกับปัญหา จริงอยู่ที่ฉันประกาศออกไปแบบนั้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ต่อให้เธอเอาชนะศิษย์ทั้งสามคนไม่ได้ ฉันก็ไม่ทอดทิ้งเธอหรอก”คำพูดของผู้อาวุโสอาจฟังดูน่ายินดี แต่เฟนด์ไม่ใช่เด็กอายุสามขวบ เขาหัวเราะเบา ๆ และเปรยออกไปอย่างแผ่วเบาว่า “คุณต้องเข้าใจถึงอันตรายที่ผมจะต้องเผชิญจากความล้มเหลวที่ผมจะได้รับในเวทีการต่อสู้สิ ก่อนหน้านี้คุณประกาศให้ผมเป็นศิษย์คนสุดท้ายของคุณ พวกนั้นก็ต้องพุ่งเป
ถึงกระนั้นเฟนด์ก็ไม่คิดว่าคนที่มุ่งร้ายต่อผู้อาวุโสก็อดฟรีย์จะเป็นผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและลำดับที่สอง โดยปกติแล้วพวกเขาสองคนไม่ลงรอยกัน เฟนด์จึงค่อนข้างประหลาดใจกับข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาจะยอมจับมือกันชั่วคราวเพียงเพื่อจะล่อลวงผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์หายใจออกพรืดยาว “ฉันหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองไว้แล้ว แล้วก็หาไว้เผื่อเธอด้วย มีบางสิ่งที่แม้อยากจะหลีกเลี่ยงก็ไม่อาจทำได้ ในเมื่อไม่ว่ายังไงก็เปลี่ยนผลลัพธ์ไม่ได้ เพราะงั้นก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขจะดีกว่า”เฟนด์พยักหน้าอย่างลึกซึ้งในขณะที่เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พูด ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์หัวเราะเบา ๆ เขาส่ายหน้า และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เลิกพูดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้เถอะ ตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกเธอ”“จุดที่จะเข้าถึงแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามใช่หรือเปล่า?” เฟนด์โพล่งออกมาโดยไม่รอให้ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เป็นฝ่ายเฉลยผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เลิกคิ้วและมองไปที่เฟนด์ด้วยความประหลาดใจ “เธอไปรู้เรื่องนี้มาได้ยังไง? ฉันเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เองนะ แล้วตามหลักการแล้ว พวกนั้นน่าจะขอให้ลูกน้องของพวกเขาเก็บเรื่องนี้ไว้
“ทำไมสำนักสหัสบรรณถึงทำเช่นนั้น? พวกเขากำลังเผชิญกับความยากลำบากอะไรที่ต้องการยืมมือของสำนักวายชนม์? พวกเขาหวังว่าสำนักวายชนม์จะเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้ได้เหรอ? ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ศิษย์ของสำนักวายชนม์ไม่ใช่คนโง่ และหากพวกเขาตรวจสอบเรื่องนี้ พวกเขาก็จะพบกับความผิดปกติได้ แล้วเมื่อพวกเขาค้นพบเรื่องนั้นแล้ว สำนักวายชนม์คงไม่ยอมให้สำนักสหัสบรรณยืมมือแต่โดยดีหรอก” เฟนด์พูดอย่างค่อนข้างตื่นเต้นผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พยักหน้า “เธอน่ะจับประเด็นสำคัญที่สุดได้แล้ว อันที่จริง ฉันก็ยังไม่อาจหาคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้ได้เลย ฉันรู้แค่ว่าข่าวลือเหล่านี้ถูกแพร่กระจายไปโดยสำนักสหัสบรรณเอง แต่ฉันไม่แน่ใจว่าทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนั้น”ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ชะงักไปก่อนจะพูดต่อ “ดูสิ แม้แต่เธอก็ยังมีคำถาม ฉันเชื่อว่าสหายเก่าพวกนั้นก็คงคิดเช่นนี้ได้ด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ฉันแน่ใจว่าพวกเขามีเหตุผลของตัวเองที่จะยืนยันที่จะทำเช่นนี้แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามไม่ใช่สถานที่ที่เราจะเข้าไปได้ตามต้องการ ทุกสำนักมีบรรทัดฐานที่สอดคล้องกัน และนั่นคือเหตุผลที่กริฟฟินคิดจะแย่งตำแหน่งของเธอไปให้กับน้องชายของเขา”เฟนด์คิดเกี
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ