สำหรับเรื่องนี้ ติงอิ่งเห็นด้วยสุด ๆแต่แล้ว เฉินเค่อซินกลับมองเกาเสียงอย่างเย็นชา “ก่อนอื่น ฉันจะชอบใครมันก็เป็นเรื่องของฉัน ไม่ใช่กงการของใคร” เธอพูดเห็นได้ชัดว่าประโยคนี้เองก็หมายถึงติงอิ่งด้วยเช่นกัน“แล้วอีกอย่าง ฉันน่ะเชื่อในตัวพี่เย่ ฉันเชื่อทุกสิ่งที่เขาพูด”เมื่อติงอิ่งได้ยินแบบนั้น เธอก็รู้สึกหมดหนทางและพูดว่า “เค่อซิน เป็นแบบนี้แล้วเธอยังจะเชื่อเขาอีกเหรอ”“แน่นอน!”“แล้วก็นะ ติงอิ่ง ถ้าเธอยังไม่เลิกเพ่งเล็งพี่เย่อีก ก็อย่าโทษที่เราคงเป็นไม่ได้แม้แต่เพื่อนกันเลยนะ” เห็นได้ชัดว่าเฉินเค่อซินรู้สึกโกรธกับคำพูดของติงอิ่งมากติงอิ่งรู้สึกสับสนเล็กน้อย เธอไม่คิดเลยว่าเฉินเค่อซินจะพูดคำที่รุนแรงแบบนี้กับเธอเพียงเพราะผู้ชายตัวไร้ค่าคนนี้ “นี่เธอจะเลิกเป็นเพื่อนกับฉันเพียงเพราะไอ้คนพูดจาอวดดีแบบนี้น่ะเหรอ?” เธอพูดด้วยความโมโห“เขาไม่ได้กำลังอวดดีนะ” เฉินเค่อซินโต้กลับ“ได้ เธอเชื่อเขาใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเรามาเดิมพันกัน ถ้าพรุ่งนี้มีแจ้งว่าแฟนของหลี่ว์เหมิงเกิดเรื่องจริง ฉันจะเชื่อทุกอย่างเกี่ยวกับเขา และต่อไปจะไม่ห้ามพวกเธอคบกันอีก”“แต่ถ้าไม่ เธอห้ามเจอเขาอีกตลอดไป เธอกล้า
เหยากวนพูดอะไรต่ออีกเล็กน้อยแล้วจากไป ก่อนจะจากไป เขามองไปที่เย่เทียนหยู่อีกครั้งก่อนจะเผยท่าทางลังเล แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เข้ามาตีสนิทแน่นอนว่าเย่เทียนหยู่สังเกตเห็น เขารู้ว่าทุกสิ่งที่อีกฝ่ายทำ รวมถึงการให้ห้องวีไอพีนี้มาด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะให้เกียรติเขาเพียงแต่เกาเสียงไม่รู้ เลยนึกว่าตัวเองมีอำนาจมากจนมีความสุขแทบจุกอกและทุกคนก็คิดว่าอีกฝ่ายกำลังทำเพราะให้เกียรติเกาเสียง แม้แต่หลี่ว์เหมิงเองก็ไม่กล้าพูดจาอวดเบ่งต่อ เดิมทีเธอคิดว่าแฟนของเธอเก่งกาจและยอดเยี่ยมมากไม่น่าแปลกใจเลย ที่ตอนนี้ เทียนมู่กรุ๊ปแทบจะกลายมาเป็นอำนาจให้กับเธอ และในสายตาของทุกคน อำนาจนี่ก็พอเทียบได้กับสี่ตระกูลที่ทรงอำนาจแห่งเมืองเทียนไห่“พี่เสียง ฉันขอดื่มอวยพรให้คุณนะคะ วันนี้คุณทำให้พวกเราได้เปิดโลกจริงๆ”“ได้ยินมาว่า อาคารหวังไห่ไม่ใช่สถานที่ที่คนทั่วไปจะเข้ามาได้ คนที่มาต่างก็ล้วนเป็นผู้ดีมีชาติตระกูล แม้แต่ผู้จัดการหวังก็ยังให้เกียรติคุณขนาดนี้”“นั่นน่ะสิ ถึงผมจะไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่ผมก็เคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับอาคารหวังไห่มาก็มา แต่จากนี้ไปพี่เสียงจะเป็นตำนานของเราแล้วละครับ”เมื่อเห็นทุกค
แต่เย่เทียนหยู่กลับมีท่าทีที่สงบมาก เขาเอ่ยปากเสียงเรียบว่า “นั่นเป็นเพราะคุณไม่เข้าใจชีวิตจริง ๆ ของเธอต่างหาก ด้วยสถานะของเธอ จะอาหารที่โอชะหรือล้ำค่าขนาดไหนก็หาทานได้เพียงแค่กระดิกนิ้ว!”สิ่งที่เขาหมายถึง คือเค่อซินเป็นน้องสาวของเขา ด้วยความสามารถของเขาแล้ว เค่อซินจะได้รับทุกอย่างที่เธอต้องการ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริงแต่ติงอิ่งถึงกับพูดไม่ออกโดยเฉพาะสีหน้าจริงจังของเย่เทียนหยู่ เขาทำราวกับว่านี่มันเป็นเรื่องจริงยังไงหยั่งงั้นแน่นอนว่าเกาเสียงและคนอื่น ๆ ไม่มีทางเชื่อเรื่องแบบนี้ พวกเขาพากันเยาะเย้ย “แก ถ้าเก่งมากนัก วันนี้ก็เลี้ยงอาหารเราดูหน่อยเป็นไง”“ผมเลี้ยงเหรอ?”“ผมเป็นประสาทรึไง? ไม่ได้รู้จักมักจี่กับพวกคุณสักหน่อย ทำไม่ต้องเลี้ยงด้วย”เย่เทียนหยู่ส่ายหน้า“ลืมซะ ทุกคนไม่ต้องไปคุยกับเขา เขาบอกว่าคืนนี้จะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับแฟนของหลี่ว์เหมิง ถ้าไม่อย่างนั้น คืนนี้เราก็จัดการกับเขา”โจวเหยาเอ่ยปาก อาศัยคำพูดนี้ คืนนี้เขาต้องจัดการเย่เทียนหยู่ให้เละ“ถูกต้อง เราจะให้เวลาเขาอีกสองชั่วโมง” หลี่ว์เหมิงพูดอย่างเย็นชา“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้คุณลองโทรถามได้แล้ว ถ้าไม่ผิดพลาดล
เนื่องจากโทรศัพท์มือถือของหลี่ว์เหมิงเปิดลำโพง ทุกคนรอบตัวเธอจึงได้ยินเสียงของหูไหลที่กำลังโมโหเกรี้ยวกราดทันใดนั้น ทุกคนต่างก็ตะลึงงันเกิดอะไรขึ้น?หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าหูไหลคงถูกการกระทำของหลี่ว์เหมิงสร้างปัญหา เพราะอย่างนั้นเขาจึงส่งเสียงตะคอกด้วยความสิ้นหวังและโกรธเคืองหลี่ว์เหมิงตกใจและดูสับสน “พ...พี่หู นี่พี่กำลังทำอะไรกันคะ?”“ทำอะไรเหรอ? ก็ทำแม่งมันหมดนั่นล่ะวะ!”“ถ้าอยากโง่นักก็โง่ไปคนเดียวสิวะ ลากกูไปเกี่ยวด้วยทำไม!”“ยังกล้าพูดอีกว่าคนอื่นโง่ แกต่างหากที่เป็นคนที่โง่ที่สุด!”หูไหลโกรธมาก เขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากผู้หญิงที่เขาออกเดทด้วยไม่นานคนนี้หลี่ว์เหมิงตกตะลึง ในขณะนี้ เธอได้เข้าใจในที่สุด ว่าโทรศัพท์ของเย่เทียนหยู่เป็นการโทรถึงประธานถานจริง ๆ และเขาได้จับแฟนของเธอแล้วเธออยากอธิบายว่าเธอไม่ได้ตั้งใจแต่อีกโทรศัพท์ของหูไหลถูกตัดไป และไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก เขาทำได้เพียงสารภาพทุกอย่างไปตามความจริงการยั่วยุคนที่สามารถขัดขวางการประชุมใหญ่ของประธานถานให้รับโทรศัพท์ด้วยความเคารพได้ อีกฝ่ายจะต้อ
เฉินเค่อซินรู้สึกสงสารเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่หลี่ว์เหมิงทำในอดีต เธอก็พูดว่า “เธอก็รู้เหรอว่าเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน แล้วเธอเคยทำอะไรที่เพื่อนร่วมชั้นควรทำบ้าง”“ขอแค่เธอบอกเรื่องที่เคยช่วยฉันไว้ได้สักเรื่อง ฉันก็จะช่วยเธอ”หลี่ว์เหมิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เธอใช้สมองอย่างหนักเพื่อคิด แต่สุดท้ายคิดไปมากมายก็ล้วนมีแต่เรื่องที่เธอทำร้ายเฉินเค่อซินกับเรื่องที่คอยก่นด่าและดูถูกเธอไม่มีสักเรื่องเลยจริง ๆ แม้แต่เรื่องซื้อข้าวเช้าก็ยังไม่มีฉันรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นหลังจากที่หลี่ว์เหมิงหมดหวัง เธอก็คุกเข่าลงและร้องขอความเมตตา “เค่อซิน ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว ฉันเคยเป็นนังคนสารเลวมาก่อน ฉันสมควรตาย ขอร้องล่ะให้โอกาสฉันอีกครั้งเถอะนะ”“ขอแค่พวกคุณช่วยฉันได้ ฉันจะให้เงินพวกคุณได้ ห้าแสนบาท หรือถ้าห้าแสนไม่พอก็หนึ่งล้าน เอาอย่างนี้ดีไหม ห้าล้าน ฉันให้ได้มากแค่นั้นแล้ว”ภาพเบื้องหน้านี้ทำให้ทุกคนมึนงงเล็กน้อยแต่มันไม่ใช่กงการของพวกเขา เพราะงั้นถึงไม่มีใครพูดอะไรเลยน่าเสียดายที่เย่เทียนหยู่ส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเรียบ “ผมไม่ขาดเงินแค่ห้าล้านน
เมื่อเห็นท่าทางเห็นด้วยของทุกคน ติงอิ่งก็ขมวดคิ้ว เธอแอบรู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ธรรมดาโดยเฉพาะตอนที่เธอได้ยินเฉินเค่อซินบอกว่าเย่เทียนหยู่มีความสามารถมากอยู่หลายครั้ง ยิ่งกว่านั้น เธอรู้จักเฉินเค่อซินดีว่าเธอไม่เคยโกหกแต่หลี่ว์เหมิงไม่รู้สึกตัว เพราะว่าเธอได้รับการสนับสนุนจากทุกคนเธอยิ่งเย่อหยิ่งหนักกว่าเก่า “แต่ว่า เย่เทียนหยู่ ดวงของแกจบแค่ตรงนี้แหละ แกกล้าทำร้ายแฟนของฉัน ฉันจะทำให้แกต้องชดใช้แน่”เย่เทียนหยู่ตกใจเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ไม่เฉพาะแค่ความโง่เขลา แต่ยังหัวเราะเพราะการเปลี่ยนสีของพวกเขาช่างฉับไวเมื่อครู่ตอนที่เขาเห็นหลี่ว์เหมิง ผู้หญิงคนหนึ่งคุกเข่าลงอย่างน่าเวทนา เขายังแอบรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่เล็กน้อย ตอนนี้มาคิดดูแล้ว เขายังมีเมตตาเกินไปเฉินเค่อซินยิ่งโมโหมากกว่าเก่า เสียใจที่เมื่อกี้เกือบจะปล่อยเธอไปอยู่แล้ว ก่อนจะพูดด้วยความโกรธ “ใครที่ต้องชดใช้ยังไม่แน่ จะมาบอกว่าตระกูลซูออกหน้า พวกคุณรู้รึไงว่าเวลานายน้อยคนรองตระกูลซูเจอพี่เย่เป็นบังไง?”“นายน้อยคนรองตระกูลซู?”“เธอหมายถึง ซูเหวินฮวา นายน้อยของตระกูลซูเหรอ?”“ใช่ เขานั่นละ
เมื่อหลี่ว์เหมิงได้ยินแบบนั้น เธอก็โกรธมากและเธอก็กำลังเตรียมจะพูดแต่เกาเสียงขัดจังหวะ “หลี่ว์เหมิง พูดเรื่องไร้สาระอะไร ไม่เห็นหรือว่าเขาจงใจเปลี่ยนเรื่อง”“ใช่ ก็เมื่อกี้บอกว่าจะโทรหานายน้อยซูไม่ใช่เหรอ? หรือโทรออกไม่ได้กันละ?” มีคนกำลังพูดล้อเลียน“ก็นั่นน่ะสิ ไม่อย่างนั้นจะติดนั่นติดนี่ได้ยังไง”“สงสัยจะสมองกลับแล้วมั้ง”เฉินเค่อซินโกรธกับคำพูดของพวกเขามากเย่เทียนหยู่ส่ายหน้า พวกเขาบอกว่าให้โทรไป แต่เดิมทีเขาไม่คิดอยากจะโทรแต่ว่าเขาไม่อยากให้เฉินเค่อซินถูกรัวแกและรองรับอารมณ์ ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างใจเย็น “แค่โทรใช่ไหม แต่ผมโทรแล้ว พวกคุณรู้จักซูเหวินฮวาตัวจริงใช่รึเปล่า?”“กล้าเรียกชื่อนายน้อยซูได้ยังไง รอผมบอกเขาก่อนเถอะ แกได้รู้แน่ว่าต้องตายยังไง”เกาเสียงตะคอกทันที “ส่วนเรื่องที่รู้จักนายน้อยซู แน่นอนว่าผมรู้จักเขา เพราะผมโชคดีทมีโอกาสได้ทานอาหารค่ำร่วมกับเขาครั้งที่แล้ว”“แน่ใจเหรอ? ว่าคุณเคยเห็นเขามาก่อน อีกสักครู่ผมโทรวิดีโอไปอย่างงละว่าอีกฝ่ายเป็นใคร” เย่เทียนหยู่กล่าว“ผมรู้จักแน่นอน อย่าคิดหาตัวปลอมมาหลอกกันซะให้ยาก”เกาเสียงโต้กลับ“ดี งั้นผมจะโทรแล้ว”เย่
ติงอิ่งมองดูทั้งหมดนี้ด้วยความประหลาดใจ เธออดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองเกาเสียงทันที ก่อนจะเห็นว่าใบหน้าของเกาเสียงซีดและริมฝีปากของเขาก็สั่นเทาตัวเขาดูหวาดหวั่นนี่มัน?ไม่มีทาง!คุณชายซูในวิดีโอเป็นคุณชายซูตัวจริง!พระเจ้า นี่เค่อซินหาแฟนแบบไหนมากันแน่?ไม่น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายมีครอบครัวแล้ว แต่เค่อซินก็ยังชอบเขามากเมื่อมองดูเย่เทียนหยู่ในขณะนี้ เธอก็มักจะรู้สึกเสมอว่าเขามีรัศมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปแตกต่างไปจากท่าทางธรรมดาตอนก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง มันเต็มไปด้วยเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนต้องถลำลึกในตัวเขาอย่างไม่อาจควบคุมในไม่ช้าทุกคนก็มองเห็นท่าทางผิดปกติของเกาเสียง และพวกเขาก็ตกใจมาก หรือว่านี่คือนายน้อยซูจริง ๆ เหรอโดยเฉพาะหลี่ว์เหมิง เธอไม่รู้จักซูเหวินฮวา เธอจึงทำได้แค่มองเกาเสียงด้วยความเหลือเชื่อ และพูดอย่างประหม่า “พี่เสียง พี่เสียง…”ในที่สุดเกาเสียงก็รู้สึกตัวจากความตื่นตระหนก และคุกเข่าลงพร้อมกับเสียงดังตึงขาของเขาอ่อนฮวบ เขาหวาดกลัวจริง ๆ“ค…คุณชายเย่ ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว!”“ผมขอโทษ ผมมันตาบอด ผมไม่ควรทำให้คุณขุ่นเคือง ได้โปรดอย่าถือสาผมเลย”เย่
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป