“กินหวานแล้วอย่าลืมบ้วนปากก่อนนอนประเดี๋ยวปวดฟัน ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้” “เจ้าค่ะคุณหนู” ซูฉีซึ้งใจยิ่งนัก สาวใช้จวนอื่นมีหรือจะโชคดีเช่นตน “เดินต่อเถิดเจ้าค่ะ” ฟ่านซีอิ๋งหันไปกล่าวกับสหายของพี่ชาย “อืม” ดวงตาที่จ้องมองนางฉายแววหลงใหลล้ำลึกกว่าเดิม “เอ๊ะ! นั่นถังหูลู่นี่นา” ช่วงก่อนได้ยินสาวใช้คนสนิทของนางบ่นเช้าบ่นเย็นว่าอยากกินถังหูลู่ “รอประเดี๋ยว” ชินอ๋องซื่อจื่อยิ้มอย่างจนใจเมื่อสตรีตัวน้อยรีบวิ่งแหวกกลุ่มคนไปโดยไม่รอเขา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าอาจจะพลัดหลงกันได้ ผลั่ก! มีคนมาชนเขาอย่างแรง และแน่นอนว่าเดิมทีเขาก็ไม่ใช่บุรุษที่สุภาพอ่อนโยนแต่อย่างใด เขาจึงปล่อยให้อีกฝ่ายล้มลงไปกองบนพื้น “ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้าไม่ทันระวัง” กลิ่นหอมที่ฉุนจนระคายจมูกทำให้เขารู้สึกคันยุบยิบอยากจะจามออกมา จึงถอยห่างจากอีกฝ่ายสองก้าว “...” ชินอ๋องซื่อจื่อเก็บมือไพล่หลัง นัยน์ตาคมกวาดสายตามองหาสตรีตัวน้อยของตน หาได้สนใจสตรีที่นั่งอยู่บนพื้นไม่ “ชินอ๋องซื่อจื่อ ขออภัยเจ้าค่ะข้าเดินไม่ระวังจึ
9นางเป็นสตรีของข้า พอเดินเข้าไปในห้อง นางก็พบว่ามีอาหารวางเต็มโต๊ะ หน้าตาน่ากินยิ่งนัก นางจึงรีบเดินเข้าไปใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งเพื่อลงมือกิน “เช็ดมือก่อนแล้วค่อยเริ่มกิน” เขากล่าวพลางส่งผ้าเช็ดมือที่เปียกน้ำแต่ถูกบิดหมาด ๆ ให้นาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางรับมาเช็ดก่อนจะเริ่มลงมือกินอาหารตรงหน้า “ถูกปากหรือไม่” “เจ้าค่ะ เลิศรสยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นโรงเตี๊ยมซือเช่อ” “เจ้าชอบก็ดี เช่นนั้นพี่ขอกล่าวถึงเรื่องที่เอ่ยค้างไว้ต่อ” เขาอยากจะเล่าให้นางฟัง เพื่อที่นางจะได้ไม่เข้าใจผิดในภายหลัง “เชิญเจ้าค่ะ” เขาอยากกล่าวสิ่งใดก็กล่าวมาเถิด นางจะตั้งใจกิน เอ่อ...ฟังในสิ่งที่เขาอยากพูด “ที่เจ้าไปแอบฟังคราวนั้น พี่เพียงแต่อยากทราบว่าสตรีผู้นั้นมีจุดประสงค์ใดถึงได้โผล่หน้าไปเจอพี่ในทุกที่ที่พี่ไป คล้ายกับไปดักรอเสียอย่างนั้น” “นางคงมีใจให้ท่านกระมัง” “มีใจให้พี่หรือแท้จริงหมายตาตำแหน่งพระชายาของพี่ก็ไม่แน่ใจ” “สรุปแล้วท่านกับนางไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน” “ในอดีตไม่เค
“ขอเพียงเป็นเจ้าเอ่ย ต่อให้ส่งเสียงร้องเหมือนเป็ด พี่ก็ย่อมมองว่าไพเราะ” วาจาของเขาบ่งบอกได้ชัดเจนว่าลุ่มหลงนางยิ่งนัก “ก่อนหน้าที่ข้าจะได้พบเจอพี่ใหญ่ที่หอชายงาม ข้าฝันเจ้าค่ะ ว่าพี่ใหญ่เป็นต้วนซิ่ว และพี่ซืออี้เป็นคนรักของคุณหนูซิวลู่หลิน ทั้งสองรักกันหวานซึ้ง ท่านแต่งนางเป็นพระชายาเพียงหนึ่งเดียว แต่ดูเหมือนนางจะไม่ค่อยชอบที่ท่านสนิทสนมกับพี่ใหญ่ ทั้งนางยังริษยาในความงามของข้ากลัวท่านที่เข้าออกจวนฟ่านบ่อยครั้งจะตกหลุมรักข้า จึงให้ซิวซือเย่พี่ชายของนางมาล่อลวงข้าสุดท้ายข้าก็แต่งเข้าจวนซิวเป็นพี่สะใภ้ของพระชายาท่าน ชีวิตข้าในจวนซิวลำบากยิ่งนัก จวนที่มีซิวฮูหยินเป็นใหญ่ แม้แต่ซิวซือเย่จะทำสิ่งใดยังต้องเอ่ยวาจาขออนุญาตมารดา” “มันเป็นเพียงแค่ฝัน...” “จุ๊ ๆ ท่านอย่าเพิ่งเอ่ยวาจาขัดข้าสิเจ้าคะ” นางกล่าวพลางแตะนิ้วเรียวลงบนริมฝีปากเขา ก่อนจะเปิดปากเล่าต่อ “กลับมาที่เรื่องพี่ใหญ่ เมื่อความสนิทสนมของท่านและพี่ใหญ่ขวางหูขวางตาพระชายาของท่านมากเข้า นางก็กล่าววาจายั่วยุให้พี่ใหญ่ลงมือทำร้ายนาง แล้วท่านที่รักพระชายาปานจะกลืนกิน ไม่สนถูกผิ
“อืม...งดงาม แต่ไม่เท่าเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางจ้องมองน้องสาวสหายด้วยสายตาลุ่มหลง ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบที่โดนแม่นางน้อยผู้นี้ล่อลวง รู้ตัวอีกทีก็ยากจะละสายตาแล้ว “กินข้าวเสร็จแล้วเราไปลอยโคมก่อนกลับดีหรือไม่เจ้าคะ” “ตามใจเจ้า” “ตามใจข้าเกินไประวังข้าเสียคนนะเจ้าคะ” นางกล่าวเสียงเบาพลางแสร้งมองไปทางอื่นด้วยความเขินอาย “มิเป็นไร เพราะพี่ยินดีเลี้ยงดูเจ้าชั่วชีวิต” เขายิ้มพลางเอ่ยหยอกเย้านาง พลันเหลือบไปมองเห็นสายตาสามคู่กำลังจ้องมอง ‘ซิวเมิ่งหยวน ซิวลู่หลิน โจวคุนต๋า พวกเจ้ามองให้เต็มตาว่าข้ากับซีอิ๋งรักใคร่กันเพียงใด’ “ข้าไม่สนทนากับท่านแล้ว” แม้บริเวณรอบกายจะไม่สว่างมากนักแต่เขาก็เห็นดวงหน้าหวานที่แดงปลั่งด้วยความเขินอาย “หึหึ!” เขาเค้นเสียงในลำคอพลางมองลงไปเบื้องล่างสบตากับบัณฑิตผู้นั้นด้วยสายตาที่มีชัยเหนือกว่า ‘นางเป็นสตรีของข้า’ หลังจากดูพลุจบคังซืออี้ก็พาสตรีตัวน้อยไปลอยโคมที่บริเวณริมแม่น้ำซึ่งมีคนบางตา คงเพราะคนส่วนใหญ่เริ่มเดินทางกลับจวนของตนหลั
10กลิ่นเหม็นเปรี้ยวจากชินอ๋องซื่อจื่อ หลังจากเปิดเผยความรู้สึกต่อนางแล้ว สองวันนี้สหายของพี่ชายก็มักแวะเวียนมาบอกให้นางฝันดีทุกค่ำคืน แต่วันนี้ดูเหมือนผู้สูงศักดิ์จะมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นเปรี้ยวราวกับเทน้ำส้มราดตัว “เป็นอันใดหรือเจ้าคะ หน้าตาท่านถึงได้บึ้งตึงเช่นนั้น” นางเอ่ยปากถามเขาด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้ยามเขาแวะเวียนมาบอกฝันดี เขาจะมาพบนางแค่หน้าเรือน มิได้ปีนหน้าต่างเข้ามาเช่นวันนี้ “เรื่องราวระหว่างเจ้าและซิวเมิ่งหยวนแท้จริงเป็นมาอย่างไรกันแน่” วาจาของเขาทำให้นางหุบยิ้มในทันใด เพียงแค่ได้ยินนามของบุรุษผู้นั้นก็พานทำให้นางรู้สึกมีโทสะขึ้นมาอีกแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อต้นยามซื่อ (09.00-10.59) หลังจากรับสำรับเช้าพร้อมหน้าบิดามารดา นางก็นั่งสนทนาอยู่กับมารดาต่อ พี่ใหญ่ก็ไปทำงานต่างเมือง ส่วนสหายของพี่ชายผู้นั้นมาบอกฝันดีพร้อมทั้งบอกว่าจะไปทำงานสักสองสามวันจึงจะกลับมา ด้วยเหตุนี้หลังจากบิดาออกไปทำงานแล้วในจวนฟ่านจึงเหลือเพียงนางและมารดา ‘ฮูหยินขอรับ ซิวซือเย่มาขอพบขอรับ’ คำกล่าวของท่านพ่อบ้านทำให้คุณหนูฟ่านเลิกค
‘เป็นคนต้องรู้จักทดแทนคุณ ท่านมีบุญคุณต่อข้า ข้าจึงไม่อาจเพิกเฉยได้’ น้ำเสียงและวาจาที่เอื้อนเอ่ยดูเป็นสุภาพชน หากนางไม่เคยฝันร้าย คงตกหลุมพรางอย่างง่ายดาย ‘ซิวซือเย่ บางเรื่องท่านปล่อยผ่านไปบ้างก็ได้นะเจ้าคะ มิเช่นนั้นหากยึดติดทุกเรื่องท่านจะใช้ชีวิตลำบาก’ ‘อะแฮ่ม!’ ฟ่านฮูหยินกระแอมไอเพื่อหยุดวาจาเถรตรงของบุตรสาว ‘คุณหนูฟ่านอย่าได้เกรงใจกันเกินไปเลย’ ‘เช่นนั้นข้าขอเอ่ยถามท่านสักประโยคได้หรือไม่’ ‘กล่าวมาเถิดคุณหนูฟ่าน’ ฟ่านฮูหยินปรายตามองบุตรสาวอย่างตักเตือนด้วยกลัวว่านางจะเอ่ยวาจาไม่งาม ‘หากข้ารับม้ามาแล้วบุญคุณระหว่างท่านและข้าก็จะจบสิ้นเช่นกันใช่หรือไม่’ ‘บุญคุณนั้นหาต้องตอบแทนในคราวเดียวไม่’ ก็หมายความว่าเขาก็จะแวะเวียนมาหานางเพื่อตอบแทนบุญคุณเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน ‘เช่นนั้นท่านเอาม้ากลับไปเถิดเจ้าค่ะ’ ‘ข้านำมาแล้ว ไม่คิดนำกลับ’ ‘เช่นนั้นก็ปล่อยไว้ด้านนอกเช่นนั้นเถิดเจ้าค่ะ’ นางไม่อยากสรรหาวาจาที่ฟังแล้วรื่นหูมาสนทนากับอีกฝ่ายแล้ว ดื้อรั้นน
“เจ้าค่ะ หากในวันนั้นข้าเห็นหน้าแล้วทราบว่าเป็นซิวซือเย่ ข้าคงเปลี่ยนใจไม่คิดช่วยเหลือ เขาทำให้ข้ารู้สึกไม่อยากมีจิตเมตตาต่อผู้อื่นแล้ว” “หึ! จวนราชครูเลี้ยงดูบุตรเช่นไร ถึงได้ชอบนำบุญคุณ มาบีบบังคับทำให้ผู้มีพระคุณลำบากใจ” คราวก่อนก็เป็นคนน้องที่พยายามใช้ข้ออ้างเดียวกันเข้าหาเขา ครั้งนี้ยังเป็นคนพี่คิดยุ่งกับสตรีของเขา “ดูเหมือนเราสองคนจะประสบปัญหาเพียงเพราะยื่นมือช่วยเหลือคุณหนูคุณชายตระกูลซิวโดยไม่ได้ตั้งใจเลยนะเจ้าคะ” “อืม...คงเป็นเพราะเรามีวาสนาต้องกันจึงมีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน” “เดี๋ยวนะเจ้าคะ! ท่านมิใช่บอกว่าจะไปทำงานสองสามวันหรือเจ้าคะ” “ย่อมใช่ แต่พี่ร้อนใจเรื่องนี้มากจึงยอมควบม้าไม่หยุดพักกลับจากต่างเมืองเพื่อมาสอบถามเจ้าในเรื่องนี้” เขาปล่อยให้ลูกน้องเฝ้าติดตามบุตรชายของราชเลขาธิการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวคุณหนูในเมืองหลวงและสตรีชาวบ้านรอบ ๆ เมืองหลวง “ท่านควบม้าฝ่าลมหนาวเพื่อมาถามข้าเรื่องซิวซือเย่เพียงอย่างเดียวเนี่ยนะเจ้าคะ” “ย่อมใช่ เพราะเป็นเจ้าพี่ถึงได้ร้อนใจเช่นนี้” หากเป
หลังจากชินอ๋องซื่อจื่อออกจากเรือนของนางไปแล้ว ฟ่านซีอิ๋งก็ได้นั่งยิ้มตามลำพังอยู่พักใหญ่ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบรุ่งเช้า ด้วยเหตุนี้วันต่อมาใต้ตานางถึงได้ดำคล้ำคลายตัวสงเมา เพราะเชือกทำพู่ห้อยกระบี่ให้พี่ใหญ่ไม่พอนางจึงขออนุญาตมารดาออกมาซื้อ แต่ก่อนจะไปตลาดเพื่อซื้อเชือก นางสั่งคนขับรถม้าให้ไปที่อารามทางทิศใต้ของเมืองหลวงซึ่งขึ้นชื่อเรื่องยันต์และเครื่องรางแคล้วคลาดโดยนางจะไปซื้อด้ายมงคลนำมาใส่พู่ห้อยกระบี่ให้พี่ชายด้วย “คุณหนู บ่าวไปสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ ด้ายมงคลที่ช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยอยู่ทางนั้นเจ้าค่ะ” “อืม” นางตอบรับก่อนจะเดินไปพร้อมกับสาวใช้คนสนิท นอกจากจะซื้อด้ายมงคลแล้วนางจะซื้อเครื่องรางแคล้วคลาดให้สหายของพี่ชายด้วย บริเวณที่ขายเครื่องรางและด้ายมงคลมีคนไม่น้อย ซูฉีที่ทราบดีว่าคุณหนูไม่ชอบอยู่ในที่คนมากจึงอาสาไปซื้อมาให้ “คุณหนูฟ่าน ท่านมาไหว้พระที่นี่เช่นกันหรือ” การปรากฏตัวของคุณชายตระกูลซิวทำให้นางตัวแข็งทื่อ ก่อนจะพยายามซ่อนสีหน้าตกใจเอาไว้อย่างแนบเนียน “คารวะซิวซือเย่” “ตามสบา
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว
“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” นางถามไถ่เขาเช่นนี้ทุกวัน นางช่างเป็นสตรีที่น่าอิจฉา ครอบครัวของสามีดีกับนางเหลือเกิน สามีหรือก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นบุรุษมักมากพร้อมรับสตรีเข้าเรือนมากมาย ทำให้นางยิ่งสำนึกในบุญคุณของเขา จึงพยายามปรนนิบัติดูแลเขาให้ดีที่สุด “เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง” “เช่นนั้นไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนกินข้าวดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ อาบน้ำร้อนทุกวันไม่ดีกับร่างกายกระมัง เจ้ากินข้าวก่อนเถิด วันนี้พี่มีงานมากมายจึงมาบอกเจ้าว่าอย่ารอพี่เข้านอน เพราะพี่อาจจะนอนที่ห้องหนังสือเลย” “เจ้าค่ะ” ฮูหยินน้อยจวนฟ่านคล้ายจะรู้สึกผิดหวัง นางก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อซ่อนแววตาเสียใจ “เช่นนั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ” เขากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่มีท่าทางหยอกเย้าหรือกินเต้าหู้นางเช่นทุกวัน” ‘เขาโกรธอันใดข้าหรือไม่’ ‘หรือเขาเบื่อหน่ายข้าแล้ว จึงพยายามหลีกเลี่ยงเช่นนี้’ หูเซียงเฟยไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นท่าทางเมินเฉยของเขา ในเมื่อเขาบอกว่าอาจจะไม่กลับมา นางจึงถ
“แต่หากเจ้าไม่อยาก...” เขากำลังจะบอกว่าไม่อยากฝืนใจนาง เขามีเวลาเป็นปีที่จะยั่วยวนจนนางหลวมตัวหลวมใจยินดีที่จะเป็นฟ่านฮูหยินตลอดไป “ท่านได้โปรดชี้แนะข้าด้วย” นางรีบกล่าวคล้ายกลัวเขาเข้าใจผิด ที่เขายอมรับข้อเสนอตบแต่งนางเป็นฮูหยินเอกนับว่ามีพระคุณกับนางยิ่งนัก “หากพี่สอน เจ้าจะหาว่าพี่หน้าไม่อายหรือไม่” “ไม่ว่าเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นลองสัมผัสมันดูหรือไม่ ทำความคุ้นเคยกับมันก่อน” น้ำเสียงที่แฝงด้วยยั่วเย้าและแววตาที่ล่อลวงทำให้นางหลวมตัวพยักหน้าตอบรับด้วยใจหนึ่งก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็น แม้ก่อนออกเรือนมารดาจะนำหนังสือปกขาวที่เคยได้รับมามอบให้ แต่ทว่านางลองศึกษาแล้วยังไม่กระจ่างเท่าใด ทราบแต่เพียงว่าครั้งแรกจะเจ็บมากเท่านั้น “เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยสีหน้าเขินอาย แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปจับเจ้าสิ่งนั้นที่คล้ายผงกหัวเรียกนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง” “มันเหมือนมีชีวิตเลยนะเจ้าคะ” “เพราะมันปรารถนาอยากจะปลดปล่อยอย่างไรเล่า” “แล้วยามที่มันแข็งขึงเช่นนี้ ท่านปวดหรือไม่เจ้าคะ”
‘หากเจ้ายอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังตามจริง ข้าอาจจะตบแต่งกับเจ้าตามข้อตกลงก็ได้’ ‘เช่นนั้นเราเปลี่ยนที่สนทนาได้หรือไม่เจ้าคะ’ ‘ย่อมได้’ เขากล่าวพลางวางตะเกียบลง ‘ท่านกินให้อิ่มก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารอได้’ อย่างไรกลับไปก็โดนหาเรื่องอยู่แล้ว หากนางจะกลับช้าอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ‘เช่นนั้นก็รอข้า’ ‘เจ้าค่ะ’ หลังจากย้ายที่สนทนาแล้วนางก็เล่าเรื่องราวที่ตนต้องเข้าร่วมการคัดเลือกนางสนมของฮ่องเต้ ซึ่งพี่สาวที่เข้าเกณฑ์จะต้องเข้าร่วมเช่นกันกับฮูหยินรองที่ยามนี้ทำตัวเช่นฮูหยินเอกกดขี่นางและมารดา พยายามหาบุรุษมีตำหนิมาแต่งกับนางเพื่อจะได้ตัดคู่แข่งในการคัดเลือกนางสนมออกไป ซึ่งตัวหูเซียงเฟยที่ไม่ได้อยากเป็นสนมของฮ่องเต้ จึงคิดเลือกบุรุษสักคนด้วยความคิดที่ว่าหากต้องพลีกายให้กับใครสักคน นางขอเป็นคนเลือกเอง ทว่าสถานที่เลือกบุรุษของนางกลับเป็นร้านบะหมี่ข้างทาง ไม่ใช่โรงเตี๊ยมที่คุณชายมักจะไปนั่งจิบชา ซึ่งนางให้เหตุผลว่าที่มาเลือกบุรุษในที่นี่ก็เพราะ ในสายตานางบะหมี่ร้านนี้รสเลิศกว่าอาหารในโรงเตี๊ยม แต่กลับถ