เสียงดูถูกของพวกเขาดังก้องไปในอากาศ พวกเขาทุกคนล้วนมองไปที่เซฟด้วยสายตาเย้ยหยัน ทันใดนั้น ก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน จู่ ๆ พวกเขาทุกคนก็เงียบเพราะรู้ว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถกระตุ้นการตอบสนองเช่นนี้ได้“พระเจ้า นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า ไฟดวงที่ห้าเพิ่งสว่างขึ้นงั้นเหรอ? นี่มันไม่ถูกต้อง!”“ตบฉันที! นี่อาจเป็นภาพลวงตา ไม่มีทางที่เรื่องร้ายแรงเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้”ทั้งสถานที่เริ่มกึกก้องไปด้วยเสียงตกใจและและคนส่วนใหญ่ก็ได้แต่อ้าปากค้าง เฟนด์ทำได้จริง ๆ เขาจุดไฟดวงที่ห้าให้สว่างขึ้นได้จริง ๆ พวกเขากำลังนับวินาทีในใจอย่างเงียบ ๆ “หนึ่งวินาที สองวินาที… แปดวินาที ยังสว่างอยู่! เก้าวินาที!”ในที่สุดไฟดวงที่ห้าก็ดับลงเมื่อเวลาเก้าวินาที ผลที่ได้ทำให้ทุกคนตกใจ เฟนด์ไม่เพียงแต่ทำให้ไฟดวงที่ห้าสว่างขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้มันสว่างได้นานถึงเก้าวินาทีอีกด้วย ไฟดวงที่ห้าถือเป็นไฟที่ให้คะแนนสูงสุดในบรรดาไฟทั้งหมด ฝูงชนถึงกับต้องหยิกตัวเองเพื่อตรวจสอบว่าพวกเขากำลังฝันอยู่หรือไม่? เขาทำได้ยังไงในเมื่อแม้แต่มอร์ตันและเจอรัลด์ยังทำไม่ได้? แม้แต่ศิษย์ภายนอกของตำหนักสองกษัตริย์ก็ไม่สา
แอมโบรสถึงกับพูดไม่ออกเมื่อผู้อาวุโสลีประเมินเฟนด์เช่นนั้น แต่เซฟไม่รู้สึกเหมือนเขา เขาไม่เชื่อว่าเฟนด์จะให้อภัยเขาสำหรับสิ่งที่เขาทำกับชายหนุ่มในวันนี้ เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด แต่สีหน้าของเขายังคงมืดมน เป็นความรู้ทั่วไปว่านักสู้ส่วนใหญ่ต่างก็มือเปื้อนเลือดด้วยกันทั้งนั้น อาการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของแอมโบรสแปรเปลี่ยนเป็นความสุขเมื่อเขาเห็นสีหน้ามืดมนของเซฟ พวกเขาขัดแย้งกันอยู่เสมอ และแอมโบรสก็ภาวนาอีกฝ่ายหายไปจากโลกนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การได้เห็นเขาเป็นเช่นนี้ทำให้เขายิ้มด้วยความยินดีเขาเดินไปหาเฟนด์และตบไหล่ของชายหนุ่มเพื่อแสดงความยินดี “ผู้อาวุโสลีไม่ชมใครง่าย ๆ หรอกนะ คุณคือเฟนด์ วู๊ดใช่ไหม? อนาคตคุณอาจแซงหน้าฉันไปไกลเลย” แอมโบรสพูดติดตลก เสียงของฝูงชนเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีคำพูดออกจากปากของแอมโบรส ผู้เข้าสอบทุกคนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา“ฉันได้ยินมาว่าตำหนักสองกษัตริย์มีศิษย์ภายนอกประมาณสามพันคน เฟนด์ วู๊ดคนนี้ยังไม่ได้เป็นศิษย์ภายนอกอย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับอยู่ในสามร้อยอันดับแรกแล้ว หมายความว่าเขาแข็งแกร่งกว่าอีกคนอีกเก้าในสิบส่วนของตำหนักเชียวนะ! ฉันพนันได้เลยว่าภาย
ไม่เพียงแต่เฟนด์จะได้รับโอสถซานหยวนเท่านั้น แต่ยังได้รับที่พักส่วนตัวและคะแนนสะสมอีกห้าสิบคะแนนอีกด้วย “แม่งเอ๊ย! เขาสมควรตายเพราะขโมยสิ่งที่ควรเป็นของฉันไป!” มอร์ตันตะโกน เขาโกรธด้วยความริษยาและอยากจะซัดเฟนด์ให้ร่วง แต่อนิจจา เขาไม่มีอำนาจที่จะทำเช่นนั้นเฟนด์ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการระเบิดอารมณ์ของมอร์ตัน เขารู้สึกโล่งใจกับคำถามในใจของตัวเองที่ถามว่าเขาจะสามารถจุดไฟดวงที่ห้าได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบของมันก็กระทบต่อความเห็นของคนอื่น ๆ เขายังมีรู้สึกปิติกับความจริงที่ว่าทักษะ 'ทลายห้วงสุญญะ' ของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ที่ผ่านการทดสอบคนอื่น ๆ มาก แม้ว่าเขาจะสามารถควบรวมดาบวิญญาณได้เพียงเล่มเดียวก็ตาม แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการเฉลิมฉลอง เขามีสิ่งที่สำคัญกว่าที่ต้องจัดการเฟนด์หันไปมองเซฟอย่างเย็นชา และรอยยิ้มก็เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ผู้ดูแลกริฟฟิน ผมได้พิสูจน์ความสามารถของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าที่ผ่านมาผมพูดความจริงมาโดยตลอด คุณก็ควรยอมรับความผิดของตัวเองเช่นกัน”คำพูดของเฟนด์ทำให้เซฟพาตัวเองกลับมามีสติ จู่ ๆ เขาก็จำได้ว่าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา พวกเขาเพิ่งตีฝีปากใส่
เฟนด์ไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป “ถ้าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง เผ่าปฐมหายนะคงต้องคิดถึงเรื่องนี้ให้ดี ๆ เพราะพูดตามตรง พวกเขาควรจะเก็บยอดฝีมือไว้ที่ฐานที่มั่นของพวกเขา ทำไมพวกเขาต้องส่งผมมาให้เจอกับคุณเพียงลำพัง? คงสาบานได้เลยว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าไม่เชื่อก็ไปตรวจสอบดูได้เลย ผมจะรอคุณอยู่ที่นี่”สิ่งที่เขาทำคือวิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองหักเขาเป็นสายลับจริง ๆ คงจะไม่มีใครเห็นใจ และหากเขายอมจำนนไปแต่โดยดีเขาจะไม่อาจเรียกคืนความน่าเชื่อถือได้อีก หากเขาไม่เรียกร้องความสนใจจากคนระดับสูงของตำหนักสองกษัตริย์ผ่านการแสดงพลังของเขา คงไม่มีใครเดาออกว่าเซฟจะทำอะไรกับเขาบ้างอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาได้พิสูจน์คุณค่าของเขาแล้ว ดังนั้นพวกระดับสูงของตำหนักสองกษัตริย์จะเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ เขายังมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างที่สุดอีกด้วย ไม่มีทางที่หลักฐานใด ๆ ดั่งคำกล่าวหาเขาจะปรากฎขึ้นมาได้เฟนด์หันไปเผชิญหน้ากับฝูงชนและพูดว่า “ผมมีศัตรูอยู่ ก่อนหน้านี้ผมก็เคยพูดถึงเขามาแล้วและชื่อของเขาคือวอร์เรน อเล็กซานเดอร์ เขาค
เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา เขาไม่คิดจะเป็นฝ่ายถอย “มีคนที่รู้ด้วยเหรอว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น? ฉันไม่รู้แฮะ แต่ฉันสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าทุกคนได้เห็นแล้วว่านายล้มเหลวในการจุดไฟดวงที่ห้าหลังจากที่โม้อยู่นานสองนาน ดูเหมือนว่านายจะอิจฉาฉันนะ แต่อิจฉาไปจะมีประโยชน์อะไร? นับตั้งแต่ที่นายจุดไฟดวงที่ห้าไม่สำเร็จ นายก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดกับฉันแบบนี้ โอสถซานหยวน คะแนนสมทบ และที่พักส่วนตัวฉันได้ทุกอย่างมาด้วยพลังของฉันเอง”ใบหน้าของมอร์ตันมืดมนยิ่งขึ้นราวกับว่ามีใครบังคับให้เขากินอึ ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนั้นมาก่อน ตลอดทั้งชีวิต คำพูดแต่ละคำของเฟนด์เหมือนมีดที่แทงทะลุหัวใจของเขา เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่างและมุมปากของเขาก็เริ่มกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ เขาจ้องมองไปที่เฟนด์อย่างดุเดือดแต่ไม่ว่ามอร์ตันจะจ้องมองมาที่เขามากแค่ไหน เฟนด์ก็ยังคงไม่แยแส ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา เขาได้พบกับคนอย่างมอร์ตันมามากมายนับไม่ถ้วน เขาจะไม่เก็บเอาสิ่งที่คนพวกนั้นพูดมาใส่ใจ ต่อให้อีกฝ่ายจะพยายามยั่วยุเขามากแค่ไหนก็ตามในทางตรงกันข้ามเจอรัลด์ได้แต่เงียบอยู่ตลอดการตอบโต้ระหว่างเฟนด์และมอร์ตัน เขาได้แต่มองมาทางเฟนด์อย่างไม่
แอมโบรสหยุดชั่วคราวก่อนที่จะดำเนินการต่อ “จริง ๆ แล้วพวกคุณทุกคนแข็งแกร่งกว่าศิษย์นอกสำนักเพียงเล็กน้อย หากภายในระยะเวลาหนึ่ง ระดับการบ่มเพาะของพวกคุณยังไม่ก้าวหน้าหรือไม่อาจบรรลุไปได้ตามเกณฑ์คะแนนสะสม เราจะถือว่าคุณเป็นคนไร้ค่าในทันทีและพวกคุณจะถูกลดระดับให้อยู่ในตำแหน่งศิษย์นอกสำนัก คุณรู้หรือไม่ว่าการเป็นศิษย์นอกสำนักนั้นเป็นอย่างไร? พวกเขามีสิทธิ์ไม่ต่างไปจากคนรับใช้ของตำหนักสองกษัตริย์เท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นแม้แต่สถานที่แห่งนี้ก็หรูหราเกินไปสำหรับพวกคุณ!”ทันทีที่แอมโบรสพูดจบ ไม่รวมศิษย์ไม่กี่คนที่มั่นใจในความสามารถของตัวเองมาก ศิษย์คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ต่างก็เริ่มตื่นตระหนกกันไปหมด พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาจะแข่งขันกันเอง อัตตาของพวกเขาจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก หากพวกเขาถูกผลักไสให้อยู่ในตำแหน่งศิษย์นอกสำนัก“มีเพียงเฟนด์เท่านั้นที่จะได้ห้องเป็นของตัวเอง พวกคุณที่เหลือจะแบ่งห้องกัน ตามลำดับการจัดอันดับ ศิษย์ร้อยอันดับแรกจะอยู่ในห้องพักสำหรับสองคนและที่เหลือจะอยู่ในห้องพักพักสำหรับสามคน” แอมโบรสกล่าวต่อทันใดนั้น ทุกคนต่างหันมาจ้องมองเฟนด์ด้วยความอิจฉา แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะอยู่ในอาคารปร
ป้ายหยกประจำตัวแสดงกฎทั้งหมดในตำหนักสองกษัตริย์พร้อมคำอธิบายโดยละเอียดเอาไว้ มันยังชี้ให้เห็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำอีกด้วย ทุกสิ่งที่เฟนด์ต้องการหาคำตอบมีอยู่ในนั้นทั้งหมด ตัวอย่างเช่น เขาต้องการรู้วิธีการก้าวไปสู่ตำแหน่งศิษย์ภายในจากตำแหน่งศิษย์ภายนอก และพบว่าเขาเพียงแค่ต้องเลื่อนระดับไปสู่ขั้นแรกของระดับติดตัวเท่านั้น ทั้งที่เขาคิดอยู่เสมอว่าเขาจะต้องผ่านการทดสอบที่ยากลำบากเพื่อที่จะเป็นศิษย์ภายใน“ฉันแค่ต้องเลื่อนระดับไปยังขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดเพื่อที่จะขึ้นเป็นศิษย์ภายใน? นี่ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ?” เฟนด์พึมพำกับตัวเอง ท้ายที่สุด ขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดอยู่ห่างจากขั้นแรกของระดับแรกกำเนิดเพียงสองระดับ เพียงสองขั้นเล็ก ๆ ในขั้นที่สูงกว่า นั่นคือสิ่งที่แยกศิษย์ภายในออกจากศิษย์ภายนอกจริง ๆ หรือ? เฟนด์หมดคำจะพูด แต่รู้สึกว่าตำหนักสองกษัตริย์ต้องกำลังล้อเขาเล่นแน่ ๆเขาไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังของเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเข้าไปในมัสตาร์ด ซี๊ดและเชิญแนชมาพูดคุยเรื่องนี้ด้วยกัน เขาคิดว่าสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว เนื่องจากเขาเพิ่งมาถึงที่นี่ เขาจึงต้องการใช้เวลาสังเกตผู้คนที่ถูกคัด
ดูเหมือนว่าเขาคิดถูกแล้วที่จะออกจากทวีปแคทธีเซีย เพราะถ้าเขาไม่มาที่นี่เพราะคงเป็นแค่ไอ้โง่ที่ไม่รู้อะไรไปแล้ว แนชชำเลืองมองที่เฟนด์และพูดว่า “กล่าวได้ว่าที่นี่มีศิษย์ภายนอกจำนวนมากที่อยู่ในขั้นแรกของระดับแรกกำเนิดที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์ภายใน นอกจากนี้ ลูกยังสามารถแลกเปลี่ยนตำแหน่งของลูกกับลูกศิษย์ภายในพี่อยู่ในขั้นแรกของระดับติดตัวได้อีกด้วย หากลูกสามารถเอาชนะเขาในการต่อสู้ได้ ผู้แพ้จะได้ได้รับตำแหน่งศิษย์ภายนอก และผู้ชนะจะได้ตำแหน่งศิษย์ภายใน อา นั่นอธิบายได้ถึงการต่อสู้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตำหนักสองกษัตริย์”เฟนด์มีประสบการณ์โดยตรงเมื่อเขาพบว่าผู้ดูแลบริกส์ ศิษย์อาวุโสลี และคนอื่น ๆ ทำนิ่งเฉย ขณะเกิดการทะเลาะวิวาทและการต่อสู้ขึ้นในระหว่างการทดสอบความสามารถพิเศษ เมื่อพูดถึงการต่อสู้ พวกระดับสูงมักจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับพวกเขาเสมอ นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาสนับสนุนให้มีการต่อสู้กันในสมาคม ราวกับว่ายิ่งการต่อสู้รุนแรงขึ้น สมาคมก็จะเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเท่านั้น“สิ่งนี้คล้ายกับสภาวะในครรภ์ของฉลามตัวเมีย ลูกฉลามในท้องจะกินกันเอง จนกว่าจะเหลือฉลามตัวที่เก่งกาจที่สุดเพียงตัวเด
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ