สองพี่น้องดื่มด่ำกับการร่ำสุราทั้งยังวางแผนการรับมือศัตรูไปด้วย ห่างออกไปมิไกลมีร่างแฝงอยู่บนต้นไม้ เขามีหน้าที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของคุณชายใหญ่จากสกุลจ้าวนับตั้งแต่ก้าวลงลงจากเรือ‘ความเจ้าสำราญเป็นเพียงฉากบังหน้าจริง ๆ เสียด้วยสิ’ ทั้งยังได้พบเจอคนที่มิคาดฝันอย่างจ้าวหมิงเยว่ แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าชัดเจนมากนัก แต่มิใช่เรื่องยากอันใดที่เขาจะออกติดตามเป้าหมายต่อไปที่เขาจะติดตามคงเป็นที่พึงพอใจของท่านผู้นำเป็นแน่ การที่ลูกหลานสกุลจ้าวรวมตัวกัน ทั้งยังลักลอบวางแผนกันอย่างลับ ๆ ย่อมเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของท่านผู้นำอยู่มาก แต่สิ่งที่ท่านผู้นำมิเคยพลาดคือเรื่องของจ้าวอวิ๋นที่ตบตาทุกคนว่าไร้สามารถ ทว่าแท้จริงก็มีฝีมืออยู่มิน้อยเลยทีเดียว หากนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่ท่านผู้นำ อนาคตของเขาย่อมต้องก้าวหน้ามิใช่น้อยบนต้นไม้ถัดออกไปไม่กี่ต้น มีร่างของชายหนุ่มสองคนยืนส่ายหน้าไว้อาลัยให้กับคนสอดแนมของศัตรูที่ได้หลงเข้ามาในบ่วงการแสดงของคุณชายใหญ่จ้าวอวิ๋น‘เจ้าคนเขลาเอ๊ย…มิคิดบ้างหรืออย่างไร ว่าผู้ใดจะมาปรึกษาแผนการสำคัญเสียงดังลั่นป่าเช่นนี้กัน’เสียงหัวเราะอย่างรื่นเริงของสองพี่น้อง ช่างเ
“เจ้าชอบขัดใจข้านัก”“รู้จักโตเสียบ้าง หากดื่มแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะตอบทุกคนเช่นไรเล่า”“บอกว่าข้าตายในหน้าที่สิ!”“หากข้ายังหายใจ ท่านไม่มีสิทธิ์ตาย เข้าใจรึไม่”มิพูดเปล่า จิ่วอิงรวบเอากาสุรามาไว้ในมือก่อนจะโยนออกไปนอกหน้าต่างโรงเตี๊ยม ทำให้ผู้ติดตามถึงกับดวงตาเบิกกว้าง ด้วยสุราในกานั้นเป็นหนึ่งในสุราหายาก แม้เพียงจอกก็มีราคาสูงนับร้อยตำลึง แล้วคนสนิทขององค์รัชทายาทกลับโยนมันทิ้งประหนึ่งของไร้ราคาก็มิปาน‘ท่านจิ่วอิง ใจท่านทำด้วยสิ่งใดกัน ถึงได้อำมหิตต่อสุราดีเช่นนั้นเล่า’ ผู้ติดตามได้แต่รำพึงรำพันอยู่ภายในใจ“จะ…เจ้า นะ…นั่น มันแพงมากเลยนะ”“แล้วอย่างไร”จ้าวลี่ชิงมองไปยังทิศทางที่กาสุราลอยหายไป ซึ่งบัดนี้เหลือเพียงจอกสุราเอาไว้เป็นอนุสรณ์ให้นางดูเท่านั้น สองนายบ่าวได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ เมื่อมองสายตาของจิ่วอิงที่ดูหมือนเขาจะมิสบอารมณ์เท่าใดนักกับความอาลัยในสุราดีที่หายไปยังเบื้องล่างเมื่อครู่นี้“แขกที่อยู่ชั้นล่างคงรอเวลาอยู่สินะ ได้เวลาแล้ว เตรียมทุกอย่างให้พร้อม”“ขอรับ ข้าจะรีบจัดการ” ผู้ติดตามรีบก้าวออกจากห้องไปเพื่อทำตามคำสั่งซึ่งรู้กันอยู่ก่อนแล้วผ่านไปเพียงชั่วครู่ ผู้ติด
เวลาผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูป เสียงม้าตรงมายังทิศทางนี้ด้วยความเร็วทำให้องครักษ์บางส่วนขยับเข้าล้อมรอบตัวของกั๋วเต๋อเฟยเพื่ออารักขา ทว่าเมื่อพ้นโค้งมานั้น ม้าที่ควบมาอย่างรวดเร็วได้ชะลอให้ช้าลง ลู่กงกงบัดนี้ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของผู้เป็นนายที่ยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม“ทูลพระนาง เป็นม้าเร็วของขบวนเสด็จพระนางหลิวกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ” ลู่กงกงหมุนกายกลับมารายงานถึงคนที่มาใหม่ว่าเป็นใครสายตาของหญิงสาวมองเลยไปยังชายหนุ่มที่ควบม้าใกล้เข้ามา เรียวปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ ภายใต้ผ้าผืนบาง“ม้าเร็วของชีเป่ยดูสูงส่งมิน้อยเลยนะ ลู่กงกง”ลู่กงกงรู้สึกแปลกใจในคำพูดของกั๋วเต๋อเฟยจึงได้รีบหันกลับไปมองยังด้านหลัง ดวงตาของกงกงชราถึงกับเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่อยู่บนหลังม้า“ท่านแม่ทัพหยางซานหลาง”‘หยางซานหลาง อดีตเขยสกุลโม่อย่างนั้นรึ หึ ๆ รูปงามสมคำร่ำลือนัก’ องค์หญิงกั๋วเชียงลอบถอนหายใจเบา ๆ นางมักชื่นชมในบุรุษรูปงาม และหยางซานหลางผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นชายหนุ่มรูปงามที่หาตัวจับยากเสียด้วยหยางซานหลางลงจากม้า เท้าหนาก้าวตรงไปยังผู้ที่ก้าวออกมาหาเขาด้วยใบหน้าแตกตื่น สายตาดุดันมองเลยไปยังสตรีที่นั่
ตำหนักหลิวกุ้ยเฟยร่างระหงนั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลือง มือบางถือหวีหยกชั้นดีรูดไปตามเส้นผมเงางาม ยิ่งมองใบหน้าในกระจกยิ่งสะท้อนใจจนแทบกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใจของนางแหลกเหลวมิเป็นชิ้นดี คนสกุลโม่ต้องชดใช้ทุกอย่างให้แก่นาง“เจ้ากระทำนอกเหนือคำสั่งของข้า หลิวเมิ่งชี”ดวงตาหงส์หรี่ลง นางรู้มาก่อนหน้าแล้วว่าพระสนมคนงามอยู่ภายใต้อำนาจของผู้นำลึกลับ แม้น้อยคนนักที่จะล่วงรู้ความลับนี้ แต่หากคนเช่นนางต้องการที่จะรู้ย่อมมิใช่เรื่องยากที่จะค้นหา เวลานี้ นางจะไม่ยอมให้ผู้ใดอยู่เหนือความแค้นของนางเป็นอันขาด“สิ่งใดกันที่ท่านกล่าวมา ข้าจะทำสิ่งใด มันคือความพอใจของข้า มิใช่เรื่องของผู้อื่นที่จะมาบงการ”“สามหาว เจ้าคิดว่าข้าคือผู้ใด แล้วเหตุใดจึงกำแหงถึงเพียงนี้”“ข้ารู้ดีว่าท่านคือใคร และข้าก็ยังคงเป็นข้า”ชายที่คราแรกยืนอยู่หลังม่าน ได้เคลื่อนกายอย่างรวดเร็วหมายประชิดกายหลิวกุ้ยเฟย ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามคาด เมื่อร่างบางกลับเคลื่อนกายได้เร็วกว่า ดวงตาภายใต้หน้ากากถึงกับเบิกกว้าง เขารู้ดีว่าหลิวเมิ่งชีมีวิชายุทธ์ แต่มิเคยคิดว่านางจะเหนือกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย จากการจับลมปราณในการเคลื่อนที่เม
ตำหนักกั๋วเต่อเฟย“ทูลองค์หญิง กระหม่อมขออภัยที่ไร้สามารถพ่ะย่ะค่ะ แต่เรื่องของโจรหญิงผู้นั้น เสมือนคนไร้ตัวตนยิ่งนัก แต่กระหม่อมพอจะทราบมาว่าอาจมีคนในวังรู้เห็นพ่ะย่ะค่ะ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน อย่างไรเสีย นางต้องปรากฏกายอีกเป็นแน่ ข้าเดาไว้อยู่แล้วว่าต้องมีคนในวังอยู่เบื้องหลัง ให้คนของเราเตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้ ข้าไม่เชื่อใจคนผู้นั้นเท่าใดนัก คนที่กล้าทรยศต่อบ้านเมืองและพี่น้อง ย่อมไม่มีทางเป็นมิตรที่ดีต่อเรา”“พ่ะย่ะค่ะ เอ่อ…องค์หญิงแล้วเรื่องที่ทรงปล่อยข่าว เรื่องความมิเท่าเทียมกันของหลิวกุ้ยเฟยกับองค์หญิงเล่าพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าแค่ทดสอบดูเท่านั้น ว่าข่าวที่เราได้รับมามันจริงเท็จเพียงใด และเหมือนคำตอบมันจะชัดเจนแล้ว”แม้นางจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อกบฏในครั้งนี้คือใครกันแน่ ทว่า นางก็ได้คนที่มีอำนาจมากพอมาอยู่ในกำมือหลายคนเช่นกัน ที่สำคัญไปกว่านั้น คนของนางที่แฝงตัวอยู่ข้างกายคนสกุลโม่มานาน ได้ส่งข่าวสำคัญมาให้นางแปลกใจเล่นอยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือเรื่องของหลิวกุ้ยเฟย ความลับนี้จะจบลงในงานเฉลิมฉลองในอีกไม่ช้า‘ข้าเดินหมากได้ดีกว่าพวกเจ้ามากนัก กบฏชีเป่ย’“เรามิ
“ท่านพี่เมี่ยวจ้าน ยาเจ้าค่ะ”เมี่ยวจ้านค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองคนยื่นถ้วยยาที่ยังมีควันกรุ่นอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ส่งให้หญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่า“ขอบใจเจ้ามาก ม่งเหยา ลำบากเจ้าแล้ว”“ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ พี่ทั้งสองอย่าได้เกรงใจไป เราคือครอบครัวเดียวกันนะเจ้าคะ”แม้ในใจของถงม่งเหยาจะยังวิตกกังวลอยู่มากกับอาการของทุกคน แต่นางกลับยังคงทำตัวให้เป็นปกติด้วยรอยยิ้มร่าเริง สดใสดั่งดวงดาวพร่างพราวในสายตาของทุกคน ยาที่นางต้มให้แก่คนเจ็บ มันทำแค่หน้าที่บรรเทาอาการเท่านั้น หากภายในเวลาสามวันนี้ ทุกคนยังไม่ถึงเมืองหลวงหรือได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจมีสักคนที่จบชีวิตลงเป็นแน่“เจ้าก็ไปพักบ้างเถอะ พรุ่งนี้ เราอาจได้ออกเดินทางกันหากพี่ใหญ่อาการดีขึ้น”“เจ้าค่ะ”ถงม่งเหยารับคำก่อนจะเดินไปยังคนของจ้าวอวิ๋น เพื่อบอกกล่าวเรื่องยาที่ต้องแจกจ่ายให้ครบทุกคนตามเวลาที่นางคำนวณเอาไว้แล้ว ก่อนที่จะเดินไปยังที่พักของตนซึ่งนางจัดไว้อีกด้านหนึ่ง ซึ่งจุดนี้ นางตั้งใจจะมาหลับนอนเพื่อเฝ้ายามไปในตัว สถานการณ์เช่นนี้ นางมิวางใจผู้ใดทั้งนั้น แม้แต่คนในคณะเดินทางเองก็ตาม ส่วนพี่สะใภ้และสหาย นางได้จัดคนอารักขาอย่างดีอีกชั้นค
โรงเตี๊ยมนอกเมืองหลวง ณ เส้นทางสู่ซานชีจ้าวลี่ชิงพลิกกายทำให้แขนปะทะเข้ากับอะไรสักอย่าง หญิงสาวทะลึ่งตัวลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้อง ใบหน้างามเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มด้วยความกรุ่นโกรธ นางมั่นใจเรื่องการใช้ยาและพิษมิแพ้พี่น้องคนใดในสกุลจ้าว ทว่า ตอนนี้ดูเหมือนนางจะพลาดอะไรสักอย่างไป“เจ้า…จิ่วอิง คนเจ้าเล่ห์”หญิงสาวรีบลุกขึ้นตรงไปยังฉากกั้นสำหรับแต่งกาย เพียงครู่เดียว จ้าวลี่ชิงได้ก้าวออกมาพร้อมอาวุธคู่กาย เท้าบางตรงไปยังประตูห้องอย่างรีบเร่ง ทว่า…กึก ๆ มือบางผลักประตูอย่างแรงแต่มันกลับไม่เปิดออก‘จิ่วอิง เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร’จ้าวลี่ชิงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังหน้าต่างห้องนอน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็มิต่างจากประตูหน้าเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวกรุ่นโกรธจนแทบจะเรียกว่าถึงขีดสุดเลยทีเดียว เมื่อเวลานี้ นางกำลังถูกขังเอาไว้ภายในห้อง“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ข้างนอก”ไร้เสียงตอบกลับ ยิ่งเพิ่มความขุ่นเคืองให้แก่หญิงสาว จ้าวลี่ชิงก้าวตรงไปยังประตูห้องอีกครั้ง ก่อนที่จะรวมรวมพลังลมปราณถีบไปยังประตูเต็มแรงปัง! ประตูห้องเปิดออกอย่างที่นางตั้งใจ แววตาที่ใช้มองไปโด
“จะ…เจ้า อึก!” ชายหนุ่มมิอาจเอ่ยสิ่งใดต่อไปได้ เมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั้งร่างกาย“มันผู้ใดหาญกล้าแตะต้องว่าที่สามีข้า มันจะไร้ที่ฝังกลบ”จิ่วอิงเริ่มชาหนึบไปทั้งขา ชายหนุ่มพยายามโคจรพลังเพื่อสกัดกั้นพิษเอาไว้มิให้ลุกลามไปยังหัวใจ การถูกรุมล้อมด้วยศัตรูจำนวนมาก เป็นเวลาหลายชั่วยามนั้น หากเป็นคนทั่วไปคงยากจะยังยืนอยู่ได้ ทว่าหากมิทำเช่นนี้ คนที่เขาเอาไปแอบซ่อนไว้ต้องถูกตามล่าอยู่ดี แต่โชคชะตาช่างเล่นตลก ที่เวลานี้ นางก็มายืนประกาศว่าเขาคือว่าที่สามีอยู่ตรงหน้าเสียได้‘เด็กบ้านี่…ช่างเอาแต่ใจเสียจริง’ จิ่วอิงทรุดลง สองเข่ากระแทกพื้นดิน เลือดสีดำพุ่งออกมาจากริมฝีปาก ดวงตาเริ่มปรือลงทุกขณะ เขาปกป้องดวงใจของตัวเองมิได้เลยหรืออย่างไร นั่นคือความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะมืดดับลงอาวุธอาบด้วยพิษที่หญิงสาวได้รับมาจากหมอหญิงจูซือเหนียงนั้นนับว่าได้ผลมิน้อย แม้คำเตือนในการใช้ยาพิษนี้คือจะใช้ได้ต่อเมื่อคับขันมากแล้วจริง ๆ เท่านั้น ด้วยปริมาณที่มีจำกัดเกินกว่าจะใช้เล่นไปทั่วสองผู้คุ้มกันถอยร่นมาอยู่ข้างผู้เป็นนายทั้งสอง หนึ่งเคียงข้างคุ้มกันด้านหลัง อีกหนึ่งแบกร่างสูงของขันทีคู่ใจองค์รัชทาย
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ
“พี่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ถงมู่หลัน ว่าอย่าทำเช่นนี้อีก” เสียงเด็กชายวัยสิบขวบกำลังต่อว่าเด็กหญิงวันหกขวบด้วยท่าทางของผู้ใหญ่“…”แต่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพี่รู้สึกโมโหขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเด็กหญิงแก้มยุ้ยทำเพียงสบตาเขา ไม่มีแม้แต่คำแก้ต่างหรือยอมรับในความผิดหลุดจากปากเล็ก ๆ นั่นสักคำ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มบิดเบ้พร้อมน้ำใส ๆ เอ่อคลอหน่วยตา ทั้งยังเม้มปากเสมือนเขากำลังทำร้ายนางให้เจ็บปวดแสนสาหัส“เฮ้อ!” ถงเอ่อหลางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ วันนี้ เขาออกมาตกปลายังลำธารห่างจากตัวเมืองเจียงไห่พร้อมด้วยผู้ดูแล แต่ใครจะไปคิดว่าน้องสาวตัวดีจะแอบติดตามออกมาโดยแอบอยู่ใต้รถม้าของเขายิ่งคิดถึงสภาพเวลาผู้เป็นน้องสาวต้องเกาะอยู่ใต้ท้องรถม้า อาการสั่นสะท้านไปทั่วกายก็พลันเกิดขึ้น หากนางเผลอหลับหรือรถม้าวิ่งเร็วจนไปกระแทกกับอะไรเข้า นางอาจได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้“มู่หลัน พี่มีเจ้าแค่คนเดียว รู้หรือไม่ อย่าได้ทำให้ตัวน้องเองเป็นอะไรไป เข้าใจที่พี่พูดรึไม่”ถงเอ่อหลางใช้สองแขนรวบร่างอ้วนกลมของน้องสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาจำต้องทำให้นางยิ้มก่อนกลับบ้าน มิเช่นนั้น เขาจะถูกกักบริเวณเป็นแน่ หากผู
เวลาผ่านไปเพียงขวบปี จิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกจับได้ว่าคิดกบฏ ซ้ำยังฉ้อราชบังหลวง ทำให้ต้องโทษประหาร ส่วนพระชายาและพระธิดาถูกขับออกจากเมืองหลวง ทำให้ชื่อของจิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกลบออกจากราชวงศ์ไปโดยปริยายทว่า ระหว่างทางขบวนส่งตัวอดีตพระชายาและท่านหญิงโม่เหลียนฮัวออกจากเมืองหลวงนั้น เกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นฮี้ ๆ เสียงม้าตื่นตกใจและเสียงการต่อสู้จากด้านนอกทำให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ภายในรถม้าหวีดร้องด้วยอาการเสียขวัญ ทั้งคู่ต่างรีบลงจากรถม้า ก่อนจะวิ่งลึกเข้าไปในป่า ทว่า เสียงการไล่ล่าประชิดเข้ามาทุกขณะ จนในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ตกอยู่ในวงล้อม“เจ้าคิดจะทำอะไร มิรู้หรือว่าข้าคือผู้ใด”“เพราะรู้อย่างไรเล่าถึงได้มา”“ท่านแม่ เราถูกสั่งฆ่าใช่หรือไม่เพคะ”“ท่านหญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ฝ่าบาททรงเมตตาต่อท่านทั้งสองยิ่ง ที่จะมอบความตายให้อย่างสงบโดยมิต้องทนมีชีวิตอยู่อับอายชาวเมือง ตายซะเถอะท่านหญิงทั้งสอง ดีกว่าอยู่เป็นแน่” คำพูดคล้ายชี้ชวนอย่างหวังดี ทว่า ความหมายกลับตรงกันข้ามร่างสูงของนักฆ่าในชุดดำที่อำพรางใบหน้าหลงเหลือเพียงดวงตาย่างสามขุมเข้ามาทุกทิศทาง แสงแดดกระทบดาบที่เงื้อง่าขึ้นสูงสะท้อนเข้าดว
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ