โดยครั้งนี้หลิวซือซือไม่ได้พูดอะไรเลย เห็นได้ชัดว่าเธอตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก"ยอมรับก็ดีแล้ว งั้นต่อไปผมแจ้งกฎข้อกำหนดเลยก็แล้วกันนะ""อย่างแรก แม้ว่าผมจะเป็นหัวหน้าของพวกคุณ แต่ผมไม่มีเวลาควบคุมดูแลพวกคุณ ดังนั้น จากนี้เป็นต้นไป หลิวสุ่ยจะรับหน้าที่ดูแลควบคุมพวกคุณแทนผม""คำพูดของเขา ก็คือคำพูดของผม เข้าใจกันนะ?"เย่เทียนหยู่พูดอย่างสบายๆ ว่าเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว หลิวสุ่ยก็ตะลึงงันไปทันที เขาขยับริมฝีปากเล็กน้อย เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่กลับถูกเย่เทียนหยู่ขัดจังหวะเสียก่อน แล้วพูดว่า "ไม่ใช่ว่าคุณไม่เข้าใจการขายสักหน่อย คุณทำงานเต็มที่ก็โอเคแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรหรอก มีผมสนับสนุนอยู่แล้วนะ""ครับ หัวหน้าเย่ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ" หลิวสุ่ยพูดด้วยสายตาที่แน่วแน่ เขาสำเร็จการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยหลักชื่อดัง เพียงแต่ไม่มีประสบการณ์การทำงานเท่านั้น ประกอบกับนิสัยที่ขี้อาย ก็เลยไม่ได้มีโอกาสแสดงความสามารถอะไรออกมา"เอาล่ะ พวกคุณมีความคิดเห็นอะไรหรือเปล่า?""ไม่มีค่ะ!"ทุกคนต่างก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง แต่ในใจเห็นได้ชัดว่ามีความคิดเห็นอะไรบางอย่างอยู่พวกเ
อะไรนะ เมื่อคำพูดนี้ได้โพล่งออกมา ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน และไม่กล้าเชื่อหูของตัวเองเสียด้วยซ้ำ"หัวหน้าเย่คะ คุณกำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า?"จางเหยียนอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็จับจ้องมาที่เย่เทียนหยู่อย่างไม่กะพริบเช่นกัน เพราะมันเกินความคาดหมายเกินไปเพราะท้ายที่สุดแล้วในฐานะหัวหน้ากลุ่ม ค่าคอมมิชชันนั้นไม่น้อยเลย โดยเฉพาะหัวหน้ากลุ่มที่มีหน้าที่รับผิดชอบเท่ากับผู้จัดการแบบนี้และพวกเขาก็ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเพื่อการแข่งขันเงินจำนวนมากขนาดนี้ หากดึงออกไป เขาจะหากำไรจากไหน อาศัยแค่เงินเดือนขั้นพื้นฐานน่ะเหรอ?"คุณคิดว่ายังไงล่ะ?""ในเมื่อฉันพูดแบบนี้แล้ว ฉันก็ต้องทำได้อยู่แล้ว!" เย่เทียนหยู่พูดอย่างสบายๆ ออกมา"แล้วเงินเดือนของคุณล่ะ?""เงินแค่นิดเดียวแบบนั้น ฉันยังดูแคลนเลยนะ!""แต่โบนัสนี้ จะถูกแบ่งให้กับทุกคนเท่าๆ กัน!""แบ่งเท่าๆ กัน?"จางเหยียนตกตะลึง นี่มันเป็นการเหมารวมชัดๆ มันไม่สมเหตุสมผลเลย มันไม่ควรจัดลำดับการแข่งขัน เพื่อให้ทุกคนพยายามทำยอดหรอกเหรอ?"ถูกต้อง ผมรู้ว่าบางคนอาจจะไม่เข้าใจ แต่เราเป็นทีมเดียวกัน พวกเราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกั
ไม่ว่าจะเป็นกฎข้อกำหนดที่คาดไม่ถึงเหล่านั้น หรือการตรวจสอบที่เขาทำกับเฉินฮุย ทุกอย่างทำให้เธอประหลาดใจ หากเปลี่ยนเป็นเธอคงทำอย่างนั้นไม่ได้แน่นอนหลิวเหวินมาที่ห้องทำงาน และบอกเรื่องนี้กับหลินหว่านหรูอีกครั้งเธอกำลังคิดว่า เป็นประธานหลินหรือเปล่าที่ทำการตรวจสอบเฉินฮุย โดยควบคุมเรื่องนี้จากระยะไกลแต่เมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลินหว่านหรูก็ตกตะลึงด้วยเช่นกัน เพราะเรื่องของเฉินฮุยนั้น เธอก็ไม่รู้อะไรเหมือนกันยิ่งไปกว่านั้น เย่เทียนหยู่ยังกำหนดกฎต่างๆ ที่คาดไม่ถึงมามากมายขนาดนี้ด้วย ช่างเจ้าแผนการจริงๆ โดยกฎทุกข้อนั้นแม้แต่เธอเองก็รู้สึกประหลาดใจมากและคงไม่ต้องพูดถึง การที่เย่เทียนหยู่สามารถควบคุมกลุ่มสองจนทำให้ทุกคนยอมจำนนแบบนี้ได้เพียงแค่การประชุมครั้งเดียวแบบนั้นต่อไป ก็คงต้องดูที่ผลของงานเสียแล้วเมื่อหลิวเหวินรู้ว่าทุกอย่างเป็นเย่เทียนหยู่ที่ทำด้วยตัวเอง เธอก็แอบถอนหายใจ เย่เทียนหยู่คนนี้ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า "ท่านประธานหลินคะ เย่เทียนหยู่เป็นอาวุธลับที่คุณใช้ต่อสู้กับคนพวกนั้นหรือเปล่าคะ?"หลินหว่านหรูชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ฝืนยิ้มออกมา อาวุธ
เมื่อได้ยินดังนั้น เย่เทียนหยู่ก็ไม่ได้ตอบโดยตรง เพียงแต่ถามกลับไปว่า "ถ้าผมบอกคุณว่า ผมได้ตรวจสอบคนทั้งบริษัทแล้ว คุณจะเชื่อหรือเปล่า?""คุณคิดว่ายังไงล่ะ คุณว่าฉันจะเชื่อคุณไหมล่ะ?"หลินหว่านหรูกลอกตามองบนให้กับเย่เทียนหยู่ พร้อมกับพูดว่า "โอเค อย่าล้อเล่นแบบนี้ พูดจริงๆ นะ""อ้อ!""จริงๆ แล้วมันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นแหละ ผมมีเพื่อนที่รู้เรื่องนี้นิดหน่อยน่ะ ประจวบเหมาะกับการที่ผมจะไปรับตำแหน่งที่กลุ่มหนึ่งพอดี ก็เลยใช้มันเสียเลยน่ะ"เย่เทียนหยู่ทำได้เพียงแค่สร้างเหตุผลขึ้นมาอีกเท่านั้น"ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ไม่พูดก็ต้องพูดนะว่า คุณช่างโชคดีจริงๆ มีคนมาคอยช่วยเหลืออีกครั้งเลย""ก็ใช่น่ะสิ แต่คนที่มีบุญคุณกับผมมากที่สุดก็คือคุณ หากไม่มีคุณ ไหนเลยผมจะเข้ามาในบริษัทได้ และยังได้อยู่อย่างสุขสบายแบบนี้อีก" เย่เทียนหยู่พูดติดตลกแต่หลินหว่านหรูกลับจริงจัง พร้อมพูดอย่างเย็นชาว่า "รู้ก็ดีแล้ว อยู่ในบริษัทก็ตั้งใจทำงาน อย่าสร้างเรื่องสร้างราวมาให้ฉันอีกล่ะ""ไม่หรอกนะ""งั้นก็ดีแล้ว พอดีเลยตอนนี้คุณไม่มีธุระอะไรใช่ไหม กลับไปบ้านกับฉันหน่อยสิ" หลินหว่านหรูพูดขึ้นมา"หือ คุณข
"เรื่องอะไร เรื่องอะไร ก็ต้องเป็นเรื่องการหาคู่ครองให้หนูน่ะสิ หนูรู้หรือเปล่าว่าคุณชายกงซุนนั้นโดดเด่นแค่ไหน หากถูกไอ้สวะนี้ทำลายแล้วละก็ หนูจะต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าอย่างแน่นอน"หลิวอวิ๋นซิ่วพูดด้วยความโกรธที่แท้ก็กำลังหาคู่ครองให้กับเธอนั่นเอง มิน่าล่ะถึงได้ไล่ตะเพิดเย่เทียนหยู่ออกไปแบบนี้หลังจากที่เข้าใจแล้วนั้น หลินหว่านหรูก็ได้พูดตำหนิออกไปว่า "แม่คะ ใครให้แม่หาคู่ครองให้หนูล่ะคะ? หนูบอกกับแม่แล้วไม่ใช่หรือว่า หนูยังไม่คิดเรื่องนี้""ยังไม่คิด หนูรู้หรือเปล่าว่าตัวเองอายุเท่าไหร่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะขึ้นเลขสามแล้วนะ"หลิวอวิ๋นซิ่วพูดว่า "แม่ไม่สนหรอกนะ ยังไงวันนี้ลูกก็ต้องดูแลแขกให้ดี ไม่อย่างนั้นแม่จะตายให้ดู หนูวางใจได้เลยนะ คุณชายกงซุนคนนี้ดีมากๆ เลยล่ะ"หลินหว่านหรูหมดหนทาง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า "เข้าไปแล้วค่อยว่ากันเถอะค่ะ"เมื่อได้ยินดังนั้น หลิวอวิ๋นซิ่วก็ไม่สามารถหยุดเย่เทียนหยู่ไม่ให้เข้าไปได้ จึงได้แค่เตือนขึ้นมาว่า "เย่เทียนหยู่ ฟังฉันให้ดีๆ นะ เดี๋ยวต้องพูดว่าตัวเองเป็นบอดี้การ์ดของหว่านหรู ไม่อย่างนั้นละก็ อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจก็แล้วกัน"เย่เทียนหยู่กลับยิ้มๆ แล้ว
หลิวอวิ๋นซิ่วเห็นทั้งสองคนคุยกัน ในใจมีความสุขมากเสียจนรีบเดินเข้าไปดึงเย่เทียนหยู่ที่เพิ่งเดินเข้ามาให้ออกไปอีกทางเย่เทียนหยู่ถูกจับเอาไว้แน่นจะสะบัดออกก็ไม่ได้ ถ้าหากรอจนเธอลงไปนอนที่พื้นแบบนั้นก็น่าอับอายแย่ และดูจากนิสัยของหลิวอวิ๋นซิ่วแล้วเธอสามารถทำแบบนั้นได้จริงๆ“เย่เทียนหยู่ดูสิ คนที่เก่งอย่างคุณชายตระกูลกงซุนถึงจะเหมาะเป็นสามีของหลินหว่านหรู ถ้าเป็นคนแบบนายเนี่ยแค่จะเป็นคนถือรองเท้าให้ยังไม่เหมาะเลย”หลิวอวิ๋นซิ่วพูดเสียงเรียบเย่เทียนหยู่ไม่ได้โมโห แต่พูดเสียงเรียบเช่นกัน “ครึ่งเดือนก่อนหน้าคุณก็แนะนำหลิวเจี๋ยแบบนี้ แล้วตอนนี้หลิวเจี๋ยไปไหนซะแล้วล่ะครับ?”คำพูดนี้ทำเอาหลิวอวิ๋นซิ่วโมโหจนแทบจะบ้า “ก็หลิวเจี๋ยเขาแสดงเก่งจนเกินไป ถ้าไม่อย่างนั้นฉันดูออกตั้งแต่แรกแล้ว”“ถ้าอย่างนั้นคุณจะรู้ได้ยังไงว่าคุณชายกงซุนคนนี้ไม่ได้แสดงเหมือนกัน?” เย่เทียนหยู่ถามกลับ เพราะถ้าจำไม่ผิดจากข้อมูลที่อ่านมา ตระกูลกงซุนเองก็ไม่ได้เป็นตระกูลที่ดีอะไรนัก“เขาต้องไม่แสดงอยู่แล้ว คุณชายกงซุนดูแล้วก็น่าเกรงขาม มีมารยาทและยังดูเข้าถึงง่ายอีกด้วย”“แล้วหลินเจี๋ยก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นแบบนี้หรือไ
ดูท่าแล้ว หมอนี่คงไม่ได้เรื่องทั้ง ๆ ที่มีภรรยาสวยล่มเมืองขนาดนี้แต่กลับไม่ได้ทำอะไรเป็นคนไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง!การที่ต้องลดตัวลงมายื้อแย่งกับคนไร้ประโยชน์แบบนี้ มันทำให้เขาดูต่ำต้อยไปด้วยแต่ก็เพื่อคนสวยคนนี้ เขาทำได้แค่เพียงทำตัวเป็นปลาใหญ่กินปลาเล็ก แล้วก็จัดการไอ่คนไร้ประโยชน์คนนี้หน่อยแล้วกันแต่ต่อหน้าเธอก็ยังคงต้องรักษาท่าทางไว้ก่อน กงซุนจื้อยิ้มอ่อนๆ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่เก่งรอบด้านแบบประธานหลิน คุณชายเย่ก็ยอมปล่อยมือ ผมอดจะตกใจไม่ได้จริงๆ““เขาอยากจะตัดใจที่ไหนล่ะ เป็นเพราะว่าพวกเราไม่อยากได้เขาก็เท่านั้นเอง เขาเหมาะกับหว่านหรูที่ไหนกันล่ะ ก็มีแค่คนหนุ่มๆอย่างคุณชายกงซุนนี่แหละถึงจะเหมาะกันกับหว่านหรู“หลิวอวิ๋นซิ่วรีบพูด“ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าหลิวเจี๋ยหรอกหรอที่เหมาะสมที่สุด?” เย่เทียนหยู่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะถามกลับหลิวเจี๋ยอีกแล้ว หลิวอวิ๋นซิ่วเกือบจะแสดงท่าทีโมโหออกมา“หลิวเจี๋ยคือใครครับ?”กงซุนจื้ออดไม่ได้ที่จะถามออกมาอย่างสงสัยหลิวอวิ๋นซิ่วรีบอธิบาย “เป็นแค่คนที่เคยตามจีบหลินหว่านหรูเมื่อก่อน แต่ว่าวางใจได้เลยค่ะ หว่านหรูไม่สนใจเขาด้
“ทำไมเมื่อกี้ดูอารมณ์ดีแต่ตอนนี้เหมือนไม่มีความสุขแล้วล่ะ?”เย่เทียนหยู่เป็นคนช่างสังเกต แค่มองก็รู้แล้วว่าอารมณ์ของหลินหว่านหรูเปลี่ยนไป“เกี่ยวอะไรกับนายล่ะ!”หลินหว่านหรูตอบอย่างอารมณ์เสีย ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องหย่าเลย“คุณเป็นภรรยาของผม จะไม่เกี่ยวกับผมได้ยังไง?”“ใครบอก นายอย่าลืมนะว่าใกล้ถึงวันที่เราจะหย่ากันแล้ว พอถึงตอนนั้นเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน”“แค่นี้เองหรอ? ทำไมเร็วขนาดนี้ล่ะ เราไม่หย่ากันได้ไหม?”เย่เทียนหยู่ถามส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะท่าทีของหลินหว่านหรูในวันนี้ได้ใจของเขา โดยเฉพาะตอนที่แนะนำเขาให้กงซุนจื้อรู้จัก มันทำให้เขาสบายใจมากหลินหว่านหรูฟังจบในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด มุมปากอดจะยกยิ้มไม่ได้ แต่กลับพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “หึ ฝันไปเถอะ!”“มันก็ต้องฝันบ้างสิ ไม่อย่างนั้นจะอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุขได้ยังไง”“เอาเถอะ เรื่องนั้นถึงเวลาค่อยคุยกันพวกเราไปหาที่ทานข้าวกันก่อนเถอะ”ยังจะพูดอีก แบบนี้ก็เห็นได้ชัดเลยว่าหลินหว่านหรูไม่อยากหย่า เย่เทียนหยู่เองก็รู้สึกดีใจ ก่อนจะยิ้มออกมา “ได้สิ ผมรู้จักร้านนึงอยู่ รสชาติดีใช้ได้เลย เดี๋ยวผมพาไปลองชิม
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป