ราตรีนี้เป็นวันแรกที่ฟู่หยวนเพ่ยถวายตัว...นางเป็นน้องสาวของลี่เฟย ฟู่หยวนฉุน พระสนมที่พระองค์โปรดปราน บัดนี้สามปีผ่านพ้น อีกทั้งลี่เฟยที่กำลังตั้งครรภ์ประสงค์ให้คนในครอบครัวอยู่ดูแล ตระกูลฟู่จึงได้ส่งนางเข้าวังฟู่หยวนเพ่ยภายนอกดูเหมือนคุณหนูในห้องหอทั่วไป คราแรกที่ได้พบ ใบหน้าเรียวขาวดังไข่ปอก ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร เกล้ามวยปักปิ่นดอกอวี้หลัน ประดับที่ติดผมรูปดอกมะลิบานสะพรั่ง สวมชุดฮั่นฝูสีเขียวหิมะครามทอประกายนุ่มนวล ทำให้นางดูเรียบร้อยอ่อนหวาน ต่างกับลี่เฟยที่ดูสดใสเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาชั่วชีวิตของพระองค์พบพานสาวงามอ่อนหวานมานับไม่ถ้วน เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ชวนให้เบื่อหน่าย อยากกลับไปตำหนักชุนชิวที่ลี่เฟยกำลังรออยู่ความคิดของพระองค์ไม่ทันขาดห้วง เหล่าขันทีก็แบกม้วนผ้าห่มสีแดงปักลายเข้ามาในห้อง คล้ายเปาะเปี๊ยะใหญ่ยักษ์ชิ้นหนึ่ง มาวางบนแท่นบรรทม มีศีรษะของฟู่หยวนเพ่ยโผล่ออกมา ใบหน้าของนางเรียบเฉย ไร้แววเขินอายอย่างที่พึงมีหวงตี้ถอนหายใจเฮือก พระองค์พลิกวรกายนอนตะแคงข้างมองนาง มือเรียวดึงผ้าห่มออกจากตัวนางอย่างระมัดระวังโดยที่นางเองให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นางลุกขึ้นนั่ง แสงเทียนนวล
ฟู่หยวนเพ่ยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจถวายตัวแล้ว จึงกลับตำหนักชุนชิวที่พี่สาวของนางพักอยู่ เนื่องจากเป็นพระประสงค์ของลี่เฟยที่ต้องการให้น้องสาวอยู่ใกล้ๆ หวงตี้ จึงมีรับสั่งให้ยกเรือนฝั่งปีกซ้ายของตำหนักชุนชิวให้เป็นที่อยู่ของนาง เด็กสาวเดินเข้าไปยังภายในโดยไม่ลืมไปยังตึกฝั่งปีกขวาของตำหนักเพื่อคารวะลี่เฟยที่มีศักดิ์สูงกว่าตามธรรมเนียม ที่นั่นลี่เฟยหรือฟู่หยวนฉุน พี่สาวของนางกำลังจะเสวยมื้อเช้าอยู่พอดี“ถวายพระพรพระสนมเพคะ”ลี่เฟยลุกขึ้น เผยให้เห็นครรภ์นูนกลมวัยห้าเดือนของนาง ลี่เฟยผู้นี้ใบหน้านวลผ่องแจ่มใส สวมชุดสีเขียวอ้ายฉ่าว[1] ปักลายกรอบล้อมบุปผา ทาแป้งแต้มชาดสีเฟิ่นหงหอมละมุน ตรงบริเวณหน้าผากติดฮวาเตี้ยน[2]ตามสมัยนิยม แม้จะมีองค์รัชทายาทอยู่ในครรภ์ แต่ก็ยังไม่สิ้นไร้ซึ่งความงาม ตรงข้ามวันนี้นางกลับดูงดงามเฉิดฉายกว่าทุกๆ วันด้วยซ้ำ แม้กระทั่งเสียงที่เรียกหยวนเพ่ยนั้นก็หวานนุ่มนวล อย่าว่าแต่หวงตี้เลย สตรีแม้ได้ยินก็ใจอ่อน“พระสนมอันใด เราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ลุกขึ้นเถิด”ฟู่หยวนเพ่ยลุกขึ้น ก่อนปล่อยให้ลี่เฟยที่เดินมาหาจูงมือนางเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่มีสำรับอาหารน่ากินวางรออยู่หลายจาน ก่อนที
ฟู่หยวนเพ่ยใช้เวลาอึดใจหนึ่งทำความเข้าใจกับที่บุรุษตรงหน้าเอ่ยขึ้นมา "ให้หม่อมฉันใช้เท้าเหยียบพระองค์หรือเพคะ?"อีกฝ่ายพยักหน้า "เหยียบเรา แบบที่เจ้าทำเมื่อสองวันก่อน"ทีแรกพระองค์นอนปวดกายอยู่บนเตียง ขยับไม่ได้แม้เพียงปลายนิ้ว แม้พยายามขยับก็ปวดร้าวแทบขาดใจ ไม่นึกเลยว่าตนเองต้องมีสภาพน่าสมเพชอยู่ถึงสามวันเต็ม ในระหว่างที่นอนรักษาตัว ในใจก็นึกหาวิธีแก้แค้นฟู่หยวนเพ่ยที่ทำให้เขาต้องมานอนซมเช่นนี้ด้วยวิธีใดให้สาสม พระองค์จะปลดนาง! ทรมานนาง! โบยนาง! ตบปากนาง! สารพัดวิธีที่ล่องลอยอยู่ในหัวรอวันที่พระองค์หายดีแล้วจะไปประกาศโทษต่อหน้านางด้วยพระองค์เองแต่ใครจะคาดคิดว่าล่วงเข้าวันที่สี่ ร่างกายที่เมื่อยล้ากลับโปร่งโล่งเบาสบาย อาการเจ็บปวดหัวไหล่ที่เคยเรื้อรังกำเริบเป็นระยะพลันหายเป็นปลิดทิ้ง ซ้ำยังกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่าถึงขนาดไปซ้อมกระบี่ยิงธนูที่สนามฝึกอยู่ชั่วยามหนึ่งจึงมาหาฟู่หยวนเพ่ยที่ตำหนักชุนชิว หมายให้นางนวดแบบนั้นอีกครั้ง เพื่อที่พระองค์จะได้หายขาดจากโรคภัยทั้งปวงแต่คำตอบที่นางให้พระองค์คือคำปฏิเสธเรียบๆ"ไม่ได้เพคะ"ครานี้ทำเอาหวงตี้พระพักตร์ตึงขึ้นมา"ทำไม?""การนวดเมื่อสอง
การที่หยวนเพ่ยเอ่ยออกมาเช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เรื่องราวของนางไปบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยไม่จำเป็น เคยมีคนกล่าวว่า แม้ผีเสื้อขยับปีกย่อมเกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถ้าเกิดว่าวิชาของนางทำให้ประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยนไป ตัวนางเองหรือแม้แต่คนอื่นๆ บนภพภูมิที่จากมา อาจได้รับผลกระทบที่น่าหวาดหวั่นตามมา นางคิดเพียงว่าแค่ได้กลับมาเกิดใหม่ที่สุขสบายเช่นนี้ ก็นับว่าดีมากเหลือเกินแล้ว ไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวอีกในเมื่อหวงตี้ยังคงรักษาสัญญา วิถีชีวิตของหยวนเพ่ยก็ราบเรียบดังปกติ นางเอาแป้งที่นวดไว้มาปั้นเป็นก้อนกลมแล้วใช้ไม้แผ่เป็นแผ่นบาง ใส่เนื้อหมูสับปรุงรสด้วยขึ้นฉ่าย ซีอิ๊ว น้ำมันงา น้ำตาล พริกไทย ตามด้วยตักน้ำที่ต้มหนังหมูทิ้งให้เย็นจนกลายเป็นก้อนวุ้นตามลงไป จับจีบให้สวยเหมือนซาลาเปาลูกเล็ก นำไปนึ่งบนลังถึงให้ร้อน กลายเป็นเสี่ยวหลงเปา จากนั้นนางจึงยกไปให้ลี่เฟยเพื่อว่าจะนำไปกินเป็นของว่างยามบ่ายด้วยกันเมื่อไปถึงก็เห็นว่าลี่เฟยวันนี้เองก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก ได้ยินว่าหลังจากหวงตี้อยู่ประทับที่ตำหนักของนาง อีกทั้งยังพระราชทานแพรพรรณและเครื่องประดับมาอีกจำนวนหนึ่ง ราวกับประกาศให้รู้ว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับผู้ใดม
เผือกร้อน! สิ่งของเหล่านี้คือเผือกร้อนชัดๆฟู่หยวนเพ่ยครุ่นคิดขณะที่เดินนำขันทีคนสนิทของหวงตี้นำถาดเครื่องประดับมูลค่ามหาศาลตรงไปยังห้องทรงพระอักษรนางอยู่อย่างสงบแล้วแท้ๆ พอใจกับความเป็นอยู่ในตอนนี้แล้ว พระองค์โปรดอย่าได้โยนอาจมมาให้นางเลยใช้เวลาเดินไม่นานนักก็มาถึงตำหนักใหญ่ รอให้ลี่กงกงเป็นผู้ประกาศการมาของนางให้โอรสสวรรค์ทรงทราบ เพื่อพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าพบทีแรกฟู่หยวนเพ่ยคิดว่าพระองค์จะปฏิเสธไม่ให้นางเข้าพบ ทว่าหวงตี้กลับทรงให้เข้าพบโดยไม่มีเงื่อนไข นางได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปทันทีเมื่อเดินผ่านโถงทางเดินกว้างขวาง มีตะเกียงแปดเหลี่ยมประดับพู่สีทองเพื่อให้ความสว่างไสวในยามค่ำคืน อีกทั้งยังมีชั้นหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยตำราและม้วนคัมภีร์หลากหลาย บ้างเป็นคัมภีร์โบราณหายาก บ้างเป็นหนังสือวิพากษ์วิจารณ์จากปัญญาชนเนื่องจากหวงตี้โปรดใช้เวลาว่างในการทรงอักษรเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม และตรวจสอบเรื่องราวภายนอก ที่นั่น หวงตี้หนุ่มกำลังร่างราชโองการบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่เมื่อเห็นหยวนเพ่ยเข้ามา พระองค์ก็หยุดมือและยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าพระหนุ"นับว่ามาเร็วอย่างที่เราคาดกา
ฟู่หยวนเพ่ยครุ่นคิดอยู่ตลอดทั้งวัน รู้ตัวอีกทีก็เป็นยามซวี[1]ซึ่งเป็นเวลาหลังจากหวงตี้สวดมนต์เป็นจริยาวัตรเสร็จ เวลาต่อจากนั้นเป็นเวลาเข้านอนเด็กสาวถูกห่อตัวด้วยผ้านวมหนาเดินทางมายังตำหนักใหญ่ เนื่องจากเป็นการถวายงานอย่างเป็นทางการที่มีการลงไว้ในบันทึกแดง ฟู่หยวนเพ่ยถูกแบกมาในท่านอนหงาย จึงเห็นใบหน้าหวงตี้ที่กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าที่ดูสงบผ่อนคลายนั้นดูน่ามองไม่น้อยทีเดียวเหล่าขันทีวางตัวนางนอนลงข้างเขา จากนั้นจึงออกไปอย่างรู้หน้าที่ เขาวางหนังสือแล้วพลิกกายตะแคงข้าง เท้าแขนข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ชายหนุ่มอมยิ้มราวกับขบขันที่เห็นนางโดนห่อราวกับเปาะเปี๊ยะเช่นนั้นนานจนหยวนเพ่ยทำหน้ามุ่ย ใช่ว่าอยู่แบบนี้จะสบายตัวเสียเมื่อไหร่ สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“ถ้าหม่อมฉันถูกมัดเช่นนี้จะถวายการนวดได้อย่างไรเล่าเพคะ”“อึดอัดรึ? โกรธรึ?” เขาเอานิ้วจิ้มแก้มนางอย่างหยอกล้อ “คืนแรกทำเราระบมไปสามวันสามคืนเช่นนี้ก็ขอเอาคืนเสียหน่อยสิ”“เช่นนั้นพระองค์ก็เชิญจิ้มตามสบายเลยเพคะ หม่อมฉันจะนอนทั้งแบบนี้จนถึงเช้า” หยวนเพ่ยว่าพลางหลับตาลง แสร้งไม่รู้สึกรู้สาสิ่งที่โอรสสวรรค์กำลังทำเมื่อเห็นท่าทีเ
หลังกลับจากตำหนักใหญ่ในช่วงบ่าย นอกจากเครื่องประดับและแพรพรรณเป็น ‘ค่าจ้าง’ ในการถวายงานเป็นที่พอพระทัยแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าฟู่หยวนเพ่ยไม่มีนางกำนัลรับใช้เป็นของตนเอง มีแต่นางกำนัลของลี่เฟยที่นางแบ่งมาให้เรียกใช้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะให้เป็นแบบนี้ก็ไม่สมฐานะสตรีชั้นสูงที่ถวายงานฝ่าบาทอย่างเป็นทางการถึงสองครั้งสองคราพระองค์จึงส่งนางกำนัลมาให้สองคนคือ หยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน ทั้งสองเป็นพี่น้องที่เข้าวังมาพร้อมกัน รูปร่างหน้าตางดงามเฉลียวฉลาดอ่อนโยน อีกทั้งยังทำงานได้หลายอย่างและทำได้ดี เดิมเคยเป็นนางกำนัลที่ถวายงานฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์ ดังนั้นข่าวหวงตี้พระราชทานนางกำนัลให้จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่ววังหลวงครานี้จากสิ่งของเป็นคนเป็นๆ...ฟู่หยวนเพ่ยไม่อาจยกพวกนางกลับไปถวายคืนฝ่าบาทได้อย่างคราวเครื่องประดับอีก จึงจำใจรับสองอนงค์นางเป็นนางกำนัลรับใช้ส่วนตัวในที่สุดด้วยความที่ทั้งในชาติก่อนและชาติปัจจุบันนี้หยวนเพ่ยก็ไม่เคยมีสาวใช้ข้างกาย จึงถนัดการทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่อยู่ตระกูลสาขา แม้เข้ามาอยู่ในวังมีบางครั้งที่นางกำนัลของลี่เฟยไม่อาจมาอยู่รับใช้ได้ นางก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใ
ระหว่างที่หยวนเพ่ยและนางกำนัลคนใหม่กำลังอยู่ในอุทยาน ฟู่หยวนฉุนที่อยู่ตำหนักปีกขวากำลังปักตุ๊กตารูปเสือ ของเล่นซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้ชาย ตุ๊กตาสีแดงสด ริมฝีปากยกแยกเห็นเขี้ยวและหนวดน่าเอ็นดู นางคิดถึงเรื่องเมื่อวานพลางลูบครรภ์ของตนอย่างทะนุถนอมรักใคร่เมื่อวานนี้ฟู่ฟูเหรินผู้เป็นมารดามาเยี่ยมนาง นางนำเครื่องรางและกวนอิมประทานบุตรมาจากวัดโฝกวางในซานซี พร้อมพาหมอตำแยที่เชี่ยวชาญการตรวจครรภ์เป็นอย่างดี หลังจากสังเกตครรภ์ของนางก็ให้คำยืนยันว่า ท้องนี้ของนางเป็นโอรสอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าครรภ์ของลี่เฟยจะเข้าเดือนที่เจ็ดซึ่งพ้นช่วงระยะอันตรายไปแล้วก็ตาม อย่างไรเสียก็ไม่ควรวางใจ ถ้าคิดอ่านจะทำสิ่งใด ขอให้เป็นหลังจากคลอดแล้ว ขอให้นางทำใจให้สบาย เช่นนั้นนางจึงวางความคิดจากแผนการทุกอย่าง แล้วทุ่มเทเวลาไปกับการบำรุงครรภ์และทำงานฝีมือ เพื่อต้อนรับโอรสองค์แรกในรัชกาลของถังหวงตี้องค์นี้ที่กำลังจะเกิดมาในไม่ช้าฝ่ายในของถังหวงตี้ เนื่องจากหวงโฮ่วสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่เป็นหวงไท่จื่อเฟย[1] ตอนนี้เฉาเหลียงตี้ [2] ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เฉากุ้ยเฟย หวงตี้ทรงมอบหมายให้เป็นผู้ปกครองฝ่ายในทั้งหมด โดยม
แต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติก่อน นางเป็นคนชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับสมุนไพรหรือการนวดแผนโบราณแขนงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายงาน ดังนั้นตำราที่ได้จากฉู่หวางจึงเป็นของขวัญที่ดีที่สุดของหยวนเพ่ยหลังจากได้หนังสือแล้ว เด็กสาวจะใช้เวลาช่วงที่หวงไท่โฮ่วบรรทมในช่วงกลางวันประมาณหนึ่งชั่วยาม แต่เพียงแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้นางค่อยๆ ละเลียดเนื้อหาในตำราได้อย่างมีความสุข"อืม...ถ้าลองให้ฝ่าบาทกำหนดลมหายใจขณะนวด อาจจะช่วยลดความเจ็บปวดลงได้มาก" เด็กสาวพึมพำ ขณะลองสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ตามคำแนะนำในหนังสือ หวงไท่โฮ่วที่ตื่นบรรทมพอดีได้ยินเด็กสาวทำเสียงงึมงำ จึงเอ่ยขึ้น"ทำแบบนั้นแล้วจะลดความเจ็บปวดได้จริงหรือ""อาจมีส่วนเพคะ การกำหนดลมหายใจก็เฉกเช่นเดียวกับการทำสมาธิเจริญสติในพุทธศาสนา ถ้าเรามีสติ รู้ว่ากำลังเกิดอันใดขึ้น ก็จะทำให้อาการที่เกิดขึ้นเหล่านั้นบรรเทาลงไปได้เพคะ" หยวนเพ่ยอธิบาย"อีกอย่างในหนังสือเล่มนี้ยังบอกอีกว่า การกำหนดลมหายใจยังใช้ในกรณีที่มีอารมณ์โกรธได้อีกด้วยเพคะ เวลาโกรธให้หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ ช้าๆ ทำแบบนี้อีกสี่ถึงห้าครั้ง จะช่วยได้เพคะ"หวงไท่โฮ่วพยักหน้าร
หยวนเพ่ยไปถึงตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้ามืด นางตรงเข้าไปถวายพระพรหวงไท่โฮ่วที่กำลังง่วนกับการทำงานเย็บปักไม่วางตา พระนางเพียงพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่ได้เอ่ยสนทนา อีกทั้งไม่ได้หันมามองนางด้วย ซึ่งตรงนี้หยวนเพ่ยเข้าใจดีว่า ในช่วงหลังหวงไท่โฮ่วทรงเร่งปักกวนอิมพันมือพันตาเพื่อให้ทันช่วงวันประสูติของโพธิสัตว์กวนอิม (ประมาณวันที่ 19 เดือน 2 ตามปฏิทินจีน) ทำให้ช่วงนี้พระนางเสวยอาหารผิดเวลาไปมากหยวนเพ่ยจึงปรึกษากับเชียนอิงที่เป็นกูกูรับใช้ไท่โฮ่วเรื่องเครื่องเสวย นางจึงแนะนำว่าควรเป็นอาหารที่สามารถถือกินได้และอิ่มท้อง สามารถผละจากงานปักมาเสวยได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก อย่างน้ำเต้าหู้ที่ใส่ธัญพืชหรือหมั่นโถว ส่วนมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น แนะนำว่าให้ทางห้องเครื่องหลวงปรุงให้สุกเพียงเจ็ดหรือแปดส่วน จากนั้นเมื่อใกล้ถึงเวลาที่หวงไท่โฮ่วจะเสวย ก็ให้ทางห้องเครื่องของตำหนักคุนหนิงปรุงเสียให้สุก ทำเช่นนี้จะทำให้ได้อาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ โดยไม่เสียรสชาติของอาหารหลังจากที่หารือเรื่องอาหารเสร็จสิ้น ฉู่หวางที่เดินทางมายังตำหนักคุนหนิงก็เป็นช่วงสายแล้ว วันนี้เขาสวมชุดสีขาวพระจันทร์ปักปิ่นหยกขาวมันแพะ เกล้ามวยสวมกวานที่
“จื่อหาน เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่”หวงตี้เอ่ยขณะที่ผู้เป็นอนุชารายงานเหตุการณ์ในชายแดน ชายหนุ่มผู้ถูกเอ่ยถึงก็อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ เขาล้วงม้วนคัมภีร์ม้วนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเอ่ย“อาจเป็นเพราะคัมภีร์เล่มนี้พ่ะย่ะค่ะ มันคือคัมภีร์ปธังชลี เป็นตำราที่เกี่ยวกับการกำหนดลมหายใจผสานกับการยืดเส้นสาย กระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นของทางเซินตู (อินเดีย) กระหม่อมเลยคิดจะหาคนที่เชี่ยวชาญภาษาของเซินตูมาแปลเป็นภาษาจีน ส่งไปให้ทางหมอหลวงศึกษาค้นคว้า จากนั้นจึงค่อยเผยแพร่สู่ชาวประชา”“...แล้วเกี่ยวอันใดกับการที่ต้องมาสังเกตการณ์ข้าในห้องบรรทมมิทราบ?”“กระหม่อมฟังจากที่เสด็จพี่และหยวนเพ่ยเล่าให้ฟัง คิดว่าการนวดของหยวนเพ่ยมีส่วนคล้ายกับวิชาในตำรานี้ไม่น้อย กระหม่อมเลยอยากเห็นวิชาของอู่ฝอซื่อเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาสักครั้ง” ชายหนุ่มอธิบายไหลลื่น “ฝ่าบาทตรัสเองว่ามิได้มีอันใดฉันชู้สาวกับนาง นางเองก็ต้องรักษาสัตย์ที่ให้ไว้กับลี่เฟย เช่นนั้นไม่น่าจะมีอันใดให้เสด็จพี่ต้องอาย”“แต่...เสียง...” หวงตี้ฟังแล้วคล้อยตามหลายส่วน เรื่องนวดพระองค์ไม่คิดปิดบังหรอก ออกจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ แต่เรื่องเสียงนี่สิ...“
"หวางเย่..." เชียนอิงคุกเข่าเตรียมถวายบังคม แต่มือใหญ่กลับยกขึ้นปรามเอาไว้ ไม่ช้าฝีเท้าเงียบกริบก็เดินเข้ามาประชิดหยวนเพ่ยทางด้านหลังท่าทางของเด็กสาวตรงหน้าดูมีสมาธิจดจ่อกับงานตรงหน้าแต่เพียงอย่างเดียว เขาจึงตัดสินใจกระแอมเบาๆ เป็นการเรียกนางไปในตัวหยวนเพ่ยสะดุ้งน้อยๆ แต่นางกลับสนใจในท่าทีของหวงไท่โฮ่วว่าจะตกใจกับเสียงที่เกิดขึ้นจากแขกไม่ได้รับเชิญหรือไม่ เมื่อเห็นว่าพระนางยังบรรทมดี นางจึงหันมามองเขาชายหนุ่มร่างสูงสวมชุดสีขาว สวมเสื้อสีฟ้าที่มีสาบเสื้อสีเขียวแก่ปักลายด้วยด้ายทอง เรือนผมที่ปกติเกล้ามวยสวมกวานกลับมัดรวบเพียงครึ่งศีรษะ ปล่อยผมที่เหลือยาวสยายเข้ากับใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้มคมคายแบบที่รู้กันในชื่อ คิ้วกระบี่ ใบหน้านั้นก็มีส่วนคล้ายหวงตี้อยู่หลายส่วนหยวนเพ่ยกะพริบตาปริบ สบตาเขาโดยไม่หลบลี้ ส่วนเขานั้นดูมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นนาง "นี่เจ้า...เหลียงเจียของเสด็จพี่?"ยังกล่าวมิทันจบประโยค หยวนเพ่ยก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปากเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบลง "เงียบหน่อยเพคะ เดี๋ยวไท่โฮ่วจะตื่นบรรทม"ไม่รู้เหตุใดชายหนุ่มตรงหน้าจึงยอมปิดปากเงียบ เขามองเด็กสาวเก็บงานฝีมือใส่ในแขน
หลังจากหยวนเพ่ยแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงเป็นช่วงเวลาเสวยพระกระยาหารในช่วงกลางวัน โดยมีหยวนเพ่ยกับเชียนอิงคอยปรนนิบัติ ระหว่างนั้นหวงไท่โฮ่วก็ซักถามหยวนเพ่ยอีกเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องที่นางถนัดที่สุด พอบอกไปพระองค์ก็แย้มสรวล บอกเพียงว่าพระนางไม่ค่อยโปรดให้ผู้อื่นแตะเนื้อต้องตัวเท่าใดนัก โดยเฉพาะการนวด จะรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว อาจพลั้งมือทำร้ายบาดเจ็บได้"หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ" หยวนเพ่ยยิ้มบางน้อมรับความเห็น นางทราบดีว่าคนทุกคนใช่ว่าจะชอบการนวด"เช่นนั้นเจ้าทำอะไรได้อีกบ้าง" พระองค์ดื่มชาตบท้าย จากนั้นจึงบ้วนพระโอษฐ์และยกผ้าเช็ดหน้าซับ"ตอนอยู่ที่บ้าน หม่อมฉันได้รับการสอนสั่งจากท่านแม่เรื่องทำอาหาร เย็บปักถักร้อย ทำความสะอาด ส่วนท่านพ่อถ้าว่างจากงานจะสอนหม่อมฉันเขียนอักษร และเล่าเรื่องสถานที่และผู้คนที่ท่านได้ไปซ่อมแซมสร้างถนนเพคะ""ทำอาหาร? ทำความสะอาด? คุณหนูรองสกุลฟู่เช่นเจ้าน่ะหรือ""บิดาหม่อมฉันเป็นตระกูลสาขาของสกุลฟู่ ดังนั้นความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตมิอาจเทียบตระกูลหลักได้ อะไรประหยัดได้ก็ประหยัด อะไรทำเองได้ก็ทำเพคะ" หยวนเพ่ยตอบขณะที่นำจานชามเก็บใส่ถาดส่งให้นางกำนัลหวง
หลังจากส่งลี่เฟยกลับตำหนัก งานเลี้ยงก็ดำเนินต่อไปอีกประมาณชั่วยามครึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมทั้งที่เสียงดนตรีร่ายรำขับร้องไพเราะงดงาม จากนั้นหวงตี้จึงเสด็จกลับพร้อมพาฟู่หยวนเพ่ยกลับไปด้วย ทั้งยังออกปากให้นางค้างที่ตำหนักใหญ่ ไม่ต้องกลับตำหนักชุนชิวช่วงหลังตำหนักใหญ่นี้ถือเป็นบ้านหลังที่สองของหยวนเพ่ยไปโดยปริยาย แม้ในใจจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนักก็ตาม นางก็ไม่ได้สนุกนักหรอกที่มีสายตาแปลกๆ ของบรรดาสนมและนางกำนัลมองมาเวลาอยู่ที่นั่นหวงตี้ก็รู้ดีว่าการที่นางอยู่ที่นั่นมีแต่จะเชื้อเชิญศัตรูเข้ามาหา ซึ่งเหตุการณ์วันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ถึงแม้จะจบลงด้วยดี แต่ก็ใช่ว่าความแค้นที่ลี่เฟยมีต่อนางจะสงบราบคาบลง ชีวิตของนางหลังจากนี้ต่อไปคงต้องระวังทุกย่างก้าวให้มากกว่าเดิมใช่ว่าเธอจะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ชาติก่อนหยวนเพ่ยเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง จากนั้นพอทำงานที่ร้านนวดแผนไทยแห่งหนึ่งก็เก็บเงินเรียนการนวดเพิ่มเติมจากวัดอู่ฝอซื่อเพื่อเอาวุฒิเข้าทำงานที่สปาในโรงแรมห้าดาวเธอคิดว่าตนเองหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ ไม่ขี้ริ้ว แต่ก็ไม่ได้สวยอะไรมาก ด้วยบุคคลจำนวนหนึ่งที่เอาการนวดมาผ
เมื่อถึงยามอุ้ย ฟู่หยวนเพ่ยยกถาดมาใบหนึ่งเดินตรงมายังห้องทรงพระอักษร ที่นั่นหวงตี้กำลังนั่งอยู่ พลางเอานิ้วนวดคลึงหัวคิ้ว สีหน้ากลัดกลุ้มอย่างยิ่ง"ฟู่หยวนเพ่ยถวายบังคมฝ่าบาท""เพ่ยเอ๋อร์หรือ? มานี่สิ ข้ากำลังปวดหัวทีเดียว" เขากวักมือเรียกนาง นางจึงรีบเดินมาหาเขา"เสวยมื้อกลางวันหรือยังเพคะ?"เขาส่ายหน้า "ข้าเพิ่งอ่านฎีกาเสร็จ ระหว่างนั้นแค่ดื่มน้ำชาไปสองถ้วย""เช่นนั้น ลองเสวยขนมที่หม่อมฉันทำมาเสียหน่อยเถิดนะเพคะ เสวยเสร็จหม่อมฉันจะถวายการนวดให้" หยวนเพ่ยเอ่ยแล้วส่งถ้วยขนมให้ เมื่อเปิดออกมาก็เจอขนมที่เขาไม่คุ้นเคย ในนั้นมีลิ้นจี่ดองน้ำเกลือที่ปอกเปลือกคว้านเมล็ดออกอย่างพิถีพิถัน ใส่น้ำแข็งทุบเป็นเกล็ด ราดน้ำเชื่อม แต่ที่แปลกคือมีจื่อสือขูดละเอียด ขิงซอย และหอมเจียวโรยหน้า"นี่ขนมอะไร""เรียกว่า ส้มฉุน เพคะ" เด็กสาวเอ่ย "เป็นขนมที่บ้านเกิดหม่อมฉัน เวลากินต้องกินเครื่องทุกอย่างพร้อมกัน รสชาติหอมหวานชื่นใจ กินแล้วหายเหนื่อยเป็นอย่างดีเพคะ""เช่นนั้นหรือ?" เขาเปรย พลางตักขนมขึ้นมา แล้วเคี้ยวช้าๆ "รสชาติหอมหวาน ไม่น่าเชื่อว่าลิ้นจี่ดองจะเข้ากับขิง ผิวส้มซ่า โดยเฉพาะหอมแดงทอดน้ำมันนี้""ตอ
เพื่อไม่ให้เหล่านางกำนัลและขันทีครหาหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน หลังจากเล่นทาเล็บประดับเล็บจนพอใจ ก็เดินกลับมายังตำหนักของตน จังหวะเดียวกับที่ทางฝ่ายห้องเครื่องส่งอาหารพระราชทานมายังตำหนักพอดีอาหารพระราชทานที่หวงตี้ให้นางนั้นมีสิบอย่าง ซึ่งมาจากรายการเครื่องเสวยหนึ่งในสามที่ฝ่าบาทเสวยในมื้อนั้น ทั้งหมดมีสามมื้อ ล้วนเป็นอาหารที่หารับประทานได้ยาก การจัดแต่งสวยงาม รสชาติล้ำเลิศ ถ้าไม่โปรดปรานหรือทำความดีความชอบมากมายย่อมไม่มีวาสนาเช่นนี้แน่หยวนเพ่ยแม้จะหิวมากมายเพียงใด แต่กินได้ไม่เท่าไรนักก็อิ่มตื้อ ซึ่งตามธรรมเนียมต้องเททิ้งทั้งหมดไม่เก็บไว้ แต่ด้วยความเสียดายและอยากให้คนของนางได้กินของดี จึงได้สั่งให้หยุนรุ่ยและเมิ่งหลานแบ่งใส่จานเล็กเก็บไว้เพื่อให้พวกนางได้กินภายหลัง ความเอื้อเฟื้อของฟู่หยวนเพ่ยเป็นสิ่งที่พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งเวลาผ่านไป พวกนางสองคนก็เริ่มประทับใจกับนายสาวผู้นี้มากขึ้นจิตใจดี งดงาม ไม่ถือตัว ทั้งยังปฏิบัติกับข้ารับใช้เยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง นับเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับผู้ต้องอยู่รับใช้ในวังหลวงแห่งนี้แล้วเวลาในวังหลวงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความโปรดปรานของหวงตี้ที่มีต่อฟู่หย
ระหว่างที่หยวนเพ่ยและนางกำนัลคนใหม่กำลังอยู่ในอุทยาน ฟู่หยวนฉุนที่อยู่ตำหนักปีกขวากำลังปักตุ๊กตารูปเสือ ของเล่นซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้ชาย ตุ๊กตาสีแดงสด ริมฝีปากยกแยกเห็นเขี้ยวและหนวดน่าเอ็นดู นางคิดถึงเรื่องเมื่อวานพลางลูบครรภ์ของตนอย่างทะนุถนอมรักใคร่เมื่อวานนี้ฟู่ฟูเหรินผู้เป็นมารดามาเยี่ยมนาง นางนำเครื่องรางและกวนอิมประทานบุตรมาจากวัดโฝกวางในซานซี พร้อมพาหมอตำแยที่เชี่ยวชาญการตรวจครรภ์เป็นอย่างดี หลังจากสังเกตครรภ์ของนางก็ให้คำยืนยันว่า ท้องนี้ของนางเป็นโอรสอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าครรภ์ของลี่เฟยจะเข้าเดือนที่เจ็ดซึ่งพ้นช่วงระยะอันตรายไปแล้วก็ตาม อย่างไรเสียก็ไม่ควรวางใจ ถ้าคิดอ่านจะทำสิ่งใด ขอให้เป็นหลังจากคลอดแล้ว ขอให้นางทำใจให้สบาย เช่นนั้นนางจึงวางความคิดจากแผนการทุกอย่าง แล้วทุ่มเทเวลาไปกับการบำรุงครรภ์และทำงานฝีมือ เพื่อต้อนรับโอรสองค์แรกในรัชกาลของถังหวงตี้องค์นี้ที่กำลังจะเกิดมาในไม่ช้าฝ่ายในของถังหวงตี้ เนื่องจากหวงโฮ่วสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่เป็นหวงไท่จื่อเฟย[1] ตอนนี้เฉาเหลียงตี้ [2] ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เฉากุ้ยเฟย หวงตี้ทรงมอบหมายให้เป็นผู้ปกครองฝ่ายในทั้งหมด โดยม