ความสงบของเฟนด์ทำให้เซฟเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาในแง่ดีขึ้น แต่เขารับเงินจากคำสัญญาที่ว่าจะพาเฟนด์ออกไปให้ได้มาแล้ว ดังนั้นให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เฟนด์ได้เข้าร่วมการทดสอบหรือปล่อยให้เขาออกจากสถานที่นี้ไปแบบที่ยังมีลมหายใจอยู่เซฟหัวเราะอย่างเย็นชาและหันไปเผชิญหน้ากับฝูงชน “แน่นอนว่านายไม่ได้ทำอะไรผิด! เหตุผลที่ฉันไม่อนุญาตให้นายเข้าร่วมการทดสอบก็เพราะนายเป็นสายลับที่เผ่าปฐมหายนะส่งมายังไงล่ะ”ฝูงชนพากันอ้าปากค้างขณะที่พวกเขาหันมามองที่เฟนด์ด้วยสายตาแห่งความสงสัย ความจริงที่ว่าผู้กล่าวหาคือเซฟทำให้ข้อกล่าวหามีความน่าเชื่อถืออย่างมาก ไม่อย่างนั้นคนที่มีตำแหน่งในตำหนักสองกษัตริย์อย่างเขาจะโกหกในเรื่องแบบนี้ไปทำไม? เขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำเช่นนั้น?แอมโบรสไม่รู้ว่าสิ่งที่เซฟพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ แต่เขามักจะรับบทปีศาจเลวทรามอยู่เสมอไม่ว่าจะตำแหน่งใดก็ตาม เขาแอบมองที่เฟนด์และรู้สึกประทับใจในความสงบของชายหนุ่มเช่นกัน 'ถ้าเขาเป็นสายลับจริง ๆ เขาคงไม่ใช่สายลับธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน' เขาคิดด้วยรอยยิ้มจาง ๆเดิมทีเขายืนอยู่ข้างผู้อาวุโสลี แต่ตอนนี้กลับย้ายไปอยู่ใกล้เฟนด
ท้ายที่สุด พวกเขามีศิษย์ภายนอกจำนวนมากที่ทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในสงคราม ดวงตาของเซฟมีบางอย่างสว่างวาบในขณะที่เขาเลิกคิ้วขึ้น เขาไม่ได้คาดหวังว่าเฟนด์มีคำอธิบายที่น่าเชื่อถือได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ยังไงก็ตาม ไม่ว่าเขาจะเฉลียวฉลาดแค่ไหน เขาก็ยังไม่สามารถหยุดเซฟได้ เขาหัวเราะเบา ๆ และหันไปเผชิญหน้ากับฝูงชน“ฉันได้รับรายงานจากศิษย์ที่เป็นสายข่าวคนหนึ่งของฉัน เขาเห็นนายทานอาหารกับศิษย์จากเผ่าปฐมหายนะ นอกจากนั้น วอร์เรนยังสามารถเป็นพยานได้ว่าเขาเคยเห็นนายในเผ่าปฐมหายนะมาก่อน ข้อโต้แย้งของนายไร้ประโยชน์เมื่อมีประจักษ์พยานจากหลักฐานทั้งสองอย่างนั้น” คำพูดของเซฟฟังดูมีเหตุผลและคนที่ไม่ค่อยรู้อะไรก็เริ่มเชื่อเขาฝูงชนมองไปที่เฟนด์ด้วยสายตาเย้ยหยัน “สายลับอย่างนายนี่มันน่ารังเกียจ! นกสองหัวนั้นน่ะรังเกียจที่สุด! พื้นที่ลึกลับนั่นเต็มไปด้วยทรัพยากรและถูกค้นพบโดยตำหนักสองกษัตริย์แตเผ่าปฐมหายนะกลับขโมยมันไป! นายน่าจะละอายใจกับตัวเองบ้างนะ!” ใครบางคนตะโกนขึ้น"ใช่! เผ่าปฐมหายนะทั้งน่ารังเกียจและไร้ยางอายอย่างที่สุด!”“นายจะคาดหวังอะไรจากพวกเขา? ดูอย่างผู้ชายคนนี้สิ ภายนอกดูใสซื่อแต่ซ่อนความชั่วร้า
แอมโบรสเลิกคิ้ว เขารู้สึกสงสารเฟนด์ ไม่ว่าสิ่งที่เซฟพูดจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม ตำหนักสองกษัตริย์จะยังคงดำรงอยู่ได้เช่นเคย นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เซฟมีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องส่วนใหญ่ของตำหนักสองกษัตริย์อีกด้วยเฟนด์เป็นเพียงผู้สมัครเข้ารับการประเมินและเขาไม่มีอำนาจยับยั้งการตัดสินใจของเซฟ แอมโบรสก็อยากจะแก้ตัวให้เฟนด์อยู่สักหน่อยแต่เขาก็ไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงเพราะสิ่งที่เซฟพูดเรื่องเกี่ยวกับการที่เฟนด์เป็นสายลับอาจกลายเป็นความจริงได้ในที่สุด และเขาจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศที่ช่วยเหลือเฟนด์ ดังนั้นเขาจึงได้แต่เงียบและสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปริปากสีหน้าของเฟนด์เย็นชาขึ้นทันที ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้รับการแก้ไขโดยง่าย เซฟเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นและกระซิบข้างหูของเฟนด์ว่า “พอได้แล้ว ไอ้สารเลว ในฐานะผู้ดูแลตำหนักสองกษัตริย์ถ้าฉันบอกว่านายไม่อาจเข้ารับการทดสอบได้ นายก็ไม่อาจเข้ารับการทดสอบได้ นี่คือสิ่งที่นายได้รับจากการหาเรื่องผิดคน”แม้ว่าเซฟจะไม่ได้บอก แต่เฟนด์ก็เดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาหัวเราะอย่างเย็นชาและมองไปด้านข้างเซ
“น่าขำจริง ๆ นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? นายเป็นนักสู้ที่ร้ายกาจในขั้นต้นของระดับแรกกำเนิด นี่นายคิดจริง ๆ หรือว่านายจะสามารถเอาชนะอัจฉริยะทั้งสองคนที่อยู่ต่อหน้านายและจุดประกายแสงดวงที่ห้าของออบซิเดียนได้”แอมโบรสและผู้อาวุโสลีสบตากัน พวกเขาก็คิดว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังอยู่เหนือความคาดเดาไปกันใหญ่ที่ด้านล่างของเวที ฝูงชนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอภิปรายอีกครั้ง ส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าเฟนด์มีปัญหาทางสมอง เขากล้าดียังไงถึงประกาศอย่างอวดดีว่าเขากำลังจะคว้าที่หนึ่งมาได้?“นายต้องหลงผิดแน่ ๆ ที่คิดว่าตัวเองจะสามารถจุดไฟห้าดวงแล้วรับโอสถซานหยวนไปได้ นายคิดว่าเป็นอัจฉริยะขนาดนั้นเลยหรือ? ถ้านายเป็นอัจฉริยะจริง ทำไมเราไม่เคยได้ยินชื่อนายมาก่อนเลย”"ใช่! นายควรหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือกว่านี้สักหน่อย! อย่าได้คิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่สามารถจุดไฟห้าดวงได้ ถ้านายสามารถจุดไฟดวงที่สามเป็นเวลาห้าวินาทีก็ถือว่าโชคดีแล้ว”“ฉันรู้ว่าการโกหกมาเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด แต่นี่มันมากเกินไป เขาเป็นคนงี่เง่าที่สุดที่ฉันเคยพบมาในชีวิต แม้แต่มอร์ตันและเจอรัลด์ก็ยังไม่อาจจุดแสงดวงที่ห้าได้ ถ้าเขาได้รับโอสถซานหยวน ฉันจะยอมวิ่งรอบจ
แต่เฟนด์มีสายเลือดที่แตกต่างกับอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้มาจากตระกูลอันทรงเกียรติหรือมีระดับการบ่มเพาะสูงอะไร แน่นอนว่าเขาถูกฉีกหน้าเพราะคำสบประมาทเหล่านั้น เซฟกำหมัดแน่น เขาคงจะปิดปากเฟนด์ด้วยการต่อยเข้าที่ใบหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลสุดท้ายเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้เขาต้องกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าคนอื่นและเขาจะทำทุกอย่างเพื่อหยุดเฟนด์จากการซุบซิบที่เป็นอันตรายมากขึ้นทุกที “นายคิดว่าการที่การที่นายใส่ร้ายฉันแล้วอะไร ๆ มันจะเปลี่ยนงั้นเหรอ? ไหนล่ะหลักฐานของนาย?”เฟนด์ยิ้มเบา ๆ และยืดตัวขึ้น “บิงโก แล้วไหนล่ะหลักฐานของคุณ? คุณบอกว่าคุณได้รับรายงานจากศิษย์ของคุณว่าผมเป็นสายลับ ไปเรียกพวกเขามาสอบปากคำสิ! ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผมไปพบกับคนของเผ่าปฐมหายนะตอนไหน”เซฟหายใจเข้าลึก ๆ และดูคล้ายกับมีประกายไฟก่อตัวขึ้นในดวงตาของเขา ในตอนนี้เขาเกิดความคิดบรรเจิดขึ้น การถูกนินทาจะทำให้ทุกอย่างพังทลายลง เขารู้สึกประทับใจกับมันสมองอันชาญฉลาดของเฟนด์ นี่เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ของประโยคที่ว่า 'หากเอาชนะไม่ได้ก็จงเข้าร่วม'เซฟเย้ยหยันอย่างเย็นชาและหันหน้าหนี “แน่นอน ฉันเรียกพวกเขามาที่นี่ได้ แต่ทำไมฉันต้องเร
มอร์ตันยังคงเข้าข้างเซฟตลอดมา เมื่อได้ยินคำพูดของเฟนด์ มุมปากของเขาก็เริ่มขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายคนนี้กำลังพยายามขุดหลุมฝังศพของตัวเอง เขาต้องมีปัญหาทางสมองแน่ ๆ ถ้าเขาเชื่อจริง ๆ ว่าตัวเขาเองสามารถจุดไฟห้าดวงได้และจะรับโอสถซานหยวน ช่างน่าขันนัก!”“ใช่ ตอนเด็ก ๆ เขาคงได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง เขาหาวิธีที่ง่ายกว่านี้ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้เหรอ? เขาคิดว่าจะเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งได้หรือไง? ถุย! โง่จริง ๆ!” ฝูงชนส่งเสียงกึกก้องจนถึงตอนนี้เฟนด์เพิกเฉยต่อคำพูดของพวกเขาและยังคงสงบนิ่งดัง ในขณะที่ทั้งแอมโบรสและผู้อาวุโสลีจ้องมองมาที่เขาด้วยสีหน้าแปลก ๆ แม้ว่าผู้อาวุโสลีจะดำรงตำแหน่งสูงสุด แต่เขาก็เป็นคนที่พูดน้อยที่สุดเช่นกัน เขาเลือกที่จะสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าเขาเป็นคนนอกในเรื่องนี้ เฟนด์พบว่าพฤติกรรมของเขาดูแปลก แต่เขามีเรื่องสำคัญมากกว่าการจะทำความเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในใจของผู้อาวุโสลี เขาควรรีบลงมือเมื่อได้รับไฟเขียวให้ทำการทดสอบเป็นอีกครั้งที่เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าออบซิเดียน เขาหายใจเข้าลึก ๆ ไม่แน่ใจว่าจะส
เสียงดูถูกของพวกเขาดังก้องไปในอากาศ พวกเขาทุกคนล้วนมองไปที่เซฟด้วยสายตาเย้ยหยัน ทันใดนั้น ก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน จู่ ๆ พวกเขาทุกคนก็เงียบเพราะรู้ว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถกระตุ้นการตอบสนองเช่นนี้ได้“พระเจ้า นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า ไฟดวงที่ห้าเพิ่งสว่างขึ้นงั้นเหรอ? นี่มันไม่ถูกต้อง!”“ตบฉันที! นี่อาจเป็นภาพลวงตา ไม่มีทางที่เรื่องร้ายแรงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้”ทั้งสถานที่เริ่มกึกก้องไปด้วยเสียงตกใจและและคนส่วนใหญ่ก็ได้แต่อ้าปากค้าง เฟนด์ทำได้จริง ๆ เขาจุดไฟดวงที่ห้าให้สว่างขึ้นได้จริง ๆ พวกเขากำลังนับวินาทีในใจอย่างเงียบ ๆ “หนึ่งวินาที สองวินาที… แปดวินาที ยังสว่างอยู่! เก้าวินาที!”ในที่สุดไฟดวงที่ห้าก็ดับลงเมื่อเวลาเก้าวินาที ผลที่ได้ทำให้ทุกคนตกใจ เฟนด์ไม่เพียงแต่ทำให้ไฟดวงที่ห้าสว่างขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้มันสว่างได้นานถึงเก้าวินาทีอีกด้วย ไฟดวงที่ห้าถือเป็นไฟที่ให้คะแนนสูงสุดในบรรดาไฟทั้งหมด ฝูงชนถึงกับต้องหยิกตัวเองเพื่อตรวจสอบว่าพวกเขากำลังฝันอยู่หรือไม่? เขาทำได้ยังไงในเมื่อแม้แต่มอร์ตันและเจอรัลด์ยังทำไม่ได้? แม้แต่ศิษย์ภายนอกของตำหนักสองกษัตริย์ก็ไม่สา
แอมโบรสถึงกับพูดไม่ออกเมื่อผู้อาวุโสลีประเมินเฟนด์เช่นนั้น แต่เซฟไม่รู้สึกเหมือนเขา เขาไม่เชื่อว่าเฟนด์จะให้อภัยเขาสำหรับสิ่งที่เขาทำกับชายหนุ่มในวันนี้ เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด แต่สีหน้าของเขายังคงมืดมน เป็นความรู้ทั่วไปว่านักสู้ส่วนใหญ่ต่างก็มือเปื้อนเลือดด้วยกันทั้งนั้น อาการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของแอมโบรสแปรเปลี่ยนเป็นความสุขเมื่อเขาเห็นสีหน้ามืดมนของเซฟ พวกเขาขัดแย้งกันอยู่เสมอ และแอมโบรสก็ภาวนาอีกฝ่ายหายไปจากโลกนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การได้เห็นเขาเป็นเช่นนี้ทำให้เขายิ้มด้วยความยินดีเขาเดินไปหาเฟนด์และตบไหล่ของชายหนุ่มเพื่อแสดงความยินดี “ผู้อาวุโสลีไม่ชมใครง่าย ๆ หรอกนะ คุณคือเฟนด์ วู๊ดใช่ไหม? อนาคตคุณอาจแซงหน้าฉันไปไกลเลย” แอมโบรสพูดติดตลก เสียงของฝูงชนเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีคำพูดออกจากปากของแอมโบรส ผู้เข้าสอบทุกคนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา“ฉันได้ยินมาว่าตำหนักสองกษัตริย์มีศิษย์ภายนอกประมาณสามพันคน เฟนด์ วู๊ดคนนี้ยังไม่ได้เป็นศิษย์ภายนอกอย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับอยู่ในสามร้อยอันดับแรกแล้ว หมายความว่าเขาแข็งแกร่งกว่าอีกคนอีกเก้าในสิบส่วนของตำหนักเชียวนะ! ฉันพนันได้เลยว่าภาย