ราตรีนี้เป็นวันแรกที่ฟู่หยวนเพ่ยถวายตัว...
นางเป็นน้องสาวของลี่เฟย ฟู่หยวนฉุน พระสนมที่พระองค์โปรดปราน บัดนี้สามปีผ่านพ้น อีกทั้งลี่เฟยที่กำลังตั้งครรภ์ประสงค์ให้คนในครอบครัวอยู่ดูแล ตระกูลฟู่จึงได้ส่งนางเข้าวัง
ฟู่หยวนเพ่ยภายนอกดูเหมือนคุณหนูในห้องหอทั่วไป คราแรกที่ได้พบ ใบหน้าเรียวขาวดังไข่ปอก ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร เกล้ามวยปักปิ่นดอกอวี้หลัน ประดับที่ติดผมรูปดอกมะลิบานสะพรั่ง สวมชุดฮั่นฝูสีเขียวหิมะครามทอประกายนุ่มนวล ทำให้นางดูเรียบร้อยอ่อนหวาน ต่างกับลี่เฟยที่ดูสดใสเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
ชั่วชีวิตของพระองค์พบพานสาวงามอ่อนหวานมานับไม่ถ้วน เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ชวนให้เบื่อหน่าย อยากกลับไปตำหนักชุนชิวที่ลี่เฟยกำลังรออยู่
ความคิดของพระองค์ไม่ทันขาดห้วง เหล่าขันทีก็แบกม้วนผ้าห่มสีแดงปักลายเข้ามาในห้อง คล้ายเปาะเปี๊ยะใหญ่ยักษ์ชิ้นหนึ่ง มาวางบนแท่นบรรทม มีศีรษะของฟู่หยวนเพ่ยโผล่ออกมา ใบหน้าของนางเรียบเฉย ไร้แววเขินอายอย่างที่พึงมี
หวงตี้ถอนหายใจเฮือก พระองค์พลิกวรกายนอนตะแคงข้างมองนาง มือเรียวดึงผ้าห่มออกจากตัวนางอย่างระมัดระวังโดยที่นางเองให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นางลุกขึ้นนั่ง แสงเทียนนวลผ่องต้องผิวขาวละมุนที่อาภรณ์ปิดไม่มิด
นางสวมเอี๊ยมและกางเกงขาสั้นสีขาวพระจันทร์ปักลายปิดอกอวบเกินวัย ปล่อยผมยาวสยายไร้ปิ่นและเครื่องประดับตามกฎมณเฑียรบาล หลังจากปล่อยให้พระองค์มองจนพอใจ นางจึงทำความเคารพ
"ถวายพระพรฝ่าบาท"
หวงตี้พยักหน้าแล้วปิดเปลือกตา ทำท่าไม่สนพระทัยนาง
นางเองก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ย "...พี่หญิงลี่เฟยประสงค์ให้หม่อมฉันปรนนิบัติฝ่าบาท ซึ่งหม่อมฉันรับปากแล้ว เปลี่ยนใจไม่ได้เพคะ"
"แค่เจ้าอยู่เฉยๆ ก็ถือเป็นการปรนนิบัติเราแล้ว" พระองค์ตรัสเรียบๆ
"นิยามของคำว่าปรนนิบัติไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับกามารมณ์นี่เพคะ" นางเอ่ย "ขอเพียงให้หม่อมฉันทำอันใดกับพระองค์เพื่อไปเล่าให้พี่สาวฟังได้ เช่นนั้นก็พอเพคะ"
โอรสสรรค์ลืมพระเนตรข้างหนึ่งด้วย ไม่นึกว่าเด็กสาวเรียบนิ่งคนนั้นจะเถียงพระองค์
"...เช่นนั้นเจ้าจะทำอะไร"
"ให้หม่อมฉันถวายการนวดดีไหมเพคะ" นางยิ้มอ่อนหวาน "อยู่ที่บ้าน หม่อมฉันนวดให้ท่านพ่อท่านแม่ล้วนชมมิขาดปาก ทำให้พอมั่นใจในฝีมืออยู่บ้างเพคะ"
"...ก็ได้" นวดหรือ? อย่างดีก็คงแค่กำปั้นทุบเปาะแปะพอให้เจ็บๆ คันๆ กระมัง
ฟู่หยวนเพ่ยยิ้มบาง นางพนมมือทีหนึ่ง ก่อนล้วงเข้าไปในเอี๊ยม หยิบกระดาษที่หนีบอยู่หว่างอกจนพระองค์นึกประหลาดใจว่า ความยิ่งใหญ่ของหน้าอกนางมีขีดจำกัดอยู่ที่ใด
"อะไร"
"หนังสือสัญญาเพคะ"
"สัญญา?"
"สัญญาว่าถ้าฝ่าบาทมีเหตุอันใดเกิดขึ้นในคืนนี้ จะไม่เอาผิดหม่อมฉัน"
“หนังสือสัญญา?” โอรสสวรรค์ตรัสทวนซ้ำเพื่อยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้หูฝาดไป
“เพคะ” ฟู่หยวนเพ่ยพยักหน้า
“แค่นวด ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากขนาดนี้ด้วย” พระองค์ทรงกวาดสายตาอ่านหนังสือสัญญาในพระหัตถ์ ยิ่งเพ่งเข้าไปดูใกล้ๆ คล้ายคนสายตาสั้นก็ยิ่งไม่เข้าพระทัย
“เนื่องจากตำรับการนวดของบ้านหม่อมฉัน มีบางท่าอาจทำให้รู้สึกเจ็บปวด จนทำให้ฝ่าบาทเข้าพระทัยผิด เช่นนั้นหม่อมฉันถึงได้ร่างสัญญาฉบับนี้ขึ้นมาตั้งแต่รู้ว่าจะได้เข้าพิธีถวายตัวเพคะ”
หวงตี้แย้มสรวล “เจ้าไปเรียนรู้วิธีการนวดมาจากที่ใดกัน”
“สำนักอู่ฝอซื่อ[1] เพคะ”
“ชื่อไม่คุ้น” สำหรับโอรสสวรรค์ที่ต้องมีพระเนตรพระกรรณกว้างไกล รับรู้เรื่องราวต่างๆ ทั้งในราชสำนักและยุทธภพ พระองค์ยอมรับว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“เป็นเพียงสำนักเล็กๆ ไร้ชื่อไร้เสียงในแคว้นนี้ ฝ่าบาทอย่าได้ใส่พระทัยเลยเพคะ” ฟู่หยวนเพ่ยทำท่าเอียงอาย “ตกลงว่าฝ่าบาทจะยอมรับสัญญานี้หรือไม่เพคะ”
หวงตี้ทอดพระเนตรนางตั้งแต่ศีรษะจดเท้า...สตรีนางนี้รูปร่างบอบบาง แขนขาเรียวดั่งลำเทียน เกรงว่าแรงฆ่าไก่แม้สักตัวคงไม่มี ถึงแม้จะใช้ท่านวดพิสดารอย่างไร บุรุษรูปร่างสูงใหญ่เช่นพระองค์คงไม่สะดุ้งสะเทือนอันใด ดำริเช่นนั้นก็แย้มสรวล รับสั่งให้นางกำนัลหยิบพู่กันขนหมาป่ามา แล้วทรงลงลายพระหัตถ์บนหนังสือสัญญานั้น
“เราตกลง”
ฟู่หยวนเพ่ยมองลายมือชื่อก็แย้มยิ้มอ่อนหวานคล้ายได้หลักประกันสำคัญ นางพับสัญญาเรียบร้อยแล้วเสียบเข้าไปในร่องอกอวบอัดอีกครั้ง หวงตี้ทรงลอบกลืนน้ำลาย รู้หรือไม่ว่าท่าทีเช่นนั้นยั่วยวนพระองค์ไม่น้อย นางยกมือพนมขึ้นหว่างอกอีกครั้ง จักรพรรดิหนุ่มเห็นตั้งแต่เมื่อครู่แล้วให้นึกสงสัยก็ถามอีก
“เจ้าไหว้พระหรือ”
“ขออโหสิ...ไม่สิ...ทำความเคารพผู้ที่เรานวดตามกฎสำนักเพคะ” นางทูลตอบ แล้วจัดแจงฉุดพระหัตถ์ของหวงตี้ “ลุกขึ้นประทับนะเพคะ”
พระองค์ทำตามอย่างว่าง่าย คล้ายรู้สึกสนุกไปกับนางอยู่บ้าง แต่แล้วก็ต้องย่นพระขนงเมื่อมือเล็กเอื้อมมาปลดเชือกที่ผูกชุดนอนของพระองค์ออก เมื่อเห็นพระองค์ทอดพระเนตรมา นางจึงทูลเรียบๆ
“ต้องถอดฉลองพระองค์เพคะ”
โอรสสวรรค์ถอดฉลองพระองค์ตามที่นางทูล ลาดไหล่และร่างกายผึ่งผายอย่างผู้ที่ฝึกยุทธ์ เช่นนี้พาให้นางสนมน้อยใหญ่ต่างหลงใหลพระองค์เป็นนักหนา แต่เมื่อทอดพระเนตรเด็กสาวตรงหน้าที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับร่างกายอันเยี่ยมยอดของพระองค์ ก็ชวนให้หงุดหงิดพระทัยขึ้นมา
ฟู่หยวนเพ่ยก้าวลงจากเตียงเดินอ้อมไปยังด้านหลัง จากนั้นมือนุ่มนิ่มก็เริ่มบีบนวดจากหัวไหล่ กรีดไล้ไล่นิ้วแม่มือลงไปยังแนวกระดูกสันหลังจนถึงก้นกบ บังเกิดอาการร้าวซ่านในวรกายโอรสสวรรค์ เป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลายและเบาสบายอย่างประหลาด หลังจากต้องสะสางราชกิจมาตลอดทั้งวัน
จากนั้นเด็กสาวก็ให้พระองค์เอนกายลงนอนคว่ำ ส่วนนางก็เริ่มต้นนวดต่อ มือเล็กๆ แต่เปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรงทำเอาโอรสสวรรค์ครางต่ำๆ ออกมาอย่างรู้สึกสบายพระวรกาย
นางปรนนิบัติพระองค์ดีเช่นนี้ แม้ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันเชิงชู้สาว แต่พระองค์ก็เริ่มชอบนางขึ้นมาทีละน้อย...แต่เพื่อไม่ให้ผิดใจกับลี่เฟย มอบตำแหน่งไฉ่เหริน[2] ให้นางไปก่อน ถ้านางทำตัวดี ยอมโอนอ่อนถวายตัวให้ พระองค์ค่อยเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นไปอีก
ในขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้ม จู่ๆ พระกรของพระองค์ทั้งสองข้างก็ถูกดึงไพล่ไปด้านหลัง ดึงรั้งจนร่างแอ่นงอคล้ายกุ้ง พระองค์กะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง ไม่ถึงอึดใจก็ได้ยินเสียงหวานๆ ของฟู่หยวนเพ่ยจากด้านหลัง
“เจ็บนิดหน่อยนะเพคะ”
จากนั้นแรงถีบจากเท้าน้อยๆ พร้อมมือนิ่มๆ ที่ดึงรั้งพระองค์เข้าหานาง ความซ่านสบายเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดยากจะบรรยาย จนฟู่หยวนเพ่ยไม่แน่ใจว่าระหว่างสุรเสียงฝ่าบาทกับควายถูกเชือด เสียงใดไพเราะกว่ากัน
“อ๊ากกกกก!!!”
“อ๊ากกกกก!!!!”
สุรเสียงปานอยู่ในโรงเชือดมิใช่อยู่ในห้องบรรทมของผู้เป็นใหญ่เหนือแผ่นดินจงหยวน ทำเอาขันทีคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านนอกสะดุ้งน้อยๆ แต่มิทำให้สีหน้าเปลี่ยนไปแต่ประการใด...เสียงเช่นนี้นานๆ ครั้งหวงตี้จะเปล่งออกมายามที่สนมรักปรนนิบัติจนพอพระทัยถึงขีดสุด เต็มไปด้วยความปรารถนาอิ่มเอมสมฤดี
“ลี่กงกงเจ้าคะ คือ...” นางกำนัลเอ่ยด้วยอาการปากคอสั่น นางไม่เคยได้ยินการร่วมหอที่ดุเดือดปานนี้เลย
หลินกงกงกลับส่งสายตาดุมาให้ “อย่าพูดเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย ข้าเคยเตือนแล้วมิใช่หรือ”
“...เจ้าค่ะ” นางกำนัลผู้นั้นก้มหน้านิ่ง ทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำถึงใบหู...
จะไม่ให้พูดถึงได้อย่างไร เสียงดังมาถึงหน้าตำหนักขนาดนี้ ช่างน่าอิจฉาฟู่เหลียงเจียเหลือเกินที่ถวายการปรนนิบัติจนเป็นที่โปรดปรานถึงเพียงนี้ ซึ่งเหลียงเจีย หรือธิดาจากครอบครัวสามัญชน รวมถึงธิดาข้าราชสำนักและปัญญาชนน้อยใหญ่ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาในวัง จะต้องมาจากครอบครัวที่สุจริตไร้มลทิน และไม่ได้เป็นข้ารับใช้ โสเภณี หรือทาส คุณสมบัติเยี่ยงนี้จึงมีน้อยนัก
“อ๊ากกกกก!!!!”
ตอนนี้หวงตี้ไม่อาจตรัสอะไรไปได้มากกว่าคำนี้อีกแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนถูกหักกระดูกดัดแขนนั้นเป็นความเจ็บปวดยากเกินจะทานทนไหว ครั้นจะหันไปมองหน้าผู้กระทำ ร่างกายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้จนไม่อาจทำได้ดั่งใจ
“เจ็บหรือเพคะ” น้ำเสียงนางยังคงไม่ทุกข์ร้อนแต่ประการใด
หรือว่าแท้จริงแล้วนางไม่ใช่น้องสาวของลี่เฟย แต่เป็นคนของหน่วยองค์รักษ์พิทักษ์วังหลวงที่ชื่นชอบการทรมานคนมากกว่าสิ่งใด ซึ่งหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนี้ภายหลังทำเรื่องทุจริตมากมายจนมีการตั้งหน่วยซีฉ่างเข้าไปสอดส่องพฤติกรรมอีกที หวงตี้พยักหน้าอีกครา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฟู่หยวนเพ่ยจึงหยุดมือ ปล่อยแขนขาเขาแล้วไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่มุมเตียง รอคอยโทสะที่อีกฝ่ายเตรียมจะปะทุใส่นาง
“เจ้า...เจ้าคิดจะฆ่าเราหรือ!” หวงตี้ทรงชี้หน้าตำหนิอีกฝ่าย เมื่อครู่นี้เจ็บจนเผลออุปาทานไปว่ายายเมิ่งกำลังจะกรอกน้ำแกงลืมเลือน แล้วถีบตัวเขาไปเกิดใหม่แล้วด้วยซ้ำ!
“ทูลฝ่าบาท ที่หม่อมฉันทำไปเพราะมีความจำเป็นเพคะ” ฟู่หยวนเพ่ยทูลด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คล้ายนางรับมือกับบุคคลที่เกรี้ยวกราดเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
“เนื่องจากจุดจว่อเจียนและอิ้วเทียน ซึ่งก็คือจุดบริเวณไหล่ซ้ายและขวาของฝ่าบาทมีอาการตึงและเริ่มมีพังผืดก่อตัว เกรงว่าถ้าปล่อยไว้นาน พระพลานามัยของฝ่าบาทจะทรุดลง หม่อมฉันเห็นว่ามิได้การ จึงได้กระทำโดยพลการ ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอภัยด้วยเพคะ”
“ปกติเราก็มีหมอหลวงมานวดกดจุดให้บ่อยครั้ง ไม่เห็นมีการรายงานเรื่องนี้”
“อาจเป็นเพราะหลังจากที่พระองค์รักษาด้วยวิถีการทุยหนา[3]แล้ว ยังคงทำกิจวัตรเดิมๆ ซ้ำๆ ทำให้การรักษาไม่หายขาดเพคะ” ฟู่หยวนเพ่ยทูล “เช่นนั้นอย่างน้อยตอนที่หม่อมฉันถวายการปรนนิบัติ ถวายการนวดรักษาควบคู่กับการใช้วิธีนวดกดจุดของหมอหลวงก็ยังดี”
หวงตี้ทรงนิ่งคิดไป ปกติสตรีที่ถวายตัวให้พระองค์ไม่เคยมีใครห่วงใยเกี่ยวกับสุขภาพของพระองค์สักนิด ทำไมพระองค์จะไม่รู้ว่า ทั้งยาและเครื่องหอมเร้ากำหนัด ไปจนถึงการหักโหมราชกิจและเรื่องบนแท่นบรรทมนั้นทำร้ายทำลายสุขภาพเพียงใด จะมีก็แต่ลี่เฟยและสตรีนางนี้ที่ถามไถ่และหาวิธีการดูแลพระองค์ให้สุขภาพแข็งแรง
พระองค์ดันบั้นเอวที่ยอกน้อยๆ ทีหนึ่ง ก่อนเข้าไปประคองฟู่หยวนเพ่ย
“เงยหน้าขึ้นเถอะ เราไม่เอาเรื่องเจ้าหรอก อีกอย่าง...” พระองค์ลอบมองหว่างอกของนางที่มีกระดาษสัญญาโผล่แพลมอยู่ “เจ้ามีสัญญาไม่เอาความที่ข้าลงลายมือไว้ ถ้าข้าลงโทษเจ้าก็ถือว่าเป็นทรราช”
“ขอบพระทัยเพคะ” เด็กสาวยิ้มบาง โชคยังดีที่คนคนนี้ยอมฟังนาง ไม่เหมือนโลกที่นางจากมา ที่บุคลากรทางการแพทย์เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลติดคุกติดตะรางก็มี นับว่ายุคสมัยที่มาอยู่ในตอนนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก
“แล้ว...ต้องนวดแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่” พระองค์ตรัสถาม ยังเสียวสยองกับท่าดัดหลังของนางไม่หาย
“อีกสองสามท่าเพคะ เพียงแต่ว่าคงต้องให้ฝ่าบาททนเจ็บอีกนิดหน่อย” นางทูลตอบอ้อมแอ้ม ขณะที่แอบเอามือถูกันไปมาอย่างเตรียมพร้อม
หวงตี้ได้ฟังเช่นนั้นก็ให้ครุ่นคิด คำนวณเรื่องความคุ้มไม่คุ้มในการนวดครานี้ แต่พอเห็นนางยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าวิธีการนวดของสำนักนางนั้นช่วยได้ และไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของเด็กสาวหน้าตางดงาม สุดท้ายจึงตอบตกลง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฟู่หยวนเพ่ยก็ให้นึกยินดีนัก ครานี้นางจับพระองค์นั่งสมาธิเอามือประสานไว้ที่ต้นคอ จากนั้นก็รั้งแขนที่สอดเข้ามาตรงรักแร้ของเขา แล้วบังคับให้หงายหลังลงมาช้าๆ จนแผ่นหลังของเขาชนกับอกอวบของนาง ท่านี้ก็ไม่ได้เจ็บปวดน้อยลงไปกว่าท่าแรกสักเท่าไร ถึงจะแนบชิดกับร่างกายนาง แต่จะหื่นก็ไม่หื่น จะร้องก็ร้องไม่ออก แม้นางจะทำกับเขาเบาๆ แล้วก็ตาม
ฟู่หยวนเพ่ยได้แต่ถวายการปรนนิบัติหวงตี้อย่างมีความสุข จากเดิมที่เคยสิ้นหวังว่าวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาจะหายไปกับการที่ต้องมาจับเจ่าเป็นสนมเช่นนี้ นับว่าการเดิมพันของนางมิสูญเปล่า
จากท่าแรก ท่าสอง ท่าสาม พลิกซ้ายป่ายขวาจนโอรสสวรรค์ยังสิ้นลาย ร่างกายเริ่มปวดระบม แต่นางก็ยังไม่ยอมหยุด ยังคงสำแดงวิชาจากสำนักอู่ฝอซื่อของนางอย่างแข็งขัน พอได้จังหวะจะคลานหนี ฟู่หยวนเพ่ยก็ลากเขาขึ้นเตียงประหนึ่งนายพรานลากกวางน้อยที่สิ้นเรี่ยวแรง ได้แต่อับจนหนทางยอมให้กระทำการตามใจจนเสร็จสิ้น
เมื่อแสงแรกแห่งอรุณมาถึง ฟู่หยวนเพ่ยลุกจากเตียงพลางปิดปากหาว ขยับร่างกายซ้ายขวาคลายความเมื่อยล้า ก่อนหันไปมองหวงตี้ที่นอนคว่ำไร้สิ้นเรียวแรงแม้แต่จะขยับนิ้วหรือเปิดเปลือกตา พลางส่ายหน้าน้อยๆ
“ครั้งแรกก็เช่นนี้ทุกคน”
หลินกงกงพร้อมนางกำนัลมาถึงพร้อมเครื่องทรงและเสื้อผ้าของหยวนเพ่ย เมื่อเห็นท่าทีของฝ่าบาทก็ให้ลอบสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ย
“คารวะนายหญิงน้อย”
“ท่านกงกงมาพอดี” ฟู่หยวนเพ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนบาง “ข้าเกรงว่าช่วงสองสามวันนี้ฝ่าบาทคงมิอาจออกว่าราชการได้ รบกวนท่านให้หมอหลวงจัดยาคลายกล้ามเนื้อและยาแก้ปวดถวายฝ่าบาทด้วย”
หลินกงกงกะพริบตาปริบๆ เขาควรจะนึกยกย่องหรือเกรงกลัวนางที่สูบพลังชีวิตพญามังกรผู้นี้ให้สลบไสลดีหรือไม่
“...ข้าน้อยทราบแล้ว”
ฟู่หยวนเพ่ยลุกจากเตียงอย่างกระฉับกระเฉงให้เหล่านางกำนัลช่วยแต่งตัว นางสวมอาภรณ์สีเฟิ่นหง[4] เกล้ามวยประดับปิ่นตกแต่งเรือนผมด้วยดอกมู่ตานสีชมพู ดูไม่มากหรือน้อยเกินไป หลังจากคล้องผ้าคลุมไหล่แล้ว นางจึงลุกขึ้นยืน ย่อกายคารวะชายหนุ่มที่หลับเสมือนสิ้นลม
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
[1] ชื่อวัดโพธิ์ในภาษาจีน
[2] ตำแหน่งสนมจักรพรรดิ
[3] การนวดกดจุดแบบจีน
[4] ผลฝรั่งไส้แดง(คำเรียกสีชมพูของจีนโบราณ)
ฟู่หยวนเพ่ยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจถวายตัวแล้ว จึงกลับตำหนักชุนชิวที่พี่สาวของนางพักอยู่ เนื่องจากเป็นพระประสงค์ของลี่เฟยที่ต้องการให้น้องสาวอยู่ใกล้ๆ หวงตี้ จึงมีรับสั่งให้ยกเรือนฝั่งปีกซ้ายของตำหนักชุนชิวให้เป็นที่อยู่ของนาง เด็กสาวเดินเข้าไปยังภายในโดยไม่ลืมไปยังตึกฝั่งปีกขวาของตำหนักเพื่อคารวะลี่เฟยที่มีศักดิ์สูงกว่าตามธรรมเนียม ที่นั่นลี่เฟยหรือฟู่หยวนฉุน พี่สาวของนางกำลังจะเสวยมื้อเช้าอยู่พอดี“ถวายพระพรพระสนมเพคะ”ลี่เฟยลุกขึ้น เผยให้เห็นครรภ์นูนกลมวัยห้าเดือนของนาง ลี่เฟยผู้นี้ใบหน้านวลผ่องแจ่มใส สวมชุดสีเขียวอ้ายฉ่าว[1] ปักลายกรอบล้อมบุปผา ทาแป้งแต้มชาดสีเฟิ่นหงหอมละมุน ตรงบริเวณหน้าผากติดฮวาเตี้ยน[2]ตามสมัยนิยม แม้จะมีองค์รัชทายาทอยู่ในครรภ์ แต่ก็ยังไม่สิ้นไร้ซึ่งความงาม ตรงข้ามวันนี้นางกลับดูงดงามเฉิดฉายกว่าทุกๆ วันด้วยซ้ำ แม้กระทั่งเสียงที่เรียกหยวนเพ่ยนั้นก็หวานนุ่มนวล อย่าว่าแต่หวงตี้เลย สตรีแม้ได้ยินก็ใจอ่อน“พระสนมอันใด เราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ลุกขึ้นเถิด”ฟู่หยวนเพ่ยลุกขึ้น ก่อนปล่อยให้ลี่เฟยที่เดินมาหาจูงมือนางเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่มีสำรับอาหารน่ากินวางรออยู่หลายจาน ก่อนที
ฟู่หยวนเพ่ยใช้เวลาอึดใจหนึ่งทำความเข้าใจกับที่บุรุษตรงหน้าเอ่ยขึ้นมา "ให้หม่อมฉันใช้เท้าเหยียบพระองค์หรือเพคะ?"อีกฝ่ายพยักหน้า "เหยียบเรา แบบที่เจ้าทำเมื่อสองวันก่อน"ทีแรกพระองค์นอนปวดกายอยู่บนเตียง ขยับไม่ได้แม้เพียงปลายนิ้ว แม้พยายามขยับก็ปวดร้าวแทบขาดใจ ไม่นึกเลยว่าตนเองต้องมีสภาพน่าสมเพชอยู่ถึงสามวันเต็ม ในระหว่างที่นอนรักษาตัว ในใจก็นึกหาวิธีแก้แค้นฟู่หยวนเพ่ยที่ทำให้เขาต้องมานอนซมเช่นนี้ด้วยวิธีใดให้สาสม พระองค์จะปลดนาง! ทรมานนาง! โบยนาง! ตบปากนาง! สารพัดวิธีที่ล่องลอยอยู่ในหัวรอวันที่พระองค์หายดีแล้วจะไปประกาศโทษต่อหน้านางด้วยพระองค์เองแต่ใครจะคาดคิดว่าล่วงเข้าวันที่สี่ ร่างกายที่เมื่อยล้ากลับโปร่งโล่งเบาสบาย อาการเจ็บปวดหัวไหล่ที่เคยเรื้อรังกำเริบเป็นระยะพลันหายเป็นปลิดทิ้ง ซ้ำยังกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่าถึงขนาดไปซ้อมกระบี่ยิงธนูที่สนามฝึกอยู่ชั่วยามหนึ่งจึงมาหาฟู่หยวนเพ่ยที่ตำหนักชุนชิว หมายให้นางนวดแบบนั้นอีกครั้ง เพื่อที่พระองค์จะได้หายขาดจากโรคภัยทั้งปวงแต่คำตอบที่นางให้พระองค์คือคำปฏิเสธเรียบๆ"ไม่ได้เพคะ"ครานี้ทำเอาหวงตี้พระพักตร์ตึงขึ้นมา"ทำไม?""การนวดเมื่อสอง
การที่หยวนเพ่ยเอ่ยออกมาเช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เรื่องราวของนางไปบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยไม่จำเป็น เคยมีคนกล่าวว่า แม้ผีเสื้อขยับปีกย่อมเกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถ้าเกิดว่าวิชาของนางทำให้ประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยนไป ตัวนางเองหรือแม้แต่คนอื่นๆ บนภพภูมิที่จากมา อาจได้รับผลกระทบที่น่าหวาดหวั่นตามมา นางคิดเพียงว่าแค่ได้กลับมาเกิดใหม่ที่สุขสบายเช่นนี้ ก็นับว่าดีมากเหลือเกินแล้ว ไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวอีกในเมื่อหวงตี้ยังคงรักษาสัญญา วิถีชีวิตของหยวนเพ่ยก็ราบเรียบดังปกติ นางเอาแป้งที่นวดไว้มาปั้นเป็นก้อนกลมแล้วใช้ไม้แผ่เป็นแผ่นบาง ใส่เนื้อหมูสับปรุงรสด้วยขึ้นฉ่าย ซีอิ๊ว น้ำมันงา น้ำตาล พริกไทย ตามด้วยตักน้ำที่ต้มหนังหมูทิ้งให้เย็นจนกลายเป็นก้อนวุ้นตามลงไป จับจีบให้สวยเหมือนซาลาเปาลูกเล็ก นำไปนึ่งบนลังถึงให้ร้อน กลายเป็นเสี่ยวหลงเปา จากนั้นนางจึงยกไปให้ลี่เฟยเพื่อว่าจะนำไปกินเป็นของว่างยามบ่ายด้วยกันเมื่อไปถึงก็เห็นว่าลี่เฟยวันนี้เองก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก ได้ยินว่าหลังจากหวงตี้อยู่ประทับที่ตำหนักของนาง อีกทั้งยังพระราชทานแพรพรรณและเครื่องประดับมาอีกจำนวนหนึ่ง ราวกับประกาศให้รู้ว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับผู้ใดม
เผือกร้อน! สิ่งของเหล่านี้คือเผือกร้อนชัดๆฟู่หยวนเพ่ยครุ่นคิดขณะที่เดินนำขันทีคนสนิทของหวงตี้นำถาดเครื่องประดับมูลค่ามหาศาลตรงไปยังห้องทรงพระอักษรนางอยู่อย่างสงบแล้วแท้ๆ พอใจกับความเป็นอยู่ในตอนนี้แล้ว พระองค์โปรดอย่าได้โยนอาจมมาให้นางเลยใช้เวลาเดินไม่นานนักก็มาถึงตำหนักใหญ่ รอให้ลี่กงกงเป็นผู้ประกาศการมาของนางให้โอรสสวรรค์ทรงทราบ เพื่อพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าพบทีแรกฟู่หยวนเพ่ยคิดว่าพระองค์จะปฏิเสธไม่ให้นางเข้าพบ ทว่าหวงตี้กลับทรงให้เข้าพบโดยไม่มีเงื่อนไข นางได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปทันทีเมื่อเดินผ่านโถงทางเดินกว้างขวาง มีตะเกียงแปดเหลี่ยมประดับพู่สีทองเพื่อให้ความสว่างไสวในยามค่ำคืน อีกทั้งยังมีชั้นหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยตำราและม้วนคัมภีร์หลากหลาย บ้างเป็นคัมภีร์โบราณหายาก บ้างเป็นหนังสือวิพากษ์วิจารณ์จากปัญญาชนเนื่องจากหวงตี้โปรดใช้เวลาว่างในการทรงอักษรเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม และตรวจสอบเรื่องราวภายนอก ที่นั่น หวงตี้หนุ่มกำลังร่างราชโองการบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่เมื่อเห็นหยวนเพ่ยเข้ามา พระองค์ก็หยุดมือและยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าพระหนุ"นับว่ามาเร็วอย่างที่เราคาดกา
ฟู่หยวนเพ่ยครุ่นคิดอยู่ตลอดทั้งวัน รู้ตัวอีกทีก็เป็นยามซวี[1]ซึ่งเป็นเวลาหลังจากหวงตี้สวดมนต์เป็นจริยาวัตรเสร็จ เวลาต่อจากนั้นเป็นเวลาเข้านอนเด็กสาวถูกห่อตัวด้วยผ้านวมหนาเดินทางมายังตำหนักใหญ่ เนื่องจากเป็นการถวายงานอย่างเป็นทางการที่มีการลงไว้ในบันทึกแดง ฟู่หยวนเพ่ยถูกแบกมาในท่านอนหงาย จึงเห็นใบหน้าหวงตี้ที่กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าที่ดูสงบผ่อนคลายนั้นดูน่ามองไม่น้อยทีเดียวเหล่าขันทีวางตัวนางนอนลงข้างเขา จากนั้นจึงออกไปอย่างรู้หน้าที่ เขาวางหนังสือแล้วพลิกกายตะแคงข้าง เท้าแขนข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ชายหนุ่มอมยิ้มราวกับขบขันที่เห็นนางโดนห่อราวกับเปาะเปี๊ยะเช่นนั้นนานจนหยวนเพ่ยทำหน้ามุ่ย ใช่ว่าอยู่แบบนี้จะสบายตัวเสียเมื่อไหร่ สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“ถ้าหม่อมฉันถูกมัดเช่นนี้จะถวายการนวดได้อย่างไรเล่าเพคะ”“อึดอัดรึ? โกรธรึ?” เขาเอานิ้วจิ้มแก้มนางอย่างหยอกล้อ “คืนแรกทำเราระบมไปสามวันสามคืนเช่นนี้ก็ขอเอาคืนเสียหน่อยสิ”“เช่นนั้นพระองค์ก็เชิญจิ้มตามสบายเลยเพคะ หม่อมฉันจะนอนทั้งแบบนี้จนถึงเช้า” หยวนเพ่ยว่าพลางหลับตาลง แสร้งไม่รู้สึกรู้สาสิ่งที่โอรสสวรรค์กำลังทำเมื่อเห็นท่าทีเ
หลังกลับจากตำหนักใหญ่ในช่วงบ่าย นอกจากเครื่องประดับและแพรพรรณเป็น ‘ค่าจ้าง’ ในการถวายงานเป็นที่พอพระทัยแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าฟู่หยวนเพ่ยไม่มีนางกำนัลรับใช้เป็นของตนเอง มีแต่นางกำนัลของลี่เฟยที่นางแบ่งมาให้เรียกใช้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะให้เป็นแบบนี้ก็ไม่สมฐานะสตรีชั้นสูงที่ถวายงานฝ่าบาทอย่างเป็นทางการถึงสองครั้งสองคราพระองค์จึงส่งนางกำนัลมาให้สองคนคือ หยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน ทั้งสองเป็นพี่น้องที่เข้าวังมาพร้อมกัน รูปร่างหน้าตางดงามเฉลียวฉลาดอ่อนโยน อีกทั้งยังทำงานได้หลายอย่างและทำได้ดี เดิมเคยเป็นนางกำนัลที่ถวายงานฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์ ดังนั้นข่าวหวงตี้พระราชทานนางกำนัลให้จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่ววังหลวงครานี้จากสิ่งของเป็นคนเป็นๆ...ฟู่หยวนเพ่ยไม่อาจยกพวกนางกลับไปถวายคืนฝ่าบาทได้อย่างคราวเครื่องประดับอีก จึงจำใจรับสองอนงค์นางเป็นนางกำนัลรับใช้ส่วนตัวในที่สุดด้วยความที่ทั้งในชาติก่อนและชาติปัจจุบันนี้หยวนเพ่ยก็ไม่เคยมีสาวใช้ข้างกาย จึงถนัดการทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่อยู่ตระกูลสาขา แม้เข้ามาอยู่ในวังมีบางครั้งที่นางกำนัลของลี่เฟยไม่อาจมาอยู่รับใช้ได้ นางก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใ
ระหว่างที่หยวนเพ่ยและนางกำนัลคนใหม่กำลังอยู่ในอุทยาน ฟู่หยวนฉุนที่อยู่ตำหนักปีกขวากำลังปักตุ๊กตารูปเสือ ของเล่นซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้ชาย ตุ๊กตาสีแดงสด ริมฝีปากยกแยกเห็นเขี้ยวและหนวดน่าเอ็นดู นางคิดถึงเรื่องเมื่อวานพลางลูบครรภ์ของตนอย่างทะนุถนอมรักใคร่เมื่อวานนี้ฟู่ฟูเหรินผู้เป็นมารดามาเยี่ยมนาง นางนำเครื่องรางและกวนอิมประทานบุตรมาจากวัดโฝกวางในซานซี พร้อมพาหมอตำแยที่เชี่ยวชาญการตรวจครรภ์เป็นอย่างดี หลังจากสังเกตครรภ์ของนางก็ให้คำยืนยันว่า ท้องนี้ของนางเป็นโอรสอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าครรภ์ของลี่เฟยจะเข้าเดือนที่เจ็ดซึ่งพ้นช่วงระยะอันตรายไปแล้วก็ตาม อย่างไรเสียก็ไม่ควรวางใจ ถ้าคิดอ่านจะทำสิ่งใด ขอให้เป็นหลังจากคลอดแล้ว ขอให้นางทำใจให้สบาย เช่นนั้นนางจึงวางความคิดจากแผนการทุกอย่าง แล้วทุ่มเทเวลาไปกับการบำรุงครรภ์และทำงานฝีมือ เพื่อต้อนรับโอรสองค์แรกในรัชกาลของถังหวงตี้องค์นี้ที่กำลังจะเกิดมาในไม่ช้าฝ่ายในของถังหวงตี้ เนื่องจากหวงโฮ่วสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่เป็นหวงไท่จื่อเฟย[1] ตอนนี้เฉาเหลียงตี้ [2] ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เฉากุ้ยเฟย หวงตี้ทรงมอบหมายให้เป็นผู้ปกครองฝ่ายในทั้งหมด โดยม
เพื่อไม่ให้เหล่านางกำนัลและขันทีครหาหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน หลังจากเล่นทาเล็บประดับเล็บจนพอใจ ก็เดินกลับมายังตำหนักของตน จังหวะเดียวกับที่ทางฝ่ายห้องเครื่องส่งอาหารพระราชทานมายังตำหนักพอดีอาหารพระราชทานที่หวงตี้ให้นางนั้นมีสิบอย่าง ซึ่งมาจากรายการเครื่องเสวยหนึ่งในสามที่ฝ่าบาทเสวยในมื้อนั้น ทั้งหมดมีสามมื้อ ล้วนเป็นอาหารที่หารับประทานได้ยาก การจัดแต่งสวยงาม รสชาติล้ำเลิศ ถ้าไม่โปรดปรานหรือทำความดีความชอบมากมายย่อมไม่มีวาสนาเช่นนี้แน่หยวนเพ่ยแม้จะหิวมากมายเพียงใด แต่กินได้ไม่เท่าไรนักก็อิ่มตื้อ ซึ่งตามธรรมเนียมต้องเททิ้งทั้งหมดไม่เก็บไว้ แต่ด้วยความเสียดายและอยากให้คนของนางได้กินของดี จึงได้สั่งให้หยุนรุ่ยและเมิ่งหลานแบ่งใส่จานเล็กเก็บไว้เพื่อให้พวกนางได้กินภายหลัง ความเอื้อเฟื้อของฟู่หยวนเพ่ยเป็นสิ่งที่พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งเวลาผ่านไป พวกนางสองคนก็เริ่มประทับใจกับนายสาวผู้นี้มากขึ้นจิตใจดี งดงาม ไม่ถือตัว ทั้งยังปฏิบัติกับข้ารับใช้เยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง นับเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับผู้ต้องอยู่รับใช้ในวังหลวงแห่งนี้แล้วเวลาในวังหลวงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความโปรดปรานของหวงตี้ที่มีต่อฟู่หย
เพื่อไม่ให้เหล่านางกำนัลและขันทีครหาหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน หลังจากเล่นทาเล็บประดับเล็บจนพอใจ ก็เดินกลับมายังตำหนักของตน จังหวะเดียวกับที่ทางฝ่ายห้องเครื่องส่งอาหารพระราชทานมายังตำหนักพอดีอาหารพระราชทานที่หวงตี้ให้นางนั้นมีสิบอย่าง ซึ่งมาจากรายการเครื่องเสวยหนึ่งในสามที่ฝ่าบาทเสวยในมื้อนั้น ทั้งหมดมีสามมื้อ ล้วนเป็นอาหารที่หารับประทานได้ยาก การจัดแต่งสวยงาม รสชาติล้ำเลิศ ถ้าไม่โปรดปรานหรือทำความดีความชอบมากมายย่อมไม่มีวาสนาเช่นนี้แน่หยวนเพ่ยแม้จะหิวมากมายเพียงใด แต่กินได้ไม่เท่าไรนักก็อิ่มตื้อ ซึ่งตามธรรมเนียมต้องเททิ้งทั้งหมดไม่เก็บไว้ แต่ด้วยความเสียดายและอยากให้คนของนางได้กินของดี จึงได้สั่งให้หยุนรุ่ยและเมิ่งหลานแบ่งใส่จานเล็กเก็บไว้เพื่อให้พวกนางได้กินภายหลัง ความเอื้อเฟื้อของฟู่หยวนเพ่ยเป็นสิ่งที่พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งเวลาผ่านไป พวกนางสองคนก็เริ่มประทับใจกับนายสาวผู้นี้มากขึ้นจิตใจดี งดงาม ไม่ถือตัว ทั้งยังปฏิบัติกับข้ารับใช้เยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง นับเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับผู้ต้องอยู่รับใช้ในวังหลวงแห่งนี้แล้วเวลาในวังหลวงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความโปรดปรานของหวงตี้ที่มีต่อฟู่หย
เพื่อไม่ให้เหล่านางกำนัลและขันทีครหาหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน หลังจากเล่นทาเล็บประดับเล็บจนพอใจ ก็เดินกลับมายังตำหนักของตน จังหวะเดียวกับที่ทางฝ่ายห้องเครื่องส่งอาหารพระราชทานมายังตำหนักพอดีอาหารพระราชทานที่หวงตี้ให้นางนั้นมีสิบอย่าง ซึ่งมาจากรายการเครื่องเสวยหนึ่งในสามที่ฝ่าบาทเสวยในมื้อนั้น ทั้งหมดมีสามมื้อ ล้วนเป็นอาหารที่หารับประทานได้ยาก การจัดแต่งสวยงาม รสชาติล้ำเลิศ ถ้าไม่โปรดปรานหรือทำความดีความชอบมากมายย่อมไม่มีวาสนาเช่นนี้แน่หยวนเพ่ยแม้จะหิวมากมายเพียงใด แต่กินได้ไม่เท่าไรนักก็อิ่มตื้อ ซึ่งตามธรรมเนียมต้องเททิ้งทั้งหมดไม่เก็บไว้ แต่ด้วยความเสียดายและอยากให้คนของนางได้กินของดี จึงได้สั่งให้หยุนรุ่ยและเมิ่งหลานแบ่งใส่จานเล็กเก็บไว้เพื่อให้พวกนางได้กินภายหลัง ความเอื้อเฟื้อของฟู่หยวนเพ่ยเป็นสิ่งที่พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งเวลาผ่านไป พวกนางสองคนก็เริ่มประทับใจกับนายสาวผู้นี้มากขึ้นจิตใจดี งดงาม ไม่ถือตัว ทั้งยังปฏิบัติกับข้ารับใช้เยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง นับเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับผู้ต้องอยู่รับใช้ในวังหลวงแห่งนี้แล้วเวลาในวังหลวงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความโปรดปรานของหวงตี้ที่มีต่อฟู่หย
ระหว่างที่หยวนเพ่ยและนางกำนัลคนใหม่กำลังอยู่ในอุทยาน ฟู่หยวนฉุนที่อยู่ตำหนักปีกขวากำลังปักตุ๊กตารูปเสือ ของเล่นซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้ชาย ตุ๊กตาสีแดงสด ริมฝีปากยกแยกเห็นเขี้ยวและหนวดน่าเอ็นดู นางคิดถึงเรื่องเมื่อวานพลางลูบครรภ์ของตนอย่างทะนุถนอมรักใคร่เมื่อวานนี้ฟู่ฟูเหรินผู้เป็นมารดามาเยี่ยมนาง นางนำเครื่องรางและกวนอิมประทานบุตรมาจากวัดโฝกวางในซานซี พร้อมพาหมอตำแยที่เชี่ยวชาญการตรวจครรภ์เป็นอย่างดี หลังจากสังเกตครรภ์ของนางก็ให้คำยืนยันว่า ท้องนี้ของนางเป็นโอรสอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าครรภ์ของลี่เฟยจะเข้าเดือนที่เจ็ดซึ่งพ้นช่วงระยะอันตรายไปแล้วก็ตาม อย่างไรเสียก็ไม่ควรวางใจ ถ้าคิดอ่านจะทำสิ่งใด ขอให้เป็นหลังจากคลอดแล้ว ขอให้นางทำใจให้สบาย เช่นนั้นนางจึงวางความคิดจากแผนการทุกอย่าง แล้วทุ่มเทเวลาไปกับการบำรุงครรภ์และทำงานฝีมือ เพื่อต้อนรับโอรสองค์แรกในรัชกาลของถังหวงตี้องค์นี้ที่กำลังจะเกิดมาในไม่ช้าฝ่ายในของถังหวงตี้ เนื่องจากหวงโฮ่วสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่เป็นหวงไท่จื่อเฟย[1] ตอนนี้เฉาเหลียงตี้ [2] ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เฉากุ้ยเฟย หวงตี้ทรงมอบหมายให้เป็นผู้ปกครองฝ่ายในทั้งหมด โดยม
หลังกลับจากตำหนักใหญ่ในช่วงบ่าย นอกจากเครื่องประดับและแพรพรรณเป็น ‘ค่าจ้าง’ ในการถวายงานเป็นที่พอพระทัยแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าฟู่หยวนเพ่ยไม่มีนางกำนัลรับใช้เป็นของตนเอง มีแต่นางกำนัลของลี่เฟยที่นางแบ่งมาให้เรียกใช้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะให้เป็นแบบนี้ก็ไม่สมฐานะสตรีชั้นสูงที่ถวายงานฝ่าบาทอย่างเป็นทางการถึงสองครั้งสองคราพระองค์จึงส่งนางกำนัลมาให้สองคนคือ หยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน ทั้งสองเป็นพี่น้องที่เข้าวังมาพร้อมกัน รูปร่างหน้าตางดงามเฉลียวฉลาดอ่อนโยน อีกทั้งยังทำงานได้หลายอย่างและทำได้ดี เดิมเคยเป็นนางกำนัลที่ถวายงานฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์ ดังนั้นข่าวหวงตี้พระราชทานนางกำนัลให้จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่ววังหลวงครานี้จากสิ่งของเป็นคนเป็นๆ...ฟู่หยวนเพ่ยไม่อาจยกพวกนางกลับไปถวายคืนฝ่าบาทได้อย่างคราวเครื่องประดับอีก จึงจำใจรับสองอนงค์นางเป็นนางกำนัลรับใช้ส่วนตัวในที่สุดด้วยความที่ทั้งในชาติก่อนและชาติปัจจุบันนี้หยวนเพ่ยก็ไม่เคยมีสาวใช้ข้างกาย จึงถนัดการทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่อยู่ตระกูลสาขา แม้เข้ามาอยู่ในวังมีบางครั้งที่นางกำนัลของลี่เฟยไม่อาจมาอยู่รับใช้ได้ นางก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใ
ฟู่หยวนเพ่ยครุ่นคิดอยู่ตลอดทั้งวัน รู้ตัวอีกทีก็เป็นยามซวี[1]ซึ่งเป็นเวลาหลังจากหวงตี้สวดมนต์เป็นจริยาวัตรเสร็จ เวลาต่อจากนั้นเป็นเวลาเข้านอนเด็กสาวถูกห่อตัวด้วยผ้านวมหนาเดินทางมายังตำหนักใหญ่ เนื่องจากเป็นการถวายงานอย่างเป็นทางการที่มีการลงไว้ในบันทึกแดง ฟู่หยวนเพ่ยถูกแบกมาในท่านอนหงาย จึงเห็นใบหน้าหวงตี้ที่กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าที่ดูสงบผ่อนคลายนั้นดูน่ามองไม่น้อยทีเดียวเหล่าขันทีวางตัวนางนอนลงข้างเขา จากนั้นจึงออกไปอย่างรู้หน้าที่ เขาวางหนังสือแล้วพลิกกายตะแคงข้าง เท้าแขนข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ชายหนุ่มอมยิ้มราวกับขบขันที่เห็นนางโดนห่อราวกับเปาะเปี๊ยะเช่นนั้นนานจนหยวนเพ่ยทำหน้ามุ่ย ใช่ว่าอยู่แบบนี้จะสบายตัวเสียเมื่อไหร่ สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“ถ้าหม่อมฉันถูกมัดเช่นนี้จะถวายการนวดได้อย่างไรเล่าเพคะ”“อึดอัดรึ? โกรธรึ?” เขาเอานิ้วจิ้มแก้มนางอย่างหยอกล้อ “คืนแรกทำเราระบมไปสามวันสามคืนเช่นนี้ก็ขอเอาคืนเสียหน่อยสิ”“เช่นนั้นพระองค์ก็เชิญจิ้มตามสบายเลยเพคะ หม่อมฉันจะนอนทั้งแบบนี้จนถึงเช้า” หยวนเพ่ยว่าพลางหลับตาลง แสร้งไม่รู้สึกรู้สาสิ่งที่โอรสสวรรค์กำลังทำเมื่อเห็นท่าทีเ
เผือกร้อน! สิ่งของเหล่านี้คือเผือกร้อนชัดๆฟู่หยวนเพ่ยครุ่นคิดขณะที่เดินนำขันทีคนสนิทของหวงตี้นำถาดเครื่องประดับมูลค่ามหาศาลตรงไปยังห้องทรงพระอักษรนางอยู่อย่างสงบแล้วแท้ๆ พอใจกับความเป็นอยู่ในตอนนี้แล้ว พระองค์โปรดอย่าได้โยนอาจมมาให้นางเลยใช้เวลาเดินไม่นานนักก็มาถึงตำหนักใหญ่ รอให้ลี่กงกงเป็นผู้ประกาศการมาของนางให้โอรสสวรรค์ทรงทราบ เพื่อพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าพบทีแรกฟู่หยวนเพ่ยคิดว่าพระองค์จะปฏิเสธไม่ให้นางเข้าพบ ทว่าหวงตี้กลับทรงให้เข้าพบโดยไม่มีเงื่อนไข นางได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปทันทีเมื่อเดินผ่านโถงทางเดินกว้างขวาง มีตะเกียงแปดเหลี่ยมประดับพู่สีทองเพื่อให้ความสว่างไสวในยามค่ำคืน อีกทั้งยังมีชั้นหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยตำราและม้วนคัมภีร์หลากหลาย บ้างเป็นคัมภีร์โบราณหายาก บ้างเป็นหนังสือวิพากษ์วิจารณ์จากปัญญาชนเนื่องจากหวงตี้โปรดใช้เวลาว่างในการทรงอักษรเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม และตรวจสอบเรื่องราวภายนอก ที่นั่น หวงตี้หนุ่มกำลังร่างราชโองการบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่เมื่อเห็นหยวนเพ่ยเข้ามา พระองค์ก็หยุดมือและยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าพระหนุ"นับว่ามาเร็วอย่างที่เราคาดกา
การที่หยวนเพ่ยเอ่ยออกมาเช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เรื่องราวของนางไปบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยไม่จำเป็น เคยมีคนกล่าวว่า แม้ผีเสื้อขยับปีกย่อมเกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถ้าเกิดว่าวิชาของนางทำให้ประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยนไป ตัวนางเองหรือแม้แต่คนอื่นๆ บนภพภูมิที่จากมา อาจได้รับผลกระทบที่น่าหวาดหวั่นตามมา นางคิดเพียงว่าแค่ได้กลับมาเกิดใหม่ที่สุขสบายเช่นนี้ ก็นับว่าดีมากเหลือเกินแล้ว ไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวอีกในเมื่อหวงตี้ยังคงรักษาสัญญา วิถีชีวิตของหยวนเพ่ยก็ราบเรียบดังปกติ นางเอาแป้งที่นวดไว้มาปั้นเป็นก้อนกลมแล้วใช้ไม้แผ่เป็นแผ่นบาง ใส่เนื้อหมูสับปรุงรสด้วยขึ้นฉ่าย ซีอิ๊ว น้ำมันงา น้ำตาล พริกไทย ตามด้วยตักน้ำที่ต้มหนังหมูทิ้งให้เย็นจนกลายเป็นก้อนวุ้นตามลงไป จับจีบให้สวยเหมือนซาลาเปาลูกเล็ก นำไปนึ่งบนลังถึงให้ร้อน กลายเป็นเสี่ยวหลงเปา จากนั้นนางจึงยกไปให้ลี่เฟยเพื่อว่าจะนำไปกินเป็นของว่างยามบ่ายด้วยกันเมื่อไปถึงก็เห็นว่าลี่เฟยวันนี้เองก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก ได้ยินว่าหลังจากหวงตี้อยู่ประทับที่ตำหนักของนาง อีกทั้งยังพระราชทานแพรพรรณและเครื่องประดับมาอีกจำนวนหนึ่ง ราวกับประกาศให้รู้ว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับผู้ใดม
ฟู่หยวนเพ่ยใช้เวลาอึดใจหนึ่งทำความเข้าใจกับที่บุรุษตรงหน้าเอ่ยขึ้นมา "ให้หม่อมฉันใช้เท้าเหยียบพระองค์หรือเพคะ?"อีกฝ่ายพยักหน้า "เหยียบเรา แบบที่เจ้าทำเมื่อสองวันก่อน"ทีแรกพระองค์นอนปวดกายอยู่บนเตียง ขยับไม่ได้แม้เพียงปลายนิ้ว แม้พยายามขยับก็ปวดร้าวแทบขาดใจ ไม่นึกเลยว่าตนเองต้องมีสภาพน่าสมเพชอยู่ถึงสามวันเต็ม ในระหว่างที่นอนรักษาตัว ในใจก็นึกหาวิธีแก้แค้นฟู่หยวนเพ่ยที่ทำให้เขาต้องมานอนซมเช่นนี้ด้วยวิธีใดให้สาสม พระองค์จะปลดนาง! ทรมานนาง! โบยนาง! ตบปากนาง! สารพัดวิธีที่ล่องลอยอยู่ในหัวรอวันที่พระองค์หายดีแล้วจะไปประกาศโทษต่อหน้านางด้วยพระองค์เองแต่ใครจะคาดคิดว่าล่วงเข้าวันที่สี่ ร่างกายที่เมื่อยล้ากลับโปร่งโล่งเบาสบาย อาการเจ็บปวดหัวไหล่ที่เคยเรื้อรังกำเริบเป็นระยะพลันหายเป็นปลิดทิ้ง ซ้ำยังกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่าถึงขนาดไปซ้อมกระบี่ยิงธนูที่สนามฝึกอยู่ชั่วยามหนึ่งจึงมาหาฟู่หยวนเพ่ยที่ตำหนักชุนชิว หมายให้นางนวดแบบนั้นอีกครั้ง เพื่อที่พระองค์จะได้หายขาดจากโรคภัยทั้งปวงแต่คำตอบที่นางให้พระองค์คือคำปฏิเสธเรียบๆ"ไม่ได้เพคะ"ครานี้ทำเอาหวงตี้พระพักตร์ตึงขึ้นมา"ทำไม?""การนวดเมื่อสอง
ฟู่หยวนเพ่ยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจถวายตัวแล้ว จึงกลับตำหนักชุนชิวที่พี่สาวของนางพักอยู่ เนื่องจากเป็นพระประสงค์ของลี่เฟยที่ต้องการให้น้องสาวอยู่ใกล้ๆ หวงตี้ จึงมีรับสั่งให้ยกเรือนฝั่งปีกซ้ายของตำหนักชุนชิวให้เป็นที่อยู่ของนาง เด็กสาวเดินเข้าไปยังภายในโดยไม่ลืมไปยังตึกฝั่งปีกขวาของตำหนักเพื่อคารวะลี่เฟยที่มีศักดิ์สูงกว่าตามธรรมเนียม ที่นั่นลี่เฟยหรือฟู่หยวนฉุน พี่สาวของนางกำลังจะเสวยมื้อเช้าอยู่พอดี“ถวายพระพรพระสนมเพคะ”ลี่เฟยลุกขึ้น เผยให้เห็นครรภ์นูนกลมวัยห้าเดือนของนาง ลี่เฟยผู้นี้ใบหน้านวลผ่องแจ่มใส สวมชุดสีเขียวอ้ายฉ่าว[1] ปักลายกรอบล้อมบุปผา ทาแป้งแต้มชาดสีเฟิ่นหงหอมละมุน ตรงบริเวณหน้าผากติดฮวาเตี้ยน[2]ตามสมัยนิยม แม้จะมีองค์รัชทายาทอยู่ในครรภ์ แต่ก็ยังไม่สิ้นไร้ซึ่งความงาม ตรงข้ามวันนี้นางกลับดูงดงามเฉิดฉายกว่าทุกๆ วันด้วยซ้ำ แม้กระทั่งเสียงที่เรียกหยวนเพ่ยนั้นก็หวานนุ่มนวล อย่าว่าแต่หวงตี้เลย สตรีแม้ได้ยินก็ใจอ่อน“พระสนมอันใด เราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ลุกขึ้นเถิด”ฟู่หยวนเพ่ยลุกขึ้น ก่อนปล่อยให้ลี่เฟยที่เดินมาหาจูงมือนางเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่มีสำรับอาหารน่ากินวางรออยู่หลายจาน ก่อนที