เบธกอดอก หลังจากที่เธอพูดจบเธอมองไปที่ยูลพลางยิ้มเล็กน้อยยูลไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอยักไหล่ “ฉันไม่คิดเลยนะ ว่าเราจะคิดเหมือนกัน เบธ” เธอพูดเธอหยุด ก่อนจะมองไปที่เฟนด์ แล้วพูดต่อ “ฉันไม่มีทางเลือกแล้ว นักเลงคนนี้เป็นพี่ชายของฉัน โชคไม่ดีจริง ๆ มันคงไม่ดีแน่ถ้าต้องแพ้อย่างเลวร้าย และกลายเป็นเรื่องตลกของทุกคนน่ะ อีกอย่างแม่เป็นบอกฉันให้ดูแลเขา ฉันต้องคิดหาวิธีไม่ให้เขาแพ้ในรอบแรก ไม่งั้นเราคงไม่มีวันลืมเรื่องนี้แน่!”เฟนด์เองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเหมือนกัน เมื่อเขาได้ยินทั้งคู่คุยกัน ในใจของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น สาวน้อยทั้งสองคนนี้พยายามปกป้องเขาปัง ปัง ปัง!ในเสี้ยววินาทีเท่านั้น คนกว่า 30 คนก็ถูกผลักตกลงจากเวทีทันที"แปลกจริง ทำไมสองคนนั้นไม่ยกนิ้วล่ะ?”มีใครคนนึงนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาอดไม่ได้ที่พึมพำกับตัวเอง หลังจากที่เขากำจัดคู่ต่อสู้ได้“แนช วู๊ด!”บนที่นั่งชม ลิลลี่ทำหน้าถมึงทึง “คุณบอกให้สองคนนั้นปกป้องเฟนด์จริง ๆ งั้นเหรอ? เหอะ ฉันไม่คิดเลยนะว่าคุณจะใช้วิธีสกปรก ๆ แบบนี้กับลูกชายของคุณ”แนชเองก็เฝ้าดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเวทีเช่นเดีย
เบธเองก็พยายามเกลี้ยกล่อมเฟนด์เหมือนกันทั้งสองคนเป็นนักสู้ระดับกึ่งเทพ คนปกติไม่กล้าจะหาเรื่องพวกเธอ คนใดคนหนึ่งอย่างไรก็ตาม ในหมู่หนุ่มสาวนั้นมีนักสู้ไม่มากนัก“เหอะ เอาเรื่องนี่!”ไลโอเนลไม่คิดเลยว่าเฟนด์จะตกหลุมพราง เขายกนิ้วโป้งขึ้นมา“อย่าห่วงไปเลยนะ นายจะยังถูกเคารพ ถ้านายแพ้ให้ฉัน อย่างน้อยนายก็ไม่ใช่ไอ้ปอดแหกที่หลบหลังผู้หญิง!”“เหอะ ถ้าฉันแพ้ให้นาย ฉันก็ไม่วันได้ไข่มุกน้ำแข็งน่ะสิ”ไม่มีใครคิดเลยว่า เฟนด์จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขายิ้มจาง ๆ "ให้ตาย นายเล็งสมบัตินั่นไว้งั้นเหรอ? เพราะแบบนี้เลยอยากเป็นผู้ชนะสินะ!”ไลโอเนลยิ้ม เขาจ้องเขม็งไปที่เฟนด์ “เห่าแต่ไม่กัดน่ะสิ!”“หยุดฝันเถอะ ถ้าฉันไม่โยนนายออกไป เวทีนี้จะเหลือคนเพียงร้อยคนเท่านั้นในไม่ช้า!”เฟนด์ ก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะงอนิ้วของเขาอย่างเยาะเย้ยวูบ!ไลโอเนลกระทืบเท้า เขาวิ่งเข้าหาเฟนด์ ก่อนจะตั้งใจต่อยเขาเต็ม ๆ เขาเร็วมาก การโจมตีของเขาก็รุนแรงด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าเขาใส่ไม่ยั้ง“เหอะ ดูเหมือนลูกชายของคุณจะไม่ฟังคำสั่งเลยนะ ฉันว่าไลโอเนลนี่แหละ ที่จะเป็นคนกำจัดเขา!”ลิลลี่ยิ้มเยาะเย้ย เมื่อเธอเห็นสิ่
“ไม่มีทาง ไลโอเนลถูกหมอนั่นอัดกระเด็นในหมัดเดียวเนี่ยนะ เขาเป็นถึงปรมาจารย์ระดับแปด งั้นก็หมายความว่าอย่างน้อยหมอนั่นต้องเป็นปรมาจารย์ระดับเก้า!”ผู้เข้าแข่งขันจำนวนมากเห็นแบบเดียวกัน ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่คิดว่าเป้าหมายที่เรียบง่ายอย่างเฟนด์จะแข็งแกร่งขนาดนั้น“เขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่เราคิด!”ฮัดสันก็เห็นด้วย หมอนั่นดูเหมือนไม่ได้อ่อนแอเขากำหมัดและเดินตรงไปหาเฟนด์ “ดูเหมือนว่าฉันคงต้องจัดการกับแกด้วยตัวเอง!”สีหน้าของฮัดสันเต็มไปด้วยเจตนาชั่วร้าย เขาไม่ได้ตั้งใจจะค่อย ๆ กำจัดเฟนด์ แต่กลับกันเขาอยากฆ่าเฟนด์ทันที ลิลลี่บอกเขาเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว เธอบอกว่าเขาจะต้องฆ่าเฟนด์โดยบังเอิญ และลิลลี่จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขาอีกอย่าง หลังจากนี้เขาจะได้รับรางวัลมากมาย“จริงเหรอ? มาดูกันว่าแกจะมีความสามารถพอที่จะทำตามที่พูดไว้ได้หรือเปล่า!”เฟนด์นิ่งมาก เขามองไปที่ฮัดสัน ยิ้ม อย่างกับว่าเขาไม่กังวลอะไรเลย“เฟนด์ ฮัดสันอยู่ระดับกึ่งเทพขั้นสุดท้าย แม้แต่ฉันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา! เขามีโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะ!”เบธเดินมาพร้อมกับขมวดคิ้วและเดินเข้ามาตรงหน้
หลังจากนั้น เวนดี้ก็พูดต่อว่า “ผู้เข้าแข่งขันที่จับได้หมายเลขหนึ่งถึงสิบ กรุณาขึ้นมาประลองบนเวทีตามลำดับ อย่างเช่น ผู้ที่จับได้การ์ดหมายเลขหนึ่งก็จะขึ้นไปบนเวทีหมายเลขหนึ่ง หลังจากทั้งสิบคู่ประลองกันเสร็จแล้ว ฉันก็จะเรียกผู้ที่จับการ์ดได้กมายเลขต่อไปจนถึงหมายเลขยี่สิบ!”หลังจากที่เธอคิดเกี่ยวกับมัน เธอก็พูดต่อว่า “กฎสำหรับรอบนี้ง่ายมาก คุณจะไม่ฆ่าคู่ต่อสู้ก็ได้ คุณสามารถชนะได้โดยการทำให้คู่ต่อสู้ของคุณตกจากเวที และแน่นอน คุณจะชนะโดยอัตโนมัติหากคู่ต่อสู้ของคุณยอมแพ้!”หลังจากที่เวนดี้ประกาศกฎสำหรับรอบนี้จบแล้ว ผู้เข้าประลองที่จับได้อันดับหนึ่งถึงสิบก็เหาะขึ้นไปบนเวทีของตนมันชัดเจนว่าผู้เข้าแข่งขันที่ชนะในรอบที่สองนี้จะได้เป็นผู้เข้าแข่งขัน 50 อันดับแรก และพวกเขาก็จะเข้าใกล้รางวัลชนะเลิศมากขึ้น“ฮ่า นายโชคดีนะที่มาเจอกับฉัน!”หนึ่งในเวทีการประลองที่ปรมาจารย์ระดับเจ็ดเจอกับปรมาจารย์ระดับสี่ ปรมาจารย์ระดับเจ็ดอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเนื่องจากรอบแรกเป็นการประลองหมู่ จึงมีหลายคนที่แข็งแกร่งไม่มากยืนหยัดอยู่ต่อจนจบรอบแรกได้เพราะพวกเขาโชคดีปรมาจารย์ระดับเจ็ดคนนี้ถือเป็นนักสู้ทั่วไป เพร
เมื่อเฟนด์พูดคำสุดท้ายจบ ผู้อาวุโสลำดับที่สี่ เวนดี้ วินด์ ก็เดินกลับขึ้นมาบนเวทีการประลองอีกครั้ง เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดออกมาว่า “เป็นการประลองที่ยอดเยี่ยม เชิญผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 21 ถึง 30 ขึ้นสู่เวทีได้!” “ฮ่า ๆ ! พี่เฟนด์ ถึงตาฉันแล้ว!” ยูลหัวเราะอย่างเป็นมิตรและเดินไปที่เวที เธอกระทืบเท้าขวา กระโดดขึ้นลอยตัวในอากาศและลงสู่บนเวที ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที เฟนด์มองไปที่ยูลซึ่งอยู่บนเวทีแล้ว จากนั้นเขาก็ก้มลงมองกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ในมือ ตัวเลขบนกระดาษทำให้เขาตกตะลึงอย่างสมบูรณ์แบบ “ไม่มีทาง! เป็นเธอไปได้ไง? แล้วฉันควรจะทำยังไงดี?” เฟนด์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่คิดว่า ยูลจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา? ช่างบังเอิญจริง ๆ! ฟิ้ว! ฟุ่บ! วูบ! ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ กระโดดขึ้นไปบนเวทีการประลอง บางคนก็เหาะขึ้นไปบนเวที “คู่ต่อสู้ของฉันอยู่ไหน?” ยูลขมวดคิ้วด้วยความสงสัย คู่ต่อสู้ของเธอทำไมยังไม่ขึ้นมาบนเวทีอีก ไม่นาน แววตาสังสัยของเธอก็ถูกแทนที่ด้วยอาการพูดไม่ออก เฟนด์ก้าวออกจากกลุ่มคน และด้วยการกระทืบเท้าเบา ๆ วินาทีต่อมา เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ายูล “
ลิลลี่หัวเราะอย่างเย็นชา “ฉันไม่คิดว่าคุณจะใช้แผนแบบนี้ในรอบที่สอง คุณต้องใช้แผนสกปรก ๆ บางอย่างเพื่อทำเครื่องหมายระหว่างที่เขียนเลขลงบนการ์ด เพื่อให้ลูกชายที่รักของคุณได้มาสู้กับลูกสาวของคุณในรอบนี้! แผนขั้นต่อไปก็จะง่ายขึ้น คุณก็แค่ขอให้ลูกสาวของคุณตั้งใจแพ้เฟนด์เพื่อให้เฟนด์ได้เข้าสู่รอบต่อไป ฉันเดาถูกไหม? สุดท้ายเขาก็จะได้เข้าสู่ 50 อันดับแรกใช่ไหม?” “ผม…” ความโกรธพุ่งขึ้นมาในอกของแนชทันทีเมื่อได้ยินข้อกล่าวหาของลิลลี่ เขาไม่คิดว่าลิลลี่จะเห็นเขาเป็นคนแบบนั้น เขากระแอมออกมาเสียงดัง จากนั้นก็พูดออกมาได้แค่ว่า “ผมไม่ได้ทำ!” “ฮึ่ม! คุณไม่ได้ทำ? ถ้าคุณไม่ได้วางแผนไว้ แล้วมันจะบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง? ยังไงก็ตาม ฉันก็ยังอยากดูว่าคุณจะมีแผนอะไรซ่อนอยู่อีกหรือเปล่า! คุณจะทำให้ลูกชายของคุณเป็นแชมป์การประลองนี้ได้ยังไง!” ลิลลี่ฮึดฮัดออกมาอย่างเย็นชาและสีหน้าของเธอดูหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ “นายหญิง แนชไม่ได้ทำอย่างนั้นจริง ๆ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ คุณรู้จักแนชมาตั้งหลายปีแล้ว คุณก็น่าจะรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เขาทำเรื่องต่าง ๆ อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาเสมอ!” ลิซซี่ที่ยืนอ
“พี่ได้ที่หนึ่งเองงั้นเหรอ? จริงจังหรือเปล่าเนี่ย? พี่รู้ใช่ไหมว่าฉันอยู่ระดับกึ่งเทพขั้นกลางแล้ว?” ยูลรู้สึกงุนงงกับคำพูดเกินจริงของเฟนด์ เธอสงสัยว่าเธอได้ยินสิ่งที่เขาพูดผิดไปหรือเปล่า เธอค่อนข้างอายุน้อยในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลวู๊ด และการที่เธออยู่ในระดับดังกล่าวได้ เธอถือว่าเป็นเด็กอัจฉริยะในกลุ่มคนอัจฉริยะ! เฟนด์มั่นใจในความสามารถของตัวเองขนาดนั้นได้ยังไง? หรือว่าระดับศิลปะการต่อสู้ของเขาและความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นจะอยู่ระดับสูงกว่าเธอ? “พี่รู้ระดับศิลปะการต่อสู้ของเธอ ดังนั้นพี่จะยั้งมือไว้นิดหน่อย เพราะยังไงซะ เธอก็เป็นน้องสาวของพี่ พี่ไม่อยากทำร้ายเธอ!” เฟนด์ยิ้มให้ยูลบาง ๆ แม้ว่ารอยยิ้มจะเลือนลาง แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่สดใสและอบอุ่น เขารู้ว่ายูลเป็นคนจิตใจดี แม้ว่าเธออาจจะถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กและมักจะมีออร่าที่น่าเกรงขามและสูงส่งอยู่เสมอ แต่เธอก็เป็นหญิงสาวที่มีจิตใจบริสุทธิ์และเรียบง่าย “ฮ่า ๆ! ไม่เลวเลย! งั้นออมมือให้ฉันด้วย!” ยูลตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร ใกล้ ๆ มุมปากของเธอปรากฏลักยิ้มน่ารักออกมา หลังจากที่หยอกล้อกับเฟนด์เสร็จ ยูลก็กำห
“ออมมือให้เขา?” ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งทนฟังคำพูดร้าย ๆ พวกนั้นต่ออีกไม่ไหว “นายหญิง คุณล้อเล่นอยู่ใช่ไหม? เห็นชัด ๆ ว่าการต่อสู้มันรุนแรงมาก ยูลไม่ได้ออมมือให้เฟนด์เลย! นั่นเป็นเพียงแค่การโจมตีรอบแรก และยูลไม่ได้ออมมือให้เฟนด์อย่างแน่นอน!” ผู้อาวุโสลำดับที่สาม เวด วู๊ด ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้แสดงความเห็นอะไร แต่เขาก็ขมวดคิ้วออกมา เป็นเพราะเขาเห็นการโจมตีอย่างชัดเจนด้วยตาของตัวเขาเอง การโจมตีนั้นดูเหมือนยูลจะไม่ได้ตั้งใจออมมือให้เฟนด์เลย “เป็นไปได้ไหม... เป็นไปได้ไหมว่าเด็กนั่นแข็งแกร่งพอที่จะได้อันดับหนึ่งจริง ๆ? แนช วู๊ด ถึงได้มั่นใจในตัวเขามาก” สีหน้าของเวดหมองและมืดมนลง ดูเหมือนว่าทางเดียวที่เขาจะคว้าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลมาได้นั่นก็คือ ต้องหาวิธีลอบสังหารผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งแล้วก็สังหารเฟนด์หลังจากที่แนชตายเพราะยาพิษ เมื่อถึงตอนนั้น ระดับการต่อสู้ของเขาคงจะสูงที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในตระกูลวู๊ด และถ้าเขาบอกว่า เขาต้องการเป็นหัวหน้าตระกูลวู๊ด ใครจะกล้าขัดคำสั่งของเขา? ปัง! ในตอนนั้นเอง ที่ด้านบนของเวทีการประลองหมายเลขหนึ่ง ยูลพุ่งเข้า
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ