เฟนด์ฟังการสนทนาของฝูงชนอย่างเงียบ ๆในขณะนั้น มอร์ตันพร้อมที่จะออกหมัด แต่แล้วเขาก็ไปทำเรื่องโง่ ๆ ด้วยการมองไปที่เจอรัลด์ด้วยสายตายั่วยุซึ่งทำให้เจอรัลด์กลอกตาใส่เขา จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “จับตาดูพลังอันแรงกล้าของฉันไว้ให้ดี!”พอพูดจบ เขาก็ชกกำปั้นที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทองหนาลงไปที่ออบซิเดียน แรงนั้นแข็งแกร่งมากจนทุกคนสามารถได้ยินเสียงของพละกำลังที่มาจากกระดูกของเขา ออบซิเดียนส่งเสียงออกมาและแสงก็สว่างขึ้นทันที ความแรงของการโจมตีของมอร์ตันนั้นคล้ายกับเจอรัลด์แต่กอปรไปด้วยความเพ้อฝันที่มากกว่าทุกคนจ้องมองไปที่แสงไฟด้วยดวงตาเบิกกว้าง พวกเขาเป็นพยานในการแลกฝีปากกันระหว่างคนทั้งคู่มาโดยตลอดและแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นผลลัพธ์ของมอร์ตัน ถ้ามอร์ตันมีพลังมากกว่าเจอรัลด์จริง ๆ ต่อไปเจอรัลด์ก็อาจจะต้องสงบปากสงบคำมอร์ตันไม่รีบร้อนที่จะเห็นผลลัพธ์ของเขา ยังไงก็ตาม ฝูงชนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่ามีเพียงไฟสี่ดวงเท่านั้นที่ถูกจุดขึ้น เขาใช้พลังงานทั้งหมดในร่างกายของเขาไปแล้ว และแสงที่ห้าก็ควรจะกระพริบออกมาสักหน่อย แต่ท้ายที่สุดมันก็ยังมืดอยู่เช่นเดิมเฟนด์นับวินาที ไฟดวงที่สี่ติด
ใบหน้าของมอร์ตันแดงก่ำและเขาหายใจหนัก เขาชี้ไปที่เจอรัลด์และพูดว่า “แม้ว่าฉันจะไม่ได้จุดแสงดวงที่ห้า แต่ฉันก็ยังแข็งแกร่งกว่านาย แสงที่สี่ของฉันอยู่ได้นานกว่าของนายหนึ่งวินาที!”เจอรัลด์ไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เขาพูด “ก็แค่วินาทีเดียวเท่านั้น อย่ามาทำเหมือนกับว่านายจะสามารถกำจัดฉันออกไปได้ในหมัดเดียวสิ ถึงนายจะแข็งแกร่งกว่าฉันนิดหน่อย แต่มันเทียบอะไรไม่ได้กับสังเวียนการต่อสู้ของจริง ถ้าเราเผชิญหน้ากันจริง ๆ นายก็คงไม่ชนะหรอก”เจอรัลด์มีความมั่นใจสูงสุดในประสบการณ์การต่อสู้ของเขา ตั้งแต่ยังเด็ก เขาได้ติดตามผู้อาวุโสของเขาไปฝึกฝนและประลองฝีมือกับคนอื่น ๆ มากมาย เขาชนะบ้างและแพ้บ้าง ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เขาเป็นเขาอย่างในทุกวันนี้วัยเด็กของมอร์ตันแตกต่างจากเจอรัลด์อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์ในการฝึกฝนอยู่บ้าง แต่ก็เมื่อเปรียบเทียบกับของเจอรัลด์ประสบการณ์ของเขาก็ดูจืดชืดไปเลย เขารู้ข้อเท็จจริงนั้นดีที่สุด “อย่าพยายามบิดเบือนความจริงที่ว่าฉันยังแข็งแกร่งกว่านายสิ ฉันมีสิทธิ์ที่จะเหยียบย่ำนายอยู่นะ!”เจอรัลด์ชำเลืองมองเขา “ในเมื่อเราทั้งคู่ผ่านการประเมิน ทำไมเราถึงไม่ไปหาคำตอบด
ความสงบของเฟนด์ทำให้เซฟเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาในแง่ดีขึ้น แต่เขารับเงินจากคำสัญญาที่ว่าจะพาเฟนด์ออกไปให้ได้มาแล้ว ดังนั้นให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เฟนด์ได้เข้าร่วมการทดสอบหรือปล่อยให้เขาออกจากสถานที่นี้ไปแบบที่ยังมีลมหายใจอยู่เซฟหัวเราะอย่างเย็นชาและหันไปเผชิญหน้ากับฝูงชน “แน่นอนว่านายไม่ได้ทำอะไรผิด! เหตุผลที่ฉันไม่อนุญาตให้นายเข้าร่วมการทดสอบก็เพราะนายเป็นสายลับที่เผ่าปฐมหายนะส่งมายังไงล่ะ”ฝูงชนพากันอ้าปากค้างขณะที่พวกเขาหันมามองที่เฟนด์ด้วยสายตาแห่งความสงสัย ความจริงที่ว่าผู้กล่าวหาคือเซฟทำให้ข้อกล่าวหามีความน่าเชื่อถืออย่างมาก ไม่อย่างนั้นคนที่มีตำแหน่งในตำหนักสองกษัตริย์อย่างเขาจะโกหกในเรื่องแบบนี้ไปทำไม? เขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำเช่นนั้น?แอมโบรสไม่รู้ว่าสิ่งที่เซฟพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ แต่เขามักจะรับบทปีศาจเลวทรามอยู่เสมอไม่ว่าจะตำแหน่งใดก็ตาม เขาแอบมองที่เฟนด์และรู้สึกประทับใจในความสงบของชายหนุ่มเช่นกัน 'ถ้าเขาเป็นสายลับจริง ๆ เขาคงไม่ใช่สายลับธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน' เขาคิดด้วยรอยยิ้มจาง ๆเดิมทีเขายืนอยู่ข้างผู้อาวุโสลี แต่ตอนนี้กลับย้ายไปอยู่ใกล้เฟนด
ท้ายที่สุด พวกเขามีศิษย์ภายนอกจำนวนมากที่ทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในสงคราม ดวงตาของเซฟมีบางอย่างสว่างวาบในขณะที่เขาเลิกคิ้วขึ้น เขาไม่ได้คาดหวังว่าเฟนด์มีคำอธิบายที่น่าเชื่อถือได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ยังไงก็ตาม ไม่ว่าเขาจะเฉลียวฉลาดแค่ไหน เขาก็ยังไม่สามารถหยุดเซฟได้ เขาหัวเราะเบา ๆ และหันไปเผชิญหน้ากับฝูงชน“ฉันได้รับรายงานจากศิษย์ที่เป็นสายข่าวคนหนึ่งของฉัน เขาเห็นนายทานอาหารกับศิษย์จากเผ่าปฐมหายนะ นอกจากนั้น วอร์เรนยังสามารถเป็นพยานได้ว่าเขาเคยเห็นนายในเผ่าปฐมหายนะมาก่อน ข้อโต้แย้งของนายไร้ประโยชน์เมื่อมีประจักษ์พยานจากหลักฐานทั้งสองอย่างนั้น” คำพูดของเซฟฟังดูมีเหตุผลและคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรก็เริ่มเชื่อเขาฝูงชนมองไปที่เฟนด์ด้วยสายตาเย้ยหยัน “สายลับอย่างนายนี่มันน่ารังเกียจ! นกสองหัวนั้นน่ะรังเกียจที่สุด! พื้นที่ลึกลับนั่นเต็มไปด้วยทรัพยากรและถูกค้นพบโดยตำหนักสองกษัตริย์แตเผ่าปฐมหายนะกลับขโมยมันไป! นายน่าจะละอายใจกับตัวเองบ้างนะ!” ใครบางคนตะโกนขึ้น"ใช่! เผ่าปฐมหายนะทั้งน่ารังเกียจและไร้ยางอายอย่างที่สุด!”“นายจะคาดหวังอะไรจากพวกเขา? ดูอย่างผู้ชายคนนี้สิ ภายนอกดูใสซื่อแต่ซ่อนความชั่วร้า
แอมโบรสเลิกคิ้ว เขารู้สึกสงสารเฟนด์ ไม่ว่าสิ่งที่เซฟพูดจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม ตำหนักสองกษัตริย์จะยังคงดำรงอยู่ได้เช่นเคย นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เซฟมีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องส่วนใหญ่ของตำหนักสองกษัตริย์อีกด้วยเฟนด์เป็นเพียงผู้สมัครเข้ารับการประเมินและเขาไม่มีอำนาจยับยั้งการตัดสินใจของเซฟ แอมโบรสก็อยากจะแก้ตัวให้เฟนด์อยู่สักหน่อยแต่เขาก็ไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงเพราะสิ่งที่เซฟพูดเรื่องเกี่ยวกับการที่เฟนด์เป็นสายลับอาจกลายเป็นความจริงได้ในที่สุด และเขาจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศที่ช่วยเหลือเฟนด์ ดังนั้นเขาจึงได้แต่เงียบและสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปริปากสีหน้าของเฟนด์เย็นชาขึ้นทันที ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้รับการแก้ไขโดยง่าย เซฟเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นและกระซิบข้างหูของเฟนด์ว่า “พอได้แล้ว ไอ้สารเลว ในฐานะผู้ดูแลตำหนักสองกษัตริย์ถ้าฉันบอกว่านายไม่อาจเข้ารับการทดสอบได้ นายก็ไม่อาจเข้ารับการทดสอบได้ นี่คือสิ่งที่นายได้รับจากการหาเรื่องผิดคน”แม้ว่าเซฟจะไม่ได้บอก แต่เฟนด์ก็เดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาหัวเราะอย่างเย็นชาและมองไปด้านข้างเซ
“น่าขำจริง ๆ นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? นายเป็นนักสู้ที่ร้ายกาจในขั้นต้นของระดับแรกกำเนิด นี่นายคิดจริง ๆ หรือว่านายจะสามารถเอาชนะอัจฉริยะทั้งสองคนที่อยู่ต่อหน้านายและจุดประกายแสงดวงที่ห้าของออบซิเดียนได้”แอมโบรสและผู้อาวุโสลีสบตากัน พวกเขาก็คิดว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังอยู่เหนือความคาดเดาไปกันใหญ่ที่ด้านล่างของเวที ฝูงชนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอภิปรายอีกครั้ง ส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าเฟนด์มีปัญหาทางสมอง เขากล้าดียังไงถึงประกาศอย่างอวดดีว่าเขากำลังจะคว้าที่หนึ่งมาได้?“นายต้องหลงผิดแน่ ๆ ที่คิดว่าตัวเองจะสามารถจุดไฟห้าดวงแล้วรับโอสถซานหยวนไปได้ นายคิดว่าเป็นอัจฉริยะขนาดนั้นเลยหรือ? ถ้านายเป็นอัจฉริยะจริง ทำไมเราไม่เคยได้ยินชื่อนายมาก่อนเลย”"ใช่! นายควรหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือกว่านี้สักหน่อย! อย่าได้คิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่สามารถจุดไฟห้าดวงได้ ถ้านายสามารถจุดไฟดวงที่สามเป็นเวลาห้าวินาทีก็ถือว่าโชคดีแล้ว”“ฉันรู้ว่าการโกหกมาเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด แต่นี่มันมากเกินไป เขาเป็นคนงี่เง่าที่สุดที่ฉันเคยพบมาในชีวิต แม้แต่มอร์ตันและเจอรัลด์ก็ยังไม่อาจจุดแสงดวงที่ห้าได้ ถ้าเขาได้รับโอสถซานหยวน ฉันจะยอมวิ่งรอบจ
แต่เฟนด์มีสายเลือดที่แตกต่างกับอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้มาจากตระกูลอันทรงเกียรติหรือมีระดับการบ่มเพาะสูงอะไร แน่นอนว่าเขาถูกฉีกหน้าเพราะคำสบประมาทเหล่านั้น เซฟกำหมัดแน่น เขาคงจะปิดปากเฟนด์ด้วยการต่อยเข้าที่ใบหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลสุดท้ายเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้เขาต้องกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าคนอื่นและเขาจะทำทุกอย่างเพื่อหยุดเฟนด์จากการซุบซิบที่เป็นอันตรายมากขึ้นทุกที “นายคิดว่าการที่การที่นายใส่ร้ายฉันแล้วอะไร ๆ มันจะเปลี่ยนงั้นเหรอ? ไหนล่ะหลักฐานของนาย?”เฟนด์ยิ้มเบา ๆ และยืดตัวขึ้น “บิงโก แล้วไหนล่ะหลักฐานของคุณ? คุณบอกว่าคุณได้รับรายงานจากศิษย์ของคุณว่าผมเป็นสายลับ ไปเรียกพวกเขามาสอบปากคำสิ! ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผมไปพบกับคนของเผ่าปฐมหายนะตอนไหน”เซฟหายใจเข้าลึก ๆ และดูคล้ายกับมีประกายไฟก่อตัวขึ้นในดวงตาของเขา ในตอนนี้เขาเกิดความคิดบรรเจิดขึ้น การถูกนินทาจะทำให้ทุกอย่างพังทลายลง เขารู้สึกประทับใจกับมันสมองอันชาญฉลาดของเฟนด์ นี่เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ของประโยคที่ว่า 'หากเอาชนะไม่ได้ก็จงเข้าร่วม'เซฟเย้ยหยันอย่างเย็นชาและหันหน้าหนี “แน่นอน ฉันเรียกพวกเขามาที่นี่ได้ แต่ทำไมฉันต้องเร
มอร์ตันยังคงเข้าข้างเซฟตลอดมา เมื่อได้ยินคำพูดของเฟนด์ มุมปากของเขาก็เริ่มขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายคนนี้กำลังพยายามขุดหลุมฝังศพของตัวเอง เขาต้องมีปัญหาทางสมองแน่ ๆ ถ้าเขาเชื่อจริง ๆ ว่าตัวเขาเองสามารถจุดไฟห้าดวงได้และจะรับโอสถซานหยวน ช่างน่าขันนัก!”“ใช่ ตอนเด็ก ๆ เขาคงได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง เขาหาวิธีที่ง่ายกว่านี้ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้เหรอ? เขาคิดว่าจะเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งได้หรือไง? ถุย! โง่จริง ๆ!” ฝูงชนส่งเสียงกึกก้องจนถึงตอนนี้เฟนด์เพิกเฉยต่อคำพูดของพวกเขาและยังคงสงบนิ่งดัง ในขณะที่ทั้งแอมโบรสและผู้อาวุโสลีจ้องมองมาที่เขาด้วยสีหน้าแปลก ๆ แม้ว่าผู้อาวุโสลีจะดำรงตำแหน่งสูงสุด แต่เขาก็เป็นคนที่พูดน้อยที่สุดเช่นกัน เขาเลือกที่จะสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าเขาเป็นคนนอกในเรื่องนี้ เฟนด์พบว่าพฤติกรรมของเขาดูแปลก แต่เขามีเรื่องสำคัญมากกว่าการจะทำความเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในใจของผู้อาวุโสลี เขาควรรีบลงมือเมื่อได้รับไฟเขียวให้ทำการทดสอบเป็นอีกครั้งที่เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าออบซิเดียน เขาหายใจเข้าลึก ๆ ไม่แน่ใจว่าจะส
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ