ลมทะเลพัดมาวูบหนึ่ง ติณณ์ยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ เมื่อก้าวลงเรือเร็วที่มารอรับตรงท่าเรือเรียบร้อยแล้ว
“คุณติณณ์มาคนเดียวหรือครับ” “ลุงเห็นใครมากับผมหรือเปล่าล่ะ” “ไม่เห็นครับ” คนขับเรือเร็วหัวเราะแห้งเมื่อถูกย้อนถาม มันอดสงสัยไม่ได้นี่นาที่เห็นหลานชายของเจ้านายซึ่งเพิ่งมีข่าวแต่งงานเมื่อวานจะไปพักบนเกาะคนเดียว ในตอนที่เจ้านายสั่งให้ขับเรือมารับ เขาก็ไม่ได้ถามรายละเอียดเสียด้วย คิดเองเออเองว่าตนมีหน้าที่มารับคู่สามีภรรยาใหม่เพื่อไปส่งที่เกาะฟาติน “คุณติณณ์มีของให้ขนลงเรืออีกหรือเปล่าครับ” “ไม่มี ผมมีเป้ใบนี้ใบเดียว” เพียงเท่านั้น สปีดโบ้ตลำหรูก็แล่นตัดผิวน้ำจนแตกกระเซ็นเป็นทางยาว เพื่อตรงไปยังเกาะฟาตินที่อยู่ห่างจากฝั่งเกือบสามสิบกิโลเมตร ติณณ์ยกขาขึ้นมาพาดบนที่นั่งว่างๆ เอนกายกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ตลอดสองวันที่ผ่านมา เขาเพิ่งพักกายได้จริงๆ ก็เวลานี้ ชายหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามเย็นพลางนึกถึงถ้อยคำสนทนาของตัวเองกับพ่อและแม่เลี้ยงเมื่อสามชั่วโมงก่อน ในตอนที่เขาแวะไปเอาเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็นสำหรับนำมาใช้บนเกาะ ‘แกจะไปอยู่ที่เกาะทั้งที่เพิ่งแต่งงานเมื่อวาน ไม่คิดจะไว้หน้าเมียบ้างหรือไง’ ‘แล้วไงครับพ่อ พอแต่งงานแล้วผมกับขวัญก็ต้องทำตัวติดกันอย่างนั้นเหรอ’ เขาถามรวนๆ บอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้ยินพ่อถามเรื่องนี้ ซึ่งพ่อก็เป็นฝ่ายเงียบเสีย เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำ แม่เลี้ยงที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงช่วยถามความต่อให้ ‘ความจริงคุณติณณ์พาหนูขวัญไปเที่ยวด้วยก็ได้ ถือโอกาสฮันนีมูนไปในตัว’ ‘ไม่ละ ผมเตรียมแผนไปอยู่ที่เกาะไว้นานแล้ว ผมไม่อยากหาเรื่องทำให้เสียแผน’ ‘ไปทำงานของแกล่ะสิ เห็นว่ารายการถูกเปลี่ยนเวลาออกอากาศไม่ใช่เหรอ แกมั่นใจหรือว่ามันจะรอด’ ติณณ์หัวเราะคำพูดของพ่อเหมือนเห็นเป็นเรื่องขัน ทั้งที่สองเดือนก่อนมันยังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาอยู่เลย ‘ไม่รอดหรอก แนวโน้มขาดทุนภายในสามเดือน ผมเลยต้องหาทางรอดใหม่ ผมจะนำรายการไปเสนอช่องใหม่ แต่ก่อนจะไป ผมต้องปรับรูปแบบรายการให้เรียบร้อยก่อน’ ‘แล้วงานทางนี้ล่ะ’ ‘อีกสองสัปดาห์มีนัดประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงแรมกับห้างฯ ผมไม่ลืมครับ ยังไงผมก็ให้ความสำคัญกับงานของเราเป็นหลักอยู่แล้ว’ ‘ถ้ามันหนักเกินไป ทำไมแกไม่พักงานผลิตรายการสักระยะ จังหวะนี้มันก็เหมาะดี ความคิดดีๆ มันจะมาในเวลาที่เราว่างพอ’ ‘ผมก็ทำตัวว่างโดยการไปติดเกาะนี่ไงครับ’ ‘เออๆ ตามใจแก แต่งเมียได้วันเดียวก็ทิ้งเมียไปอยู่เกาะ ใครรู้เข้าคงคิดว่าแกบ้า’ ในตอนนั้นเองที่ติณณ์บอกลาพ่อกับแม่เลี้ยงเสียดื้อๆ เขาฉวยเป้ใบใหญ่แล้วลุกออกมา ก่อนจะขับรถตรงมายังท่าเรือแห่งนี้ผ้าปูที่นอนสีเข้มผืนใหม่ถูกปูบนที่นอน มันถูกเปลี่ยนจากผ้าปูที่นอนสีหวานผืนก่อน ขวัญรดามองหมอนสองใบที่วางเคียงกัน ก่อนจะหยิบหมอนใบหนึ่งนำไปเก็บเสีย ไม่จำเป็นต้องวางให้เกะกะบนเตียง แล้วหาหมอนข้างมาวางไว้แทน
ตั้งแต่เกิดมาขวัญรดาไม่เคยรู้สึกเดียวดายและอ้างว้างแบบนี้ เธอเคยเป็นคนที่อยู่คนเดียวได้ ชอบเสียอีกที่ไม่ต้องวุ่นวายกับใคร เธอไม่ใช่คนขี้เหงา หากในเวลานี้ทุกความรู้สึกที่เธอไม่เคยเป็นและมั่นใจว่าจะไม่มีวันเป็น มันกลับโถมเข้าใส่พร้อมๆ กัน มือบางที่มีแหวนแต่งงานสวมอยู่ถูกยกขึ้นมามองนิ่งๆ ขวัญรดาคิดลังเลอยู่ 2-3 ครั้งแล้วว่าจะสวมมันไว้อย่างนี้ดีไหม ในเมื่อติณณ์ไม่เห็นความสำคัญของมัน เธอจะพันธนาการตัวเองไว้กับการแต่งงานอยู่ฝ่ายเดียวไปทำไม หากสุดท้ายแล้วเธอก็ถอดมันทิ้งไม่ได้... แม้มีเรื่องกระทบจิตใจจนไม่อาจปล่อยวางจากความคิด แต่ความเหนื่อยล้าที่สะสมและร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ทำให้ค่ำคืนนี้ขวัญรดานอนหลับในทันทีเมื่อหัวถึงหมอน“ถ้าพ่อไม่บอกว่าคุณติณณ์เพิ่งแต่งงาน ฉันต้องคิดว่าแกอกหักมาแหงๆ เลยแม่”
คำพูดของลูกสาวที่เดินเข้ามาในเรือนพักคนงาน หลังจากนำสำรับกับแกล้มไปให้เจ้านายที่มาจากกรุงเทพฯ แล้ว ทำให้แม่ครัวประจำบ้านเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย “ทำไม? คุณติณณ์เป็นอะไร?” “นอนเปลมองดูฟ้าดูดาวอยู่ตรงระเบียง ฉันเรียกตั้งสองครั้งกว่าจะรู้ตัว” “กำลังคิดถึงเมียหรือเปล่า” “ไม่นะแม่ หน้าตาไม่เหมือนคนคิดถึงเมีย ฉันดูออก เพราะฉันก็มีผัวแล้ว” “ทีเรื่องอย่างนี้เชี่ยวชาญนะเอ็ง” “มันมีเค้านะแม่ คุณติณณ์อกหักจากแฟนเก่าไม่กี่เดือนก็แต่งงานทันที แถมยังแต่งกับน้องสาวของแฟนด้วย มันไม่ใช่เรื่องปกติหรอก” “แกหมายถึงคุณคัทลียานะเหรอ เขาเลิกกันตั้งนานแล้ว กว่าจะเป็นข่าวก็นานเป็นปี คนดังก็เป็นอย่างนี้แหละ ปิดข่าวกันเก่ง ส่วนคนที่คุณติณณ์แต่งงานด้วย เธอเป็นญาติของคุณคัทลียา ไม่ได้เป็นพี่น้องท้องเดียวกันสักหน่อย”เมื่อลูกสาววิเคราะห์มาอย่างนั้น แม่ครัวที่อยู่รับใช้เจ้านายมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ก็ออกโรงค้านทันควัน ถึงนางจะเป็นคนแก่ที่อยู่แค่บนเกาะ นานๆ ถึงจะออกไปยังฝั่ง แต่ก็ไม่เคยพลาดข่าวสารกับเขาสักที...หากดูเหมือนว่าลูกสาวจะไม่ยอมคล้อยตามง่ายๆ“อกหักจากแฟนแล้วไปคว้าเอาญาติของแฟนมาแต่งงานอย่างนี้เหรอ มันได้เหรอแม่”“ไม่มีใครคิดตื้นๆ อย่างเอ็งหรอก ระดับคุณติณณ์ไม่จำเป็นต้องประชดใคร หล่อ รวย เก่ง หาผู้หญิงเลิศเลอกว่าแฟนเก่าสักกี่คนก็ได้ แต่เขาแต่งงานกับคนนี้ เขาก็คงรักของเขา”“จ้า รักมาก แต่งงานวันเดียวก็เผ่นมาอยู่ที่นี่เลย”จบการสนทนา เพราะคนเป็นแม่จนทางหาคำแก้ตัวให้เจ้านายแล้ว ได้แต่ใช้สิทธิ์ความเป็นแม่สั่งให้ลูกสาวหยุดพูดเรื่องนี้เสียเช้าวันที่สองที่ขวัญรดาตื่นนอนขึ้นมาในบ้านหลังใหม่ เปลือกตาปรือเปิด รอบตัวยังคงแปลกตา สมองค่อยๆ ทบทวนความจำ เหตุการณ์ในช่วงสองวันที่ผ่านมาผ่านเข้ามาในหัวเป็นฉากๆเธอเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว สามีอยู่ร่วมเตียงในคืนเข้าหอ แต่พอวันถัดมา เขาก็เดินทางไปที่เกาะของครอบครัวตามลำพังขวัญรดาถูกท
ร่างสูงเพรียวที่กำลังวิ่งออกกำลังกายตามแนวริมหาดทำให้คนขับเรือที่ถูกเรียกให้มารับเพื่อไปส่งที่ท่าเรือในช่วงสายของวันนี้ต้องหัวเราะขันตัวเอง“นังผักมันบอกว่าคุณติณณ์ทำท่าเหมือนคนอกหัก ข้าก็นึกภาพคุณติณณ์เมาหัวราน้ำเสียอีก”นั่นเป็นภาพที่เขาเคยเห็นเมื่อปีก่อน พอได้ยินลูกสาวบอกว่าท่าทางของติณณ์เหมือนคนอกหัก แถมยังชอบนอนดูดาวทั้งคืน เขาจึงคิดไปเองว่าติณณ์คงกลับมามีสภาพนั้นอีก แต่พอมาเห็นด้วยตาตัวเอง มันกลับผิดคาด เพราะสีหน้าและท่าทางของติณณ์ห่างไกลจากภาพที่เขานึกไว้ลิบลับ จนคู่ชีวิตที่เป็นแม่ครัวประจำบ้านพักบนเกาะต้องพูดขัดอย่างขัดใจ“แกเชื่ออะไรนังผักมันล่ะ แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าคุณติณณ์มาทำงาน ฉันก็เห็นเขาทำงานทุกวัน เขามักอยู่ในห้องทำงาน บางทีฉันก็ได้ยินเขาพูดสายกับใครต่อใคร พอตกเย็นเขาก็ออกมาว่ายน้ำ ตีลังกามองท่าไหนมันก็ไม่ใช่อาการคนอกหัก นังผักมันอคติ หาว่าคุณติณณ์ทิ้งเมียมาอยู่เกาะ มันเลยใส่ร้ายเขาว่าอกหักจากแฟนเก่า”“ใครมันจะอกหักซ้ำซากกับคนคนเดียวได้ข้ามปีล่ะวะ”“แกพูดเหมือนรู้อะไร เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ&rdquo
ติณณ์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทร.ไปหาหญิงสาว เขารอสายอย่างใจจดใจจ่อ นานจนสายเกือบจะตัดไป คนปลายสายถึงตอบรับกลับมา…หากนั่นไม่ใช่เสียงของเธอ“สวัสดี”“เบอร์ขวัญหรือเปล่าครับ”“ใช่ นายโทร.มาหาน้องสาวของฉันทำไม มีธุระอะไร”ติณณ์พ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก เมียอยู่กับพี่สาวของเธอ...แต่ยังมีความขุ่นใจเจือมาอีกหน่อย ตรงที่น้ำเสียงของคนรับสายตั้งท่าจะหาเรื่องเขานี่แหละ“ภัสเหรอ ขวัญอยู่กับภัสใช่ไหม”“ใช่”“ฉันขอคุยกับขวัญหน่อย”“ขวัญกำลังคุยกับเพื่อน ไม่สะดวกคุยกับนาย”“ขวัญอยู่ที่ไหน? แล้วทำไมถึงทิ้งโทรศัพท์ไว้กับเธอ”“ขวัญก็อยู่ที่บ้าน แต่เพื่อนของเขามาหา พวกเขากำลังเมาท์กัน นายอย่าไปทำลายความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของน้องสาวฉันเลย”รู้ว่าถูกรวนเข้าแล้ว ติณณ์จึงพยายามข่มอารมณ์โมโหไม่ให้พุ่งออกมา ภัสสราเป็นเพื่อนวัยเด็กของเขา เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนตั้งแต่ประถมยันมัธยมต้น แม่คนนี้เป็นจอมวายร้าย...ต่างกับคนเป็นน้องสาวลิบลับ
“มีปัญหากับติณณ์หรือเปล่า แต่งงานได้ไม่กี่วัน เธอก็มานอนค้างที่บ้าน แล้วเมื่อวานทั้งวันติณณ์ไม่รู้เหรอว่าเธอไม่อยู่บ้านโน้น เมื่อกี้เขาถึงโทร.ตามหาเธอให้วุ่น”“ช่วงนี้คุณติณณ์ทำงานยุ่งน่ะค่ะ”“ยุ่งยังไง? เมียหายไปทั้งคืน บ่ายวันนี้เพิ่งโทร.ตามหา”คนถูกคาดคั้นเม้มริมฝีปากจนแก้มป่อง ติณณ์ทิ้งเธอไปตั้งสิบกว่าวัน แต่พี่สาวกลับมองเหมือนเธอเป็นคนผิดที่กลับมานอนบ้านพ่อแม่แค่วันเดียวขวัญรดารอคอยติณณ์กลับมาบ้านอย่างใจจดใจจ่อ โทรศัพท์จากเขาก็ไม่เคยมีมาหา เธอรอเขาจนครบสิบวัน วันนั้นเธอตื่นตั้งแต่เช้ามืดด้วยความตื่นเต้น แต่งหน้าแต่งตัวอย่างประณีต พอช่วงสายก็เข้าครัวช่วยแม่ครัวทำอาหาร เธอตั้งใจจะต้อนรับเขากลับบ้าน แต่รอทั้งวันกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเจ็บปวดหัวใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไร เธอไม่กล้าเล่าเรื่องน่าอายนี้ให้ใครฟัง เพราะแค่คนในบ้านมองเธอด้วยสายตาสงสาร ขวัญรดาก็เวทนาตัวเองจะแย่อยู่แล้ว“เมื่อกี้เขาโทร.มาตามคุณขวัญ แต่คุณก็กีดกันไม่ให้เขาคุยกัน คุณขวัญยังไม่ทันตอบเลยว่าจะคุยกับสามีของเขาหรือเปล่า คุณก็สวมบทตัว
ลูกบิดประตูห้องดูภาพยนตร์ภายในบ้านถูกขยับ ก่อนที่บานประตูจะแง้มเปิด คนนั่งบนโซฟากำลังจดจ่ออยู่ที่หน้าจอทีวีซึ่งกำลังฉายซีรีส์เกาหลี เธอยังนิ่งเฉย ไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาในห้องแล้วติณณ์มองศีรษะทุยสวยที่มีเส้นผมยาวปกคลุม ส่วนปลายผมดัดเป็นลอน เขายังจำสัมผัสยามสอดนิ้วสางกลุ่มผมได้ดีว่ามันนุ่มมือมากแค่ไหนชายหนุ่มยืนอยู่หลังประตูห้องหลายวินาที นึกเอะใจว่ามันดูแปลกๆ ที่ขวัญรดาไม่รับรู้ถึงการมาของเขา ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ ห้อง...ห้องนี้ไม่ใช่ห้องเก็บเสียง เมื่อกี้เธอน่าจะได้ยินเสียงเรียกของเขาแล้วไม่ใช่หรือ“ขวัญ” ตัดสินใจเรียกเธอออกไป ขวัญรดายังนั่งอยู่เช่นเดิม หากเขาสังเกตเห็นไหล่บางเกร็งขึ้นมาเล็กน้อยมือหนาร้อนผ่าววางบนลาดไหล่มน หญิงสาวสะดุ้งน้อยๆ คราวนี้ถึงคราวนี้เธอขยับตัวออกห่าง เขาจึงปล่อยมือจากเธอ“ผมมารับคุณ”“คุณทำงานเสร็จแล้วหรือคะ”เธอดูเกร็งๆ ติณณ์หรี่ตามอง นึกสงสัยว่าตนเองกลับมาแล้ว แต่ทำไมภรรยาถึงไม่ดีใจ แล้วทำไมเธอถึงมีท่าทางระมัดระวังตัว“ขวัญหมายความว่ายังไง”“คุณไป
ติณณ์ตามขวัญรดาเข้าไปในห้องนอนบนชั้นสอง เขาตามเข้าไปได้ทันก่อนที่เธอจะปิดประตูเขาไม่รู้ว่าเธอเข้ามาทำไมและไม่รู้ด้วยว่าเธอจะกลับบ้านไปกับเขาหรือเปล่า เจ้าหล่อนยังปิดปากเงียบ ติณณ์รู้นิสัยนี้ของภรรยาเป็นอย่างดี นี่เป็นอีกเหตุผลที่เขาเลือกแต่งงานกับเธอ แต่ให้ตายเถอะ การนิ่งเงียบของเธอในคราวนี้มันกลับทำให้เขาอึดอัด“คุณทำอะไร?”ขวัญรดาถามพลางก้าวปราดไปหาคนร่างสูงที่กำลังเปิดตู้เสื้อผ้าของเธอ“เก็บเสื้อผ้าให้คุณ”โดยไม่พูดเปล่า ติณณ์หยิบเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวภายในตู้ออกมาหอบใหญ่ เสื้อผ้าที่เขาเห็นว่ามันมีอยู่ไม่กี่ชุดที่บ้านของเขา แท้จริงเป็นเพราะขวัญรดายังเก็บไว้ที่บ้านหลังนี้นี่เอง“ไม่ต้องเอาไป ฉันจะเก็บของของฉันไว้ที่นี่”“คุณแต่งงานแล้ว บ้านของคุณก็คือบ้านที่เราอยู่ด้วยกัน”เฮอะ! อยู่ด้วยกัน...ชะรอยสีหน้าของขวัญรดาคงบอกทุกความรู้สึกให้ติณณ์รู้โดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ“คุณก็รู้แล้วว่าผมไปทำงาน”“ฉันไม่ได้ว่าอะไรคุณค่ะ เราไม่เคยมีข้อตกลงอะไร
ไม่เกินครึ่งชั่วโมงถัดจากนั้น รถคันหรูก็แล่นไปบนชั้นจอดรถของโรงแรมที่กันพื้นที่ไว้สำหรับผู้บริหาร ก่อนเขาจะพาเธอเดินไปตามสกายวอร์กที่เชื่อมกับห้างสรรพสินค้า...มันเป็นห้างฯ ของครอบครัวของเขาและเป็นสถานที่ที่พ่อของเธอทำงาน ไม่เว้นแม้แต่ตัวเธอเองก็เคยทำงานที่นี่ด้วยบนชั้นสองของห้างฯ ทางฝั่งซ้ายมือเป็นโซนเสื้อผ้า ติณณ์จับจูงมือภรรยาสาวเข้าไปในร้านแบรนด์เนมร้านหนึ่งที่เธอเคยมาในฐานะคนติดตามพี่สาว“สวัสดีค่ะคุณติณณ์ ดีใจจังที่คุณติณณ์มาร้านของเรา มีอะไรให้แหวนรับใช้ก็บอกได้นะคะ”ผู้จัดการร้านตรงปรี่มาต้อนรับเมื่อเห็นลูกชายเจ้าของห้างฯ เข้ามาพร้อมหญิงสาว แม้จำฝ่ายหญิงไม่ได้ แต่คาดเดาจากท่าทางของทั้งสองคนก็รู้ได้ไม่ยากว่าเธอคงเป็นภรรยาของเขาที่เพิ่งเข้าพิธีแต่งงานกันอย่างเงียบๆ เมื่อไม่กี่วันก่อน“สวัสดีครับคุณแหวน ผมอยากได้เสื้อผ้าให้คุณผู้หญิง”“เสื้อผ้าแนวไหนคะ ชุดออกงาน ชุดลำลอง หรือชุดแบบทางการ”“ทุกแบบครับ ช่วยเลือกให้ผมอย่างละสามชุดก็แล้วกัน”“ยินดีค่ะ เชิญคุณผู้หญิงทางนี้ค่ะ ค
แค่รถจอดสนิท ขวัญรดาก็เอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าใบย่อมเดินเข้าไปในบ้าน ไม่สนใจถุงใส่เสื้อผ้าที่เพิ่งช็อปปิ้งมาเมื่อสักพักใหญ่ที่วางอยู่เต็มรถ และไม่ไยดีคนขับรถที่เร่งฝีเท้าตามเธอมาจากข้างหลัง“คุณขวัญกลับมาแล้วหรือคะ ไหนบอกว่าจะไปค้างหลายวัน”เสียงป้านิ่มนั่นเอง อารามดีใจที่เห็นหญิงสาวกลับมาทำให้นางโพล่งออกมาโดยไม่ทันได้คิด ติณณ์ตวัดสายตาขุ่นๆ ไปให้จนนางต้องรีบปิดปากเสียขวัญรดายืนรีรออยู่กลางบ้านชั่วขณะ ด้วยกำลังคิดว่าจะไปสงบสติอารมณ์ที่ไหนดี สุดท้ายเธอก็จ้ำฝีเท้าเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนที่ตนครอบครองตามลำพังมานานนับสิบวัน โดยไม่ลืมล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนา“ขวัญเปิดประตูสิ คุณล็อกห้องทำไม นี่มันห้องนอนของเรานะ”ติณณ์ทุบประตูปังๆ ส่งเสียงโวยวายอยู่ตรงหน้าประตู ขวัญรดาปล่อยให้เขาตะโกนเรียกนานนับนาที และเป็นเธอเองที่หมดความอดทน กระชากบานประตูเปิดแล้วข่มกลั้นอารมณ์บอก“ไม่มีห้องนอนของเราแล้วค่ะ ถ้าคุณจะใช้ห้องนี้ก็ไปเปิดห้องอื่นให้ฉัน หรือไม่ฉันก็กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ฉัน”ติณณ์รีบดันตัวเข้ามาในห้องเมื่อโอกาส
“อื้อ...อือ...”เสียงหวานดังประท้วงในลำคอ แต่แค่อึดใจเดียวก็เปลี่ยนเป็นเสียงครางแผ่ว คนตัวใหญ่นึกย่ามใจ ที่ตรงนี้เป็นที่ส่วนตัว มันเป็นห้องทำงานของเขา ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นภรรยาที่เขาได้มาด้วยการแต่งงาน มันจะเป็นไรไปหากเขาจะกอบโกยความหวานจากแม่เนื้อนวลในวินาทีนี้อารมณ์ดิบในกายใหญ่โหมพัดแรงจนร่างน้อยสั่นหวิว แข้งขาสั่นระริกจนคิดว่าเธอต้องทรุดกองบนพื้นอย่างแน่นนอนหากเขาไม่กอดรั้งเอาไว้ เนิ่นนานผ่านไป ร่างสาวก็อ่อนปวกเปียกอยู่ภายใต้วงแขนแข็งแรงความอุ่นร้อนจากริมฝีปากหยักค่อยๆ ถอยห่าง เรียวปากสวยยังเผยอค้างด้วยรู้สึกชาหนึบไปหมดแล้วเรียวนิ้วแข็งแรงแตะไล้ตรงริมฝีปากที่ขวัญรดาคิดว่ามันคงกำลังบวมเป่งด้วยแรงบด“หวานมาก อยากจูบขวัญตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว”ถ้อยคำกระซิบพร่าทำให้ขวัญรดาตื่นจากภวังค์หวาน ศีรษะทุยสวยผงะออกห่าง แต่เธอทำได้เพียงนิดเดียว เพราะถูกฝ่ามือใหญ่ตรึงท้ายทอยเอาไว้“คุณติณณ์...”“หืม...ว่ายังไง”ชายหนุ่มขานรับพร้อมกับโน้มดวงหน้าคมสันเข้าไปใกล้ ขวัญรดาเบี่ยงกายหนี แม้เธอจะท
ผิวกายขาวผ่องมองเห็นรอยจ้ำแดงๆ เกือบทั่วทั้งตัว ขวัญรดาเปลือยกายมองภาพสะท้อนทางกระจกในห้องน้ำ สัมผัสของติณณ์ไม่เบามือ แต่เธอกลับสนองตอบเขาทุกทีไปคิดไปก็เริ่มหวั่นตัวเอง ทำไมถึงชอบสัมผัสรุนแรงจากเขานักหญิงสาวยู่ปากคล้ายกับว่าเขามายืนอยู่ข้างหน้า ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำ เธอใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเท่าไรก็ไม่รู้ เมื่อออกมาแต่งตัว เปิดตู้เสื้อผ้าดู แล้วจึงเห็นเสื้อผ้าแบรนด์สวยที่เพิ่งซื้อมาอัดอยู่เต็มตู้แล้ว“ใครเอามาใส่”เสื้อผ้าแต่ละแบบแขวนคละกัน บางส่วนก็วางซ้อนทับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เด็กรับใช้ยังจัดให้เธออย่างเป็นระเบียบ แขวงเรียงราย หยิบจับง่าย แถมยังไล่ตามเฉดสีให้ด้วยขวัญรดาจัดเสื้อผ้าในตู้เสียใหม่ ไม่มีอารมณ์แง่งอนอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกว่าจะไม่แตะต้องเสื้อผ้าเซ็ตนี้แล้ว ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าลำลองของตนมาสวม แล้วลงไปหาเขาติณณ์นั่งอยู่ที่ศาลา บนโต๊ะมีแฟ้มเอกสารวางซ้อนอยู่ เขากำลังจดจ่อกับงาน ขวัญรดาชะโงกหน้ามองผ่านประตูแล้วตัดสินใจที่จะไม่รบกวนเขา…ทว่าอีกฝ่ายเห็นและเรียกเธอไว้เสียก่อน“ขวัญ มานี่สิ”
ร่างขาวนวลที่จุดสีแดงเรื่อไปทั้งตัวกำลังบิดเร่า ดวงหน้าสวยนิ่วเหยเกยามถูกร่างใหญ่โหมเข้าใส่อย่างไม่ผ่อนแรง เสียงครางหวานดังระงมเมื่อความสุขซ่านแล่นปราดจนแทบจุกอก คนร่างใหญ่คำรามเข้ม เขากำลังถูกความนุ่มนวลและฉ่ำหวานตอดรัดท่อนลำใหญ่ ชายหนุ่มเร่งจังหวะรักถี่กระชั้น ดุดัน และทรงพลัง เขาทำให้เธอหวีดร้องอย่างสุดจะเก็บกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้ สองมือหนาบีบเคล้นอกอวบสล้างที่กำลังกระเพื่อมไหวอย่างต้องการปลุกเร้าอารมณ์เพื่อส่งเธอแตะไปจุดปลายปลายรุ้ง เนื้อตัวของขวัญรดาสั่นระริก รับรู้ถึงลาวาร้อนที่กำลังพ่นเข้าสู่กายเธอ ติณณ์ทำให้เธอถึงจุดสุขสมอย่างรุนแรง เธอไม่อาจควบคุมตัวเอง เขาปรนเปรอจนเธอพบความสุขครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะปลดปล่อยตามเธอไป “หวานมากเมียรัก” คนร่างใหญ่บอกเสียงกระเส่า เขายังเคลื่อนไหวด้วยจังหวะเนิบช้าอยู่เหนือกายเธอ ใบหน้าสากระคายซุกไซ้ซอกคอนุ่ม สูดกลิ่นหอมละมุน ดูดเม้มผิวอ่อนจนเป็นรอยช้ำ “อื้อ...ขวัญเจ็บ” ขวัญรดาประท้วงเมื่อคนตัวใหญ่เคลื่อนตัวต่ำลงมา เขาขบเม้มฐานเต้าเต่งสล้างที่ยังปรากฏรอยแดงเป็นริ้วๆ จากแรงเฟ้นฟอนของเขา ติณณ์หยัดกายกลั
แค่รถจอดสนิท ขวัญรดาก็เอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าใบย่อมเดินเข้าไปในบ้าน ไม่สนใจถุงใส่เสื้อผ้าที่เพิ่งช็อปปิ้งมาเมื่อสักพักใหญ่ที่วางอยู่เต็มรถ และไม่ไยดีคนขับรถที่เร่งฝีเท้าตามเธอมาจากข้างหลัง“คุณขวัญกลับมาแล้วหรือคะ ไหนบอกว่าจะไปค้างหลายวัน”เสียงป้านิ่มนั่นเอง อารามดีใจที่เห็นหญิงสาวกลับมาทำให้นางโพล่งออกมาโดยไม่ทันได้คิด ติณณ์ตวัดสายตาขุ่นๆ ไปให้จนนางต้องรีบปิดปากเสียขวัญรดายืนรีรออยู่กลางบ้านชั่วขณะ ด้วยกำลังคิดว่าจะไปสงบสติอารมณ์ที่ไหนดี สุดท้ายเธอก็จ้ำฝีเท้าเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนที่ตนครอบครองตามลำพังมานานนับสิบวัน โดยไม่ลืมล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนา“ขวัญเปิดประตูสิ คุณล็อกห้องทำไม นี่มันห้องนอนของเรานะ”ติณณ์ทุบประตูปังๆ ส่งเสียงโวยวายอยู่ตรงหน้าประตู ขวัญรดาปล่อยให้เขาตะโกนเรียกนานนับนาที และเป็นเธอเองที่หมดความอดทน กระชากบานประตูเปิดแล้วข่มกลั้นอารมณ์บอก“ไม่มีห้องนอนของเราแล้วค่ะ ถ้าคุณจะใช้ห้องนี้ก็ไปเปิดห้องอื่นให้ฉัน หรือไม่ฉันก็กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ฉัน”ติณณ์รีบดันตัวเข้ามาในห้องเมื่อโอกาส
ไม่เกินครึ่งชั่วโมงถัดจากนั้น รถคันหรูก็แล่นไปบนชั้นจอดรถของโรงแรมที่กันพื้นที่ไว้สำหรับผู้บริหาร ก่อนเขาจะพาเธอเดินไปตามสกายวอร์กที่เชื่อมกับห้างสรรพสินค้า...มันเป็นห้างฯ ของครอบครัวของเขาและเป็นสถานที่ที่พ่อของเธอทำงาน ไม่เว้นแม้แต่ตัวเธอเองก็เคยทำงานที่นี่ด้วยบนชั้นสองของห้างฯ ทางฝั่งซ้ายมือเป็นโซนเสื้อผ้า ติณณ์จับจูงมือภรรยาสาวเข้าไปในร้านแบรนด์เนมร้านหนึ่งที่เธอเคยมาในฐานะคนติดตามพี่สาว“สวัสดีค่ะคุณติณณ์ ดีใจจังที่คุณติณณ์มาร้านของเรา มีอะไรให้แหวนรับใช้ก็บอกได้นะคะ”ผู้จัดการร้านตรงปรี่มาต้อนรับเมื่อเห็นลูกชายเจ้าของห้างฯ เข้ามาพร้อมหญิงสาว แม้จำฝ่ายหญิงไม่ได้ แต่คาดเดาจากท่าทางของทั้งสองคนก็รู้ได้ไม่ยากว่าเธอคงเป็นภรรยาของเขาที่เพิ่งเข้าพิธีแต่งงานกันอย่างเงียบๆ เมื่อไม่กี่วันก่อน“สวัสดีครับคุณแหวน ผมอยากได้เสื้อผ้าให้คุณผู้หญิง”“เสื้อผ้าแนวไหนคะ ชุดออกงาน ชุดลำลอง หรือชุดแบบทางการ”“ทุกแบบครับ ช่วยเลือกให้ผมอย่างละสามชุดก็แล้วกัน”“ยินดีค่ะ เชิญคุณผู้หญิงทางนี้ค่ะ ค
ติณณ์ตามขวัญรดาเข้าไปในห้องนอนบนชั้นสอง เขาตามเข้าไปได้ทันก่อนที่เธอจะปิดประตูเขาไม่รู้ว่าเธอเข้ามาทำไมและไม่รู้ด้วยว่าเธอจะกลับบ้านไปกับเขาหรือเปล่า เจ้าหล่อนยังปิดปากเงียบ ติณณ์รู้นิสัยนี้ของภรรยาเป็นอย่างดี นี่เป็นอีกเหตุผลที่เขาเลือกแต่งงานกับเธอ แต่ให้ตายเถอะ การนิ่งเงียบของเธอในคราวนี้มันกลับทำให้เขาอึดอัด“คุณทำอะไร?”ขวัญรดาถามพลางก้าวปราดไปหาคนร่างสูงที่กำลังเปิดตู้เสื้อผ้าของเธอ“เก็บเสื้อผ้าให้คุณ”โดยไม่พูดเปล่า ติณณ์หยิบเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวภายในตู้ออกมาหอบใหญ่ เสื้อผ้าที่เขาเห็นว่ามันมีอยู่ไม่กี่ชุดที่บ้านของเขา แท้จริงเป็นเพราะขวัญรดายังเก็บไว้ที่บ้านหลังนี้นี่เอง“ไม่ต้องเอาไป ฉันจะเก็บของของฉันไว้ที่นี่”“คุณแต่งงานแล้ว บ้านของคุณก็คือบ้านที่เราอยู่ด้วยกัน”เฮอะ! อยู่ด้วยกัน...ชะรอยสีหน้าของขวัญรดาคงบอกทุกความรู้สึกให้ติณณ์รู้โดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ“คุณก็รู้แล้วว่าผมไปทำงาน”“ฉันไม่ได้ว่าอะไรคุณค่ะ เราไม่เคยมีข้อตกลงอะไร
ลูกบิดประตูห้องดูภาพยนตร์ภายในบ้านถูกขยับ ก่อนที่บานประตูจะแง้มเปิด คนนั่งบนโซฟากำลังจดจ่ออยู่ที่หน้าจอทีวีซึ่งกำลังฉายซีรีส์เกาหลี เธอยังนิ่งเฉย ไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามาในห้องแล้วติณณ์มองศีรษะทุยสวยที่มีเส้นผมยาวปกคลุม ส่วนปลายผมดัดเป็นลอน เขายังจำสัมผัสยามสอดนิ้วสางกลุ่มผมได้ดีว่ามันนุ่มมือมากแค่ไหนชายหนุ่มยืนอยู่หลังประตูห้องหลายวินาที นึกเอะใจว่ามันดูแปลกๆ ที่ขวัญรดาไม่รับรู้ถึงการมาของเขา ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ ห้อง...ห้องนี้ไม่ใช่ห้องเก็บเสียง เมื่อกี้เธอน่าจะได้ยินเสียงเรียกของเขาแล้วไม่ใช่หรือ“ขวัญ” ตัดสินใจเรียกเธอออกไป ขวัญรดายังนั่งอยู่เช่นเดิม หากเขาสังเกตเห็นไหล่บางเกร็งขึ้นมาเล็กน้อยมือหนาร้อนผ่าววางบนลาดไหล่มน หญิงสาวสะดุ้งน้อยๆ คราวนี้ถึงคราวนี้เธอขยับตัวออกห่าง เขาจึงปล่อยมือจากเธอ“ผมมารับคุณ”“คุณทำงานเสร็จแล้วหรือคะ”เธอดูเกร็งๆ ติณณ์หรี่ตามอง นึกสงสัยว่าตนเองกลับมาแล้ว แต่ทำไมภรรยาถึงไม่ดีใจ แล้วทำไมเธอถึงมีท่าทางระมัดระวังตัว“ขวัญหมายความว่ายังไง”“คุณไป
“มีปัญหากับติณณ์หรือเปล่า แต่งงานได้ไม่กี่วัน เธอก็มานอนค้างที่บ้าน แล้วเมื่อวานทั้งวันติณณ์ไม่รู้เหรอว่าเธอไม่อยู่บ้านโน้น เมื่อกี้เขาถึงโทร.ตามหาเธอให้วุ่น”“ช่วงนี้คุณติณณ์ทำงานยุ่งน่ะค่ะ”“ยุ่งยังไง? เมียหายไปทั้งคืน บ่ายวันนี้เพิ่งโทร.ตามหา”คนถูกคาดคั้นเม้มริมฝีปากจนแก้มป่อง ติณณ์ทิ้งเธอไปตั้งสิบกว่าวัน แต่พี่สาวกลับมองเหมือนเธอเป็นคนผิดที่กลับมานอนบ้านพ่อแม่แค่วันเดียวขวัญรดารอคอยติณณ์กลับมาบ้านอย่างใจจดใจจ่อ โทรศัพท์จากเขาก็ไม่เคยมีมาหา เธอรอเขาจนครบสิบวัน วันนั้นเธอตื่นตั้งแต่เช้ามืดด้วยความตื่นเต้น แต่งหน้าแต่งตัวอย่างประณีต พอช่วงสายก็เข้าครัวช่วยแม่ครัวทำอาหาร เธอตั้งใจจะต้อนรับเขากลับบ้าน แต่รอทั้งวันกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเจ็บปวดหัวใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไร เธอไม่กล้าเล่าเรื่องน่าอายนี้ให้ใครฟัง เพราะแค่คนในบ้านมองเธอด้วยสายตาสงสาร ขวัญรดาก็เวทนาตัวเองจะแย่อยู่แล้ว“เมื่อกี้เขาโทร.มาตามคุณขวัญ แต่คุณก็กีดกันไม่ให้เขาคุยกัน คุณขวัญยังไม่ทันตอบเลยว่าจะคุยกับสามีของเขาหรือเปล่า คุณก็สวมบทตัว
ติณณ์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทร.ไปหาหญิงสาว เขารอสายอย่างใจจดใจจ่อ นานจนสายเกือบจะตัดไป คนปลายสายถึงตอบรับกลับมา…หากนั่นไม่ใช่เสียงของเธอ“สวัสดี”“เบอร์ขวัญหรือเปล่าครับ”“ใช่ นายโทร.มาหาน้องสาวของฉันทำไม มีธุระอะไร”ติณณ์พ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก เมียอยู่กับพี่สาวของเธอ...แต่ยังมีความขุ่นใจเจือมาอีกหน่อย ตรงที่น้ำเสียงของคนรับสายตั้งท่าจะหาเรื่องเขานี่แหละ“ภัสเหรอ ขวัญอยู่กับภัสใช่ไหม”“ใช่”“ฉันขอคุยกับขวัญหน่อย”“ขวัญกำลังคุยกับเพื่อน ไม่สะดวกคุยกับนาย”“ขวัญอยู่ที่ไหน? แล้วทำไมถึงทิ้งโทรศัพท์ไว้กับเธอ”“ขวัญก็อยู่ที่บ้าน แต่เพื่อนของเขามาหา พวกเขากำลังเมาท์กัน นายอย่าไปทำลายความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของน้องสาวฉันเลย”รู้ว่าถูกรวนเข้าแล้ว ติณณ์จึงพยายามข่มอารมณ์โมโหไม่ให้พุ่งออกมา ภัสสราเป็นเพื่อนวัยเด็กของเขา เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนตั้งแต่ประถมยันมัธยมต้น แม่คนนี้เป็นจอมวายร้าย...ต่างกับคนเป็นน้องสาวลิบลับ