เย่เทียนหยู่ตกตะลึงไปชั่วขณะและเอ่ยถามว่า “คุณปู่เจียง ท่านคงจะไม่ให้ผมไปแข่งขันกับเขาใช่ไหมครับ?”“ไม่ใช่หรอก แต่แมนเทลทำเหมือนดูถูกอาณาจักรมังกรของเรามาโดยตลอด และฉันไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรในงานแสดงเปียโน แต่ถ้าเขาพูดอะไรที่ส่งผลเสียหายต่อศักดิ์ศรีของอาณาจักรมังกรของเราจริงๆ ฉันอยากให้แกจะสามารถสอนบทเรียนให้แก่เขาได้ ”เจียงเจี้ยนจวินไม่สนใจเรื่องอันดับในงานแสดงเปียโน แต่เขาแค่ไม่อยากให้อาณาจักรมังกรต้องอับอายขายหน้าเพราะแมนเทล“ผมเข้าใจแล้วครับ บอกเวลาและสถานที่มาด้วย แล้วผมจะไปที่นั่นในตอนเย็นครับ”เย่เทียนหยู่ก็ตอบรับเรื่องนี้“ได้ครับ”เจียงเจี้ยนจวินแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับเขาทันทีและกล่าวว่าผู้จัดงานจะเพิ่มชื่อของเขาลงในรายชื่อของแขกที่ได้รับเชิญและจะไปได้เลยในตอนเย็นหลังจากวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว เจียงเจี้ยนจวินถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะถ้ามีเด็กคนนี้อยู่ในงานแสดงเปียโน ถ้าแมนเทลทำตัวดีๆก็แล้วไป ไม่เช่นนั้นแมนเทลจะเป็นฝ่ายที่ต้องเสียหาย และโชคดีที่เจียงเจี้ยนจวินพูดถึงเรื่องนี้ในวันนี้ ไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้อยู่ในเมืองเทียนไห่แล้วทักษะการเล่
ในปัจจุบันสำหรับคนที่มีรถ BBA ที่มีมูลค่าหลายแสนก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เพราะจะไม่สะดุดตาเกินไปและประสบการณ์การขับขี่ก็ดีมากด้วยแต่เย่เทียนหยู่ก็เดินเข้ามาข้างในและเดินดูรถวนไปรอบๆ หลายนาที แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาคุยกับเขาเลยที่สำคัญคือมีสาวสวยสี่คนที่สวมเสื้อเชิ้ตและกระโปรงสั้นนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ไม่ไกล เห็นได้ชัดว่าพวกเธอเห็นเขาแล้ว แต่พวกเธอไม่ได้ลุกขึ้นไปทักทายอะไรกับเขาเลยเย่เทียนหยู่ได้แต่ส่ายหัวแล้วหันหลังกำลังจะจากไปแต่ในเวลานี้ ผู้หญิงร่างผอมเล็กน้อยที่มีใบหน้าสวยและตากลมโตเดินไปข้างหน้าของเขาอย่างรวดเร็วและถามอย่างประหม่า “สวัสดีค่ะ ท่านอยากจะซื้อรถไหมคะ?”“อืม”เย่เทียนหยู่พยักหน้าและมองดูอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่อธิบายไม่ถูกเมื่อสาวๆ หลายคนเห็นฉากนี้แล้ว พวกเธอต่างก็หัวเราะ“เฮ้ อินางเฉินนี่ช่างทำงานหนักมากเลยนะ แต่ก็น่าเสียดายนะ ถึงแม้จะทำงานหนักมากแค่ไหนมันก็เปล่าประโยชน์หรอกน่ะ”“ไร้สาระ ด้วยความสามารถแบบเธออ่ะนะ เธอสมควรที่จะขายรถสักคันไม่ได้ในช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้แหละ”“ใช่ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าให้คนที่ไร้ประโยชน์อย่างมัน จะทำงานอยู่ที
พันเถาและคนอื่น ๆ ที่ได้ยินเช่นนั้นต่างก็ยืนตะลึงอยู่ตรงจุดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ได้นำบัตรธนาคารของเขาออกมาแล้ว และต้องการชำระเงินในทันทีพอพันเถาตื่นตัวได้ จึงรีบลุกขึ้นทันทีและเทน้ำหนึ่งแก้วให้เขา เธอก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “สวัสดีคุณเย่ ฉันได้ยินว่าท่านต้องการซื้อ S680 เหรอคะ”“ใช่ครับ!”เย่เทียนหยู่พูดอย่างใจเย็น“รสนิยมของท่านดีจริงๆเลยนะคะ ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน รถคันนี้ก็แสดงถึงความมั่งคั่งและฐานะที่สู้ง”“แต่เสี่ยวเฉินมาทำงานที่นี่ไม่ถึงครึ่งเดือน และเธอยังไม่คุ้นเคยความรู้เกี่ยวกับรถยนต์เลย สำหรับลูกค้าที่มีเกียรติอย่างท่าน ฉันเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ฉันจะแนะนำให้ท่านด้วยตัวเองนะคะ”“ไม่ ผมแค่อยากให้คนนี้เป็นคนแนะนำให้ผมเองเท่านั้น”“แต่เธอคงแนะนำอะไรไม่ได้เลยนะคะ ที่สำคัญคือในฐานะผู้จัดการ ฉันมีสิทธิให้ส่วนลดอย่างมากมายแก่ลูกค้าได้ ฉันจะสามารถให้ราคาพิเศษที่สุดแก่ท่านได้นะคะ!”พันเถายื่นน้ำให้ในขณะที่เขาพูด และยังตั้งใจสัมผัสมือของเย่เทียนหยู่ด้วยเย่เทียนหยู่ยังไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงหยิบแก้วน้ำแล้วพูดอย่างใจเย็น “ไม
“คุณแน่ใจว่าจะทำแบบนี้จริงๆเหรอ? ถ้าเกิดผมออกไปแล้ว อีกเดี๋ยวถ้าคุณเชิญผมเข้ามาอีกครั้ง ผมจะไม่เข้ามานะ” เย่เทียนหยู่พูดอย่างเย็นชา“ผมเชิญคุณเข้ามาอีกเหรอ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร!”“ถ้าคุณไม่ออกไป ฉันจะให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาลากคุณออกไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ” พันเถาพูดเสริมขึ้นอีกด้วยแต่ประธานเกากลับตกใจเล็กน้อย เมื่อมองไปที่เย่เทียนหยู่ จึงเห็นบัตรในมือของเขา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทำไมมันถึงดูเหมือนเป็นแบล็กการ์ดมังกรดำที่เคยเห็นในรูปถ่าย แต่เขาก็ยังไม่เคยเจอของจริงเลยสักครั้ง“เดี๋ยวก่อน!”เมื่อเห็นเย่เทียนหยู่หันหลังกลับและจะเดินออกไป ประธานเกาจึงพูดอย่างสุภาพ “ท่านครับ ผมขอดูบัตรในมือของท่านหน่อยได้ไหมครับ”ทุกคนเริ่มตกใจเล็กน้อยกับคำพูดที่เปลี่ยนไปของประธานเกา และเย่เทียนหยู่ก็โยนบัตรนั้นออกไปให้เขาซื่งทำให้ประธานเกาตกใจ และรีบตระครุบมันไว้ หลังจากพิจจารณามันอย่างระมัดระวัง มันช่างเหมือนกันเป๊ะเลย เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มซีดลง และเขารีบพูดขึ้นว่า “ท่านครับ กรุณารอสักครู่นะครับ!”ขณะที่เขาพูดเขาก็รีบจากไปอย่างรวดเร็วคนอื่นๆต่างก็ตกตะลึง และเริ่มสับสน
พันเถาเห็นว่าประธานเกาที่สามารถขอความเมตตาได้ทันทีที่เขาคุกเข่าลง ขนาดประธานเกาที่เป็นผู้ชาย และคนอย่างประธานเกาที่มีฐานะสูงก็ยังคุกเข่าลงได้เลยเธอจึงรีบคุกเข่าลงตรงหน้าเย่เทียนหยู่ทันที “คุณเย่ ฉันก็สำนึกผิดแล้วค่ะ เป็นเพราะเมื่อกี้ฉันไม่รู้ความจริง ฉันกำลังมึนงง ฉันมันโง่เอง......”“รีบไสหัวไป!”เย่เทียนหยู่วาดขาเตะเธอออกไปจากตรงนั้น เขาขี้เกียจที่จะฟังเรื่องไร้สาระที่เสแสร้งของเธอต่อไปผู้หญิงคนอื่นๆ ต่างยืนหน้าซีดและนิ่งเงียบประธานเกาจึงพูดด้วยความโกรธ “พันเถา หยุดพูดได้แล้ว ทำไมไม่รีบไส่หัวออกไปเร็วๆล่ะ!”เมื่อได้ยินดังนั้น พวกผู้หญิงทุกคนก็รีบทำตามคำสั่ง รวมทั้งพันเถาด้วย“เดี๋ยวก่อน สาวคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด” เย่เทียนหยู่ชี้ไปที่เฉินเข่อซินเมื่อได้ยินดังนั้น ประธานเกาก็รีบพูดว่า “งั้นเฉินเข่อซิน เธออยู่ต่อเถอะ”“ตอนที่คนอื่นต่างว่าร้ายผม มีเพียงเฉินเข่อซินเท่านั้นที่ก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อแนะนำรถให้ผม ผมจึงคิดว่าเธอเป็นคนดี”เมื่อประธานเกาได้ยินเช่นนี้ เขาเข้าใจทันที คนนี้อาจชอบเฉินเข่อซินก็ได้และพูดอย่างรวดเร็ว “เฉินเข่อซินเป็นคนดีมากจริงๆครับ ไม่เพียงแต่เธอสวยเท่านั
และทุกอย่างประธานเกาก็จะจัดการให้เขาอย่างรวดเร็วเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเย่เทียนหยู่ก็ออกไปจากที่นี่ เมื่อเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เขาก็ขับรถคันใหม่ไปยังจุดหมายปลายทางที่ได้รับจากคุณปู่เจียงเขาอดไม่ได้ที่จะแอบประหลาดใจเมื่อเห็นรถหรูจอดอยู่ในรอบบริเวณนี้ดูเหมือนว่าคนที่มาครั้งนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ดูเหมือนมันจะเป็นงานศิลปะชั้นสูงเลยทีเดียวเมื่อเขาเดินมาถึงประตู และเย่เทียนหยู่กำลังจะเข้าไปข้างใน แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนหยุดเขาไว้ตรงประตูนั้น“สวัสดีครับ กรุณาแสดงจดหมายเชิญของคุณให้ผมดูหน่อยนะครับ!”เย่เทียนหยู่ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็ไหนคุณปู่เจียงบอกว่าให้เขามาได้เลยไง เขาเลยถามว่า “ต้องมีจดหมายเชิญถึงจะเข้าไปดูคอนเสิร์ตได้หรือ”ในเวลานี้ มีผู้ชายและผู้หญิงจำนวนมากที่ใส่ชุดหรูหราเดินผ่านไป และพวกเขาก็ได้ยินคำพูดของเเย่เทียนหยู่ และดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม“หนุ่มน้อย สถานที่บางแห่งไม่ใช่ใครจะเข้าก็เข้าได้นะ”พวกเขาหยิบจดหมายเชิญออกมาและเดินเข้าไปข้างในโดยไม่พูดอะไรเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ได้ดูเย่อหยิ่งนัก เขาแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ครับ ทุกค
“นาย!”“ฉันล่ะนับถือนายจริง ๆ เลย!”เมื่อได้ยินว่าเขาไม่มีจดหมายเชิญ หลินหว่านหรูก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไม่มีคำเชิญจะมาที่นี่ให้ขายหน้าคนอื่นเขาทำไม เธอคิดพร้อมกับควานหาบัตรเชิญด้วยความรียร้อน “พี่รปภ.คะ ฉันมีคำเชิญอยู่ค่ะ ฉันพาเขาเข้าไปด้วยได้ไหมคะ?”“ไม่ได้ บัตรเชิญหนึ่งใบต่อหนึ่งคนเท่านั้น” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่ายหน้า“นี้……”หลินหว่านหรูสังเกตเห็นว่าทุกคนรอบตัวเธอมองเย่เทียนหยู่ด้วยสายตาเยาะเย้ย เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “นายน้อยหลิวเข้าไปก่อนเถอะค่ะ ไว้อีกพักฉันจะตามไป”“เย่เทียนหยู่ นายมากับฉัน!”เธอต้องพาเย่เทียนหยู่ออกไปก่อน“จะไปไหนครับ?” เย่เทียนหยู่ถามด้วยความงุนงง“นายคิดว่าไงล่ะ?”หลินหว่านหรูพูดอะไรไม่ออก เธอแค่อยากจะพาเขาออกมากจากตรงนั้นก่อน เขาไม่รู้เลยเหรอว่าตัวเองกำลังถูกคนอื่นบ่นอุบอิบใส่?“ผมไม่รู้นี่ครับ”“หยุดพูดไร้สาระแล้วมากับฉันซะ!”หลินหว่านหรูหงุดหงิดมากแต่แล้วในตอนนั้นเอง ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ได้ยินหลินหว่านหรูเรียกชื่อเขาว่าเย่เทียนหยู่ แรกเริ่มเดิมทีเขาไม่ทันได้ตอบสนอง แต่หลังจากที่เขาเริ่มคิดออกเขาก็รีบเข้าไปพูดด้วยทันที “
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโน้มตัวไปทางขวาพร้อมกับพูดว่า “น้องเย่ คิดไม่ถึงเลยนะว่านายจะเก่งขนาดนี้ ถึงได้ปะปนตัวเองเข้ามาในงานจนได้ แค่ไม่รู้ว่าคุณจะมีความรู้เรื่องเปียโนมากน้อยแค่ไหน แล้วฟังบรรเลงเปียโนออกหรือเปล่า?”“ก็ไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยไปกว่าคุณแน่นอน” เย่เทียนหยู่มองออกว่าหลิวเจี๋ยกำลังหงุดหงิด จนแม้ต่อหน้าหลินหว่านหรูเขาก็ยังเริ่มแสดงกิริยาเสียดสีออกมาหลิวเจี๋ยรู้สึกอึดอัดใจมาก เพราะเขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเปียโนจริง ๆ“อย่างนายน่ะเหรอ เลิกอวดดีได้แล้ว”“ไม่ได้อวดดี ก็ผมพอจะรู้อยู่บ้างจริง ๆ” เย่เทียนหยู่พูดพร้อมส่งยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นขอผมทดสอบนายหน่อย”“งั้นก็อย่าดีกว่า เพราะผมไม่ชอบถูกคนอื่นทดสอบ” เย่เทียนหยู่ปฏิเสธทันทีหลินหว่านหรูอดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปที่เย่เทียนหยู่ นี่เขาคุยโวอีกแล้วเหรอแถมยังถูกมองออกว่าคุยโวแทบจะในทันทีเลยด้วยแต่ไม่รู้ว่าทำไม พอเธอได้อยู่กับเขา เธอกลับรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเสมอ รู้สึกเหมือนกับตัวเธอได้เป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระต่างจากการได้อยู่กับหลิวเจี๋ย ที่เธอเป็นคนควบคุมตัวเอง แล้วยังรู้สึกกังวลนั่นนี่อยู่เสมอความรู้สึกแบบนั้น หลิวเจี๋ยเ
“อะไร ยังยืนอยู่อีกทำไม หรืออยากให้ฉันเปลี่ยนคนจริง ๆ?” แม่ตระกูลหลินพูดด้วยความโกรธ นี่คิดว่าฉันไม่กล้าเปลี่ยนตัวหล่อนจริง ๆ งั้นเหรอ?“ไม่ใช่นะคะ!”หลิวเหวินพยายามควบคุมอารมณ์ และตอบออกไปว่า “วัตถุดิบนี้หาซื้อไม่ได้ค่ะ”“หาซื้อไม่ได้ แล้วก่อนหน้านี้ได้มาจากไหน?” แม่ตระกูลหลินถาม“ปกติประธานเย่เป็นคนจัดการค่ะ”“ประธานเย่ ประธานเย่คนไหน?” แม่ตระกูลหลินสงสัย บริษัทของพวกเขาไม่น่าจะมีประธานที่นามสกุลเย่ได้“เย่เทียนหยู่ค่ะ!”“ว่าไงนะ เธอบอกว่าเป็นเขางั้นเหรอ!”แม่ตระกูลหลินขมวดคิ้วขึ้นทันที ก่อนจะพูดด้วยความโกรธออกไปว่า “ทำไมจะต้องให้เขาเป็นคนจัดหาด้วย พวกเราหาซื้อกันเองไม่ได้รึไง?”“ไม่ได้ค่ะ เพราะนี่คือส่วนผสมที่เขาปรุงขึ้นมาด้วยตัวเอง ตอนนั้นที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการลอกเลียนแบบและขโมยสูตร ดังนั้นนอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครทำได้ค่ะ” หลิวเหวินอธิบาย“ว่าไงนะ ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วยงั้นเหรอ เวรเอ้ย ฉันว่ามันไม่ได้กลัวถูกขโมยสูตรอะไรหรอก มันตั้งใจขัดขวางพวกเรามากกว่า” แม่ตระกูลหลินพูดด้วยความโกรธแต่ไม่นานแม่ตระกูลหลินก็รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “นาน
“ไม่ว่าจะยังไง ต่อไปจะให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ได้อีก มันอันตรายเกินไป เอาแบบนี้นะ เดี๋ยวพี่จะจัดกำลังคนมาคอยปกป้องพวกเธอเอง”เย่เทียนหยู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจว่าจะหาคนมาคุ้มครองเฉินเฟยเฟย รอจนกว่าพวกเธอจะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องพวกเธออีกเช่นเดียวกับคนอื่นที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา เช่นเฉินเข่อซิน เขาเองก็ได้ส่งยอดฝีมือไปคอยปกป้องเธออย่างลับ ๆ ด้วยเช่นกัน ส่วนหยางเฉียนเฉียนและจูเก่อหลิวหลี เดิมพวกเธอก็เป็นยอดฝีมืออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องใด ๆและหลินหว่านหรูที่อยู่ข้างกายเขา เธอมียอดฝีมือระดับสูงเป็นผู้หญิงที่คอยปกป้องเธอมากกว่าหนึ่งคนด้วยซ้ำ เพียงแค่ตัวหลินหว่านหรูเองไม่ทันได้สังเกตุก็เท่านั้นการปกป้องภรรยานั้น สำหรับเขามันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดหลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เย่เทียนหยู่ถึงได้จากไปตอนนี้เวลาก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว เย่เทียนหยู่จึงโทรไปหาเลขาส่วนตัวของหลินหว่านหรู เพื่อสอบถามว่าหลินหว่านหรูได้ให้เธอสั่งอาหารเที่ยงมาแล้วรึยังเมื่อได้ยินดังนั้น เย่เทียนหยู่ก็รีบบอกให้เธออย่าเพิ่งสั่ง ก่อนที่เขาจะโทรสั่งให้โร
เมื่อกลับมาถึงห้อง เหอฉุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พูดออกมาว่า “คุณเย่คะ ฉันรู้ว่าคุณเก่งกาจมาก แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น เราไปที่โรงพยาบาลกันเถอะนะคะ”“ทำไม?” เย่เทียนหยู่ถาม“แบบนั้นเราก็จะสามารถตรวจสอบร่องรอยบาดแผลได้ เพื่อเป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าเราถูกพวกเขาทำร้าย เพื่อให้คุณได้สามารถตอบโต้กับข้อกล่าวหาของอีกฝ่ายได้ เพราะไม่อย่างนั้น ตำรวจก็อาจจะไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ได้”เหอฉุนพยายามอธิบายเย่เทียนหยู่ส่ายหัว และพูดออกไปว่า “ต่อให้จะมีบาดแผลอยู่จริง ๆ แต่หากนำไปที่สถานีตำรวจ พวกเราก็ยังไม่ถือว่าเป็นฝ่ายถูกอยู่ดี กลับกัน อาจกลายเป็นผู้รับผิดชอบด้วยซ้ำ”“เรื่องนั้น......”“ไม่ต้องห่วง ในเมื่อฉันกล้าลงมือ นั่นก็หมายความว่า ฉันไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย”“หากเป็นแบบนั้น ฉันคิดว่าคุณนายไป๋คงจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ แน่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เก่งเท่าคุณเย่ แต่ถึงยังไงก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองตะวันออก อำนาจคับฟ้า ยังไงก็ควรจะระมัดระวังเอาไว้บ้างนะคะ”เหอฉุนเคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลไป๋มาอยู่บ้าง รู้ว่าตระกูลไป๋นั้นน่ากลัวและทรงพลังมากแค่ไหน โดยเฉพาะหั
ถึงยังไง ก็เป็นแค่ลูกน้องคนหนึ่ง แม้จะลงมือรุนแรงแค่ไหน แต่ความผิดก็ยังไม่ถึงตายแต่ฉากนี้ก็กลับทำให้อีกคนที่ยังแกล้งสลบอยู่ตกใจจนพูดไม่ออกครั้งนี้ ไม่ต้องรอให้เย่เทียนหยู่ถาม เขาก็รีบพุ่งตัวออกมาทันที พร้อมกับพูดอย่างลนลานว่า “ขอโทษครับ ผมทำเอง ผมยอมรับผิด ผมออกมายอมรับผิดเองแล้วครับ”“สายไปแล้ว!”“แกหักขาข้างหนึ่งของตัวเองซะ” เย่เทียนหยู่พูดอย่างเฉยเมย“ครับ ๆ!”เขาไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะรีบไปหาอุปกรณ์ แล้วลงมือทำทันที อันที่จริง เขาไม่กล้าลงมือจริง ๆ แต่เมื่อเห็นสภาพของพวกพ้องแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรที่ไม่กล้าทำอีกในตอนนั้นเอง คุณนายไป๋ก็ได้สติ เธอมองดูเย่เทียนหยู่ที่กำลังทำตัวหยิ่งยโสอวดดี มันก็ยิ่งทำให้เธอทั้งโกรธและโมโห แต่เธอก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปสู้กับอีกฝ่ายเพราะไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่เป็นผลดีกับตัวเองเป็นแน่เพราะคนคนนี้มันบ้า คนบ้าที่ไม่รู้จักเกรงกลัวอะไรเลยเธอจะต้องทำให้อีกฝ่ายเสียใจอย่างแน่นอนเมื่อจัดการกับคนที่ต้องจัดการเสร็จแล้ว เย่เทียนหยู่ก็ไม่อยากสนใจพวกเขาอีกต่อไป เขาจึงเดินไปหาเฉินเฟยเฟย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “พวกเราไปกันเถอะ”เฉ
คำพูดนี้ ทำให้จางผิงรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันทีหลายคนเองก็อดยิ้มอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นฉากนี้ก็รู้สึกว่าแปลก ๆในเวลานี้ เหมือนว่าคุณนายไป๋จะลืมความเจ็บปวดไปจนหมดสิ้นแล้ว ร่างกายชาไปทั้งตัววันนี้เธอไม่เพียงแค่ประสบกับความเจ็บปวดทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังต้องเสียหน้าในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น เธอแทบจะเหมือนถูกกดให้จมดิน แล้วบดขยี้อย่างบ้าคลั่งอีกด้วยเย่เทียนหยู่ไม่ได้สนใจคุณนายไป๋อีกต่อไป เขาพูดอย่างเฉยเมยออกมาว่า “เมื่อกี้ใครบ้างที่ลงมือ ตอนนี้ก็ก้าวออกมาเองซะ!”ทันทีที่คำนี้ถูกพูดออกมา บอดี้การ์ดที่เคยลงมือต่างก็หน้าซีดกันหมดพวกเขานอนดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างมาโดยตลอด กระทั่งมีคนแกล้งทำเป็นหมดสติไปเลยด้วยซ้ำ ในใจรู้สึกหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าเย่เทียนหยู่จะเริ่มคิดบัญชีกับพวกเขาแต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เลยรู้สึกว่าคงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วก็ยังหนีไม่พ้นอยู่ดี“อย่าคิดว่าการแกล้งตายจะทำให้หนีรอดไปได้นะ ให้เวลาพวกแกอีกสิบวินาที”เย่เทียนหยู่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ พร้อมกับเสียงพูดที่ดูเย็นชาเมื่อเย่เ
“ไม่ได้นะ ขอร้องล่ะ ขอให้เธอเปลี่ยนเงื่อนไขได้ไหม ขืนฉันโขกศีรษะให้พวกเธอ ฉันก็ไม่มีหน้าจะไปเจอคนอีกแล้ว”“หน้าของคุณงั้นเหรอ ตั้งแต่ตอนที่คุณตบพวกเธอไปเมื่อกี้ คุณก็ได้สูญเสียมันไปนานแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสี่สิบห้าวินาที” เย่เทียนหยู่พูดอย่างเย็นชา ขณะที่เขาพูด มีดสั้นในมือของเขาส่องประกายเย็นยะเยือกมากขึ้นเรื่อย ๆเวลาเดินไปอย่างช้า ๆ คุณนายไป๋เหงื่อไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง“ห้า สี่ สาม สอง......”“ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว!”คุณนายไป๋ไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดและความกลัวได้อีกต่อไป เธอจึงรีบคลานไปหา และคุกเข่าลงต่อหน้าทั้งสามคนทันทีการที่เธอคลานเข้าไปหาแบบนี้ มันจึงทำให้เฉินเฟยเฟยรู้สึกตกใจอยู่นิดหน่อยผู้คนที่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดทั้งหมดด้านนอก ต่างก็พากันตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ใครจะไปคิดล่ะว่า คุณนายไป๋จะกล้าคุกเข่าจริง ๆ เขากลัวมากขนาดนั้นเลยเหรอถึงยังไง นี่ก็เป็นที่สาธารณะ เด็กหนุ่มคนนี้จะกล้าฆ่าคนจริง ๆ น่ะเหรอแต่เห็นได้ชัด ว่าเพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้อง จึงไม่ได้รับแรงกดดันจากพลังจิตที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าของเย่เทียนหยู่ ความรู้สึกที่พวกเขาได้รับจึงแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงกล
เมื่อเห็นว่าภายใต้คำขู่ของเย่เทียนหยู่ ทำให้ทุกคนก็ไม่กล้าขยับตัว คุณนายไป๋ก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม โดยเฉพาะในตอนที่เย่เทียนหยู่เดินเข้ามาใกล้เธอจึงพูดอย่างรีบร้อนออกไปว่า “แกหยุดนะ ในที่สาธารณะแบบนี้ หรือแกคิดจะฆ่าฉันงั้นเหรอ?”“แล้วทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ คุณคิดว่ามีแค่ตระกูลของคุณเท่านั้นเหรอ ที่สามารถทำแบบนั้นได้?” เย่เทียนหยู่พูดพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะเหยียบลงบนฝ่ามือข้างขวาของคุณนายไป๋อ้าก!คุณนายไป๋ร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงยืนอยู่บนส้นเท้า เขากดน้ำหนักลงบนนิ้วมือทั้งห้าของเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก เธอจึงพูดออกไปว่า “ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”“ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันเถอะ!”สิบนิ้วเชื่อมถึงใจ มันช่างเจ็บมากเหลือเกินในเวลานี้ เธอไม่เหลือความสูงส่งที่เคยมี และไม่เหลือความดุดันหรือเกรี้ยวกราดอีกต่อไป มีเพียงความเจ็บปวดและความกลัวที่ปรากฏขึ้นจนเต็มใบหน้าเพียงเท่านั้น“นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเอง คุณก็มาขอร้องผมแล้วเหรอ?” เย่เทียนหยู่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แสดงให้เห็นว่าเขายังมีวิธีทรมานอีกมากมายที่ยังไม่ได้เอาออกมาใช้ทันใดนั้น คุณนาย
หลังจากที่คุณนายไป๋ร้องออกมาเสียงดัง เธอก็รู้สึกมึนงงอยู่พักหนึ่ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนทั่วไปไม่มีใครกล้าหายใจออกมาเสียงดังต่อหน้าเธอ แต่วันนี้เธอกลับถูกคนตบหน้าอย่างเปิดเผยแล้วนี่จะให้เธอยอมรับได้อย่างไร เมื่อเธอรู้สึกตัว เธอก็รีบลุกขึ้นด้วยความตกใจทันที ก่อนจะพูดด้วยความโกรธขึ้นว่า “แกกล้าตบฉันเหรอ แกกล้าตบหน้าฉัน ฉันจะฆ่าแก!”สีหน้าของเย่เทียนหยู่ดูเย็นชา มองไปยังคุณนายไป๋ที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างดุเดือด มือขวาของเขาก็ยกขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่การยกมือครั้งนี้เป็นการใช้หลังมือ เขาเหวี่ยงกระแทกเธอจนเกิดเสียงดังสนั่นครั้งนี้ เขาได้เหวี่ยงคุณนายไป๋ที่เพิ่งจะลุกขึ้นจากพื้นจนเธอหงายหลังกลับลงไปที่เดิมทันทีและเนื่องจากเขาใช้หลังมือ จึงเป็นการตบอีกด้านของใบหน้า ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนว่าจะแรงยิ่งกว่าเดิม เขาตบจนใบหน้าของคุณนายไป๋บวมเป่งคุณนายไป๋รู้สึกเจ็บจนต้องกัดฟัน พร้อมกับแสดงความโกรธออกมา ก่อนจะตะโกนออกไปว่า “ไอ้หนู แกตายแน่ แกจะต้องตายสถานเดียว ฉันจะไม่มีทางปล่อยแกไปแน่!”เย่เทียนหยู่หัวเราะเบา ๆ สีหน้าดูเย็นชา เขาก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ เป็นผมต่างหากที่จะไม่ป
ในสายตาของคุณนายไป๋ เฉินเฟยเฟยมีโอกาสถึงแปดในสิบที่จะเป็นผู้หญิงของเย่เทียนหยู่ เพราะไม่อย่างนั้น อีกฝ่ายคงไม่ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อเธอมากมายขนาดนี้แน่อีกอย่าง ต่อให้จะไม่ใช่ แต่ความสัมพันธ์ก็ต้องมีความใกล้ชิดอย่างแน่นอน เธอจะต้องทำให้พวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดให้ถึงที่สุดแต่พยัคฆ์ทมิฬกลับรู้สึกสับสน ในใจรู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้ คุณนาย นี่เธอไม่เข้าใจสถานการณ์เลยใช่ไหมเนี่ย เมื่อกี้ฉันก็บอกไปแล้ว โอกาสที่ฉันจะสู้เข้าได้มีไม่ถึงสองส่วนด้วยซ้ำ!ตอนนี้เธอไม่แค่ให้ฉันจัดการเขา แถมยังบอกให้ไว้ชีวิตเขาอีกต่างหาก เธอเห็นฉันเป็นตัวอะไรเมื่อเห็นว่าพยัคฆ์ทมิฬยังคงนิ่งเฉย คุณนายไป๋ก็พูดด้วยความโกรธออกไปว่า “พยัคฆ์ทมิฬ ยังไม่ลงมืออีกเหรอ อย่าบอกนะ ว่าแกที่มีอายุมากกว่า กลับกลัวเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่จริง ๆ?”พยัคฆ์ทมิฬโกรธจัด นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องกลัวหรือไม่กลัว แต่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก“ดี ดีนี่ ดูท่าแกคงปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ ฉันทำอะไรแกไม่ได้แล้วใช่ไหม”คุณนายไป๋โกรธจัด เมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เธอเกลียดมากที่สุด ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้