เฟนด์และคนอื่น ๆ ไม่เคยเห็นงูหลามเลือดสองหัวในโลกภายนอก แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เคยถูกกล่าวถึงในหนังสือมาแล้วหากมีใครพบเจอสัตว์อสูรเช่นนี้ที่โลกข้างนอกนั่น การคงอยู่ของมันก็คงเป็นราวกับตำนาน มันเป็นสัตว์อสูรในระดับเทพสูงสุด แค่คิดก็สยองแล้วงูหลามเลือดสองหัวกำลังปกป้องพื้นที่รอบ ๆ หญ้าวิญญาณขั้นกลางระดับสาม ทั้งตัวของมันเป็นสีแดง และดูสะดุดตาเป็นพิเศษเมื่อมองไปที่มัน“มันมีร่างกายใหญ่โต เสียงกังวานจากร่างของมันเล็กน้อย หมายความว่ามันเป็นสัตว์อสูรในขั้นที่สองระดับเทพสูงสุดอย่างแน่นอน สัตว์อสูรแบบนั้นน่าจะเก่งพอ ๆ กับขั้นที่สามระดับเทพขั้นสูงสุด! มันน่ากลัวมาก!”อเล็กซานเดอร์ศึกษางูหลามยักษ์สีแดงจากระยะไกลและทิ้งท้ายบอกเฟนด์ว่า “นายน้อยเฟนด์มีหญ้ามากมายในป่านี้ ฉันคิดว่าเราควรออกจากบริเวณนี้ และไปหาที่อื่นกันเถอะ มันจะง่ายกว่าเดิมมาก สัตว์อสูรตัวนี้แข็งแกร่งและอันตรายเกินไป!”“ถ้าเป็นหญ้าวิญญาณระดับอื่น ผมก็คงยอมแพ้ไปแล้วคงจะไม่มาแถวนี้แน่นอน!”เฟนด์มองไปที่หย่อมหญ้าวิญญาณจากระยะไกล ความหลงใหลเปล่งประกายในดวงตาของเขา “หญ้าวิญญาณนั่นไม่ใช่หญ้าวิญญาณระดับสามธรรมดา ๆ มันเป็นส่วนผสมหลัก
"ไม่มีทาง นายน้อยเฟนด์ คุณสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงสะท้อนจากระยะไกลได้ด้วยหรือ? ความแข็งแกร่งทางจิตใจของคุณแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”ชายหนุ่มจากตระกูลคาเบลโลอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา"แน่นอน เขาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามแล้ว และความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาก็มหาศาล คนที่อยู่ในระดับพลังยุทธ์สูงเท่าเรา สามารถสังเกตอะไรแบบนี้ได้หรือไม่?”ชายหนุ่มอีกคนมองเฟนด์ด้วยความชื่นชมจากด้านข้าง“ขั้นสองระดับเทพสูงสุด? แต่ก็ช่างปะไร หญ้าวิญญาณนั้นสำคัญมาก นี่เป็นโอกาสสำหรับเรา พวกเขาอยู่ที่ขั้นสองระดับเทพสูงสุดเท่านั้น พวกเขาอาจสู้กับสัตว์อสูรไม่ไหวก็เป็นได้ คุณหาโอกาสฉวยหญ้าวิญญาณมาก็ได้ ยังไงซะคน ๆ นั้นก็ไม่ใช่สมาชิกตระกูลวู๊ดหรือสมาชิกตระกูลคาเบลโลอย่างแน่นอน!”หลังจากที่อเล็กซานเดอร์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ให้คำแนะนำกับเฟนด์อยู่ข้าง ๆแนชเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “น่าจะเป็นคนจากตำหนักเทพยดารึเปล่า? เพราะเก้าในสิบของสมาชิกชนเผ่าเป็นผู้หญิง แต่ผมจำไม่ได้ว่ามีคนที่สวมชุดสีม่วงเช่นนี้ในหมู่ผู้อาวุโสในตำหนักเทพยดา”“ก็ไม่แน่หรอก คนจากตำหนักเทพยดาซึ่งอยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับแห่งเทพแท้จริงมีมากกว
ขณะที่เฟนด์พูด การโจมตีของหญิงสาวในชุดสีม่วงก็พุ่งตรงไปที่ลูกไฟปัง!เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังขึ้น รัศมีดาบของหญิงสาวตัดผ่านลูกไฟยักษ์ไป หลังจากที่ลูกไฟระเบิดมันก็สูญสลายไป ในขณะเดียวกันรัศมีดาบยาวยังคงหลงเหลืออยู่ มันพุ่งไปข้างหน้าและฟาดฟันลงบนงูหลามเลือดยักษ์สองหัวฟ่อ!งูหลามยักษ์คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว มันดุร้ายและดูรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ในขณะเดียวกัน การโจมตีของหญิงสาวได้ทิ้งบาดแผลยาวกว่า 20 เซนติเมตรไว้บนร่างกายของสัตว์อสูร เลือดสด ๆ ไหลออกมาจากบาดแผลเหล่านั้นบาดแผลนั้นใหญ่พอตัว แต่สำหรับงูหลามเลือดยักษ์สองหัวตัวนี้กลับไม่ส่งผลกระทบอะไรกับมันเลย สิ่งนี้กลับทำให้มันยิ่งงุ่นงานเข้าไปใหญ่กรามขนาดใหญ่ทั้งสองของมันปล่อยเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง ทันใดนั้นเองมันก็พ่นลูกไฟขนาดใหญ่เท่าลูกบาสเก็ตบอลไปยังหญิงสาวจากทั้งสองด้านเห็นได้ชัดว่าสาวชุดม่วงจะไม่ปล่อยให้เกิดความผิดพลาดขึ้นขณะเผชิญกับการโจมตีนี้ เธอรีบรวบรวมพลังฉีถ่ายลงไปในดาบแล้วเหวี่ยงมันไปข้างหน้า โล่ที่ทำจากพลังฉีปรากฏขึ้นต่อหน้าเธออย่างรวดเร็ว ปกป้องเธอเหมือนกำแพงกระจกหนาตู้ม ตู้ม!ในชั่วพริบตา ลูกไฟยักษ์สองลูกก็กระ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หญิงสาวในชุดสีม่วงถูกตบไปด้านข้าง เธอก็ฟันดาบออกไปเช่นกัน และรัศมีของดาบที่ทรงพลังก็บินออกมาและตกลงบนร่างของงูหลามยักษ์ บาดแผลอีกที่ถูกสลักลงบนร่างของมันอีกครั้ง และเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลนั้นก็ดูค่อนข้างน่ากลัวฟ่อ!แม้ว่ามันจะเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน แต่ครั้งนี้งูหลามยักษ์โกรธหญิงสาวมาก หลังจากส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง มันก็พุ่งเข้าหาหญิงสาวในชุดสีม่วงด้วยความเร็วที่มากขึ้น มันขยายกรามของตัวเองและตั้งใจที่จะกลืนหญิงสาวไปทั้งตัว"ตาย!"หญิงสาวล้มลงบนพื้นและกระอักเลือดออกมาอีก ใบหน้าของเธอซีดลงในทันทีเธอรีบลุกขึ้นและตั้งใจจะรวบรวมพลังฉีอย่างรวดเร็วสำหรับการโจมตีโต้กลับ แต่เธอก็ตระหนักว่าเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส และเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะรวบรวมพลังฉีของตัวเองได้ เธอต้องการพักผ่อนสักระยะแต่เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาปัจจุบันเป็นสถานการณ์ที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นและความตาย“ฉันจะต้องมาตายที่นี่งั้นเหรอ?”ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เธอรู้ว่าการฉกหญ้าวิญญาณนั้นอันตราย แต่เธอก็ยังอยากจะลองดู เธอไม่คิดว่าหลังจากถูกยั่วยุ สัตว์อสูรจะยิ่งแข็
เฟนรู้สึกงุนงง เขาคิดว่าหญิงสาวต้องติดตามเขาและทุกคนมา และค้นพบทักษะยุทธบางอย่างได้เพราะโชคช่วยเท่านั้น บางทีเธออาจได้รับของล้ำค่าบางอย่างในการทะลวงเข้าสู่ในขั้นที่สองของระดับเทพสูงสุด แถมเขายังคิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นผู้อาวุโสจากตำหนักเทพยดาเขาไม่คิดเลยว่าจะต้องงุนงงหลังจากได้เห็นเธอชัด ๆ นี่เป็นเพราะหญิงสาวตรงหน้าเขาอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเท่านั้น นักฝึกยุทธรุ่นเยาว์คนนี้ไม่ได้ติดตามทุกคนเข้ามา“คุณหนู โชคดีที่เธอรอดเพราะลูกชายของฉันกระโดดลงมาได้ทันเวลาพอดี เธอคงจะไม่ตำหนิที่เขาเอาหญ้าวิญญาณของเธอไปหรอกใช่ไหม?”ในตอนนั้นเอง แนชและคนอื่น ๆ ก็บินตามมาเช่นกัน และเขายังพูดด้วยรอยยิ้มที่เจืออยู่บนใบหน้าของเขาทว่าเมื่อเขาพิจารณาใบหน้าของหญิงสาว รอยยิ้มของเขาก็แข็งทื่อขึ้นนี่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าหญิงสาวดูเด็กเกินไปเช่นกัน นอกจากนี้ เขาจำเธอไม่ได้เลยสักนิดหญิงสาวสังเกตผู้คนตรงหน้าอย่างระมัดระวัง และพูดออกมาด้วยความประหลาดใจในตอนท้าย “นั่นสิ พวกคุณมีกันตั้งหลายคน คุณมาจากที่ไหน? คุณมาจากกองทัพใดในกองทัพทั้งเก้างั้นเหรอ?”"ไม่นะ นายท่าน ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นชนพื้นเม
"จริงเหรอ? คุณจะไม่กลับคำใช่ไหม?” เด็กสาวมองไปที่เฟนด์และถามด้วยความสงสัยบนใบหน้าของเธอ "ไม่ต้องกังวล เชื่อในคำพูดของผมได้เลย!” เฟนส่งยิ้มอ่อนโยนให้เธอ จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือและหยิบยารักษาออกมาโยนให้เด็กสาว “คุณได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นกินยารักษานี้สิ ผมบ่มเพาะมันเอง” “ฮึ่ม ถ้าคุณโกหกฉันและนี่คือยาพิษล่ะ?” หญิงสาวตะคอกอย่างเย็นชา และดวงตาของเธอก็แสดงนัยของการระแวดระวัง “ฮึ? ตอนนี้คุณบาดเจ็บสาหัส ถ้าผมอยากฆ่าคุณ ผมก็ลงมือได้เดี๋ยวนี้เลย ทำไมผมถึงต้องเสียสิ่งที่เรียกว่ายาพิษไปด้วย? นั่นจำเป็นด้วยเหรอ?” เฟนด์หัวเราะเบา ๆ เขาไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะกับความคิดของหญิงสาวดี เด็กสาวขมวดคิ้ว จากนั้นก็กลืนยาลงคอไปอย่างไม่เต็มใจนัก “ฉันจะบอกคุณให้ว่าฉันเป็นคนจากหนึ่งในกองทัพทั้งเก้า นอกป่านี้ไปมีป้อมปราการเก้าแห่งอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งเป็นกองทัพทั้งเก้า ผู้ฝึกยุทธแห่งกองทัพทั้งเก้าจะมาที่ป่าแห่งนี้เพื่อค้นหาหญ้าวิญญาณและทรัพยากรยุทธและทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะเมื่อพวกเขาว่าง! ตอนแรกฉันคิดว่าคุณเป็นคนจากหนึ่งในกองทัพทั้งเก้านี้ แต่เห็นได้ชัดว่าฉันคิดผิด!” เด็กสาวมองไปที่เฟนด์และเริ่มอธิ
"อืม ดูเหมือนว่าเหล่านักสู้ผู้ยิ่งใหญ่เมื่อหลายร้อยปีก่อนตั้งใจจะละทิ้งเราจริง ๆ!” แนชฝืนยิ้มอย่างขมขื่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึก หากไม่ใช่เพราะตำนานของระดับเทพสูงสุดนั้นถูกเล่าขานสืบต่อกันมา บวกกับความจริงที่ว่าทุกคนต่างพากันมองหาหนทางที่จะบุกทะลวงระดับเทพสูงสุด แนชก็กลัวว่าเมื่อเวลาผ่านไป จะไม่เหลือตำนานเกี่ยวกับระดับเทพสูงสุดอีกต่อไป และจะไม่มีใครที่จะสามารถเข้ามาที่นี่และบุกเข้ามาในระดับเทพสูงสุดได้อีกต่อไป “เฮ้อ! จู่ ๆ พวกคุณทั้งหลายก็เข้ามาที่นี่ หากคนของกองกำลังภาคีรู้เรื่องนี้เข้า มันคงเป็นปัญหาแน่! พวกคุณเข้ามาที่นี่กันมากเกินไป!” เมื่อมองไปที่คนหลายร้อยที่อยู่ข้างหน้าเธอ ระหว่างคิ้วของเด็กสาวก็ยับย่น ใบหน้าของเธอดูไม่ดีนัก ทว่าหลังจากที่เธอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เธอก็หันไปหาเฟนด์และพูดว่า "ไม่ ช่างมันเถอะ อย่างไรเสียพวกคุณก็มาช่วยชีวิตฉันได้ทันเวลา ฉันจะเป็นธุระช่วยพวกคุณเอง!” “คุณหนู หมายความว่า... คุณตัดสินใจที่จะช่วยเราหรือ?” ดวงตาของเคนเน็ธเป็นประกายทันทีที่ได้ยินคำพูดของเด็กสาว และแม้แต่ท่าทางของเขาก็สุภาพและอ่อนโยน “พวกคุณหลายร้อยคน… ก็ได้! ฉันจะช่วยคุณหาทา
"ที่คุณพูดมาก็ถูก มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร! พวกคุณโชคดีมาก! ไม่มีใครสามารถค้นพบสถานที่นี้มาก่อน ดังนั้นจึงไม่มีใครเคยเข้ามาที่นี่! เมื่อก่อนเคยมีผู้คนจำนวนมากคอยปกป้องสถานที่แห่งนี้ไว้ แต่ต่อมาก็ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ เคยมีนักสู้ที่แข็งแกร่งของระดับทะลวงวิญญาณเฝ้าทางเข้าอยู่ด้วย!” เด็กสาวหัวเราะคิกคักก่อนจะพูดต่อ “แต่พอผ่านไปหลายปี หลังจากที่ตระหนักว่าไม่มีใครสามารถหาทางเข้ามาที่นี่ได้ ก็ไม่มีใครสนใจที่จะปกป้องมันอีกต่อไป! ดังนั้น ผู้ที่ถูกส่งไปเฝ้าทางเข้ามักจะเป็นผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำ คุณโชคดีในแง่นี้ ไม่เช่นนั้น คุณคงตายตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาที่นี่! อีกอย่างเป็นเพราะไม่มีใครคอยดูแล ทางเข้าก็ไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ดังนั้นเมื่อคุณเข้ามา คุณจึงไม่ได้เข้ามาจากทางด้านบนสุดของเนินเขา แต่กลับมาเข้าจากทางด้านล่างแทน ตำแหน่งของทางเข้าเปลี่ยนไปแล้ว!” "เห็นด้วย อืม วันนั้นเราโชคดีจริง ๆ! หากเป็นในอดีต ผู้พิทักษ์ทางเข้าเป็นผู้ที่อยู่ในระดับทะลวงวิญญาณ พวกเราจะตายทันทีที่ไปปรากฏตัวอยู่บนยอดเขา!” ฝูงชนอ้าปากค้างกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับการแบ่งปันโดยหญิงสาว หัวใจของพวกเขาเต้นแรงและสั่นสะท้านอ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ