“ท่านพี่เมี่ยวจ้าน ยาเจ้าค่ะ”เมี่ยวจ้านค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองคนยื่นถ้วยยาที่ยังมีควันกรุ่นอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ส่งให้หญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่า“ขอบใจเจ้ามาก ม่งเหยา ลำบากเจ้าแล้ว”“ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ พี่ทั้งสองอย่าได้เกรงใจไป เราคือครอบครัวเดียวกันนะเจ้าคะ”แม้ในใจของถงม่งเหยาจะยังวิตกกังวลอยู่มากกับอาการของทุกคน แต่นางกลับยังคงทำตัวให้เป็นปกติด้วยรอยยิ้มร่าเริง สดใสดั่งดวงดาวพร่างพราวในสายตาของทุกคน ยาที่นางต้มให้แก่คนเจ็บ มันทำแค่หน้าที่บรรเทาอาการเท่านั้น หากภายในเวลาสามวันนี้ ทุกคนยังไม่ถึงเมืองหลวงหรือได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจมีสักคนที่จบชีวิตลงเป็นแน่“เจ้าก็ไปพักบ้างเถอะ พรุ่งนี้ เราอาจได้ออกเดินทางกันหากพี่ใหญ่อาการดีขึ้น”“เจ้าค่ะ”ถงม่งเหยารับคำก่อนจะเดินไปยังคนของจ้าวอวิ๋น เพื่อบอกกล่าวเรื่องยาที่ต้องแจกจ่ายให้ครบทุกคนตามเวลาที่นางคำนวณเอาไว้แล้ว ก่อนที่จะเดินไปยังที่พักของตนซึ่งนางจัดไว้อีกด้านหนึ่ง ซึ่งจุดนี้ นางตั้งใจจะมาหลับนอนเพื่อเฝ้ายามไปในตัว สถานการณ์เช่นนี้ นางมิวางใจผู้ใดทั้งนั้น แม้แต่คนในคณะเดินทางเองก็ตาม ส่วนพี่สะใภ้และสหาย นางได้จัดคนอารักขาอย่างดีอีกชั้นค
โรงเตี๊ยมนอกเมืองหลวง ณ เส้นทางสู่ซานชีจ้าวลี่ชิงพลิกกายทำให้แขนปะทะเข้ากับอะไรสักอย่าง หญิงสาวทะลึ่งตัวลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้อง ใบหน้างามเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มด้วยความกรุ่นโกรธ นางมั่นใจเรื่องการใช้ยาและพิษมิแพ้พี่น้องคนใดในสกุลจ้าว ทว่า ตอนนี้ดูเหมือนนางจะพลาดอะไรสักอย่างไป“เจ้า…จิ่วอิง คนเจ้าเล่ห์”หญิงสาวรีบลุกขึ้นตรงไปยังฉากกั้นสำหรับแต่งกาย เพียงครู่เดียว จ้าวลี่ชิงได้ก้าวออกมาพร้อมอาวุธคู่กาย เท้าบางตรงไปยังประตูห้องอย่างรีบเร่ง ทว่า…กึก ๆ มือบางผลักประตูอย่างแรงแต่มันกลับไม่เปิดออก‘จิ่วอิง เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร’จ้าวลี่ชิงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังหน้าต่างห้องนอน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็มิต่างจากประตูหน้าเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวกรุ่นโกรธจนแทบจะเรียกว่าถึงขีดสุดเลยทีเดียว เมื่อเวลานี้ นางกำลังถูกขังเอาไว้ภายในห้อง“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ข้างนอก”ไร้เสียงตอบกลับ ยิ่งเพิ่มความขุ่นเคืองให้แก่หญิงสาว จ้าวลี่ชิงก้าวตรงไปยังประตูห้องอีกครั้ง ก่อนที่จะรวมรวมพลังลมปราณถีบไปยังประตูเต็มแรงปัง! ประตูห้องเปิดออกอย่างที่นางตั้งใจ แววตาที่ใช้มองไปโด
“จะ…เจ้า อึก!” ชายหนุ่มมิอาจเอ่ยสิ่งใดต่อไปได้ เมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั้งร่างกาย“มันผู้ใดหาญกล้าแตะต้องว่าที่สามีข้า มันจะไร้ที่ฝังกลบ”จิ่วอิงเริ่มชาหนึบไปทั้งขา ชายหนุ่มพยายามโคจรพลังเพื่อสกัดกั้นพิษเอาไว้มิให้ลุกลามไปยังหัวใจ การถูกรุมล้อมด้วยศัตรูจำนวนมาก เป็นเวลาหลายชั่วยามนั้น หากเป็นคนทั่วไปคงยากจะยังยืนอยู่ได้ ทว่าหากมิทำเช่นนี้ คนที่เขาเอาไปแอบซ่อนไว้ต้องถูกตามล่าอยู่ดี แต่โชคชะตาช่างเล่นตลก ที่เวลานี้ นางก็มายืนประกาศว่าเขาคือว่าที่สามีอยู่ตรงหน้าเสียได้‘เด็กบ้านี่…ช่างเอาแต่ใจเสียจริง’ จิ่วอิงทรุดลง สองเข่ากระแทกพื้นดิน เลือดสีดำพุ่งออกมาจากริมฝีปาก ดวงตาเริ่มปรือลงทุกขณะ เขาปกป้องดวงใจของตัวเองมิได้เลยหรืออย่างไร นั่นคือความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะมืดดับลงอาวุธอาบด้วยพิษที่หญิงสาวได้รับมาจากหมอหญิงจูซือเหนียงนั้นนับว่าได้ผลมิน้อย แม้คำเตือนในการใช้ยาพิษนี้คือจะใช้ได้ต่อเมื่อคับขันมากแล้วจริง ๆ เท่านั้น ด้วยปริมาณที่มีจำกัดเกินกว่าจะใช้เล่นไปทั่วสองผู้คุ้มกันถอยร่นมาอยู่ข้างผู้เป็นนายทั้งสอง หนึ่งเคียงข้างคุ้มกันด้านหลัง อีกหนึ่งแบกร่างสูงของขันทีคู่ใจองค์รัชทาย
“จริงแท้เพคะพี่หญิง ในวันนั้น น้องหญิงกั๋วเชียงต้องงดงามราวเทพธิดามาจุติเลยทีเดียวเพคะ” หลิวกุ้ยเฟยเองก็รับคำอย่างคล่องปากฝ่ายกั๋วเต๋อเฟยยังคงรอยยิ้มอ่อนหวานดุจเดิม ทว่าภายในใจกลับระอุร้อนด้วยรู้จุดประสงค์ของภรรยาเอกและรองขององค์ฮ่องเต้ดี‘ฮึ พวกนางจิ้งจอก คิดทำให้ข้าอับอายสินะหากงดงามมิเท่าภรรยาขุนนางผู้ใดผู้หนึ่ง พวกเจ้านี่ช่างมากเล่ห์เสียจริง’ ใจคิดเช่นนั้น ทว่า ริมฝีปากบางกลับเอื้อนเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า“ขอบพระทัยเพคะพี่หญิงทั้งสอง ที่ทรงเมตตาต่อน้อง”“ฮา ๆ เอาเป็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เรามากินข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะนะ” ฮ่องเต้โม่เหยียนเฉาหัวร่ออย่างเบิกบานพระทัย ก่อนหันไปออกคำสั่งกับขันทีคนสนิท “ลู่กงกงเตรียมอาหารไปที่ศาลาสระบัว”“พ่ะย่ะค่ะ”ลู่กงกงรีบหมุนกายออกไปยังห้องครัวอย่างเร่งรีบ มีเสียงหัวเราะของผู้เป็นนายดังไล่หลังมาจากด้านใน เสมือนครอบครัวที่ปรองดองกันยิ่งนักในสายตาคนที่มิรู้เบื้องลึกภายในหลังจากนั้น กำหนดการได้ถูกประกาศออกไป ว่าจะมีพิธีแต่งตั้งพระสนมตำแหน่งเต๋อเฟยอย่างเป็นทางการในอีกสิบวันเพื่อให้ชาวเมืองได้เตรียมตัวสำหรับงานเฉลิมฉลอง ทำให้เมืองหลวงแสนจะคึกคัก กำลั
“ใบหน้าท่านอย่างไรเล่าเจ้าคะ เอ่อ...มันดูตึงจนเสมือนจะแตกปริเสียให้ได้”สิ้นคำนั้น มือหนาเผลอยกมือขึ้นลูบแก้มสาก ก่อนจะหันไปมองยังน้องสาวที่ส่งสายตาลอดม่านหมวกออกมา ทำให้เรียวปากของหรู่จงค่อย ๆ คลี่ออกจนกลายเป็นยิ้มกว้าง ความใสซื่อในสายตาคู่งามทำให้เขามิรู้จะตำหนิน้องสาวได้“ข้าเป็นเช่นนั้นรึ สงสัยเจ้าจะชอบให้ข้าอารมณ์ดีเช่นคุณชายเยว่สินะ ฮา ๆ”“ท่านพี่พูดเรื่องอันใดก็มิรู้”หรู่อี้กระตุ้นม้าของตนเองพร้อมทั้งเบนหัวม้าเพื่อลงไปเคียงรถม้าด้านหลัง ใบหน้างามเห่อร้อนด้วยความเขินอายเมื่อถูกพี่ชายเอ่ยเย้าแหย่ในเรื่องที่กำลังสับสนจนไม่รู้จะหาคำตอบที่ถูกต้องภายในใจได้ นางจึงจำต้องเลี่ยงคำถามของผู้เป็นพี่ชายเสียเป็นการดีที่สุดในเวลานี้‘น้องพี่ หากเจ้ารู้ว่าคนที่เจ้ามีใจให้นั้นเป็นผู้ใด เจ้าจะรู้ว่าความรู้สึกผิดที่แทรกอยู่ภายในใจนั้น มันไม่มีสิ่งใดผิดต่อองค์ชายเลยสักนิด’ หรู่จงปล่อยให้น้องสาวไปอยู่ด้านหลังขบวนโดยมิลืมส่งสัญญาณให้คนของเขาคอยจับตาอารักขานาง“นางบอกสิ่งใดแก่เจ้า หรู่จง” ผู้เป็นนายเอ่ยด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน“ท่านคิดว่าเรื่องใดกันเล่า ข้าเขลานัก นายท่าน”“ฮึ! อย่าคิดว่าเจ้าเ
ตอนที่42.ยี่สิบลี้ห่างจากประตูเมืองเส้นทางทิศเหนือคณะของโม่หยวนฟาง ทำการหยุดพักอยู่บ่อยครั้ง จึงเป็นสาเหตุให้การเดินทางล่าช้ากว่าที่กำหนด แม้ร่างกายของท่านอ๋องน้อยจะดีขึ้นบ้าง แต่ยังมิควรถูกกระทบกระเทือนใด ๆ อีกในช่วงเวลานี้ ทำให้หน้าที่ในการนำคณะเดินทางครั้งนี้ตกมาอยู่ที่ผู้เป็นน้องเขยอย่างถงเหยียนเจี๋ย และคนของจ้าวอวิ๋น โดยได้รับการคุ้มกันอีกชั้นจากมิตรต่างแคว้นชาวจิ้งหนาน“ท่านพ่อ ลูกผิดต่อท่านพ่อยิ่งนัก” เมื่อมีโอกาส เมี่ยวจ้านก็ไม่รั้งรอจะเอ่ยกับพระบิดา“เจ้ามิผิดอันใดเลยลูกรัก พ่อมิใช่เด็กอ่อนเดียงสาที่จะมิรู้ว่าเจ้าทำไปเพราะเหตุผลอันใด”ฮ่องเต้แห่งจิ้งหนานตบลงยังบ่าของพระธิดาประหนึ่งนางคือบุรุษก็มิปาน ทำให้คนอื่น ๆ ในคณะจากชีเป่ยต่างพากันมองสิ่งที่สองพ่อลูกกระทำ ก่อนจะพากันหันไปยังรถม้าที่มีคนเจ็บเช่นโม่หยวนฟางอยู่ด้านในชายหนุ่มจะรู้หรือไม่ว่าบิดาของหญิงคนรักนั้นมิใช่ธรรมดาอย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน และดูเหมือนชายหนุ่มเองก็รู้ตัวอยู่เช่นกันว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดในอนาคต“ท่านพี่ แน่ใจรึเจ้าคะ ว่าพี่เมี่ยวจ้านจะมิสังหารท่านอ๋องน้อยหากวันใดเกิดความแคลงใจกัน”ถงม่งเหยาเอ่ยถามผู้เป็
“เจ้ากำลังจะเชิญชวนคนเหล่านั้นมาเยี่ยมเยียนสินะ”“แค่เพียงเย้าแหย่เองนะเจ้าคะ อย่างไรเสีย คนพวกนั้นก็ต้องมาตรวจดูว่าท่านพี่หยวนฟางบาดเจ็บจริงหรือไม่ เราแค่เบี่ยงเบนสายตาเสียหน่อยจะเป็นไรไปเล่าเจ้าคะ”ฝ่ายสามีมีรอยยิ้มน้อย ๆ ขณะส่ายหน้าเบา ๆ “ซุกซนเกินไปแล้ว ภรรยาข้า”“เพราะข้ารู้ดีว่า ท่านพี่ไม่มีทางให้อันใดเกิดขึ้นกับข้าอย่างแน่นอน จริงหรือไม่เจ้าคะ”โม่ฟางเล่อยิ้มจนดวงตาคู่งามหยีจนแทบปิด ยิ่งทำให้ถงเหยียนเจี๋ยถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาบ้างเช่นกัน ด้วยความเอ็นดูในภรรยานักหนา“พี่สัญญาต่อเจ้า เล่อเล่อ ว่าตราบใดที่พี่ยังมีลมหายใจ จะไม่มีสิ่งใดแตะต้องเจ้าได้แม้แต่ปลายเส้นขน จงรู้ไว้ว่า เพียงเจ้าเจ็บเล็กน้อย ใจพี่นั้นเจ็บกว่าเจ้าหลายเท่านัก”“ปากหวานเหลือเกินนะเจ้าคะ สามีข้า”เสียงหัวเราะเบา ๆ ของสองสามีภรรยา และการหยอกเย้าของทั้งคู่นั้นมิอาจหลุดรอดจากสายตาของผู้คนที่รถม้าผ่านวิ่งผ่านไป ด้วยม่านผืนบางปลิวสะบัดเปิดให้เห็นได้โดยมิต้องใช้ความพยายามใด ๆ เพื่อจะมองเข้าไปด้านในขบวนรถม้าทั้งสามคันผ่านไปพร้อมทั้งทิ้งความสงสัยให้แก่ชาวเมือง และเริ่มการกระจายข่าวด้วยต่างแข่งขันกันออกความคิดเห็น
ตำหนักหลิวกุ้ยเฟยร่างระหงนั่งหวีผมอยู่อยู่บนเตียงนอน ดวงตากลับเหม่อลอยเสมือนไร้จุดหมาย ใจของนางนั้นยังมีบาดแผลใหญ่อยู่ภายใน จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อบัดนี้ สิ่งที่วาดฝันเอาไว้ได้สูญสลายไปแล้ว การแย่งชิงเป็นเรื่องของผู้อื่น แต่สำหรับนาง การแก้แค้นคือเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จพรึ่บ! ร่างในชุดดำปรากฏกายจากหน้าต่างอีกด้าน ก่อนจะก้าวตรงมานั่งลงเก้าอี้ตรงหน้าเจ้าของห้อง ดวงตาคมสบเข้ากับแววตาไหวระริกของคนตรงหน้า“ใบหน้านี้เป็นเพียงสิ่งลวงตา แต่เรื่องที่ข้ามาหาเจ้าที่นี่คือสิ่งที่เจ้าจะต้องรับรู้และเชื่อฟัง”“ฮึ! ไยข้าต้องทำตามด้วยเล่า ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา คนเช่นเจ้าก็เอาแต่หลบอยู่แต่ในคอกม้า”“เจ้ารู้เหตุผลดีกว่าผู้ใด อย่าให้ข้าต้องมานั่งสาธยายเรื่องในอดีต”“มีเรื่องใด เจ้าถึงกล้ามาสั่งข้าเช่นนี้”“ห้ามให้เจ้าทำสิ่งใดเป็นอันขาดเมื่อโม่ไป๋หลานปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยง”ขวับ! ใบหน้างามหันกลับมามองหน้าของชายหนุ่มในทันที ดวงตาที่เคยไหวระริกแปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ด้วยไฟแห่งความแค้น“นางมาเมืองหลวงเช่นนั้นรึ หึ ๆ ข้ามิต้องเสียแรงตามหาให้ยากสินะ”“เจ้ายังไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดอีกหรืออย่างไรกัน”
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ
“พี่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ถงมู่หลัน ว่าอย่าทำเช่นนี้อีก” เสียงเด็กชายวัยสิบขวบกำลังต่อว่าเด็กหญิงวันหกขวบด้วยท่าทางของผู้ใหญ่“…”แต่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพี่รู้สึกโมโหขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเด็กหญิงแก้มยุ้ยทำเพียงสบตาเขา ไม่มีแม้แต่คำแก้ต่างหรือยอมรับในความผิดหลุดจากปากเล็ก ๆ นั่นสักคำ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มบิดเบ้พร้อมน้ำใส ๆ เอ่อคลอหน่วยตา ทั้งยังเม้มปากเสมือนเขากำลังทำร้ายนางให้เจ็บปวดแสนสาหัส“เฮ้อ!” ถงเอ่อหลางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ วันนี้ เขาออกมาตกปลายังลำธารห่างจากตัวเมืองเจียงไห่พร้อมด้วยผู้ดูแล แต่ใครจะไปคิดว่าน้องสาวตัวดีจะแอบติดตามออกมาโดยแอบอยู่ใต้รถม้าของเขายิ่งคิดถึงสภาพเวลาผู้เป็นน้องสาวต้องเกาะอยู่ใต้ท้องรถม้า อาการสั่นสะท้านไปทั่วกายก็พลันเกิดขึ้น หากนางเผลอหลับหรือรถม้าวิ่งเร็วจนไปกระแทกกับอะไรเข้า นางอาจได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้“มู่หลัน พี่มีเจ้าแค่คนเดียว รู้หรือไม่ อย่าได้ทำให้ตัวน้องเองเป็นอะไรไป เข้าใจที่พี่พูดรึไม่”ถงเอ่อหลางใช้สองแขนรวบร่างอ้วนกลมของน้องสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาจำต้องทำให้นางยิ้มก่อนกลับบ้าน มิเช่นนั้น เขาจะถูกกักบริเวณเป็นแน่ หากผู
เวลาผ่านไปเพียงขวบปี จิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกจับได้ว่าคิดกบฏ ซ้ำยังฉ้อราชบังหลวง ทำให้ต้องโทษประหาร ส่วนพระชายาและพระธิดาถูกขับออกจากเมืองหลวง ทำให้ชื่อของจิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกลบออกจากราชวงศ์ไปโดยปริยายทว่า ระหว่างทางขบวนส่งตัวอดีตพระชายาและท่านหญิงโม่เหลียนฮัวออกจากเมืองหลวงนั้น เกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นฮี้ ๆ เสียงม้าตื่นตกใจและเสียงการต่อสู้จากด้านนอกทำให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ภายในรถม้าหวีดร้องด้วยอาการเสียขวัญ ทั้งคู่ต่างรีบลงจากรถม้า ก่อนจะวิ่งลึกเข้าไปในป่า ทว่า เสียงการไล่ล่าประชิดเข้ามาทุกขณะ จนในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ตกอยู่ในวงล้อม“เจ้าคิดจะทำอะไร มิรู้หรือว่าข้าคือผู้ใด”“เพราะรู้อย่างไรเล่าถึงได้มา”“ท่านแม่ เราถูกสั่งฆ่าใช่หรือไม่เพคะ”“ท่านหญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ฝ่าบาททรงเมตตาต่อท่านทั้งสองยิ่ง ที่จะมอบความตายให้อย่างสงบโดยมิต้องทนมีชีวิตอยู่อับอายชาวเมือง ตายซะเถอะท่านหญิงทั้งสอง ดีกว่าอยู่เป็นแน่” คำพูดคล้ายชี้ชวนอย่างหวังดี ทว่า ความหมายกลับตรงกันข้ามร่างสูงของนักฆ่าในชุดดำที่อำพรางใบหน้าหลงเหลือเพียงดวงตาย่างสามขุมเข้ามาทุกทิศทาง แสงแดดกระทบดาบที่เงื้อง่าขึ้นสูงสะท้อนเข้าดว
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ