“ข้าเป็นห่วงเจ้า”“ข้ามิใช่เด็กอมมือ ที่จะมองความในใจของท่านไม่ออก เอาเป็นว่าหากจบเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ข้าจะมิปฏิเสธความรู้สึกที่ท่านเพียรพยายามมอบมันให้แก่ข้ามานาน ดีหรือไม่”จ้าวอวิ๋นได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะเบา ๆ ด้วยความขัดใจ หากเขาตอบว่าไม่ นั่นเท่ากับเขาปิดประตูแห่งโอกาสของตัวเอง แต่ถ้าปล่อยหญิงสาวไปก็เกรงจะมีภัย ร่างสูงหลับตานิ่งเพื่อทบทวนทุกอย่างก่อนตัดสินใจ‘ฉลาดสร้างข้อแลกเปลี่ยนเสียเหลือเกินแม่ตัวแสบ เห็นทีต้องยอมเสี่ยงดูสักครา’“ได้…ข้าตกลงให้เจ้าติดตามคนของข้าไป แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อเจ้ากลับมาต้องแต่งเข้าสกุลจ้าว อ๊ะ ๆ อย่าแม้แต่จะคิดหนีไปโดยมิบอกกล่าว เพราะข้ามิได้ใจดีเช่นหน้าตา เจ้ายังไม่รู้จักข้าดีพอ”“คุณชายจ้าว ข้าเสมือนเด็กน้อยมิทันหย่านมกระนั้นเลยรึอย่างไรกัน ถึงได้มาสร้างข้อแม้เสมือนคนปัญญาอ่อนเช่นนี้”“จะ…เจ้า ถงม่งเหยา!”“มิต้องกลัวลืมชื่อข้าจนต้องเสียงดังขนาดนั้น ข้ายืนอยู่ห่างท่านเพียงมิกี่ก้าว จะเสียงดังไปไย”ทุกคำพูดของหญิงสาวทำให้ผู้ติดตามที่เฝ้าประตูอยู่ด้านนอก ถึงกับอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน ทั่วหล้าคงมีเพียงหญิงสาวผู้นี้ที่กล้ากล่าวหาผู้เป็นนายของพวกเขาว่าเป็นดั่งเ
ร่างในชุดดำถึงกับดวงตาเหลือกถลนแทบหลุดออกมาข้างนอก ที่อยู่ ๆ แผ่นหลังของเขากลับถูกอาวุธบางอย่างพาดผ่านอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญไปกว่านั้น ไยเขาจึงมิอาจรับรู้ได้ถึงการโจมตีจากทางด้านหลังร่างสูงหันกลับไปมองถึงที่มาของสาเหตุ เมื่อเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันจากท่านหญิงโม่ แม้เพียงเสี้ยวของใบหน้างาม มันทำให้ความคลั่งแค้นปะทุขึ้นมาจนถึงขีดสุด“ช่างน่าอายนักที่ลอบกัดจากด้านหลังประหนึ่งสุนัข”ชายชุดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปหาท่านหญิงสกุลโม่แทน ทว่า ร่างสูงกลับมิทันได้เคลื่อนกายไปยังเป้าหมาย เขากลับถูกฉุดรั้งเอาไว้ด้วยแส้ทองเสียก่อน“ในสนามรบ บางครั้งเราต้องยอมเป็นผู้ร้าย ปลดความเป็นผู้ผดุงคุณธรรมออกเสียบ้าง พวกเจ้ามีนับสิบชีวิต แต่พวกข้ามีเพียงสตรีบอบบางแค่สองคน การทำเช่นนี้ถือว่ามิผิดอันใดสักนิด เจ้าต่างหากที่น่าอับอายกว่าสิ่งที่ท่านหญิงโม่กระทำเสียอีก”“หุบปาก มิเช่นนั้น ข้านี่แหละจะมิเพียงตัดหัวเจ้าไปให้แก่ท่านแม่ทัพใหญ่ แต่จะเอาหัวแม่ของเจ้าไปเป็นของบรรณาการเพิ่มเติมด้วย ฮา ๆ”“พูดได้ดี”เมี่ยวจ้านพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะสะบัดแส้ให้หลุดออกจากกายของศัตรู ทั้งสองยืนประจั
แส้เส้นยาวสะบัดออกไปถูกร่างของคนที่ขวางทางนางอยู่ ทว่ามันทำได้เพียงให้อีกฝ่ายผงะถอยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมี่ยวจ้านอาศัยจังหวะนี้ตวัดแส้ไปยังกิ่งไม้ที่อยู่ในระยะที่ปลายแส้ไปถึง ก่อนที่มือบางจะรีบคว้าจับข้อมือของโม่ฟางเล่อ ทั้งสองใช้วิชาตัวเบาเหินกายขึ้นเพื่อออกจากวงล้อมแต่ทว่า…หมับ! ข้อเท้าบางของโม่ฟางเล่อกลับถูกคว้าจับเอาไว้ได้ก่อนที่จะหลุดพ้นออกจากวงล้อมตุบ! โม่ฟางเล่อสะบัดมือข้อมือออกจากการเกาะกุมของว่าที่พี่สะใภ้“ไปซะ…มิต้องห่วงข้าพี่เมี่ยวจ้าน ท่านต้องรอดไปให้ได้”เมี่ยวจ้านไม่สนใจคำพูดของโม่ฟางเล่อ หญิงสาวพุ่งเข้าช่วยน้องสาวคนรักอย่างรวดเร็ว ความดุดันของเมี่ยวจ้าน หากเป็นในสนามรบแล้วนั้น ข้าศึกต่างยำเกรงในฝีมือของนาง ทว่า กลุ่มคนตรงหน้ากลับมิรู้สึกสะท้านแม้แต่น้อย เสมือนกับว่าคนเหล่านี้ไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ ก็มิปานต่างจากฟางเล่อที่จิตวิญญาณของนางมาจากอีกโลกหนึ่ง จึงทำให้พอจะคาดเดาถึงอาการของศัตรูได้ แต่นางไม่อาจอธิบายถึงสิ่งที่รู้มาให้แก่คนในมิตินี้รับรู้ได้ นางเห็นขณะที่ศัตรูกลืนกินบางอย่างลงไป มิช้านาน ทุกคนก็เริ่มมีอาการอย่างที่เป็นในตอนนี้ หากวันนี้มีโอกาสรอด น
“หากท่านกับข้ารอดพ้นจากความตายในครานี้ ข้าจะมิปิดบังท่านแม้แต่น้อยท่านอ๋อง สิ่งที่ข้าน้อยขอจากท่านในเวลานี้คือ อยู่นิ่ง ๆ ที่เหลือให้เป็นข้าและคนของท่านจัดการเสีย”ชายชุดสีน้ำเงินเหลือบมองไปด้านข้าง เห็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มาใหม่ตรงมายังคนที่เขาปกป้องอยู่ ร่างสูงจึงได้ก้าวอ้อมเพื่อขวางทาง เขามิอาจวางใจผู้ใดได้ หนอนบ่อนไส้มีมากในฝ่ายของสกุลโม่ ผู้ที่ก้าวมาใหม่อาจแอบแฝงตัวมาเพื่อเก็บกวาดงานก็เป็นได้กระบี่ยาวชี้ตรงไปยังชายตรงหน้า ทำให้อีกฝ่ายหยุดนิ่งห่างอยู่เพียงปลายกระบี่เท่านั้น ดวงตาของทั้งคู่สบกันด้วยความระแวดระวัง“ข้าคือคนจากนายท่านสกุลจ้าว เดินทางเพื่อมารับคณะของท่านอ๋องน้อยกลับสู่เมืองหลวง”“เจ้าอาจเป็นคนมาจากสกุลจ้าวจริง แต่ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะสัตย์ซื่อต่อคนสกุลโม่”“เจ้าเป็นผู้ใดกัน ไยกล้าพูดจาเช่นนี้ออกมา หากข้าหมายจะทำร้ายท่านอ๋องน้อยจริง คงมิคิดจะเปิดเผยตัวเช่นนี้”“หึ ๆ ข้าอยู่กับความตายมาทั้งชีวิต เจ้าคิดว่าการเก็บกวาดแบบใดมันสมจริงกว่ากัน ระหว่างลอบกัดกับเปิดเผย หากเจ้าหมายจะทำดั่งเช่นข้าพูดจริงแล้วนั้น เวลานี้เป็นโอกาสที่ดีกว่ามิใช่รึ หรือข้าคิดผิดไป”“มิผิด หากต
ลึกเข้าไปในป่าอีกด้านขุนพลเช่นม่อตูถึงกับกระอักเลือดออกมาคำโต แม้ตอนนี้ พวกเขาทุกคนยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่เมื่อศัตรูเสมือนผู้มิรู้จักความตาย พวกเขาก็แทบสิ้นเรี่ยวแรงที่จะต่อกร ใจก็ยังพะวงห่วงผู้เป็นนาย แต่หากพุ่งติดตามหาในเวลานี้ก็เท่ากับนำกลุ่มคนร้ายที่พวกเขาต่อกรอยู่ไปร่วมสมทบกับคนของพวกมัน ยิ่งจะเป็นการเพิ่มความลำบากและอันตรายให้แก่เจ้านายทั้งสองเข้าไปอีก“ล่อพวกมันไปอีกด้าน”ม่อตูเอ่ยกับผู้ติดตามที่เหลือ แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีจำนวนคนที่มิแตกต่างกันนักกับพวกเขา ทว่า คนเหล่านั้นกลับไม่รู้จักคำว่าเจ็บปวด ไหนจะดวงตาอันแดงก่ำนั่นอีกเล่า จะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไรกัน‘หรือพวกมันจะเป็นปีศาจ’“ท่านเมี่ยวจ้านไปทางทิศใต้ของป่า เราจะไปตรงกันข้ามจะดีหรือไม่ขอรับ ท่านม่อตู”หนึ่งในผู้ติดตามเอ่ยเบา ๆ เมื่อได้รับคำสั่งให้ลอบสำรวจเส้นทางในขณะที่คนอื่นกันศัตรูมิให้ทันได้สังเกตสิ่งที่เขาทำ“อืม…ครั้งนี้ พวกเราอาจไม่รอดก็เป็นได้ พวกเจ้าพร้อมใจที่จะทำรึไม่ หากมิเต็มใจจงจากไปเสียตั้งแต่ตอนนี้”“ลมหายใจของพวกเรามอบให้แก่ท่านเมี่ยวจ้านนับตั้งแต่ก้าวเข้ามารับใช้ราชวงศ์แล้วขอรับ อย่าได้มองว่าคนเช่นพวก
ถงเหยียนเจี๋ยก้าวเข้าไปยังลานนองเลือดเพื่อสำรวจหาร่องรอยของภรรยาและเมี่ยวจ้าน ใจของชายหนุ่มนั้นบอกไม่ได้ว่าอยากโห่ร้องหรือร่ำไห้ดี เพราะตราบใดที่ยังมิเห็นใบหน้างามของภรรยา เขาก็มิอาจวางใจได้ว่านางปลอดภัยหรือไม่เขามิอาจรู้ได้ว่าคนร้ายมีมากน้อยเพียงใด แล้วจะเป็นไปได้หรือที่หญิงสาวทั้งสองจะสามารถกำจัดคนทั้งหมดนี้ลงได้ เพราะแม้แต่พวกเขาที่เป็นบุรุษเองยังแทบรักษาลมหายใจเอาไว้มิได้เลย แล้วพวกนางเพียงสองคนจะรับมือได้ไหวอย่างไรกัน“มีคนมาช่วยพวกนางอย่างแน่นอน”“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน ในเมื่อคนของเมี่ยวจ้านก็อยู่กับพวกเราในตอนนี้แล้ว”“รอยแผลอย่างไรเล่า หากเป็นอาวุธของพวกนาง มีหรือจะเป็นรอยของดาบ หากตามลำตัว ข้ามิเถียงว่าเป็นฝีมือพวกนาง แต่คนที่บั่นคอพวกมันมิใช่นางทั้งคู่เป็นแน่”ถงเหยียนเจี๋ยย่อกายลงสำรวจตามคำพูดของชายชุดสีน้ำเงิน สายตาของชายหนุ่มเห็นชัดตามคำพูดของอีกฝ่าย แน่นอนว่าตามร่างกายของศพนั้นเป็นร่องรอยของอาวุธประจำกายของภรรยาและเมี่ยวจ้าน แต่เหนือลำตัวขึ้นมาที่ลำคอนั้นมันมิใช่ เขารู้ดีว่าหญิงสาวทั้งสองมีมีดสั้น แต่ก็มิสามารถบั่นคอผู้ใดให้ขาดในคราเดียวได้‘เช่นนั้นแล้วเป็นฝีมือผู้ใดกัน
กั่วเต๋อเฟยมองตามร่างสูงของขันทีเฒ่าไปจนสุดสายตา มุมปากบางยกขึ้นน้อย ๆ‘คนผู้นี้ล้ำลึกเกินไปแล้ว สมแล้วที่เป็นดั่งมือขวาของโม่เหยียนเฉา’ เมื่อนึกถึงพระสวามีในนามของตนเอง ก็พานให้ใบหน้างามแดงระเรื่อขึ้นอย่างมิอาจห้ามเอาไว้ได้ มีสตรีใดบ้างที่กล้าปฏิเสธในรูปร่างหน้าตาของฮ่องเต้แห่งชีเป่ย คราแรก นางคิดว่าเขาจะเป็นบุรุษสูงวัยที่อ้วนท้วน หนวดเครารุงรัง แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อเหลามิสมวัยของเขา นางก็เกิดความชื่นชมภายในใจอยู่ไม่มิน้อย“พระนางเพคะ ไยฮ่องเต้ทรงรับสั่งเช่นนี้เล่าเพคะ ถึงอย่างไร พระนางก็เป็นถึงองค์หญิง ตามจริงแล้วมิต้องทรงออกไปต้อนรับหลิวกุ้ยเฟยก็ย่อมได้นะเพคะ”นางกำนัลข้างกายเอ่ยด้วยความไม่พอใจเท่าใดนัก เสมือนกับว่าเวลานี้ เจ้านายของนางมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ทั้งยังกำลังถูกรังแกอย่างไรอย่างนั้น“ระวังคำพูดของเจ้าเอาไว้ด้วย ถึงที่นี่จะเป็นตำหนักของข้า ใช่ว่าคนทั้งหมดจะเป็นของข้าเสียเมื่อไหร่กัน ในเมื่อฝ่าบาทต้องการให้ข้าต่อกรกับพระสนมเอกของพระองค์ ข้าก็จะสนองตอบพระประสงค์อย่างมิขาดตกบกพร่อง เจ้าเองก็ทำอย่างที่ข้าเคยบอกเอาไว้บ้าง เพราะเวลาของเราใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว”“เพคะ”‘ข้าจ
สองพี่น้องดื่มด่ำกับการร่ำสุราทั้งยังวางแผนการรับมือศัตรูไปด้วย ห่างออกไปมิไกลมีร่างแฝงอยู่บนต้นไม้ เขามีหน้าที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของคุณชายใหญ่จากสกุลจ้าวนับตั้งแต่ก้าวลงลงจากเรือ‘ความเจ้าสำราญเป็นเพียงฉากบังหน้าจริง ๆ เสียด้วยสิ’ ทั้งยังได้พบเจอคนที่มิคาดฝันอย่างจ้าวหมิงเยว่ แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าชัดเจนมากนัก แต่มิใช่เรื่องยากอันใดที่เขาจะออกติดตามเป้าหมายต่อไปที่เขาจะติดตามคงเป็นที่พึงพอใจของท่านผู้นำเป็นแน่ การที่ลูกหลานสกุลจ้าวรวมตัวกัน ทั้งยังลักลอบวางแผนกันอย่างลับ ๆ ย่อมเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของท่านผู้นำอยู่มาก แต่สิ่งที่ท่านผู้นำมิเคยพลาดคือเรื่องของจ้าวอวิ๋นที่ตบตาทุกคนว่าไร้สามารถ ทว่าแท้จริงก็มีฝีมืออยู่มิน้อยเลยทีเดียว หากนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่ท่านผู้นำ อนาคตของเขาย่อมต้องก้าวหน้ามิใช่น้อยบนต้นไม้ถัดออกไปไม่กี่ต้น มีร่างของชายหนุ่มสองคนยืนส่ายหน้าไว้อาลัยให้กับคนสอดแนมของศัตรูที่ได้หลงเข้ามาในบ่วงการแสดงของคุณชายใหญ่จ้าวอวิ๋น‘เจ้าคนเขลาเอ๊ย…มิคิดบ้างหรืออย่างไร ว่าผู้ใดจะมาปรึกษาแผนการสำคัญเสียงดังลั่นป่าเช่นนี้กัน’เสียงหัวเราะอย่างรื่นเริงของสองพี่น้อง ช่างเ
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ
สิบวันถัดมา ณ ตำหนักเก่าฮองเฮาจ้าวเหลียนร่างสูงนอนเหยียดยาวโดยรอบกายนั้นมีหินร้อนวางไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น ไอเย็นของโม่คังแม้จะถูกสกัดเอาไว้โดยผู้เป็นอาจารย์ แต่ยังมิใช่ว่าภายในของเขาจะกลับมาเป็นปกติ จนถึงเวลานี้ โม่คังยังไร้วี่แววจะรู้สึกตัว และสิ่งที่ทุกคนนั้นเป็นกังวลกว่าคือหากโม่คังตื่นขึ้นมาพบว่าหรู่อี้หายไปจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้างตอนนี้ ภายในตำหนักทุกห้องมีคนเจ็บที่ยังไร้ซึ่งสติกันแทบทุกคน ยกเว้นเพียงโม่ฟางเล่อที่ออกติดตามสามีเดินทางไปยังเกาะดอกเหมย เพื่อส่งร่างของถงม่งเหยาตามคำขอของจ้าวอวิ๋น การสูญเสียของสองพี่น้องสกุลจ้าวทำให้โม่เหยียนเฉาและจ้าวเหลียนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสิ่งใดที่หลานชายขอมา เขายินดีที่จะมอบให้ทั้งสองสามีภรรยานั่งเฝ้าบุตรชายเพียงคนเดียว ตอนนี้ ผมของโม่คังจากดำสลวยกลับกลายเป็นขาวโพลนไปทั้งหัว ร่างกายที่เคยมีสีเลือด ตอนนี้ขาวซีดไร้สีสัน จ้าวเหลียนกุมมือของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยในตอนนี้นอกจากการตื่นของโม่คัง“อี้เอ๋อร์”โม่เหยียนเฉาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อคำแรกที่บุตรชายของเขาเอ่ยออกมาทั้งที่ดวงตายังปิดสนิทนั้นคือชื่อของคู่หมั้
จ้าวอวิ๋นคว้าร่างบางที่ล้มลงต่อหน้าเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะระเบิดพลังออกมาจนถึงขีดสุดด้วยอาการคลุ้มคลั่ง เสียงระเบิดยังเกิดขึ้นตามแรงอารมณ์ของชายหนุ่ม ทำให้ร่างของทหารฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้าหา แตกกระจายออก สิ้นใจในทันที ร่างสูงกอดร่างของหญิงสาวเอาไว้แน่น“ข้ารักท่าน จ้าวอวิ๋น ข้าระ…ระ…อึก!”“ข้ารักเจ้า ถงม่งเหยา ข้ารักเจ้า ได้ยินหรือไม่ เจ้าอย่าได้บังอาจทอดทิ้งข้าไปเช่นนี้ ม่งเอ๋อร์ อย่าทำกับข้าเยี่ยงนี้ อ๊ากกก!”ถงเหยียนเจี๋ยชาไปทั้งร่าง เมื่อได้ยินชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียว ร่างสูงพุ่งเข้าหาหยางซานซินเสมือนคนเสียสติ เพราะคนเช่นหยางซานซินที่ทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น มันพรากดวงใจของเขาไปเช่นนี้มิได้ น้ำตาของชายหนุ่มไหลเป็นทาง ยิ่งเมื่อนึกถึงอ้อมกอดและรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นน้องสาว ยิ่งทำให้ถงเหยียนเจี๋ยเปรียบดั่งพยัคฆ์บาดเจ็บที่สู้จนตัวตายเลยทีเดียวหย่งฉีพุ่งเข้าสังหารทหารที่ยังหลงเหลืออยู่รอบกายของจ้าวอวิ๋นและร่างของหญิงสาวในอ้อมแขน ร่างสูงสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูก เขาบกพร่องต่อหน้าที่จนได้ ปกป้องนายหญิงน้อยมิได้ เขาไม่สมควรมีลมหายใจอยู่ต่อไปเลยด้วยซ้ำจ้าวอวิ๋นพยายามโรยยาตามบาดแผลของ
“เจ้าจะยอมแพ้มิได้ โม่คัง เจ้าคือหนึ่งในสายเลือดสกุลจ้าว จงให้หัวใจนำพาพละกำลังในกาย เข้าใจหรือไม่ พี่อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจะต้องปลอดภัยน้องรัก พี่จะมิให้สิ่งใดพรากเจ้าไปจากพวกเราอีกแล้ว”ทุกถ้อยคำที่จ้าวอวิ๋นเอ่ยออกมานั้นเสมือนเสียงกระซิบอันไกลโพ้นสำหรับโม่คัง น้ำตาของบุรุษผู้เป็นนักรบไหลอาบสองแก้ม แม้จะมีลมหายใจกลับมาได้จากสิ่งที่หยางซานซินกระทำต่อเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ก็ใช่ว่าร่างกายที่เห็นนี้จะเป็นปกติสมบรูณ์ไม่ และตอนนี้ มันกำลังส่งผลต่อตัวเขาในยามคับขัน“เพื่อข้า พี่คัง! ทำเพื่ออี้เอ๋อร์สักครั้งเถิด!”หรู่อี้ที่รับมืออยู่กับหยางซานซินตะโกนก้องเรียกสติของชายหนุ่ม จ้าวอวิ๋นขบกรามแน่น เขาทำได้เพียงกวัดแกว่งป้องกันทหารที่พยายามโจมตีเขา ซึ่งมันมิน่าเป็นห่วงเท่าหญิงสาวผู้ที่ปกป้องเขากับน้องชายในตอนนี้เลย ร่างของหรู่อี้โชกไปด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น แต่นางกลับมิปริปากร้องโอดครวญแม้แต่น้อย ทุกถ้อยคำมีเพียงโม่คังเท่านั้นถงม่งเหยาพยายามอย่างมากที่จะฝ่าวงล้อมศัตรูเข้าช่วยเหลือหรู่อี้ ทว่า ตัวนางเองยังตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรูเช่นกัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดคลอหน่วยตาของใครหลายคน พวกเขาจะเก่ง
อุทยานหลวงโม่คังพร้อมด้วยชูถงยืนนิ่งมองไปยังบุรุษต่างวัยอีกสองคน ซึ่งมิได้มีแค่เท่าที่เห็น ทว่าเขาสองคนตกอยู่กลางวงล้อมของทหารกบฏนับสิบเลยทีเดียว ทั้งคู่ลอบสบตากันเป็นระยะ“เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด ชูถง ว่าคนอย่างเจ้ามันภักดีต่อโม่เหยียนเฉา ยากที่จะร่วมมือกับข้าหักหลังนายเจ้าได้”“แล้วอย่างไร…ที่ข้าช่วยเจ้าในวันนั้น ก็เพื่อให้มีวันนี้อย่างไรเล่า หากเจ้าตายไป แล้วใครจะพาข้ากลับเมืองหลวง…”ราชครูหลิวกำหมัดแน่น แต่ยังเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดออกมา เขารู้มาโดยตลอดว่าชูถงมิได้ต้องการที่จะร่วมมือตั้งแต่แรก การที่ยอมให้ร่วมในขบวนการ เพียงเพราะเรื่องของบุตรสาวและหลานชายที่ตายไปแล้วเท่านั้น หากจะกำจัดเสนาบดีผู้นี้เสียก็ย่อมทำได้ แต่ด้วยเจียงไห่เป็นเมืองที่ญาติผู้พี่มีอำนาจ เขาจะลงมืออันใดย่อมมิมีทางรอดพ้นสายตาคนเช่นหลิวไห่เป็นแน่“ฮา ๆ ไหน ๆ วันนี้ ทุกอย่างก็กระจ่างชัดแล้ว หนี้แค้นทั้งหมดก็มาชำระกันให้เสร็จสิ้นเถิด”“กับข้าสินะ”ในที่สุด โม่คังก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบเมื่อคำว่าหนี้แค้นหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย เขาไม่สนว่า ตอนนี้ หยางซานซินจะจดจำได้หรือไม่ว่าแท้จริงเขาคือใคร สนเพียงแค่วันนี้จะชำ
เลือดสีดำคล้ำพุ่งออกจากปากของพี่น้องสกุลโม่ ทำให้จ้าวเหลียนและมู่ตานขยับเข้าประชิดร่างของสามีตนเองด้วยความเป็นห่วง เวลานี้กลับกลายเป็นพวกนางเสียเองที่ตกอยู่สภาวะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เวลาคับขันเช่นนี้ ผู้ทรยศคือองครักษ์และทหารในวัง ย่อมไม่แปลกที่พวกนางจะไร้คนปกป้องฉึก! ฉับ! “อ๊ากก!”เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของศัตรูเรียกสายตาคนทั้งสี่ให้หันมอง ร่างสูงตระหง่านของบุตรเขยสกุลโม่ยืนหน้านิ่งไร้ความรู้สึก ทุกก้าวของชายหนุ่มนั้นดูเยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็งจากแดนเหนือก็มิปาน อาวุธในมือที่กวัดแกว่งออกไปทุกครานั้นจะต้องได้ดื่มเลือดของศัตรูถงเหยียนเจี๋ยในเวลานี้ยากที่ใครจะคาดเดาว่าเขารู้สึกเช่นไร ด้วยข้างกายของชายหนุ่มนั้นไม่มีภรรยาอยู่เคียง ความเยือกเย็นของเขาน้อยคนที่จะได้เห็น ไอสังหารพวยพุ่งออกมาจนจิ้งอ๋องถึงกับถอยร่นไปด้านหลัง เลือดที่หยดตามปลายอาวุธเสมือนการข่มขวัญศัตรู ชายหนุ่มมิได้หันมองไปยังครอบครัวของพ่อตา แต่ดวงตาเย็นชาจ้องมองอยู่ที่จิ้งอ๋องแต่ผู้เดียว“ผู้ใดที่คิดทำให้ภรรยาของข้าเศร้าหมอง มันผู้นั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”“ฮา ๆ ยามใดกันที่ข้าไปทำภรรยาของเจ้าเศร้าหมอง”จิ้งอ๋อ
นอกวังหลวง ณ หมู่บ้านอี้ฟึ่บ! ร่างในชุดดำเหินกายลงยังลานดินหน้ากระท่อมที่อยู่ห่างจากบ้านเรือนหลังอื่น ก่อนจะเร่งสาวเท้าเข้าไปด้านในด้วยอาการร้อนรน ทว่า คนด้านในกระท่อมกลับยังคงนิ่งเฉย“นายหญิง ข่าวจากองค์หญิงนั้นเงียบหายไปขอรับ ส่วนกองทัพของนางก็พ่ายแพ้หมดสิ้นแล้วขอรับ”มือบางกำแน่นวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา ฟังการรายงานข่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทำให้คนที่ร่วมห้องอยู่ด้วยรับรู้ได้ถึงไอสังหารที่กำลังพวยพุ่งออกจากร่างบอบบางของผู้เป็นนาย แต่เขายังจำต้องรายงานเรื่องทั้งหมดต่อไป มิอาจหยุดได้หากไม่ได้รับอนุญาต และจนกว่าเขาจะรายงานทุกอย่างให้หมดสิ้น“ต่อให้นางตาย เจ้าก็ต้องได้ศพนางกลับมา ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่”เอ่ยจบ ผู้เป็นนายก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ชายชุดดำทำเพียงโค้งคำนับก่อนจะหมุนกายจากไปภายในห้อง ร่างระหงก้าวตรงไปนั่งยังเตียง มือบางขยุ้มผ้าปูที่นอนด้วยความเจ็บร้าวอยู่ในอก สามีอันเป็นที่รักทำร้ายนางเพียงคนเดียวนั้นก็นับว่าร้ายกาจแล้ว นี่ยังทำกับบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางเพียงเพื่ออำนาจของตนอีก เขาไม่เคยสนใจเลยว่ากั๋วเชียงจะเจ็บปวดเพียงไรนางยอมเป็นพระชายาที่ตายแล้วในควา
ครั้งนี้มันกลับระเบิดเสียงดัง ทำให้มีบ้างที่ทหารอีกกลุ่มภายในโล่อื่นแตกกระจายกันออก มีทั้งบาดเจ็บมากน้อยตามแรงระเบิดที่ได้รับ จะมีเพียงโล่ที่ใช้ป้องกันผู้นำเท่านั้นที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ส่วนทหารที่มิได้ยกโล่ทำการเตรียมลูกศรเพื่อยิงเปิดทางให้แก่กองทัพของตนเอง เสียงโล่หนากระแทกพื้นเป็นจังหวะเพื่อให้ทหารที่อยู่ในเกราะกำบังแต่ละคนทำตามอย่างพร้อมเพรียงหลิวเจินเจินไม่อยากที่จะเสียเวลานานไปกว่านี้ และสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกระทำนั้นนางเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี คนของตงกำลังตกเป็นรอง นางไม่อยากที่จะให้เกิดการพลิกหมากกระดานนี้ มือบางยกขึ้นส่งสัญญาณให้ทำตามแผนการขั้นต่อไป‘เจ้าคงลืมไปว่าบิดาข้า สามีข้า แม้แต่บุตรชายหญิงของข้าคือแม่ทัพ’ แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก แต่คงมีฝีมือเฉพาะตนอยู่มิน้อย ไม่เช่นนั้น ฮ่องเต้ตงคงมิคิดกำจัดโดยการส่งมาเช่นนี้เป็นแน่ หรือไม่ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ต้องเกิดในสกุลที่เป็นปรปักษ์ต่อบัลลังก์สินะหลิวเจินเจินทำเพียงยืนมองเหล่าทหารต่างแคว้นที่ต้องเอาชีวิตมาสังเวยความต้องการของผู้เป็นนาย นางจะไม่ยอมยืนรอให้อีกฝ่ายตอบโต้ได้เป็นอันขาด หากจะว่านางโหดร้ายก็ไม่ผิด เพื่อปก
ชายชุดดำได้ส่งสัญญาณจากกำแพงเมืองให้กับกองทัพฝั่งตนรับรู้ ซึ่งดูเหมือนจะฉวยโอกาสในช่วงก่อนมีงานพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ครั้งนี้ไม่กี่วันคอยส่งทหารมือดีที่สุดของแคว้น มิว่าจะเป็นแม่ทัพนายกอง แฝงตัวเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านและเมืองรอบ ๆ เพื่อรอจังหวะเหมาะสมบุกยึดเมืองหลวง โดยมีคนในของชีเป่ยคอยปูทางเอาไว้ให้กองทัพจากแคว้นตงเคลื่อนพลในทันทีเมื่อได้รับสัญญาณจากคนด้านใน ประตูเมืองทั้งสี่ด้านตอนนี้มีกำลังในการป้องน้อยนิด เพราะถูกเกณฑ์เข้าไปช่วยปกป้องประตูวังหลวง ทั้งยังเป็นทหารฝั่งกบฏมากกว่าครึ่งทำให้ง่ายต่อการบุกโจมตี“คุณหนูพวกมันเคลื่อนไหวแล้วขอรับ”“อืม…ลงมือได้ จำไว้ว่าให้พวกมันเข้าไปให้หมด ค่อยจัดการ”ร่างระหงในชุดเกราะยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางกองทัพสกุลหลิวและกองกำลังจากสกุลหลง โดยมีหลงเป่าร่วมเป็นผู้นำในครั้งนี้ด้วย เมื่อแมวน้อยพากันหมายจะมาขโมยปลาถึงในบ้าน ก็จำต้องจับแมวตัวอ้วนมาลงทัณฑ์“ท่านน้า ลำบากท่านแล้ว”“เป่าเอ๋อร์ เพื่อพี่น้องของเรา คำว่าลำบากนั้นมิใช่สิ่งที่มีอยู่ในใจของข้า”“ขอรับ”เมื่อกองทัพจากต่างแคว้นเข้าสู่ประตูเมืองทั้งสี่ด้านจนหมดทุกคนแล้ว ซึ่งดูจะง่ายดายเสียเหลือเกินในสายตาของผ