“ดูนั่นสิ ตระกูลคาเบลโลมาถึงแล้ว!” ขณะที่เฟนด์และคนอื่น ๆ ในตระกูลหาที่นั่งได้ ทุ่งหญ้าก็กลับมาคึกคักอีกครั้งเนื่องจากการมาถึงของตระกูลคาเบลโลเฟนด์จ้องไปยังทางที่ตระกูลคาเบลโลที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในสายตาของเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก “เฮ้อ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้เห็นสามพี่น้องแห่งตระกูลคาเบลโล! ฉันแทบรอไม่ไหวแล้วจริง ๆ ที่จะเจอพวกเธอ!”ชายหนุ่มบางคนได้ยินมานานแล้วว่าสามพี่น้องตระกูลคาเบลโลนั้นหน้าตาดีและมีเสน่ห์ ดวงตาของพวกเขาแทบจะเก็บความตื่นเต้นและความยินดีไว้ไม่อยู่ “พวกเธอทั้งหมดสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ! แต่น่าเสียดายที่คุณหนูลำดับที่หนึ่งถูกชายชื่อเฟนด์ครอบครองไป ฉันอิจฉาจัง!” ส่วนอีกด้านหนึ่ง ผู้ชายบางคนรู้สึกสงสารและโศกเศร้า “เฮ้อ! คุณหนูลำดับที่หนึ่งก็อายุไม่น้อย เธออายุเกือบสามสิบแล้ว และตอนนี้ควรจะแต่งงานได้ เธอช่างเป็นผู้หญิงที่ความงามบานสะพรั่งแล้ว ฉันล่ะอิจฉาไอ้นอกคอกนั่นจริงๆ! ดูเหมือนว่าจะเหลือแค่คุณหนูลำดับสองและคุณหนูลำดับสามไว้ให้พวกเรา เราต้องหาทางทำให้พวกเธอพึ่งพอใจให้ได้!” ชายอ้วนน้ำลายไหลและกลืนน้ำลายอย่างหนัก เพียงแค่มองไปที่ดาเนียลล่าและคนอื่น ๆ ที่ในทุ่งห
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ? พวกเขาตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบไม่ได้เหรอ? มันผิดตรงไหน?”ดาเนียลล่าโมโห เธอโกรธมากจนรู้สึกได้ถึงความโกรธที่พลุ่งพล่านในเส้นเลือด เธอหงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ใครจะรู้ว่าคีธ นอร์แมนจะมาทำให้แผลในใจเธอลึกขึ้นมาอีกด้วยการหาเรื่องเฮเลน่าสัมผัสได้ถึงความโกรธอย่างรุนแรงจากน้องสาวของเธอและรู้สึกสงสารเธอ เธอแค่คิดจะกำจัดนายน้อยลำดับที่สองของตระกูลฮันท์ในวันนั้น และไม่คิดว่าเฟนด์จะเป็นแฟนของดาเนียลล่า ถ้าเกิดก่อนหน้านี้เธอรู้ เธอคงจะไม่ทำแบบนั้นมีเพียงสองคนเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างดาเนียลล่ากับเฟนด์ ซึ่งก็คือตัวเธอเองและวีนัส พวกเขาไม่กล้าที่จะบอกอเล็กซานเดอร์ พวกเขาทำได้แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย“เฮ้ ฉันตั้งใจจะชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ พี่สาวของคุณสวยมาก มันน่าเสียดายที่เธอต้องไปอยู่กับไอ้ลูกนอกสมรสนั่น”คีธ ยิ้มเยาะเย้ย “ฉันแปลกใจนะ กลับกลายเป็นว่าการได้ลูกสาวของตระกูลคาเบลโลมานั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย!”“ฮ่าฮ่า! เขาพูดถูก! ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราคิดว่าผู้หญิงตระกูลคาเบลโลนั้นยากที่จะไล่ตาม พวกเธอดูไกลเกินกว่าจะเอื้อม เต็มไ
ความอบอุ่นแผ่ไปทั่วหน้าอกของเฟนด์ เขายิ้ม "ไม่ต้องห่วง ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงแล้ว ผมก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เมื่อผมทะลวงผ่านขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงได้ เราก็จะไม่ต้องเกรงกลัวตระกูลคาเบลโลหรือตระกูลฮันต์อีกต่อไป!”แนชพยักหน้า ตอนนี้ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งบรรลุขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงแล้ว ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากที่สำคัญไปกว่านั้น แม้ว่าเฟนด์จะเพิ่งบรรลุขั้นกลางของระดับเทพแท้จริง แต่เขาก็มีพรสวรรค์ในการต่อสู้ที่เฉียบแหลมบวกกับอาวุธวิญญาณระดับสุดยอด ตระกูลวู๊ดจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นหากเฟนด์พัฒนาระดับพลังยุทธของเขาต่อไปเรื่อย ๆ"โอ้พระเจ้า! ฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้ ฮ่า ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคุณหนูลำดับที่หนึ่งของตระกูลคาเบลโลถึงได้ชอบคนขี้ขลาดแบบนั้น!”เมื่อคีธเห็นว่าเฟนด์ไม่ได้ให้คำตอบ เขาก็ยิ่งเยาะเย้ยมากขึ้นอีกโดยไม่สนใจตระกูลวู๊ดเลย“ทำไมเขาไม่พยายามที่จะอธิบายเรื่องของตัวเอง”อเล็กซานเดอร์มองไปที่เฟนด์หน้าบึ้ง ลูกสาวของเขาอยู่กับเฟนด์ ไม่ใช่เพราะพวกเขาคบกัน แถมตระกูลวู๊ดกับตระกูลของเขาก็มีปัญหากั
ใครสักคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหมดหนทาง"ก็ได้ นายขี้ขลาดน้อยกว่าที่ฉันคิด!”ความยินดีจุดประกายในตัวโจชัว เมื่อเขาเห็นว่าเฟนด์ตกลงรับคำท้าอย่างกล้าหาญ เขาจึงเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม จู่ ๆ เขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้อย่างรวดเร็ว มีอาวุธวิญญาณระดับสุดยอดที่อยู่ในความครอบครองของตระกูลวู๊ด ซึ่งมันไม่สำคัญว่ามันจะอยู่ที่เฟนด์หรืออยู่ที่แนช คนรุ่นหลังจะต้องส่งต่อให้คนรุ่นใหม่เพื่อความปลอดภัยของลูกชายอย่างแน่นนอน และเพื่อใช้เพิ่มพลังพิเศษระหว่างการแข่งขันแม้ว่าเฟนด์จะอยู่ในขั้นต้นของระดับเทพแท้จริง แต่เขาก็ยากที่จะจัดการกับอาวุธวิญญาณระดับสุดยอดนั่น“หึ.. นายนี่ชอบดูถูกคนอื่นจริงนะ!”“เฮ้ ทำไมเราไม่สู้กันด้วยหมัดล่ะ? สู้กันโดยไม่ใช้อาวุธวิญญาณ”ไม่มีใครคิดว่าโจชัวจะพูดแบบนั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งคิ้วของเฟนขมวดเข้าหากัน เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หมอนี่กลัวว่าเขาจะเอาอาวุธระดับสุดยอดออกมาและจัดการเขาจนเละ"ได้สิ!"เฟนด์พยักหน้าและกำหมัดแน่น ตั้งใจรวบรวมพลังฉี“การแข่งขันยังไม่เริ่ม โจชัว แค่ซ้อมต่อสู้ไปสักพักนะ อย่าจัดการเขาจนตาย แค่สอนบทเรียนให้เขาก็พอ!”
นักสู้ทั้งสองคนที่อยู่ขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงนั้นทรงพลังมาก และมีออร่าของพลังฉีหนาแน่น การระเบิดของพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวราวกับสายฟ้าฟาด มันแผดเสียงอันหนวกหูออกมา ทำเอาหลายคนต้องกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนเพราะความตระหนก ก่อนจ้องมองท้องฟ้าด้วยความตกตะลึง"ไม่มีทาง ผู้ชายคนนั้นไม่ขยับสักนิด!”แดร์ริลคิดว่าเฟนด์จะถูกลูกชายของตนซัดจนหมอบด้วยหมัดเดียวแท้ ๆ ทว่าเพียงอึดใจเดียวใบหน้าของเขาก็เริ่มซีดลง ดูเหมือนว่าเฟนด์จะแข็งแกร่งพอ ๆ กับลูกชายของเขาทีเดียว“ผู้ชายคนนั้น!”เฮเลน่าจ้องมองไปที่เฟนด์ เธออ้าปากค้างด้วยความตกใจ“ฉันบอกพี่แล้วไงว่าเขาออมแรงไว้ เพราะไม่อยากแสดงพลังที่แท้จริงของตัวเองต่อหน้าผู้คนมากมายที่เฝ้าดูเขาอยู่!”ดาเนียลล่ามองพี่สาว แล้วเชิดหน้าขึ้นดีใจที่ตัวเองคิดไม่ผิด ชายใดที่เธอหมายตาไว้ย่อมต้องมีอะไรดีสักอย่าง"ไม่มีทางหรอก ผู้ชายคนนั้นน่ะเหรอจะแข็งแกร่งกว่าโจชัว?”เฮเลน่าผงะไป ไม่น่าแปลกใจที่ดาเนียลล่าชอบเขา ดูเหมือนว่าเขาต่างออกไปจากสิ่งที่ตัวเขาแสดงออกไกลลิบในขณะนั้นเอง ริมฝีปากของเฟนด์โค้งขึ้นอย่างเหยียดหยาม เขาโจมตีอีกครั้ง ก่อนที่พละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวของเข
แดร์ริลรู้สึกอับอาย ลูกชายของเขาล้วนเป็นอัจฉริยะ และที่สำคัญพวกเขาเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแปดตระกูลชั้นสูงถึงกระนั้นลูกชายของเขาก็แพ้ให้กับลูกชายนอกสมรสของตระกูลวู๊ด ยิ่งกว่านั้นเขายังมาจากแดนมนุษย์อีกด้วย เพียงข้อเท็จจริงเหล่านี้ก็ทำให้เขาอับอายมากพอแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเฟนด์จะกล้าเหยียดหยามลูกชายของเขาซ้ำอีกแดร์ริลคอยปกป้องครอบครัวมาโดยตลอด เขาบินไปข้างหน้าและยกกำปั้นพุ่งเข้าหาเฟนด์อย่างรวดเร็ววืด!ด้านตระกูลวู๊ด ผู้อาวุโสลำดับแรกก็บินไปข้างหน้า เขาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าของเฟนด์ กำปั้นของเขาหยุดแดร์ริลเอาไว้“ก็แค่เด็ก ๆ สู้กันแค่นั้น อย่าบอกนะว่าตระกูลนอร์แมนแพ้แล้วพาล?”ดวงตาของผู้อาวุโสลำดับแรกลุกโชนด้วยโทสะ ทั้งสองถอยหลังไปไม่กี่เมตรหลังจากกำปั้นของทั้งคู่ชนกัน"ไม่มีทาง!"แดร์ริลตกใจจนดวงตาของเขาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า หากเขาจำไม่ผิด ผู้อาวุโสลำดับแรกของตระกูลวู๊ดนั้นอยู่ในขั้นสูงของระดับเทพแท้จริง แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่ได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ แต่เขาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับเทพแท้จริง ผู้อาวุโสลำดับแรกของตระกูลวู๊ดคงจะไม่รามือจากเขาไปง่าย ๆ“เขาบรรลุถึงจุดสูงสุดของระด
“ไม่เจอกันนานดีเทียว นายหญิงแลงคาสเตอร์!”แนชลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจ้านายของตระกูลแลงคาสเตอร์ เขาทำความเคารพด้วยการยกกำปั้นชนกับฝ่ามือที่เหยียดตรงและยิ้มจาง ๆสมาชิกในตระกูลแลงคาสเตอร์กระโดดลงมาจากพรมเหาะ และนายหญิงแลงคาสเตอร์ก็เก็บพรมไป “นายท่านวู๊ด ไม่เจอกันนานเลย ฉันได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลคุณแล้วล่ะ” เธอพูดพร้อมยิ้ม “ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่วางยาคุณจะเป็นคนที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน ช่างน่ากลัวอะไรอย่างนั้น!”ทันใดนั้นเอง หญิงวัยกลางคนมองไปที่เทรนตัน “แถมเลวร้ายกว่านั้น ยังมีคนคิดว่าลูกสาวของเขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด มิหนำซ้ำยังจะอาฆาตแค้นตระกูลคุณอีกต่างหาก” เธอกล่าวเป็นนัย “แหม แหม ช่างไร้ยางอายอะไรอย่างนี้!”“เธอกำลังพูดถึงใครเชลบี้? อย่ามาล้ำเส้นให้มากนัก!”เทรนตันโกรธจัด เขากัดฟันกรอดและกำหมัดแน่น"อะไรกัน? นายอยากเป็นศัตรูกับตระกูลแลงคาสเตอร์หรือยังไง?”คิ้วของเชลบี้ขมวดมุ่น “ฉันไม่ได้เอ่ยชื่อสักหน่อย แต่นายดันกินปูนร้อนท้อง” เธอพูดพร้อมยิ้มเย็นที่ริมฝีปาก “นี่ไม่ได้เท่ากับยอมรับว่าตัวเองเป็นคน ๆ นั้นหรอกเหรอ?”"เธอ…"เทรนตันขบกรามแน่น ตระกูลแลงคาสเตอร์อยู่ในระดับล่า
“นายท่านลาโกริโอ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากค้นหาต่อ แต่เราหากันมาหลายเดือนแล้ว คุณก็รู้ว่าป่าทั้งลึกลับและอันตราย ผมเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของป่านั่นไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สำรวจป่าเกือบทุกตารางนิ้วแล้ว ถ้าเรายังหาพวกเขาไม่พบ พวกเขาก็คงจะตายไปแล้ว!”แนชยิ้มอย่างขมขื่น “ลิลลี่ทำผิดต่อผม แต่แลนซ์ยังเป็นลูกชายของผม อย่างไรผมก็อยากให้เขามีชีวิตอยู่ และแน่นอน ผมต้องการตามหาเขา และไม่ว่าเขาจะเลือกผมหรือลิลลี่ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว ผมจะเคารพการตัดสินใจของเขา!”“หึ.. นายก็แค่เล่นละคร ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะส่งสมาชิกตระกูลวู๊ดเข้าไปในป่าที่ลึกที่สุดเพื่อตามหาเขา!”เทรนตันหัวเราะเบา ๆ สีหน้าหยามเหยียด “หรือว่าสมาชิกในตระกูลวู๊ดกลัวตาย?”“มันไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องกลัวตาย ใคร ๆ ก็รู้ว่าไม่มีใครเคยออกจากป่ามาอย่างมีชีวิต ผมไม่อยากเอาชีวิตสมาชิกในตระกูลคนอื่น ๆ ไปทิ้งแบบนั้น!”“ทำไมคุณไม่เข้าไปตามหาเขาเองเลยล่ะในเมื่อคุณรักหลานชายของคุณมากขนาดนั้น!” แนชตะคอก ใบหูแดงก่ำด้วยความเดือดดาล “ผมจะไม่ห้ามคุณแม้สักนิด!”เฟนด์อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตอนที่เข้าใจสิ่งที่ได้ยินทั้งหมด เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสถานที่ลึกลับแ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ