หลิวเมิ่งถูกกดดันจากแรงผลักดันของจางเหยาและรู้สึกกังวลอย่างอธิบายไม่ถูก แต่เขาจำได้อย่างรวดเร็วว่าครอบครัวของป้าของเขาไม่ใช่มังสวิรัติ และพูดทันที: “อะไร คิดว่าแฟนตัวเองมีอิทธิพลอยู่คนเดียวรึไง”“ฉันกำลังทำอะไรอยู่ หลิวเมิ่งเธอนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง รู้มั้ยว่าแฟนของฉันคือประธานเฉินผู้มีชื่อเสียง ตระกูลเฉินเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลมหาอำนาจในเมืองเทียนไห่นะ ทั้งเมืองเทียนไห่นี่จะมีคนไม่กี่คนที่กล้ายั่วยุเขา”จางเหยากล่าวด้วยความโกรธใบหน้าของ หลิวเมิ่งเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้ยินว่าอีกฝ่ายมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาจากเมืองเทียนไห่ แต่เนื่องจากครอบครัวของป้าของเขา เขายังคงมีความเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเมืองเทียนไห่อยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี่ตระกูลหลัก ซึ่งทั้งหมดนี้น่ากลัวอย่างยิ่งแม้แต่ครอบครัวของป้าลินก็ไม่สามารถต้านทานตระกูลหลักทั้งสี่ตระกูลได้ และจะถูกทำลายลงในไม่กี่นาทีเมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของ หลิวเมิ่งจางเหยาก็ยิ่งภูมิใจและเยาะเย้ย: "อะไรนะ ตอนนี้คุณรู้ว่าคุณกลัวแล้ว"“ตอนนี้ก็รู้แล้วว่ากลัว ทำไมไม่รีบคุกเข่าลงและโค้งคำนับฉันเพื่อขอโทษ!”เมื่อเห
เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้กระตุ้นให้จางเหยาโกรธจัด: “แก แก!”“เอาล่ะ ฉันขอบอกเลยนะ วันนี้แกชนรถฉัน นี่คือรถหรูมูลค่ามากกว่าห้าล้านบาท แกต้องจ่ายเงินก่อน”“สองล้านห้า พวกแกจะไปไม่ได้ถ้าไม่จ่ายครึ่งหนึ่งของห้าล้านให้ฉันก่อน”เย่เทียนหยู่หัวเราะเบา ๆ และพูดอย่างใจเย็น: “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณที่จะตัดสินใจว่าจะจ่ายค่าชดเชยให้กับใครเป็นจำนวนเท่าใด ลองโทรหาตำรวจแล้วขอให้พวกเขามาตัดสินใจกัน”“ตำรวจ”“ฮ่าฮ่า คุณคิดว่าถ้าคุณโทรหาตำรวจจราจรที่นี่ พวกเขาจะช่วยคุณหรือเปล่า”“ฉันไม่กลัวที่จะบอกคุณว่าผู้อำนวยการเฉินของทีมตำรวจจราจรมาจากตระกูลเฉิน เวลาฉันไปเยี่ยมทีมตำรวจจราจรก็เหมือนได้กลับบ้าน คุณคิดว่าพวกเขาจะพูดแทนใครเมื่อมาถึง” จางเหยาเยาะเย้ย“ฉันไม่รู้ ฉันคิดว่าพวกเขาทั้งหมดยุติธรรมมากและจะช่วยความยุติธรรม” เย่เทียนหยู่พูดเบา ๆ แต่จริงๆ แล้วเขาเริ่มบันทึกเสียงอย่างเงียบ ๆ แล้ว“ความยุติธรรมเหรอ นั่นมันไร้สาระ เชื่อหรือไม่ว่าถ้าพวกเขามาที่นี่ ฉันจะขอให้พวกเขายึดรถและใบขับขี่ของคุณทันที”“ไม่เชื่อ!”“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” จางเหยาพูดด้วยความโกรธ วันนี้เขาต้องบอกให้เด็กคนนี้รู้ว่าเขาแข็
จางเหยาโทรมาทันที และคราวนี้เขาโทรหาเฉินเฟิง ลูกชายคนที่สองของตระกูลเฉินนายน้อยเฉินคนที่สองชอบเขามาก เขาเกือบจะทำทุกอย่างที่เธอพูด เขายังคุยกับครอบครัวของเขาเพื่อแต่งงานกับเธอและเข้าร่วมตระกูลเฉินด้วยซ้ำถ้าเย่เทียนหยู่รู้เรื่องนี้ เขาคงพูดไม่ออกเลย นายน้อยเฉินมีวิสัยทัศน์แบบไหนที่จะตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้หลังจากวางสายไม่ถึงสิบนาที รถยนต์หรูหราหลายคันก็ขับผ่านไป จากนั้นประตูรถก็เปิดออก และชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งก็ก้าวออกไปโดยเฉพาะพระเอกที่สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม Versace ถือนาฬิกาชื่อดัง ตุ้มหูอยู่ในหู อวดลุคที่ดูเผินๆ“พี่ปิน คุณมาแล้ว เหยาเหยาเกือบถูกรังแกจนตาย” จางเหยาก้าวไปข้างหน้าทันทีและจับมือเขาทำท่ายั่วยวน“อะไรนะ ยังมีคนที่กล้ารังแกพี่สะใภ้ของฉัน พวกเขากล้าหาญมาก”“คุณโง่เขลาและโง่เขลาขนาดนี้ได้ยังไง คุณกล้ารังแกหญิงสาวของเรา นายน้อยเฉิน คุณอยากตายได้ยังไง”“คนโง่สองคนนี้กำลังมองหาความตายจริงๆ จะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีในการคุกเข่าลงบนพื้นและคุกเข่าขอความเมตตา” อีกคนส่ายหน้าแล้วพูดนายน้อยรองตระกูลเฉินดูมีอำนาจเหนือกว่า เขาก้าวไปข้างหน้าและเตะรถของเย่เทียนหยู่อย่างแรง และพูดอย่
ไม่ใช่ว่าเย่เทียนหยู่ไม่อาจช่วยหวงลี่ได้ แต่เหตุผลที่เขาไม่ดำเนินการทันทีเพราะเขาอยากให้คนอื่นได้เห็นใบหน้าที่แสนอัปลักษณ์ของคนเหล่านี้เพราะตอนนี้ทุกคนยืนอยู่หน้ารถ กล้องบันทึกภาพในรถก็เพียงพอที่จะบันทึกทุกอย่างไว้ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ตำรวจจราจรอีกคนยังมีเครื่องบันทึกอุบัติเหตุอีกด้วยเขายังมีการบันทึกรายละเอียดของกระบวนการทั้งหมดอีกด้วยเพียงแต่ดูเหมือนนายน้อยเฉินจะไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นเครื่องบันทึกอยู่ในมือของตำรวจจราจรอีกคนอย่างชัดเจนเมื่อเห็นว่าเกือบจะเสร็จแล้ว เย่เทียนหยู่ก็กำลังจะลงมือเมื่อมีรถตำรวจอีกคันเข้ามา ซึ่งยังคงเป็นรถตำรวจจราจร ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันทีเมื่อประตูรถเปิดออก คนสองคนก็ก้าวออกไป เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าของผู้นำมีตำแหน่งที่สูงกว่า มันคือผู้กองหวังที่เข้ามาด้วยตนเอง และเขาก็เป็นคนที่จางเหยาเรียกแต่แรกด้วยทันทีที่ผู้กองหวังลงมา เขาเห็นเฉินเฟิงยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขารีบก้าวไปข้างหน้าและพูดด้วยความเคารพ: "คุณเฉิน ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย"“ฮึ่ม ฉันไม่กล้ามาได้ยังไง ถ้าฉันไม่มา คนข
เมื่อเห็นหลิวเมิ่งเจียมเนื้อเจียมตัว จางเหยาก็ยิ่งได้ใจก็: “รู้แล้วใช่มั้ยว่าตัวเองผิด ถ้ารู้ซะแต่แรกก็ดี จะได้ไม่ต้องเลยเถิด!” เธอพูดอย่างเย็นชา“ใช่ ขอโทษนะ ฉันมันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขอให้เธอเห็นแกที่เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ปล่อยฉันไปสักครั้งเถอะนะ”หลิวเมิ่งรู้สึกเสียใจมาก แต่เล็กจนโต เธอยังไม่เคยถูกทำให้น้อยเนื้อต่ำใจขนาดนี้มาก่อนเลยโดยเฉพาะผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ เมื่อก่อนเธอไม่เคยแลตามองเลยด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้กลับถูกอีกฝ่ายทำให้อับอายในที่สาธารณะแบบนี้“ถุย คนแบบเธอเหรอเป็นเพื่อนร่วมชั้น จะดูถูกฉันเกินไปแล้ว!”จางเหยาเยาะเย้ย: “ถ้าเธอยอมขอโทษและรับผิดซะแต่แรก แล้วชดใช้เงินแค่สองล้านห้าแสน เรื่องนี้ก็คงจบไปง่าย ๆ แล้ว”“แต่ว่า ตอนนี้มันคงไม่ง่ายแบบนั้นแล้วละ แต่เห็นแก่ที่เราเคยรู้จักกัน ฉันจะให้โอกาสเธอสักครั้ง”“เอาอย่างนี้แล้วกัน ค่าชดเชยห้าล้าน บวกกับพวกเธอสองคนไปคลานรอดใต้หว่างขาพี่เฟิง แล้วฉันจะยอมจบเรื่องนี้”เมื่อได้ยินคำขอของเธอ ใบหน้าของหลิวเมิ่งก็ดูเหยเกทันที เธอจะรับได้ยังไงที่ถูกสั่งให้ไปคลานรอดใต้หว่างขาชายคนหนึ่ง เธอระงับความโกรธภายในใจและพูดว่า: “จางเหยา...”
นี่มันเหลวไหลทั้งเพ คำพูดแบบนี้ก็ยังพูดออกมาได้นี่มันรนหาที่ตายเองชัด ๆ แล้วเธอจะยอมจบเห่ไปพร้อมกับเขาเหรอจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง!ทำยังไงดี หลิวเมิ่งแอบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมโทรหาลูกพี่ลูกน้องของเขาเพื่อลองดูว่าเธอพอจะมีเส้นสายอะไรที่พอจะช่วยพูดให้เรื่องนี้คลี่คลายได้บ้างกระทั่งนายตำรวจหวงลี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยังมองดูฉากตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย เมื่อครู่ยังนึกว่าเย่เทียนหยู่กลัวซะอีก หรือต่อให้กลัวเขาก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นการกระทำทั่วไปของมนุษย์เพราะถึงยังไงซะ คนกลุ่มนี้มีอำนาจเหนือกว่า แต่ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายจะพูดคำน่าตกใจแบบนั้น และมันจะต้องทำให้พวกคุณชายพวกนี้โกรธมากแน่เห้อ!ชายหนุ่มคนนี้นิสัยดีทีเดียว เสียดายที่ต้องมีจุดจบแบบนี้เขาเองก็อยากจะช่วย แต่ตัวเขาทำอะไรไม่ได้ เพราะแค่เข้าไปก็ถูกพลิกคว่ำไม่เป็นท่าผู้กองหวังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้แต่แอบส่ายหัว เพราะชายหนุ่มตรงหน้ารนหาที่ตายเองโดยแท้ เขาเองก็เหนื่อยเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นแต่ว่า เรื่องนี้คงจะสร้างความลำบากให้เขานิดหน่อย ช่างเถอะ เรื่องของคุณชายเฉิน เขาไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
เฉินเฟิงรู้ดีว่าปกติพ่อจะไม่โทรหาเขาเว้นเสียแต่ว่าเขาจะไปประพฤติเรื่องชั่วมา พ่อถึงจะโทรมาด่าเขาแต่ตอนนี้มันเรื่องอะไรกัน? ระยะนี้เขาประพฤติตัวอยู่ในโอวาทเป็นอย่างดี ไม่ดีทำเรื่องไม่ดีเลยสักอย่างขณะที่เดินไปถึงอีกด้านหนึ่ง เฉินเฟิงก็รีบรับสาย เพราะยังไงเขาก็รับช้ามาสักพักแล้ว “พ่อครับ โทรหาผมมีอะไรรึเปล่าครับ?”ก่อนจะทันได้ถามเสร็จ เสียงของความโมโหก็ดังมาจากอีกฝั่ง: “ไอ้ลูกสารเลว รู้มั้ยว่าตัวเองกำลังทำอะไร”เฉินเฟิงถูกด่าจนงงไปชั่วขณะ นี่มันเรื่องอะไรกัน? “พ่อหมายถึงอะไรครับ” เขาถามด้วยความงุนงง“หมายความว่าอะไรน่ะเหรอ รู้บ้างมั้ยว่าคนที่แกกำลังล่วงเกินอยู่คือใคร เขาเป็นบุคคลผู้น่าสะพรึงกลัวที่พ่อกำชับแกว่าห้ามไปยั่วยุคนนั้น” เฉินฉางเหอตะคอกอย่างโกรธเคือง“พ่อขอบอกแกเลยนะว่าแกจะต้องทำให้อีกฝ่ายหายโกรธและให้อภัยแกให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ตาม ไม่อย่างนั้น ต่อไปแกไม่ต้องเป็นสมาชิกตระกูลเฉินอีก อยากตายก็ตายไปเองเถอะ”“พ่อ นี่พ่อพูดอะไรอยู่ครับ พ่อรู้เหรอว่าผมทำอะไรอยู่” เฉินเฟิงสับสนสุดขีดเรื่องบ้าอะไรกัน ไม่สิ หรือว่าชายคนนี้คือราชามังกรในตำนานที่พ่อของเขาเคยบอกด้วยตัวเองแ
คุณชายเฉินตามคนมาด้วยตัวเอง คนที่มาจะต้องน่ากลัวและมีอำนาจขนาดไหนกันนะจบกันตอนนี้มันคงจะจบแล้วจริงๆ สินะต่อให้ตอนนี้โทรหาลูกพี่ลูกน้องของเธอก็อาจช่วยอะไรไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ต้องลองดู จากนั้นเธอก็รีบโทรออกทันทีแต่สิ่งที่เธอทำให้หมดหนทางคือเธอโทรหาลูกพี่ลูกน้องไม่ติดเลย หรือว่าจะกำลังประชุมหรือเปล่านะ?จบกัน จบแน่ ครั้งนี้พระเจ้าไม่ช่วยเธอเลยจริง ๆจางเหยามองดูท่าทางวิตกกังวลของหลิวเมิ่งและพูดว่า: “หลิวเมิ่ง เพิ่งนึกออกรึไงว่าต้องรีบโทรออก แต่อย่าพยายามเลย เพราะมันเปล่าประโยชน์”“ไม่ว่าเธอจะไปหาใครมา ก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อกรของพี่เฟิงหรอก นี่พี่เฟิงเลยนะ นายน้อยคนรองของตระกูลเฉิน ฉันบอกเธอแล้วเชียว ว่าเธอน่ะมันรนหาที่ตาย”หลังจากได้ยินแบบนั้น เย่เทียนหยู่ก็ส่ายหัว เขาอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะเผยรอยยิ้มเย้ยหยันจางเหยาไม่เห็นรอยยิ้มของเขา แต่หลิวเมิ่งเห็น เดิมทีเธอก็แทบจะบ้าอยู่แล้ว เมื่อเธอเห็นฉากนี้ เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นด้วยความโมโห“เย่เทียนหยู่ เราจะตายอนาถกันอยู่แล้วนะ พี่ไม่คิดจะหาทางช่วยก็มากเกินพอแล้ว ยังมัวยิ้มอยู่อีก ไม่สำนึกบ้างเลยรึไง?”
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป