เพื่อไม่ให้เหล่านางกำนัลและขันทีครหาหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน หลังจากเล่นทาเล็บประดับเล็บจนพอใจ ก็เดินกลับมายังตำหนักของตน จังหวะเดียวกับที่ทางฝ่ายห้องเครื่องส่งอาหารพระราชทานมายังตำหนักพอดีอาหารพระราชทานที่หวงตี้ให้นางนั้นมีสิบอย่าง ซึ่งมาจากรายการเครื่องเสวยหนึ่งในสามที่ฝ่าบาทเสวยในมื้อนั้น ทั้งหมดมีสามมื้อ ล้วนเป็นอาหารที่หารับประทานได้ยาก การจัดแต่งสวยงาม รสชาติล้ำเลิศ ถ้าไม่โปรดปรานหรือทำความดีความชอบมากมายย่อมไม่มีวาสนาเช่นนี้แน่หยวนเพ่ยแม้จะหิวมากมายเพียงใด แต่กินได้ไม่เท่าไรนักก็อิ่มตื้อ ซึ่งตามธรรมเนียมต้องเททิ้งทั้งหมดไม่เก็บไว้ แต่ด้วยความเสียดายและอยากให้คนของนางได้กินของดี จึงได้สั่งให้หยุนรุ่ยและเมิ่งหลานแบ่งใส่จานเล็กเก็บไว้เพื่อให้พวกนางได้กินภายหลัง ความเอื้อเฟื้อของฟู่หยวนเพ่ยเป็นสิ่งที่พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งเวลาผ่านไป พวกนางสองคนก็เริ่มประทับใจกับนายสาวผู้นี้มากขึ้นจิตใจดี งดงาม ไม่ถือตัว ทั้งยังปฏิบัติกับข้ารับใช้เยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง นับเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับผู้ต้องอยู่รับใช้ในวังหลวงแห่งนี้แล้วเวลาในวังหลวงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความโปรดปรานของหวงตี้ที่มีต่อฟู่หย
ราตรีนี้เป็นวันแรกที่ฟู่หยวนเพ่ยถวายตัว...นางเป็นน้องสาวของลี่เฟย ฟู่หยวนฉุน พระสนมที่พระองค์โปรดปราน บัดนี้สามปีผ่านพ้น อีกทั้งลี่เฟยที่กำลังตั้งครรภ์ประสงค์ให้คนในครอบครัวอยู่ดูแล ตระกูลฟู่จึงได้ส่งนางเข้าวังฟู่หยวนเพ่ยภายนอกดูเหมือนคุณหนูในห้องหอทั่วไป คราแรกที่ได้พบ ใบหน้าเรียวขาวดังไข่ปอก ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร เกล้ามวยปักปิ่นดอกอวี้หลัน ประดับที่ติดผมรูปดอกมะลิบานสะพรั่ง สวมชุดฮั่นฝูสีเขียวหิมะครามทอประกายนุ่มนวล ทำให้นางดูเรียบร้อยอ่อนหวาน ต่างกับลี่เฟยที่ดูสดใสเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาชั่วชีวิตของพระองค์พบพานสาวงามอ่อนหวานมานับไม่ถ้วน เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ชวนให้เบื่อหน่าย อยากกลับไปตำหนักชุนชิวที่ลี่เฟยกำลังรออยู่ความคิดของพระองค์ไม่ทันขาดห้วง เหล่าขันทีก็แบกม้วนผ้าห่มสีแดงปักลายเข้ามาในห้อง คล้ายเปาะเปี๊ยะใหญ่ยักษ์ชิ้นหนึ่ง มาวางบนแท่นบรรทม มีศีรษะของฟู่หยวนเพ่ยโผล่ออกมา ใบหน้าของนางเรียบเฉย ไร้แววเขินอายอย่างที่พึงมีหวงตี้ถอนหายใจเฮือก พระองค์พลิกวรกายนอนตะแคงข้างมองนาง มือเรียวดึงผ้าห่มออกจากตัวนางอย่างระมัดระวังโดยที่นางเองให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นางลุกขึ้นนั่ง แสงเทียนนว
ฟู่หยวนเพ่ยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจถวายตัวแล้ว จึงกลับตำหนักชุนชิวที่พี่สาวของนางพักอยู่ เนื่องจากเป็นพระประสงค์ของลี่เฟยที่ต้องการให้น้องสาวอยู่ใกล้ๆ หวงตี้ จึงมีรับสั่งให้ยกเรือนฝั่งปีกซ้ายของตำหนักชุนชิวให้เป็นที่อยู่ของนาง เด็กสาวเดินเข้าไปยังภายในโดยไม่ลืมไปยังตึกฝั่งปีกขวาของตำหนักเพื่อคารวะลี่เฟยที่มีศักดิ์สูงกว่าตามธรรมเนียม ที่นั่นลี่เฟยหรือฟู่หยวนฉุน พี่สาวของนางกำลังจะเสวยมื้อเช้าอยู่พอดี“ถวายพระพรพระสนมเพคะ”ลี่เฟยลุกขึ้น เผยให้เห็นครรภ์นูนกลมวัยห้าเดือนของนาง ลี่เฟยผู้นี้ใบหน้านวลผ่องแจ่มใส สวมชุดสีเขียวอ้ายฉ่าว[1] ปักลายกรอบล้อมบุปผา ทาแป้งแต้มชาดสีเฟิ่นหงหอมละมุน ตรงบริเวณหน้าผากติดฮวาเตี้ยน[2]ตามสมัยนิยม แม้จะมีองค์รัชทายาทอยู่ในครรภ์ แต่ก็ยังไม่สิ้นไร้ซึ่งความงาม ตรงข้ามวันนี้นางกลับดูงดงามเฉิดฉายกว่าทุกๆ วันด้วยซ้ำ แม้กระทั่งเสียงที่เรียกหยวนเพ่ยนั้นก็หวานนุ่มนวล อย่าว่าแต่หวงตี้เลย สตรีแม้ได้ยินก็ใจอ่อน“พระสนมอันใด เราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ลุกขึ้นเถิด”ฟู่หยวนเพ่ยลุกขึ้น ก่อนปล่อยให้ลี่เฟยที่เดินมาหาจูงมือนางเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่มีสำรับอาหารน่ากินวางรออยู่หลายจาน ก่อนที
ฟู่หยวนเพ่ยใช้เวลาอึดใจหนึ่งทำความเข้าใจกับที่บุรุษตรงหน้าเอ่ยขึ้นมา "ให้หม่อมฉันใช้เท้าเหยียบพระองค์หรือเพคะ?"อีกฝ่ายพยักหน้า "เหยียบเรา แบบที่เจ้าทำเมื่อสองวันก่อน"ทีแรกพระองค์นอนปวดกายอยู่บนเตียง ขยับไม่ได้แม้เพียงปลายนิ้ว แม้พยายามขยับก็ปวดร้าวแทบขาดใจ ไม่นึกเลยว่าตนเองต้องมีสภาพน่าสมเพชอยู่ถึงสามวันเต็ม ในระหว่างที่นอนรักษาตัว ในใจก็นึกหาวิธีแก้แค้นฟู่หยวนเพ่ยที่ทำให้เขาต้องมานอนซมเช่นนี้ด้วยวิธีใดให้สาสม พระองค์จะปลดนาง! ทรมานนาง! โบยนาง! ตบปากนาง! สารพัดวิธีที่ล่องลอยอยู่ในหัวรอวันที่พระองค์หายดีแล้วจะไปประกาศโทษต่อหน้านางด้วยพระองค์เองแต่ใครจะคาดคิดว่าล่วงเข้าวันที่สี่ ร่างกายที่เมื่อยล้ากลับโปร่งโล่งเบาสบาย อาการเจ็บปวดหัวไหล่ที่เคยเรื้อรังกำเริบเป็นระยะพลันหายเป็นปลิดทิ้ง ซ้ำยังกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่าถึงขนาดไปซ้อมกระบี่ยิงธนูที่สนามฝึกอยู่ชั่วยามหนึ่งจึงมาหาฟู่หยวนเพ่ยที่ตำหนักชุนชิว หมายให้นางนวดแบบนั้นอีกครั้ง เพื่อที่พระองค์จะได้หายขาดจากโรคภัยทั้งปวงแต่คำตอบที่นางให้พระองค์คือคำปฏิเสธเรียบๆ"ไม่ได้เพคะ"ครานี้ทำเอาหวงตี้พระพักตร์ตึงขึ้นมา"ทำไม?""การนวดเมื่อสอง
การที่หยวนเพ่ยเอ่ยออกมาเช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เรื่องราวของนางไปบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยไม่จำเป็น เคยมีคนกล่าวว่า แม้ผีเสื้อขยับปีกย่อมเกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถ้าเกิดว่าวิชาของนางทำให้ประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยนไป ตัวนางเองหรือแม้แต่คนอื่นๆ บนภพภูมิที่จากมา อาจได้รับผลกระทบที่น่าหวาดหวั่นตามมา นางคิดเพียงว่าแค่ได้กลับมาเกิดใหม่ที่สุขสบายเช่นนี้ ก็นับว่าดีมากเหลือเกินแล้ว ไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวอีกในเมื่อหวงตี้ยังคงรักษาสัญญา วิถีชีวิตของหยวนเพ่ยก็ราบเรียบดังปกติ นางเอาแป้งที่นวดไว้มาปั้นเป็นก้อนกลมแล้วใช้ไม้แผ่เป็นแผ่นบาง ใส่เนื้อหมูสับปรุงรสด้วยขึ้นฉ่าย ซีอิ๊ว น้ำมันงา น้ำตาล พริกไทย ตามด้วยตักน้ำที่ต้มหนังหมูทิ้งให้เย็นจนกลายเป็นก้อนวุ้นตามลงไป จับจีบให้สวยเหมือนซาลาเปาลูกเล็ก นำไปนึ่งบนลังถึงให้ร้อน กลายเป็นเสี่ยวหลงเปา จากนั้นนางจึงยกไปให้ลี่เฟยเพื่อว่าจะนำไปกินเป็นของว่างยามบ่ายด้วยกันเมื่อไปถึงก็เห็นว่าลี่เฟยวันนี้เองก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก ได้ยินว่าหลังจากหวงตี้อยู่ประทับที่ตำหนักของนาง อีกทั้งยังพระราชทานแพรพรรณและเครื่องประดับมาอีกจำนวนหนึ่ง ราวกับประกาศให้รู้ว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับผู้ใดม
เผือกร้อน! สิ่งของเหล่านี้คือเผือกร้อนชัดๆฟู่หยวนเพ่ยครุ่นคิดขณะที่เดินนำขันทีคนสนิทของหวงตี้นำถาดเครื่องประดับมูลค่ามหาศาลตรงไปยังห้องทรงพระอักษรนางอยู่อย่างสงบแล้วแท้ๆ พอใจกับความเป็นอยู่ในตอนนี้แล้ว พระองค์โปรดอย่าได้โยนอาจมมาให้นางเลยใช้เวลาเดินไม่นานนักก็มาถึงตำหนักใหญ่ รอให้ลี่กงกงเป็นผู้ประกาศการมาของนางให้โอรสสวรรค์ทรงทราบ เพื่อพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าพบทีแรกฟู่หยวนเพ่ยคิดว่าพระองค์จะปฏิเสธไม่ให้นางเข้าพบ ทว่าหวงตี้กลับทรงให้เข้าพบโดยไม่มีเงื่อนไข นางได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปทันทีเมื่อเดินผ่านโถงทางเดินกว้างขวาง มีตะเกียงแปดเหลี่ยมประดับพู่สีทองเพื่อให้ความสว่างไสวในยามค่ำคืน อีกทั้งยังมีชั้นหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยตำราและม้วนคัมภีร์หลากหลาย บ้างเป็นคัมภีร์โบราณหายาก บ้างเป็นหนังสือวิพากษ์วิจารณ์จากปัญญาชนเนื่องจากหวงตี้โปรดใช้เวลาว่างในการทรงอักษรเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม และตรวจสอบเรื่องราวภายนอก ที่นั่น หวงตี้หนุ่มกำลังร่างราชโองการบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่เมื่อเห็นหยวนเพ่ยเข้ามา พระองค์ก็หยุดมือและยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าพระหนุ"นับว่ามาเร็วอย่างที่เราคาดกา
ฟู่หยวนเพ่ยครุ่นคิดอยู่ตลอดทั้งวัน รู้ตัวอีกทีก็เป็นยามซวี[1]ซึ่งเป็นเวลาหลังจากหวงตี้สวดมนต์เป็นจริยาวัตรเสร็จ เวลาต่อจากนั้นเป็นเวลาเข้านอนเด็กสาวถูกห่อตัวด้วยผ้านวมหนาเดินทางมายังตำหนักใหญ่ เนื่องจากเป็นการถวายงานอย่างเป็นทางการที่มีการลงไว้ในบันทึกแดง ฟู่หยวนเพ่ยถูกแบกมาในท่านอนหงาย จึงเห็นใบหน้าหวงตี้ที่กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าที่ดูสงบผ่อนคลายนั้นดูน่ามองไม่น้อยทีเดียวเหล่าขันทีวางตัวนางนอนลงข้างเขา จากนั้นจึงออกไปอย่างรู้หน้าที่ เขาวางหนังสือแล้วพลิกกายตะแคงข้าง เท้าแขนข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ชายหนุ่มอมยิ้มราวกับขบขันที่เห็นนางโดนห่อราวกับเปาะเปี๊ยะเช่นนั้นนานจนหยวนเพ่ยทำหน้ามุ่ย ใช่ว่าอยู่แบบนี้จะสบายตัวเสียเมื่อไหร่ สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“ถ้าหม่อมฉันถูกมัดเช่นนี้จะถวายการนวดได้อย่างไรเล่าเพคะ”“อึดอัดรึ? โกรธรึ?” เขาเอานิ้วจิ้มแก้มนางอย่างหยอกล้อ “คืนแรกทำเราระบมไปสามวันสามคืนเช่นนี้ก็ขอเอาคืนเสียหน่อยสิ”“เช่นนั้นพระองค์ก็เชิญจิ้มตามสบายเลยเพคะ หม่อมฉันจะนอนทั้งแบบนี้จนถึงเช้า” หยวนเพ่ยว่าพลางหลับตาลง แสร้งไม่รู้สึกรู้สาสิ่งที่โอรสสวรรค์กำลังทำเมื่อเห็นท่าทีเ
หลังกลับจากตำหนักใหญ่ในช่วงบ่าย นอกจากเครื่องประดับและแพรพรรณเป็น ‘ค่าจ้าง’ ในการถวายงานเป็นที่พอพระทัยแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าฟู่หยวนเพ่ยไม่มีนางกำนัลรับใช้เป็นของตนเอง มีแต่นางกำนัลของลี่เฟยที่นางแบ่งมาให้เรียกใช้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะให้เป็นแบบนี้ก็ไม่สมฐานะสตรีชั้นสูงที่ถวายงานฝ่าบาทอย่างเป็นทางการถึงสองครั้งสองคราพระองค์จึงส่งนางกำนัลมาให้สองคนคือ หยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน ทั้งสองเป็นพี่น้องที่เข้าวังมาพร้อมกัน รูปร่างหน้าตางดงามเฉลียวฉลาดอ่อนโยน อีกทั้งยังทำงานได้หลายอย่างและทำได้ดี เดิมเคยเป็นนางกำนัลที่ถวายงานฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์ ดังนั้นข่าวหวงตี้พระราชทานนางกำนัลให้จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่ววังหลวงครานี้จากสิ่งของเป็นคนเป็นๆ...ฟู่หยวนเพ่ยไม่อาจยกพวกนางกลับไปถวายคืนฝ่าบาทได้อย่างคราวเครื่องประดับอีก จึงจำใจรับสองอนงค์นางเป็นนางกำนัลรับใช้ส่วนตัวในที่สุดด้วยความที่ทั้งในชาติก่อนและชาติปัจจุบันนี้หยวนเพ่ยก็ไม่เคยมีสาวใช้ข้างกาย จึงถนัดการทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่อยู่ตระกูลสาขา แม้เข้ามาอยู่ในวังมีบางครั้งที่นางกำนัลของลี่เฟยไม่อาจมาอยู่รับใช้ได้ นางก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใ
เพื่อไม่ให้เหล่านางกำนัลและขันทีครหาหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน หลังจากเล่นทาเล็บประดับเล็บจนพอใจ ก็เดินกลับมายังตำหนักของตน จังหวะเดียวกับที่ทางฝ่ายห้องเครื่องส่งอาหารพระราชทานมายังตำหนักพอดีอาหารพระราชทานที่หวงตี้ให้นางนั้นมีสิบอย่าง ซึ่งมาจากรายการเครื่องเสวยหนึ่งในสามที่ฝ่าบาทเสวยในมื้อนั้น ทั้งหมดมีสามมื้อ ล้วนเป็นอาหารที่หารับประทานได้ยาก การจัดแต่งสวยงาม รสชาติล้ำเลิศ ถ้าไม่โปรดปรานหรือทำความดีความชอบมากมายย่อมไม่มีวาสนาเช่นนี้แน่หยวนเพ่ยแม้จะหิวมากมายเพียงใด แต่กินได้ไม่เท่าไรนักก็อิ่มตื้อ ซึ่งตามธรรมเนียมต้องเททิ้งทั้งหมดไม่เก็บไว้ แต่ด้วยความเสียดายและอยากให้คนของนางได้กินของดี จึงได้สั่งให้หยุนรุ่ยและเมิ่งหลานแบ่งใส่จานเล็กเก็บไว้เพื่อให้พวกนางได้กินภายหลัง ความเอื้อเฟื้อของฟู่หยวนเพ่ยเป็นสิ่งที่พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งเวลาผ่านไป พวกนางสองคนก็เริ่มประทับใจกับนายสาวผู้นี้มากขึ้นจิตใจดี งดงาม ไม่ถือตัว ทั้งยังปฏิบัติกับข้ารับใช้เยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง นับเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับผู้ต้องอยู่รับใช้ในวังหลวงแห่งนี้แล้วเวลาในวังหลวงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความโปรดปรานของหวงตี้ที่มีต่อฟู่หย
เพื่อไม่ให้เหล่านางกำนัลและขันทีครหาหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน หลังจากเล่นทาเล็บประดับเล็บจนพอใจ ก็เดินกลับมายังตำหนักของตน จังหวะเดียวกับที่ทางฝ่ายห้องเครื่องส่งอาหารพระราชทานมายังตำหนักพอดีอาหารพระราชทานที่หวงตี้ให้นางนั้นมีสิบอย่าง ซึ่งมาจากรายการเครื่องเสวยหนึ่งในสามที่ฝ่าบาทเสวยในมื้อนั้น ทั้งหมดมีสามมื้อ ล้วนเป็นอาหารที่หารับประทานได้ยาก การจัดแต่งสวยงาม รสชาติล้ำเลิศ ถ้าไม่โปรดปรานหรือทำความดีความชอบมากมายย่อมไม่มีวาสนาเช่นนี้แน่หยวนเพ่ยแม้จะหิวมากมายเพียงใด แต่กินได้ไม่เท่าไรนักก็อิ่มตื้อ ซึ่งตามธรรมเนียมต้องเททิ้งทั้งหมดไม่เก็บไว้ แต่ด้วยความเสียดายและอยากให้คนของนางได้กินของดี จึงได้สั่งให้หยุนรุ่ยและเมิ่งหลานแบ่งใส่จานเล็กเก็บไว้เพื่อให้พวกนางได้กินภายหลัง ความเอื้อเฟื้อของฟู่หยวนเพ่ยเป็นสิ่งที่พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งเวลาผ่านไป พวกนางสองคนก็เริ่มประทับใจกับนายสาวผู้นี้มากขึ้นจิตใจดี งดงาม ไม่ถือตัว ทั้งยังปฏิบัติกับข้ารับใช้เยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง นับเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับผู้ต้องอยู่รับใช้ในวังหลวงแห่งนี้แล้วเวลาในวังหลวงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความโปรดปรานของหวงตี้ที่มีต่อฟู่หย
ระหว่างที่หยวนเพ่ยและนางกำนัลคนใหม่กำลังอยู่ในอุทยาน ฟู่หยวนฉุนที่อยู่ตำหนักปีกขวากำลังปักตุ๊กตารูปเสือ ของเล่นซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้ชาย ตุ๊กตาสีแดงสด ริมฝีปากยกแยกเห็นเขี้ยวและหนวดน่าเอ็นดู นางคิดถึงเรื่องเมื่อวานพลางลูบครรภ์ของตนอย่างทะนุถนอมรักใคร่เมื่อวานนี้ฟู่ฟูเหรินผู้เป็นมารดามาเยี่ยมนาง นางนำเครื่องรางและกวนอิมประทานบุตรมาจากวัดโฝกวางในซานซี พร้อมพาหมอตำแยที่เชี่ยวชาญการตรวจครรภ์เป็นอย่างดี หลังจากสังเกตครรภ์ของนางก็ให้คำยืนยันว่า ท้องนี้ของนางเป็นโอรสอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าครรภ์ของลี่เฟยจะเข้าเดือนที่เจ็ดซึ่งพ้นช่วงระยะอันตรายไปแล้วก็ตาม อย่างไรเสียก็ไม่ควรวางใจ ถ้าคิดอ่านจะทำสิ่งใด ขอให้เป็นหลังจากคลอดแล้ว ขอให้นางทำใจให้สบาย เช่นนั้นนางจึงวางความคิดจากแผนการทุกอย่าง แล้วทุ่มเทเวลาไปกับการบำรุงครรภ์และทำงานฝีมือ เพื่อต้อนรับโอรสองค์แรกในรัชกาลของถังหวงตี้องค์นี้ที่กำลังจะเกิดมาในไม่ช้าฝ่ายในของถังหวงตี้ เนื่องจากหวงโฮ่วสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่เป็นหวงไท่จื่อเฟย[1] ตอนนี้เฉาเหลียงตี้ [2] ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เฉากุ้ยเฟย หวงตี้ทรงมอบหมายให้เป็นผู้ปกครองฝ่ายในทั้งหมด โดยม
หลังกลับจากตำหนักใหญ่ในช่วงบ่าย นอกจากเครื่องประดับและแพรพรรณเป็น ‘ค่าจ้าง’ ในการถวายงานเป็นที่พอพระทัยแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าฟู่หยวนเพ่ยไม่มีนางกำนัลรับใช้เป็นของตนเอง มีแต่นางกำนัลของลี่เฟยที่นางแบ่งมาให้เรียกใช้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะให้เป็นแบบนี้ก็ไม่สมฐานะสตรีชั้นสูงที่ถวายงานฝ่าบาทอย่างเป็นทางการถึงสองครั้งสองคราพระองค์จึงส่งนางกำนัลมาให้สองคนคือ หยุนรุ่ยกับเมิ่งหลาน ทั้งสองเป็นพี่น้องที่เข้าวังมาพร้อมกัน รูปร่างหน้าตางดงามเฉลียวฉลาดอ่อนโยน อีกทั้งยังทำงานได้หลายอย่างและทำได้ดี เดิมเคยเป็นนางกำนัลที่ถวายงานฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์ ดังนั้นข่าวหวงตี้พระราชทานนางกำนัลให้จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่ววังหลวงครานี้จากสิ่งของเป็นคนเป็นๆ...ฟู่หยวนเพ่ยไม่อาจยกพวกนางกลับไปถวายคืนฝ่าบาทได้อย่างคราวเครื่องประดับอีก จึงจำใจรับสองอนงค์นางเป็นนางกำนัลรับใช้ส่วนตัวในที่สุดด้วยความที่ทั้งในชาติก่อนและชาติปัจจุบันนี้หยวนเพ่ยก็ไม่เคยมีสาวใช้ข้างกาย จึงถนัดการทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเองมาตั้งแต่อยู่ตระกูลสาขา แม้เข้ามาอยู่ในวังมีบางครั้งที่นางกำนัลของลี่เฟยไม่อาจมาอยู่รับใช้ได้ นางก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใ
ฟู่หยวนเพ่ยครุ่นคิดอยู่ตลอดทั้งวัน รู้ตัวอีกทีก็เป็นยามซวี[1]ซึ่งเป็นเวลาหลังจากหวงตี้สวดมนต์เป็นจริยาวัตรเสร็จ เวลาต่อจากนั้นเป็นเวลาเข้านอนเด็กสาวถูกห่อตัวด้วยผ้านวมหนาเดินทางมายังตำหนักใหญ่ เนื่องจากเป็นการถวายงานอย่างเป็นทางการที่มีการลงไว้ในบันทึกแดง ฟู่หยวนเพ่ยถูกแบกมาในท่านอนหงาย จึงเห็นใบหน้าหวงตี้ที่กำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าที่ดูสงบผ่อนคลายนั้นดูน่ามองไม่น้อยทีเดียวเหล่าขันทีวางตัวนางนอนลงข้างเขา จากนั้นจึงออกไปอย่างรู้หน้าที่ เขาวางหนังสือแล้วพลิกกายตะแคงข้าง เท้าแขนข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ชายหนุ่มอมยิ้มราวกับขบขันที่เห็นนางโดนห่อราวกับเปาะเปี๊ยะเช่นนั้นนานจนหยวนเพ่ยทำหน้ามุ่ย ใช่ว่าอยู่แบบนี้จะสบายตัวเสียเมื่อไหร่ สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“ถ้าหม่อมฉันถูกมัดเช่นนี้จะถวายการนวดได้อย่างไรเล่าเพคะ”“อึดอัดรึ? โกรธรึ?” เขาเอานิ้วจิ้มแก้มนางอย่างหยอกล้อ “คืนแรกทำเราระบมไปสามวันสามคืนเช่นนี้ก็ขอเอาคืนเสียหน่อยสิ”“เช่นนั้นพระองค์ก็เชิญจิ้มตามสบายเลยเพคะ หม่อมฉันจะนอนทั้งแบบนี้จนถึงเช้า” หยวนเพ่ยว่าพลางหลับตาลง แสร้งไม่รู้สึกรู้สาสิ่งที่โอรสสวรรค์กำลังทำเมื่อเห็นท่าทีเ
เผือกร้อน! สิ่งของเหล่านี้คือเผือกร้อนชัดๆฟู่หยวนเพ่ยครุ่นคิดขณะที่เดินนำขันทีคนสนิทของหวงตี้นำถาดเครื่องประดับมูลค่ามหาศาลตรงไปยังห้องทรงพระอักษรนางอยู่อย่างสงบแล้วแท้ๆ พอใจกับความเป็นอยู่ในตอนนี้แล้ว พระองค์โปรดอย่าได้โยนอาจมมาให้นางเลยใช้เวลาเดินไม่นานนักก็มาถึงตำหนักใหญ่ รอให้ลี่กงกงเป็นผู้ประกาศการมาของนางให้โอรสสวรรค์ทรงทราบ เพื่อพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าพบทีแรกฟู่หยวนเพ่ยคิดว่าพระองค์จะปฏิเสธไม่ให้นางเข้าพบ ทว่าหวงตี้กลับทรงให้เข้าพบโดยไม่มีเงื่อนไข นางได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปทันทีเมื่อเดินผ่านโถงทางเดินกว้างขวาง มีตะเกียงแปดเหลี่ยมประดับพู่สีทองเพื่อให้ความสว่างไสวในยามค่ำคืน อีกทั้งยังมีชั้นหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยตำราและม้วนคัมภีร์หลากหลาย บ้างเป็นคัมภีร์โบราณหายาก บ้างเป็นหนังสือวิพากษ์วิจารณ์จากปัญญาชนเนื่องจากหวงตี้โปรดใช้เวลาว่างในการทรงอักษรเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม และตรวจสอบเรื่องราวภายนอก ที่นั่น หวงตี้หนุ่มกำลังร่างราชโองการบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่เมื่อเห็นหยวนเพ่ยเข้ามา พระองค์ก็หยุดมือและยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าพระหนุ"นับว่ามาเร็วอย่างที่เราคาดกา
การที่หยวนเพ่ยเอ่ยออกมาเช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เรื่องราวของนางไปบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยไม่จำเป็น เคยมีคนกล่าวว่า แม้ผีเสื้อขยับปีกย่อมเกิดผลกระทบใหญ่หลวง ถ้าเกิดว่าวิชาของนางทำให้ประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยนไป ตัวนางเองหรือแม้แต่คนอื่นๆ บนภพภูมิที่จากมา อาจได้รับผลกระทบที่น่าหวาดหวั่นตามมา นางคิดเพียงว่าแค่ได้กลับมาเกิดใหม่ที่สุขสบายเช่นนี้ ก็นับว่าดีมากเหลือเกินแล้ว ไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวอีกในเมื่อหวงตี้ยังคงรักษาสัญญา วิถีชีวิตของหยวนเพ่ยก็ราบเรียบดังปกติ นางเอาแป้งที่นวดไว้มาปั้นเป็นก้อนกลมแล้วใช้ไม้แผ่เป็นแผ่นบาง ใส่เนื้อหมูสับปรุงรสด้วยขึ้นฉ่าย ซีอิ๊ว น้ำมันงา น้ำตาล พริกไทย ตามด้วยตักน้ำที่ต้มหนังหมูทิ้งให้เย็นจนกลายเป็นก้อนวุ้นตามลงไป จับจีบให้สวยเหมือนซาลาเปาลูกเล็ก นำไปนึ่งบนลังถึงให้ร้อน กลายเป็นเสี่ยวหลงเปา จากนั้นนางจึงยกไปให้ลี่เฟยเพื่อว่าจะนำไปกินเป็นของว่างยามบ่ายด้วยกันเมื่อไปถึงก็เห็นว่าลี่เฟยวันนี้เองก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก ได้ยินว่าหลังจากหวงตี้อยู่ประทับที่ตำหนักของนาง อีกทั้งยังพระราชทานแพรพรรณและเครื่องประดับมาอีกจำนวนหนึ่ง ราวกับประกาศให้รู้ว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับผู้ใดม
ฟู่หยวนเพ่ยใช้เวลาอึดใจหนึ่งทำความเข้าใจกับที่บุรุษตรงหน้าเอ่ยขึ้นมา "ให้หม่อมฉันใช้เท้าเหยียบพระองค์หรือเพคะ?"อีกฝ่ายพยักหน้า "เหยียบเรา แบบที่เจ้าทำเมื่อสองวันก่อน"ทีแรกพระองค์นอนปวดกายอยู่บนเตียง ขยับไม่ได้แม้เพียงปลายนิ้ว แม้พยายามขยับก็ปวดร้าวแทบขาดใจ ไม่นึกเลยว่าตนเองต้องมีสภาพน่าสมเพชอยู่ถึงสามวันเต็ม ในระหว่างที่นอนรักษาตัว ในใจก็นึกหาวิธีแก้แค้นฟู่หยวนเพ่ยที่ทำให้เขาต้องมานอนซมเช่นนี้ด้วยวิธีใดให้สาสม พระองค์จะปลดนาง! ทรมานนาง! โบยนาง! ตบปากนาง! สารพัดวิธีที่ล่องลอยอยู่ในหัวรอวันที่พระองค์หายดีแล้วจะไปประกาศโทษต่อหน้านางด้วยพระองค์เองแต่ใครจะคาดคิดว่าล่วงเข้าวันที่สี่ ร่างกายที่เมื่อยล้ากลับโปร่งโล่งเบาสบาย อาการเจ็บปวดหัวไหล่ที่เคยเรื้อรังกำเริบเป็นระยะพลันหายเป็นปลิดทิ้ง ซ้ำยังกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่าถึงขนาดไปซ้อมกระบี่ยิงธนูที่สนามฝึกอยู่ชั่วยามหนึ่งจึงมาหาฟู่หยวนเพ่ยที่ตำหนักชุนชิว หมายให้นางนวดแบบนั้นอีกครั้ง เพื่อที่พระองค์จะได้หายขาดจากโรคภัยทั้งปวงแต่คำตอบที่นางให้พระองค์คือคำปฏิเสธเรียบๆ"ไม่ได้เพคะ"ครานี้ทำเอาหวงตี้พระพักตร์ตึงขึ้นมา"ทำไม?""การนวดเมื่อสอง
ฟู่หยวนเพ่ยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจถวายตัวแล้ว จึงกลับตำหนักชุนชิวที่พี่สาวของนางพักอยู่ เนื่องจากเป็นพระประสงค์ของลี่เฟยที่ต้องการให้น้องสาวอยู่ใกล้ๆ หวงตี้ จึงมีรับสั่งให้ยกเรือนฝั่งปีกซ้ายของตำหนักชุนชิวให้เป็นที่อยู่ของนาง เด็กสาวเดินเข้าไปยังภายในโดยไม่ลืมไปยังตึกฝั่งปีกขวาของตำหนักเพื่อคารวะลี่เฟยที่มีศักดิ์สูงกว่าตามธรรมเนียม ที่นั่นลี่เฟยหรือฟู่หยวนฉุน พี่สาวของนางกำลังจะเสวยมื้อเช้าอยู่พอดี“ถวายพระพรพระสนมเพคะ”ลี่เฟยลุกขึ้น เผยให้เห็นครรภ์นูนกลมวัยห้าเดือนของนาง ลี่เฟยผู้นี้ใบหน้านวลผ่องแจ่มใส สวมชุดสีเขียวอ้ายฉ่าว[1] ปักลายกรอบล้อมบุปผา ทาแป้งแต้มชาดสีเฟิ่นหงหอมละมุน ตรงบริเวณหน้าผากติดฮวาเตี้ยน[2]ตามสมัยนิยม แม้จะมีองค์รัชทายาทอยู่ในครรภ์ แต่ก็ยังไม่สิ้นไร้ซึ่งความงาม ตรงข้ามวันนี้นางกลับดูงดงามเฉิดฉายกว่าทุกๆ วันด้วยซ้ำ แม้กระทั่งเสียงที่เรียกหยวนเพ่ยนั้นก็หวานนุ่มนวล อย่าว่าแต่หวงตี้เลย สตรีแม้ได้ยินก็ใจอ่อน“พระสนมอันใด เราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ลุกขึ้นเถิด”ฟู่หยวนเพ่ยลุกขึ้น ก่อนปล่อยให้ลี่เฟยที่เดินมาหาจูงมือนางเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่มีสำรับอาหารน่ากินวางรออยู่หลายจาน ก่อนที