“เรื่องนี้ ต้องเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตัดสินใจให้ ข้า…”
“ข้าถามความสมัครใจของเจ้า ความรู้สึกของเจ้า ข้าไม่ได้อยากรู้เรื่องผู้อื่น หากว่าเจ้ายินยอม ข้าก็จัดการสู่ขอตามประเพณี แต่หากว่าเจ้าปฏิเสธ….”
นางเงยหน้าขึ้นมองเขา นึกอยากรู้ว่าคำตอบนั้นทันที หากนางปฏิเสธ เขาจะทำเช่นไร
“ข้าก็พยายามให้เจ้ามองข้าใหม่ และสู่ขอเจ้าอยู่ดี”
ซู่เย่หลุดขำออกมา นางไม่ประสีประสาเรื่องแบบนี้ บางทีอาจจะต้องใช้เวลา แต่ที่นางรู้แน่ชัดในคืนนี้ก็คือ นางไม่ได้นึกรังเกียจแม่ทัพมู่หลงฟู่ นางจูบกับเขาถึงสองครั้งโดยที่ไม่ได้ขัดขืน ซึ่งความรู้สึกนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับฉินเว่ยหยางมาก่อน
“เจ้าขำอะไร เหตุใดจึงต้องหัวเราะ”
“เปล่าเจ้าค่ะ ดึกแล้ว ท่านรีบกลับจวนก่อนจะดีกว่านะเจ้าคะ ตอนนี้พิษในกายท่าน น่าจะหมดแล้ว”
“เจ้าตรวจดูก็น่าจะรู้นี่ ลองตรวจก่อนสิ”
เขายื่นมือมาให้นางจับ นางจึงรับมือเขามาวางที่มือเรียวบางของนางก่อนจะจับชีพจรดู
“ยังออกไม่หมด แต่ก็ไม่ร้ายแรงแล้ว เพียงนอนพักผ่อนก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
เขาดึงนางเข้ามากอด ตอนนี้เขาได้กลิ่นจากตัวนางได้ชัดเจน รวมถึงกลิ่นที่เรือนผมของนางที่ส่งกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ในสวนพฤกษชาติทำให้เขาไม่อยากปล่อยนางไปเลย ซู่เย่รู้สึกว่าหัวใจนางเต้นแรงขึ้นอีกแล้ว แต่เมื่อหยุดนิ่งในอ้อมกอดเขา และหลับตาลงกลับพบว่า หัวใจของเขาก็เต้นแรงพอๆ กับนางเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ คือว่า...”
“เจ้าลองเรียกข้าว่า พี่ฟู่ ได้หรือไม่”
“เอ่อ…นั่น ไม่น่าจะเหมาะสมเท่าไหร่นะเจ้าคะ”
“ซู่เย่ หากเจ้าไม่ทำ ข้าอาจจะจูบเจ้าอีกนะ”
“พี่ฟู่”
เขาคลายอ้อมกอดนั้นออก ก่อนจะใช้มือจับที่แก้มเย็นๆ ของนาง เขาปล่อยนางยืนตากลมนานแล้ว ควรจะให้นางกลับเข้าจวนเสียที เขาก้มลงมา ก่อนที่นางจะเบี่ยงหน้าหนี
“ท่านบอกว่าจะไม่รังแกข้าอีก”
เขาจับหน้านางไม่ให้หนี ก่อนที่จะก้มลงหอมแก้มเย็นๆ แต่นุ่มและหอมมาก และอดไม่ได้ที่จะจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของนางเป็นการเอ่ยลาสำหรับคืนนี้
“อากาศเริ่มเย็นแล้ว เจ้ากลับเข้าห้องเถิด ข้าจะเดินกลับเอง”
ซู่เย่ที่ยืนแข็งทื่อเพราะพึ่งถูกจู่โจมมายังคงทำตัวไม่ถูก ก่อนที่นางจะรีบบอกเขา
“ข้าขอลาเจ้าค่ะ”
นางย่อตัวส่งเขา ก่อนที่จะรีบหันเดินกลับเข้าจวนไป โดยไม่ได้หันมามองเขาอีก มู่หลงฟู่มองตามหลังของนางไป ไม่คิดว่าคืนนี้จะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย จนทำให้เขารู้ใจตนเองว่าต้องการทำอะไรกันแน่ เขาคงต้องเร่งส่งข่าวกลับไปหามารดา เพื่อเตรียมเร่งทำการสู่ขอจินซู่เย่มาเป็นฮูหยินของเขาเสียที…..
จินซู่เย่เดินตัวลอยกลับไปที่ห้องนอน ก่อนที่นางจะเผลอ เดินไปดูที่อ่างอาบน้ำที่เขาเคยแช่ และหันกลับมาอย่างรู้สึกอับอายกับการกระทำนั้นของตน
“บ้าเหรอ คิดอะไรอยู่น่ะ จินซู่เย่ นอนได้แล้ว”
จวนแม่ทัพ เมืองหย่งตู
“เจ้าว่าอย่างไรนะ มีคำสั่งลงมาแล้วงั้นหรือ”
“ขอรับท่านแม่ทัพ ให้ท่านอยู่ประจำที่หย่งตู ยังไม่ต้องกลับเข้าเมืองหลวงขอรับ”
“ดูท่า เรื่องที่ซู่เย่ได้ยิน จะเป็นความจริงสินะ ระแวงข้าขนาดนี้ ถึงขั้นไม่ให้กลับเข้าเมืองหลวง นอกจากนั้นล่ะ มีคำสั่งใดเพิ่มอีกหรือไม่”
กงจื่อและกงเซียวมองหน้ากัน และยื่นราชโองการสีเหลืองทองส่งมาให้เขาอ่านและจดหมายอีกหนึ่งฉบับเขารับมาอ่าน และรีบวางทันทีด้วยความโมโหอย่างที่สุด
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน หึ จะพระราชทานสมรส บุตรีของราชครูผังเจินให้ข้า ถามข้าสักคำหรือไม่ ร้ายกาจมาก คิดว่าข้าเป็นหมูในอวยของเจ้างั้นเหรอ ฝนหมึกให้ข้าที ข้าจะเขียนหนังสือส่งไปที่เมืองหลวง”
เขาเริ่มเขียนหนังสือส่งไปยังเมืองหลวง ปฏิเสธการแต่งงานพระราชทานสมรส ในเมื่อเขาปราบกบฏหย่งตูได้ และฝ่าบาทให้รั้งดินแดนนี้เอาไว้ เขาไม่มีทางแต่งกับบุตรสาวราชครู ผู้มากด้วยกามารมณ์เช่นนาง ชื่อเสียงของนางเป็นที่ฉาวโฉ่ทั่วเมืองหลวง สตรีงามล่มเมืองแต่ชอบเที่ยวหอนายโลมชายเป็นที่สุด
จดหมายถูกส่งกลับ ก่อนที่เขาจะออกมาสูดอากาศนอกจวนด้วยการขี่ม้ามาที่เนินเขา เป็นสถานที่ที่พบกับจินซู่เย่ในครั้งแรก ไม่กลับเมืองหลวงก็ดี เขาเพียงเป็นห่วงมารดาที่เริ่มอายุมากแล้ว และนางก็พึ่งสูญเสียบิดาไป อย่างไรเสีย เขาก็คงต้องหาโอกาสกลับเมืองหลวงไปเยี่ยมนาง……
“ข้าจะกลับไปเยี่ยมท่านแม่ และไปเคารพสุสานท่านพ่อด้วย อาจจะไม่อยู่สี่ห้าวัน ระหว่างนี้ก็ปิดจวนเอาไว้”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
เขาเร่งขี่ม้าเร็วกลับเมืองหลวงด้วยเรื่องสำคัญ แม้ว่าจดหมายปฏิเสธการแต่งงานจะถูกส่งไปก่อนแล้ว แต่เขาคิดว่าราชครูคงไม่หยุดแค่นี้แน่ เขาต้องเร่งจัดการเรื่องนี้ก่อน และอธิบายให้มารดาของเขาฟัง ว่าเขามีสตรีในดวงใจแล้ว
จวนสกุลมู่
“ท่านโหวน้อย ท่านกลับมาแล้ว สวรรค์ ท่านกลับมาแล้วจริงๆ ไปเรียนฮูหยินเร็วเข้า เร็วๆ เข้า”
ที่นี่เรียกเขาว่าท่านโหวน้อย เนื่องจากการตายของบิดาในสนามรบ ฮ่องเต้ได้พระราชทานยศให้บิดาของเขา ตำแหน่งท่านโหว จึงสืบทอดตกมาเป็นของเขา สตรีสูงวัยมีสาวใช้ในวัยใกล้เคียงกันพยุงมา เดินมาหาเขา ก่อนที่เขาจะเดินมาคุกเข่าต่อหน้านาง
“ท่านแม่ ลูกอกตัญญูกลับมาหาท่านแล้ว”
“มู่หลงฟู่ ลูกแม่ เจ้ากลับมาแล้ว ลุกขึ้นมาให้แม่กอดหน่อย หลงฟู่ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง โอ..ลูกแม่”
น้ำตาของผู้เป็นมารดาไหลไม่หยุดเมื่อนางมองเห็นบุตรชายที่มีลมหายใจเดินเข้ามาหานางที่จวน เขามองหน้ามารดา ที่บัดนี้นางเริ่มมีริ้วรอยจากความโศกเศร้าและอายุที่มากขึ้น แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้เขา ยังคงเป็นมารดาที่อ่อนโยน ใจดีดั่งเช่นวันวาน
“ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ ลูกกลับมาเยี่ยมท่านแม่และมากราบป้ายวิญญาณท่านพ่อด้วย”
“แม่ให้ท่านพ่อรออยู่บนเขา หากเจ้าอยากไปก็บอกพ่อบ้านจุนนำทางเจ้าไป ลูกแม่ แม่ทราบข่าวแล้ว ฝ่าบาทให้เจ้ารั้งอยู่เมืองหย่งตู ระหว่างรอเจ้าเมืองคนใหม่ไปประจำการ เจ้าอยู่ที่นั่น เป็นเช่นไรบ้าง”
“ลูกสบายดีขอรับท่านแม่ วันนี้ลูกมีเรื่องจะปรึกษากับท่านแม่ด้วยขอรับ”
พ่อบ้านจุนรีบวิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรีบร้อน ก่อนที่จะรีบแจ้ง
“ท่านโหว ฮูหยินขอรับ คุณหนูผังอี้เหมยมาขอพบขอรับ”
“นางคือ!!”
“ท่านแม่ ลูกไม่ได้อยากเจอหน้านาง”
“ท่านโหว เหตุใดจึงมิอยากเจอข้าหรือเจ้าคะ”
กลิ่นฉุนของน้ำหอมสตรีที่เตะจมูกเขารุนแรงเช่นนี้คงมิใช่ใครอื่น นอกจากสตรีงามล่มเมืองของต้าซ่ง ผังอี้เหมย บุตรสาวราชครูผังที่เลื่องชื่อ
“ข้าน้อยผังอี้เหมยคารวะฮูหยินมู่ ท่านโหวเจ้าค่ะ”
“แม่นางผัง เชิญตามสบายเถิด นั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณฮูหยิน”
นางเลือกนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เพื่อจะได้มองแม่ทัพหนุ่มได้ชัดขึ้น
“แม่นางผัง เจ้ามีธุระอันใดที่จวนข้างั้นหรือ”
เขายังคงถามเสียงแข็งกร้าว เพราะไม่ได้อยากต้อนรับหรือร่วมสนทนากับนางแม้แต่น้อย
“ข้าควรจะถามท่านเสียมากกว่า เหตุใดท่านจึงกล้าส่งจดหมายปฏิเสธการแต่งงานของเราสองคนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้”
เขามองนางที่กำลังส่งสายตาผิดหวัง โมโห และไม่พอใจมาให้เขา
"ข้าได้อธิบายเหตุผลไปกับจดหมายที่ส่งถึงฝ่าบาทแล้ว เรื่องนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ผู้อื่นทราบ…..
“แต่ข้ามิใช่ผู้อื่น ข้าเป็นคนที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้แต่งกับท่าน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คู่หมั้นของท่าน”มู่ฮูหยินถึงกับยกมือขึ้นป้องปาก คิดไม่ถึงว่าสตรีสูงศักดิ์จะกล้าพูดแบบนี้ออกมาต่อหน้าผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น ต่อหน้าลูกชายของนางและนางอีกด้วย“คุณหนูผัง เรื่องนี้ ข้าว่ารอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยก่อนแล้วค่อยมาปรึกษากันอีกทีดีหรือไม่”“ท่านโหว ข้าอยากทราบเหตุผลที่ท่านปฏิเสธการแต่งงานในครั้งนี้”เขาหันมามองนาง ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณหนูสกุลผังนี้มาก่อนว่าทั้งเอาแต่ใจ เกรี้ยวกราด ไม่มีมารยาท ไม่มีความรู้ และไม่สนใจการบ้านการเรือน เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด เพราะเห็นว่าเป็นบุตรีของท่านราชครูผังเจิน นางจึงวางอำนาจ ไม่เกรงกลัวผู้ใด“แม่นางผังท่านอยากให้ข้าพูดจริง ๆ หรือข้าเกรงว่า..”“ข้าอยากรู้ ผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างก็ชื่นชมข้าว่าเป็นสตรีงามล่มเมือง ใคร ๆ ก็อยากได้ เหตุใดท่านจึงปฏิเสธข้า”“นั่นคือคนอื่น มิใช่ข้า ที่สำคัญ ท่านมิใช่คนที่เหมาะสมกับข้าเลยแม้แต่น้อย ข้าใช้ชีวิตกลางสมรภูมิรบ ท่านอยู่แต่ในเมืองหลวง เสพติดแต่ความสำราญจนชื่อเสียงโด่งดังไปถึงกองทัพข้าที่แดนเหนือ ขออภัยที่ข้า
“ท่านราชครู ข้ามีราชโองการไปก็จริง แต่เป็นให้มู่หลงฟู่ดูแลความเรียบร้อยที่หย่งตูชั่วคราว ระหว่างรอแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ไปประจำที่นั่น แต่เรื่องสมรสพระราชทาน ข้าแค่ทำเป็นหนังสือส่งไปแจ้งเท่านั้น และแม่ทัพมู่ก็ส่งหนังสือตอบกลับมาให้ข้าแล้วว่า เขาไม่เหมาะกับบุตรีของท่าน”“นี่เขาไม่รู้เลยหรือว่าบุตรสาวเขาฉาวโฉ่ขนาดไหน วันๆ อยู่แต่หอชายนั่นทั้งวัน งานการไม่เอา ความรู้ไม่มี ใครอยากจะแต่งด้วยกันล่ะ”“ใครเขาจะอยากได้หญิงงามเมืองเช่นนั้นเป็นภรรยากันล่ะ ต้องมีเงินให้นางผลาญเล่นสักเท่าใดกันถึงจะพอ”“ฝ่าบาทยังมิได้ออกราชโองการไปเรื่องแต่งงาน ดันทึกทักเอาเองเสร็จสรรพ อะไรจะน่าอับอายขนาดนั้น”เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นมารอบตัวเขา มู่หลงฟู่หันไปมองหางตาให้กับราชครูเฒ่าที่ยืนโกรธจนหน้าแดงก่ำ ตัวสั่นอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อฝ่าบาทชี้แจงแล้วเขาก็ไม่มีอะไรจะโต้แย้งได้อีก"เอาล่ะ วันนี้เราจะปรึกษาพวกท่าน เกี่ยวกับฤดูเก็บเกี่ยว กับการสอบราชการของปีนี้……..การประชุมหลังจากนั้น ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องของแม่ทัพหนุ่มอีก เป็นเรื่องเกี่ยวกับราชกิจบ้านเมืองทั้งสิ้นจวนสกุลผัง“เจ้าว่าอย่างไรนะ สกุลจินอย่างนั้นหรือ”
มู่หลงฟู่เหยียบเข้าชายแดนหย่งตูแล้ว ก่อนที่เขาจะสวนกับขบวนรถม้าที่วิ่งออกมาจากเมือง ที่วิ่งเร็ว ราวกับว่าหนีอะไรมา จนกงจื่อเอ่ยทัก“จะรีบไปไหนขนาดนั้น ดึกขนาดนี้ ท่านแม่ทัพ จะเข้าเมืองเลยหรือไม่ขอรับ”เขามองตามรถม้าที่วิ่งสวนออกไป นึกแปลกใจว่าเหตุใดมีคนเดินทางช่วงเวลาดึกดื่นขนาดนี้ เขารีบวิ่งเข้าเมืองหย่งตูและพบว่า ชาวบ้านออกมาจากบ้านเรือนกันมากมาย และวิ่งสาละวนในการช่วยดับไฟ จนเขาตกใจและรีบวิ่งไปถาม“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”“ไฟไหม้ขอรับ”“ไหม้ที่ใดกัน แล้วมีใครบาดเจ็บหรือไม่”“ไหม้จวนท่านคหบดีจินขอรับ เห็นว่าตายกันมากเลยขอรับกำลังไปช่วยกันดับ”แม่ทัพหนุ่มตกใจแทบสิ้นสติอยู่บนหลังม้า จวนไหนนะไฟไหม้จวนคหบดีจินงั้นหรือ“เมื่อกี้พวกเขาว่าอย่างไรนะ บอกว่า….”กงเซียวหันมาที่แม่ทัพของเขาที่แทบจะสิ้นสติ หน้าซีดปากคอสั่น“พวกเขาบอกว่า …ตาย"“ไม่ ข้าไม่เชื่อ พวกเจ้า พาคนไปช่วยดับไฟ ช่วยคนที่เหลือออกมา สอบถามให้ได้ความ เร็วเข้า”เขารีบควบอาชาวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อไปยังจวนคหบดี ที่ตอนนี้ เป็นทะเลเพลิง ก่อนที่กงจื่อ จะพาสาวใช้ออกมาได้คนหนึ่ง เขาจำได้ว่านางชื่อชิงชิง เป็นสาวใช้ของจินซู่เย่“ท
เสียงจากผิวน้ำดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างของแม่ทัพมู่ ที่พุ่งลงมาเพื่อตามหาจินซู่เย่ กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ทำให้เขาต้องดำลงไปเพื่อหานาง และเขาก็คว้าตัวนางได้ ก่อนที่จะพานางขึ้นจากผิวน้ำ“ซู่เย่ นี่ข้าเอง”“ปล่อยข้านะ ปล่อยย ข้าไม่ไปกับพวกเจ้า ปล่อย”“ซู่เย่ ข้าเอง มู่หลงฟู่!!”นางหันไปมองหน้าบุรุษที่ช่วยนางขึ้นมา ใช่เขาจริงๆ นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะมา เขามาแล้ว นางปลอดภัยแล้ว…..“มู่…หลง…”ก่อนที่สติของนางจะหมดไปเพราะน้ำที่เย็นจัด เขาจึงรีบพานางขึ้นจากน้ำ ด้วยความช่วยเหลือจากกงเซียวที่วิ่งตามเขามาเขารีบนำผ้าคลุมของแม่ทัพที่ทิ้งเอาไว้ที่ม้าส่งไปให้แม่ทัพโดยเร็ว มู่หลงฟู่นำผ้าคลุมมาคลุมร่างของจินซู่เย่ไว้ ก่อนที่จะอุ้มนางกลับไป“มีคนรอดหรือไม่”“พวกมันฆ่าตัวตายหมดขอรับ ท่านแม่ทัพ เรื่องนี้…”“กลับจวนก่อน ค่อยว่ากัน บอกให้คนของเราปล่อยข่าวออกไป ว่าจินซู่เย่ บุตรสาวของคหบดีจินตายตามบิดาไปแล้ว”“ขอรับท่านแม่ทัพ”จวนแม่ทัพ“อืออ ไม่นะ ท่านพ่อ พี่รอง ไม่นะ อย่าทิ้งข้าา...”“ซู่เย่ ตื่นสิ ซู่เย่...”“เฮือกก…แฮ่ก...แฮกก...”“ซูเย่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”เขาเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าซีดราวกระดาษของนาง เมื
จินซู่เย่ได้กลิ่นเขม่าเข้ามาในรถม้า ก่อนที่นางจะเริ่มตัวสั่น น้ำตาเริ่มไหลออกมา ก่อนที่มู่หลงฟู่จะเข้าไปประคองกอดนางเอาไว้ ทำให้นางรู้สึกดีขึ้น“ซู่เย่ หรือว่าเราจะกลับกันก่อน หากเจ้ายังไม่พร้อม”“พี่ฟู่ ข้าอยากลงไปเจ้าค่ะ ได้โปรดพาข้าลงไป”“ได้ เจ้าสวมหมวกนี้เอาไว้ก่อน”เขาสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งปิดบังใบหน้าเอาไว้ ก่อนที่จะพยุงนางเดินลงจากรถม้า ภาพที่ปรากฏตรงหน้า ยากที่จะทำใจได้ จวนที่เคยใหญ่โตโอ่อ่า และร่ำรวยที่สุดในหย่งตู บัดนี้เหลือเพียงกองเถ้าถ่านกับซากปรักหักพัง มือนางจับแขนของแม่ทัพหนุ่มไว้แน่น ราวกับว่าหากนางปล่อย ตัวนางอาจจะสลายไปพร้อมกับซากของจวนเดิมตรงหน้า….มู่หลงฟู่พานางเดินเข้าไปยังเรือนด้านหลัง ที่ยังพอมีสภาพที่ดีเหลืออยู่ ไม่ถูกเผาจนหมด แต่ก็พอแค่กันแดดกันฝนเท่านั้น ก่อนที่เขาจะสั่งให้กงจื่อและกงเซียวแจ้งให้คนที่เฝ้าออกไปด้านนอกก่อนจินซู่เย่ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้โลงศพที่ตั้งเรียงกันอยู่สามโลง พร้อมกับผูกผ้าขาวเอาไว้ ด้านหน้าเป็นที่สำหรับเผากระดาษ ก่อนที่แม่ทัพมู่จะพานางคุกเข่าลงต่อหน้าโลงนั้นซู่เย่รู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนแทบหมดสติ ทั้งเขม่าควันที่ลอยคละคลุ้ง ทั้งบรรยากาศที่ช
ซูเย่นึกแปลกใจเพราะรถม้านั้นพากลับไปที่จวนแม่ทัพตามเดิม ไหนมู่หลงฟู่บอกว่าจะพานางไปพบคนผู้หนึ่งอย่างไรล่ะ“พี่ฟู่ นี่พวกเรา กลับมาที่จวนนี่เจ้าคะ”“ใช่แล้ว ตามข้ามาเถอะ”เขาจับมือนางและพาเดินลงมาจากรถม้า ก่อนที่จะพานางเดินไปยังเรือนด้านหลัง ซึ่งตรงเรือนส่วนนี้ นางไม่เคยเดินมาเลยสักครั้ง ตั้งแต่เข้าจวนแม่ทัพมา“ที่นี่ มีสวนเล็ก ๆ ด้วย”“ใช่ เจ้าชอบหรือ”“ก็ชอบเจ้าค่ะ ข้าชอบดอกไม้ ชอบเก็บมาอบทำบุหงาในถุงหอมเจ้าค่ะ”“ซูเย่ ข้าเองก็อยากได้ถุงหอมนะ”นางหันมามองเขาอย่างนึกแปลกใจ“ท่านใช้ของพวกนี้ด้วยหรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าทหารม้าอย่างท่านจะไม่ใช้เสียอีกนอกจากมันจะเป็นเหมือนเครื่องประดับของสตรีแล้ว บางทีมันจะส่งกลิ่นทำให้พบตัวง่ายด้วย”“มันก็ใช่ ข้าเพียงแค่บอกว่าอยากได้น่ะ”เขาจับมือและหันไปสบตานางอย่างมีความหมายซูเย่หน้าแดงก่ำ คำพูดนี้ของเขาทำเอานางรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างวิ่งวนอยู่ในท้องก่อนที่ทั้งคู่จะเดินมาถึงเรือนพักด้านหลัง และเขาก็เปิดประตูเข้าไป พบกับผู้ที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนที่นางจะค่อยๆ ลุกขึ้นมา“นี่มัน……ชิงชิง!!”สาวใช้ที่หนีรอดออกมาได้มองหน้านางก่อนที่จะลุกพรวดพราดลงมาจากเตียงด้ว
มู่หลงฟู่ค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจะเห็นเศษผ้าที่กระจายอยู่ที่พื้น นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ นี่เขาทำอะไรลงไป เมื่อนึกได้แล้วเขาจึงรีบวิ่งออกไปหานางที่ห้อง แต่เขาไม่กล้าเคาะประตูเขาได้ยินเพียงเสียงสะอื้นที่หลุดออกมาเบาๆ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างมาบีบรัดหัวใจเขาจนแน่น ทำเอาเขาหายใจไม่สะดวก“ซู…ซูเย่ ข้า…ข้าขอโทษที่ทำเรื่องรุนแรงกับเจ้า เปิดประตูให้ข้าได้หรือไม่”ไร้เสียงตอบจากด้านใน เขาได้ยินเพียงเสียงสะอื้นเป็นจังหวะของนาง“ซูเย่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำแบบนี้อีก ออกมาคุยกับข้าก่อนได้หรือไม่”“ซูเย่…ข้า...”ไม่ทันที่เขาจะพูดสิ่งใดต่อ กงเซียวก็วิ่งมาหาเขา ก่อนจะรายงานเรื่องสำคัญ“ท่านแม่ทัพขอรับ เจ้าเมืองคนใหม่เชิญท่านไปงานเลี้ยงที่จวนของเขาคืนนี้ขอรับ ใต้เท้าสุ่นมาด้วยตัวเอง ตอนนี้รอท่านแม่ทัพอยู่ที่ห้องโถงขอรับ”เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเดิม เหตุใดต้องมาเวลาเช่นนี้ด้วยนะ เขามองที่ประตู เสียงของนางเงียบไปแล้ว เอาไว้ค่อยมาคุยกับนางอีกที เขาหันกลับมาก่อนที่เขาจะเดินตามกงเซียวออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้เขาไม่รู้เลยว่าที่เงียบไป เป็นเพราะนางเริ่มทยอยเก็บข้าวของ นางได้ยินแล้วว่าคืนนี้เขาจะไปร่ว
แม่ทัพหนุ่มสั่งการปิดจวนและเดินทางกลับเมืองหลวงทันที โดยของบางส่วนจะถูกนำส่งไปทีหลัง พวกเขาใช้เวลาสองวันในการเดินทาง เนื่องจากมีรถม้าของพวกบ่าวไพร่และชิงชิงติดตามมาด้วยจวนสกุลมู่“คารวะท่านแม่ขอรับ”“ลูกแม่ เจ้ากลับมาแล้ว มาสิลูก เข้ามาก่อน เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำชานี่ก่อน”เขานั่งลงก่อนที่จะรับน้ำชามาดื่มและขอตัวไปอาบน้ำเพื่อออกมาคุยกับมารดา ถึงเรื่องที่เขาต้องรีบกลับไปหย่งตูก่อนเพื่อช่วยสกุลจิน จนกระทั่งถึงวันที่เขาต้องเร่งกลับเมืองหลวงอีกครั้ง“ตายจริง แม่หนูนั่นจะไปอยู่ที่ไหนกันเล่าตอนนี้ ลูกแม่ เจ้าแน่ใจหรือว่า นางเข้าเมืองหลวงมาแล้ว”“ท่านแม่ ลูกค่อนข้างแน่ใจขอรับแค่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นหานางอย่างไร หากว่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ นางอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้”“เรื่องนี้ เจ้าไม่ลองถามสาวใช้ของนางดูล่ะ นางพาเจ้ามาหาถูกที่แล้วบางทีเรื่องนี้สาวใช้ที่เจ้าพามาอาจจะช่วยเจ้าได้มากที่สุดก็ได้นะ”“ขอรับท่านแม่ ช่วงที่ข้าไม่อยู่มีผู้ใดมาวุ่นวายหรือไม่ขอรับ”“ก็เห็นจะมีแต่แม่นางผังที่แวะมาเยี่ยม และเอายามาให้ข้าบ่อย ๆบอกว่าช่วยเรื่องอาการปวดหัวเรื้อรังของแม่ได้”“นางงั้นหรือ นางจะมาทำไมกั
สองวันถัดมาอาการแพ้ท้องแทนฮูหยินของท่านโหวยังคงมีเรื่อย ๆ และเริ่มเบาบางลงในวันที่สาม ก่อนที่เขาจะบอกให้ฮูหยินเตรียมตัวออกจากจวน“ท่านจะพาข้าไปที่ใดเจ้าคะ”“ไม่ไกลหรอก ไม่ต้องห่วง ไม่จำเป็นข้าก็ไม่อยากให้เจ้านั่งรถม้าสักเท่าใดนักหรอก”รถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวนและมุ่งหน้าตรงไปทางวังหลวง และเลี้ยวไปยังจวนของพี่ใหญ่สกุลจิน“ทางนี้ ไปบ้านพี่ใหญ่นี่เจ้าคะ หรือว่าท่านจะพาข้ามาเยี่ยมหลานงั้นหรือเจ้าคะ ท่านพี่ ท่านอยากลองเลี้ยงลูกดูหรือเจ้าคะ”“นานแล้วที่เจ้าไม่ได้เจอพี่ใหญ่นี่นา ตั้งแต่วันงานแต่ง เจ้าก็แทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะเรากลับหย่งตูเสียก่อน พอกลับมาก็ต้องดูแลข้าที่เป็นแบบนี้อีก”“มันเป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้วนี่เจ้าคะ ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ”รถม้าเคลื่อนตัวจนถึงหน้าจวนสกุลจิน ก่อนที่กงเซียวจะเดินลงมาเปิดประตูให้พวกเขาเดินลงไป มู่หลงฟู่เดินลงไป ก่อนจะไปรอรับซู่เย่ที่ด้านล่างเพื่อรับนางลงมาและทั้งหมดก็เดินเข้าไปในจวน“ซู่เย่ เจ้ามาแล้ว ฮูหยินน น้องสามมาแล้ว เอาน้ำชามาเร็ว มาๆ นั่งก่อน ให้ข้าตรวจครรภ์เจ้าหน่อย”“พี่ใหญ่ นี่ท่านพี่ส่งข่าวมาบอกท่านเร็วขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ”“แน่นอนสิ เ
“ฮูหยิน ข้างหน้านี้แหละ”“ท่านพี่ ถึงแล้วหรือเจ้าคะ”พวกเขาเดินขึ้นเขาเพื่อมาไหว้หลุมศพของสกุลจิน ซู่เย่พึ่งจะเคยมากราบท่านพ่อ หลังจากเกิดเรื่องที่สกุลจินเมื่อหลายเดือนก่อนเมื่อมาถึง นางคุกเข่าลงก่อนจะกราบคำนับป้ายหลุมศพสีขาวที่พี่ใหญ่ของนางกับสามีนางจัดการทำให้คหบดีที่ยิ่งใหญ่ของหย่งตูเพื่อนาง“ท่านพ่อ พี่รอง ข้ามาหาพวกท่านแล้วเจ้าค่ะ ข้ามาเพื่อบอกว่าคนชั่วที่ทำร้ายพวกเรา ได้ถูกลงโทษไปแล้ว พวกเขาได้รับผลกรรมจากการกระทำชั่วของพวกเขาไปแล้ว หลังจากนี้ พวกท่านอย่าได้มีห่วงอันใดอีกเลยเจ้าค่ะ”นางกราบหลุมศพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและพบว่ามีดอกไม้ที่มาวางเอาไว้ เหมือนกับว่าจะถูกวางก่อนหน้าที่นางจะมาเพียงไม่นาน ทำให้ซู่เย่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าผู้ใดกันที่มากราบไหว้หลุมศพพวกเขา เมื่อนางมองไปรอบๆก็พบว่าบริเวณโดยรอบมีการดูแลรักษาอย่างดี หญ้าและสิ่งสกปรกล้วนไม่มี“ท่านพี่เจ้าคะ”“ว่าอย่างไรหรือฮูหยิน เจ้ารู้สึกเหนื่อยงั้นหรือ นั่งพักสักครู่ เดี๋ยวข้าจะให้ชิงชิงเอาน้ำมาให้”“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านดูสิเจ้าคะ รอบๆหลุมศพนี้ เหมือนกับว่ามีผู้มาคอยดูแลตลอด ทั้งๆที่…”มู่หลงฟู่มองตามที่ฮูหยินของเขาพูด เขาก็พ
หลังจากศึกเมืองฉางอันเสร็จสิ้น และทรราชผังเจินถูกประหารชีวิตไปร่วมสองเดือน กำหนดการณ์งานสมรสของท่านโหวมู่หลงฟู่และจินซู่เย่จึงได้ออกมาแต่เนื่องจากมู่หลงฟู่ได้สูญเสียบิดาไปยังไม่ครบสามปี ยังคงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ พวกเขาจึงมิอาจจัดงานมงคลที่เอิกเกริกได้ดังปกติทั่วไปงานสมรสของทั้งคู่จึงจัดเพียงยกน้ำชาให้มู่ฮูหยิน กราบศาลบรรพชนสกุลมู่ งานเลี้ยงเล็กๆภายในครอบครัว ส่งตัวเข้าหออย่างเรียบง่าย ซึ่งก็เป็นที่ถูกใจจินซู่เย่และมู่หลงฟู่เพราะทั้งคู่ก็มิได้ชอบงานที่ยิ่งใหญ่วุ่นวายมากนัก“แม่ขอให้พวกเจ้ารักกัน ดูแลกันไปจนแก่เฒ่า หนักนิด เบาหน่อยก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”""ขอบคุณท่านแม่""“คำนับฟ้าดิน”“คำนับบุพการี”“คำนับกันและกัน”“ส่งตัวเข้าหอ”ห้องส่งตัวมู่หลงฟู่ หลังจากเสร็จสิ้นการส่งแขกที่มีเฉพาะคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทไม่กี่คน ก็เดินเข้ามายังห้องส่งตัว แม่สื่อที่รอบอกขั้นตอนและปิดประตูให้คู่บ่าวสาวอยู่ด้วยกันเขาเดินไปหยิบไม้มงคลเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาวของเขาก่อนจะตกตะลึงกับเจ้าสาวที่งดงามราวบุปผาที่บานสะพรั่ง เขาไม่เคยเห็นซู่เย่ที่แต่งหน้าจัดมากขนาดนี้ แต่นางก็ยังงดงามม
เมื่อเขาควบม้ามาถึงหน้าจวนสกุลจิน เขาก็พบกับพ่อบ้าน ที่รีบวิ่งออกมาต้อนรับพวกเขา“พ่อบ้าน ข้าอยากจะขอพบท่านหญิงจินซู่เย่”“เรียนท่านโหว ท่านหญิงมิได้อยู่ที่จวนขอรับ”“แล้วนางไปที่ใดกัน”“คือว่านาง จะเดินทางกลับไปหย่งตูเลยออกไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วขอรับ”“เจ้าว่าอย่างไรนะ ไปแล้ว!!”“เอ่อ…ขอรับ ไปซื้อของเมื่อเช้ามืดขอรับ”เขาไม่ทันรอฟังให้จบ ก่อนจะควบม้าทะยานออกไป ก่อนที่จะหยุดที่ประตูเมือง“ซู่เย่ เหตุใดจึงทิ้งข้า ทำไมเจ้าถึงใจร้ายกับข้านัก”แม่ทัพหนุ่มกลับเข้ามาในจวนด้วยความหดหู่ ก่อนจะนั่งจิบสุราโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว มู่ฮูหยินเดินมาหาเขา ที่บัดนี้ได้กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่ว“เหตุใดมาดื่มสุราอยู่ที่นี่ เจ้าไปหาซู่เย่มามิใช่หรือ ทำไม ทะเลาะกับนางมา หรือว่านางไล่เจ้ากลับมาอีกล่ะ”“แบบนั้นจะยังดีเสียกว่าขอรับ นี่นางเล่นหนีไปเลย”“หนีไป เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“นางหนีไปแล้ว นางทิ้งข้าไปแล้วขอรับท่านแม่”มู่ฮูหยินฟังเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง นางมองหน้าแม่นมหยุน นางเข้าใจในทันที ก่อนจะเดินออกไป“เจ้าใจเย็นๆ ก่อน บอกแม่มาสิ เจ้ารู้ได้เช่นไรว่านางหนีไปแล้ว นางจะหนีไปไหนได้”“ข้าไปหานางเมื่อเช้านี้ขอรับ
วันรุ่งขึ้น นางนั่งรถม้าไปพร้อมกับมู่หลงฟู่ เมื่อคืนนี้กว่านางจะได้นอนก็เกือบรุ่งสาง นางรู้ว่าสามีนางนั้นเป็นทหารกล้าที่แข็งแรง แต่ไม่คิดว่าจะทำเอานางหมดแรงได้ขนาดนี้ นี่ขนาดนั่งรถม้ามาส่ง เขาก็จูบนางไม่หยุดตั้งแต่ออกจากจวนมา จนเกือบจะถึงจวนสกุลจิน“ท่านปล่อยข้าก่อนสิ ข้ามิได้ดูทางเลย ท่านพี่ หยุดก่อน”“ไม่เอา เจ้าจะอยู่กับหมอจินกี่วันกี่คืน แล้วข้าจะนอนคนเดียวกี่คืน ซู่เย่ เรามาแค่เยี่ยมพวกเขา แล้วกลับเลยได้หรือไม่”“ท่านพี่ เราคุยกันแล้วนี่เจ้าคะ เหตุใดยังเป็นเช่นนี้อีก”“ก็ข้าไม่อยากอยู่ห่างเจ้า ซู่เย่ ไม่อยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ กลับจวนเรากันเถิดนะ”“หากท่านยังพูดไม่หยุด ข้าจะอยู่จวนสกุลจินตลอดไป จนกว่าจะถึงพิธีแต่งงาน”มู่หลงฟู่ยอมปล่อยนาง ก่อนที่จะหันมานั่งเฉยๆ ด้วยท่าทางไม่พอใจ ซู่เย่รู้สึกได้อิสระทันที กว่าเขาจะยอมปล่อยนางได้ พร้อมกับหันไปมองคนตัวโตที่นั่งไม่พอใจอยู่“โกรธหรือเจ้าคะ”“…..”“ท่านพี่”“ท่านแม่ทัพขอรับ ถึงจวนสกุลจินแล้วขอรับ”“ข้าไปนะเจ้าคะ ท่านพี่”นางหันไป แต่เขายังไม่มองกลับมา ก่อนที่นางจะเดินลงจากรถม้าเอง และก็เป็นเขาที่สั่งให้รถม้าออกตัวไปทันทีโดยที่ไม่ได้ลงมาส่
จวนสกุลมู่“น้องสาม ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าเสียที”“พี่ใหญ่ ท่านหมายความว่า ท่านทราบมาโดยตลอด ว่าข้าอยู่ที่นี่”“ใช่ แม่ทัพมู่บอกข้าตั้งแต่หย่งตู วันที่ฝังโลงเปล่านั่นแล้ว ทำให้ข้ามีแรงจะกลับเมืองหลวง อย่างน้อยก็เพราะรู้ว่ามีเจ้าอยู่ มิเช่นนั้น ข้าเองก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว”“พี่ใหญ่ ท่านมีครอบครัว มีลูกแล้ว เหตุใดท่าน…”“ก็เหมือนเจ้าหรือมิใช่ เจ้าเองก็เกือบจะฆ่าตัวตาย หากท่านแม่ทัพไม่ได้ช่วยเจ้าขึ้นมา”“นั่นแสดงว่าพวกท่าน รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ แล้วพวกท่านช่วยฮูหยินได้อย่างไรเจ้าคะ”ย้อนกลับไป….“ฮูหยินเจ้าคะ ยาเจ้าค่ะ”“อืม นี่ยาอะไร”“ท่านหมอเย่สั่งเอาไว้ให้ท่านดื่มเจ้าค่ะ”“ออ งั้นหรือ อ่อ เจ้าน่ะให้คนไปแจ้งท่านโหวด้วยก็แล้วกันว่าหมอเย่ออกไปที่ตลาด”ฮูหยินสั่งสาวใช้ที่ยกยามาให้ออกไปแจ้งคน ก่อนจะทำท่ายกยาดื่มให้สาวใช้คนนั้นเห็น“ฮูหยินเจ้าคะ นี่มัน…”“ไม่ผิดแน่ นางไม่อยากรอแล้ว นางอยากกำจัดข้า แต่เสียดายที่ใช้คนโง่”“ท่านพึ่งจะกินยาที่ท่านหมอเย่ต้มให้ แต่นางกลับมาช้า และไม่ทันได้มองถ้วยยาเดิม”“แม่นมหยุน ให้คนไปแจ้งอาฟู่ว่ามีคนพาซูเย่ออกไปแล้ว ให้รีบกลับจวน และเจ้าเก็บตัวอย่างนี้
“นางใช้อำนาจของท่านราชครู สั่งให้ใต้เท้าฉินกรมคลังมาพบ นางสืบรู้มาว่าใต้เท้าฉินมีใจชอบพอกับหมอหญิง จึงบอกให้เขาใส่ร้ายแม่่ทัพมู่ว่าหลอกนางมารักษาฮูหยินเพื่อจะแยกพวกเขา ใต้เท้าฉินจึงได้ถามเรื่องหย่งตู นางเลยใส่ร้ายว่าเพราะแม่ทัพมู่เป็นผู้บอกว่าสกุลจินช่วย อดีตคู่หมั้นของเขาจึงตาย เขาจึงแค้นใจ ทำให้นางช่วยเขาวางแผนให้พานางหนี ในวันที่ส่งคนของนางไปวางยามู่ฮูหยิน ที่ข้ารู้ ก็เพราะข้าเป็นผู้ให้ยากับสาวใช้ผู้นั้นไปเองขอรับ”“เจ้ามันเลี้ยงไม่เชื่อง ลอบกัดลูกสาวข้า เจ้ามันอกตัญญู”“หากนางคิดดีสักนิด ข้าจะไม่หักหลังพวกท่าน นางบอกจะส่งข้ากลับบ้านเกิด ให้ข้าได้พักผ่อน ที่ไหนได้ให้คนมาฆ่าปิดปาก ท่านแม่ทัพมู่ส่งคนมาช่วย ข้าจึงได้รอดมาถึงตอนนี้ พวกท่านมันชั่วช้าสารเลว เรื่องสั่งฆ่าแม่ทัพมู่ผู้พ่อ ก็เป็นท่านเพราะท่านไม่พอใจที่เขามักจะหักหน้าท่านกลางที่ประชุมราชสำนัก”“เจ้าสารเลววว!!”“หยุดนะ จับตัวผังเจินเอาไว้”มู่หลงฟู่หันมาที่จินซู่เย่ ที่แท้นางก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เขารู้ว่านางไม่เคยคิดร้ายกับท่านแม่ แค่เขาโมโห ที่วันนั้นที่นางออกจากจวนไปกับฉินเว่ยหยาง แต่เขาไม่รู้เลยว่านี่เป็นแผนของผังอี้เหม
มู่หลงฟู่พาเจ้าซูเย่เดินเข้าไปในท้องพระโรง ก่อนที่จะได้พบกับอากวง แม่ทัพสี่จตุรทิศ เหล่าบรรดาขุนนางหลายคนที่ถูกเรียกเข้ามา บรรดาขุนนางต่างพากันจ้องมองสตรีที่แม่ทัพหนุ่มพาเดินเข้ามาถึงท้องพระโรง ก่อนที่นางจะคุกเข่า“หม่อมฉัน เจ้าซูเย่ ถวายบังคมฝ่าบาท”“นำเก้าอี้ให้นางนั่ง”เหล่าขุนนางต่างรู้สึกแปลกใจ นางได้รับเกียรติถึงเพียงนี้ นางเป็นผู้ใดมาจากไหนกัน“เอาล่ะ พาตัวนักโทษเข้ามา”ฝ่าบาทบอกให้กงกงบอกให้ทหารราชองครักษ์พาราชครู ที่ปรึกษา และผังอี้เหมยเดินเข้ามาที่ท้องพระโรง พวกเขาถูกมัดเอาไว้ก่อนจะถูกบังคับให้คุกเข่า ราชครูเฒ่านั้นมิได้มีท่าทีสำนึกผิดสักนิด ที่ปรึกษาของเขาเอาแต่ก้มหน้า มิกล้ามองขึ้นมา ผังอี้เหมยตอนนี้เริ่มได้สติขึ้นมาแล้ว ก่อนที่จะมองมาที่เจ้าซูเย่ด้วยสายตาที่แสนจะเกลียดชัง“ราชครูผังเจิน เจ้าคิดทรยศต่อบ้านเมือง ปลุกปั่นใส่ร้ายแม่ทัพมู่ สั่งกักขังเรา เพื่อล้มล้างราชบัลลังก์ต้าซ่ง ความผิดนี้เจ้ายอมรับหรือไม่”“หึ ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร ฝ่าบาท จะทำสิ่งใดก็ทำเถิด”“ราชครู ท่านยังจำกบฏหย่งตูได้หรือไม่ ตอนนั้นเจ้าคิดสร้างกบฏขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกดินแดน สั่งให้กบฏชั่วลอบสังหารบิดาข
“ฝ่าบาท พระองค์มาที่นี่ได้เช่นไร”“ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงเลอะเลือนเช่นนี้ไปได้ ท่านยังคิดว่าข้ารู้มิทันความคิดท่านอยู่หรือ”“พวกเจ้า บังอาจวางแผนลอบกัดข้า”“เป็นท่านที่ละโมบในอำนาจ อยากได้ในสิ่งที่มิคู่ควร เรามิอาจเก็บท่านเอาไว้ข้างกายได้อีก ราชครู วันนี้ท่านก็จงรับโทษตามที่ท่านได้ก่อเอาไว้เถิด”“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าอย่าคิดว่าข้าจะจนมุม พามันออกมา”ทหารที่เตรียมล้อมจับอยู่ ยังคงมิกล้าทำสิ่งใด เมื่อมู่หลงฟู่สั่งให้พวกเขาหยุดก่อน เขานำคนผู้หนึ่ง ซึ่งถูกถุงคลุม ก่อนจะนำมายืนอยู่ตรงหน้าเขา“เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าเป็นผู้ใด มู่หลงฟู่”มู่หลงฟู่ใจหายวาบ เขารู้สึกไม่ดี แต่นางจะมาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร อย่าบอกว่านางขัดคำสั่งเขาออกมาอีกแล้ว“หากเจ้ากล้าเข้ามา ข้าก็จะฆ่านางทันที เจ้าลองหรือไม่ล่ะ”“อย่านะ!!”“ฮ่าๆๆๆ มู่หลงฟู่ ข้านึกอยู่แล้วว่าเจ้าไม่กล้า เอาแบบนี้ ข้าจะให้เจ้าดู หากเจ้ายังตัดสินใจอยู่ ข้าก็จะนับไปเรื่อยๆ เอาล่ะนะ นิ้วก้อยก่อน เป็นไร”""เจ้าราชครูชั่ว ต่ำทราม นี่เจ้ากล้ารังแกสตรีอย่างนั้นหรือ เจ้ามันมิใช่คน สารเลว"“โอ้ อย่าพึ่งโกรธๆ จุ๊ จุ๊ ข้ากำลังจะมอบของขวัญให้เจ้า รอเดี๋ยว เอาดาบมา มา