11เบื้องหลังของโจวคุนต๋า 1 ด้านคุณหนูฟ่านที่เอาตัวรอดจากบุรุษตระกูลซิวมาได้ ถึงกับทอดถอนใจอย่างไม่คิดรักษากิริยา “พอได้ยินซิวซือเย่กล่าวว่ามีบัณฑิตมาประชันกวีกันอยู่ที่นี่ ข้าก็ภาวนาขอให้เจอท่านจะได้หลีกหนีจากเขาเสียที” “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ชอบซิวซือเย่เอามาก ๆ” “ข้ารู้สึกอึดอัดยามสนทนากับเขา ยิ่งปฏิเสธก็รู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อน ทั้งข้ายังรู้สึกว่าสีหน้าอ่อนโยนเช่นสุภาพชนนั้นเป็นเพียงหน้ากากที่สร้างขึ้นมาหลอกผู้อื่น ในฐานะบัณฑิตท่านอาจจะเลื่อมใสเขาที่เป็นถึงซือเย่ แต่ในฐานะสตรีข้าไม่ชอบบุรุษที่แสร้งแกล้งเป็นคนสุภาพอ่อนโยน” แท้จริงนางนำซิวเมิ่งหยวนที่อยู่ในฝันร้ายกับที่เจอในความเป็นจริงมาเล่ารวม ๆ กัน เพราะลางสังหรณ์นางบอกว่าอีกฝ่ายต้องมีนิสัยเช่นที่นางคิดแน่นอน “เจ้ามองคนได้ทะลุปรุโปร่งเลยทีเดียว อ้อ! แล้วข้าก็ไม่เคยเลื่อมใสซิวซือเย่หรือคนตระกูลซิวเลยแม้แต่คนเดียว” ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกขัดลูกหูลูกตายามเห็นท่าทางแสร้งเป็นคนดีของคนตระกูลซิว “ในภายหน้าท่านต้องได้เป็นขุนนางใหญ่โตแน่นอน” ฉลาด มองคนออกเช่นนี้ เกรงว่าอีกไม
นัยน์ตาคมฉายแววอันตรายทันทีหลังจากลอบฟังสหายตัวน้อยสนทนากับสาวใช้ ไม่ใช่แค่นางที่รับรู้ถึงความผิดปกติได้หรอก แต่เขาก็รับรู้ได้เช่นกัน รถม้าเคลื่อนตัวผ่านตรอกขนาดไม่ใหญ่มากไปอย่างไม่เร่งรีบ หากกลุ่มคนร้ายที่ซุ่มอยู่ลงมือ ผู้คุ้มกันของนางและคนของเขาคงจะเข้าห้ำหั่นในทันที เอ๊ะ! ในหมู่ผู้คุ้มกันของนางมีองครักษ์เงาด้วยหรือ หึหึ...เพียงแค่เฝ้าหมายปองกลับหวงแหนจนส่งหัวหน้าองครักษ์เงามาเฝ้าเลยหรือ บัณฑิตหนุ่มกวาดสายตาที่ฉายแววอันตรายมองไปรอบตัวก่อนจะหยุดแล้วจ้องมองไปยังจุดที่สัมผัสได้ว่ามีคนซุ่มมองอยู่เพื่อคุมเชิง ทว่าสุดท้ายรถม้าที่เขานั่งอยู่ก็ผ่านบริเวณนั้นโดยไม่เกิดเรื่องอันใด อีกฝ่ายคงดูแล้วว่าไม่อาจสู้ไหว จึงปล่อยให้รถม้าตระกูลฟ่านผ่านไปแต่โดยดี เมื่อรถม้าจอดในย่านการค้า ฟ่านซีอิ๋งก็เปลี่ยนเป็นลงเดินโดยมีสหายเดินอยู่เคียงข้าง นางเข้าร้านนั้นออกร้านนี้จนได้ข้าวของที่ต้องการมากมาย และเพื่อตอบแทนสหายนางคิดจะทำถุงใส่เครื่องรางเพื่อมอบให้เขา “ซื้อของครบแล้วเราไปโรงเตี๊ยมซือเช่อกันเถิดคุนต๋า”
ฉับพลันนัยน์ตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าปิ่นที่อยู่ในมือนอกจากจะมีไข่มุกเลือดประดับอยู่ยังมีรูปดอกหมู่ตานสลักซ่อนอยู่ อีกทั้งลวดลายของปิ่นนี้ยังดูอ่อนช้อยคล้ายกับฝีมือของช่างหลวงในวัง “คุนต๋าข้าอยากช่วยเจ้าจริง ๆ นะ” “ปิ่นนี่เจ้าได้มาจากที่ใด” “พี่ชายข้ามอบให้ในวันปักปิ่น” “คุณชายฟ่านน่ะหรือ” จะมีเงินมากพอซื้อไข่มุกเลือดได้อย่างไร ไหนจะเรียกใช้งานช่างของวังหลวงอีก เกรงว่าฟ่านไห่ถิงคงถูกสหายสูงศักดิ์ผู้นั้นใช้เล่ห์กลบางอย่างเพื่อให้มอบปิ่นแทนใจนี้ให้สตรีที่หมายปอง “คุนต๋าส่งปิ่นมาให้ข้าเถิด ข้าเพียงแต่จะนำมันวางไว้เพื่อเป็นการรับประกันว่าเจ้าจะได้เข้าพักที่นี่ เจ้าเป็นสหายของข้า สหายกำลังลำบากข้าจะไม่ช่วยได้อย่างไร” “เสี่ยวเอ้อร์ออกไปก่อน” บัณฑิตหนุ่มโบกมือไล่คนของโรงเตี๊ยมก่อนจะหันมาเอ่ยวาจากับนางยืดยาว “ซีอิ๋ง ข้าขอบคุณในน้ำใจของเจ้าที่มีใจอยากช่วยเหลือบัณฑิตยากจนเช่นข้า แต่การที่ตัวข้านั้นอาศัยนอนจวนสหาย ข้าไม่ได้ลำบากอันใดเลย ส่วนหนึ่งก็เพราะบิดามารดาของสหายอยากให้ข้าร่วมอ
“ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าคุ้นชินกับการนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะใกล้น้องสาว เพราะจะได้สะดวกยามคีบอาหารให้นาง รบกวนบัณฑิตโจวย้ายไปนั่งด้านโน้น” เป็นฟ่านไห่ถิงเอ่ยปากไล่อีกฝ่าย ส่วนชินอ๋องซื่อจื่อก็ทรุดตัวนั่งเก้าอี้ด้านข้างนางที่ว่างอยู่ “พี่ใหญ่อย่าเสียมารยาทกับสหายข้าสิเจ้าคะ” นางเอ่ยห้ามปรามพี่ใหญ่ที่หวงแหนน้องสาวก่อนจะหันไปส่งยิ้มขอโทษให้สหาย “มิเป็นไรซีอิ๋ง เขาเป็นพี่ชายของเจ้าข้าย่อมไม่ถือสา” กล่าวจบก็ยอมย้ายที่นั่ง “ซีอิ๋ง สาวใช้ของเจ้าอยู่ที่ใด เหตุใดถึงได้มานั่งกินข้าวอยู่กับบุรุษสองต่อสอง” คังซืออี้กล่าวก่อนจะใช้ตะเกียบของนางคีบเสี่ยวหลงเปามากิน “ซูฉีนำของไปเก็บที่รถม้าให้ข้าเจ้าค่ะ พี่ซืออี้ตะเกียบนั่นข้าใช้แล้ว ประเดี๋ยวข้าจะไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้นำมาเพิ่มให้ท่านกับพี่ใหญ่” แม้นางจะใช้เพียงครั้งเดียวก็เถิด แต่อย่างไรก็ไม่เหมาะสม “ขอบคุณซีอิ๋ง” เขาตอบรับแต่เมื่อสตรีที่ตนพึงใจลุกจากโต๊ะไป เหนือโต๊ะก็คล้ายถูกพายุสีดำทะมึนปกคลุม คุณชายใหญ่ฟ่านผู้หวงแหนน้องสาวและสหายผู้หวงแหนสตรีตัวน้อยจ้องมองบัณฑิตหนุ่มตาเขม็ง
12เบื้องหลังของโจวคุนต๋า 2 ทั้งสามคนใช้เวลาเพียงชั่วจิบชา องครักษ์เงาของโจวคุนต๋าก็กลับมารายงาน “บัดนี้เราสามารถควบคุมบริเวณโดยรอบเอาไว้ได้หมดแล้วขอรับ” “อืม ไปได้” เมื่อผู้เป็นนายออกคำสั่งองครักษ์เงาก็เร้นกายหายไปในทันใด “พระองค์อย่าได้เข้าใกล้หรือยุ่งเกี่ยวกับน้องสาวกระหม่อมเลย” เป็นฟ่านไห่ถิงเอ่ยขึ้นก่อน “เพราะเหตุใด เจ้าไม่อยากมีน้องสาวเป็นมารดาของแผ่นดินหรือ” “กรงทองที่มีนกนับพัน ไม่เหมาะกับซีอิ๋งหรอก” คนเป็นพี่ชายส่ายหน้าเล็กน้อย “ก่อนที่พวกท่านจะตัดสินใจอันใด ควรเอ่ยถามนางก่อน ไม่แน่หากนางทราบว่าข้าสามารถมอบตำแหน่งฮองเฮาให้นางได้ นางอาจจะตอบรับก็เป็นได้” โจวคุนต๋าหรือแท้จริงคือ ‘ไท่จื่อคังเฟยหลง’ องค์รัชทายาทของแคว้นต้าเหลียงกล่าว “ซีอิ๋งนางไม่ใช่สตรีเช่นนั้น เจ้าอย่าได้คิดดูถูกนาง” เป็นชินอ๋องซื่อจื่อกล่าวโดยไม่คิดเกรงกลัวอำนาจของอีกฝ่าย “ข้าหาได้ดูถูกซีอิ๋งไม่ ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้ไห่ถิงปิดกั้นโอกาสของนาง” “เจ้าอย่าได้คิดดึงนางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอ
“ข้าเห็นด้วย” เป็นฟ่านไห่ถิงเอ่ยเสริม เขาก็จะได้เลิกเป็นต้วนซิ่วเสียที “เอาเถิด เอาไว้ข้าละทิ้งตัวตนของโจวคุนต๋าเมื่อใด ค่อยให้นางตัดสินใจก็แล้วกัน” “เรื่องคุณหนูที่ถูกลักพาตัวข้ากับไห่ถิงจัดการเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้ราชเลขาธิการจี้คงวิ่งวุ่นหาคนช่วยเหลือ” คังซืออี้เปลี่ยนเรื่อง เพราะหากยังสนทนาเรื่องของฟ่านซีอิ๋งต่อไป คังเฟยหลงต้องเอ่ยยั่วเย้าเขาจนสหายสังเกตเห็นเป็นแน่ รอเขามั่นใจว่านางมีใจให้เขาก่อน เขาจึงจะยอมบอกกล่าวสหายให้รับรู้ “ท่านพี่คิดว่าเจ้าเฟยหย่าจะออกหน้าช่วยเหลือหรือ หึ! ฝันไปเถิด” เมื่อเอ่ยถึงน้องชายต่างมารดา คังเฟยหลงก็ได้แต่เค้นยิ้มเย็นชา เพียงแค่เป็นต้วนซิ่วลอบไปเที่ยวหอชายงามเจียวชู่ฉือ เป็นนิจ นี่ยังไม่นับลอบเลี้ยงบุรุษไว้ที่จวนนอกวังหลวงอีก คิดว่าเพียงแค่คุณสมบัติข้อนี้ก็ไม่สามารถขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้ ยังจะกล้าวางแผนแย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อจากเขาอีก “เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะตัดท่อน้ำเลี้ยงขององค์ชายรอง” แต่ต้องเป็นหลังจากบอกฝันดีสตรีตัวน้อยแล้ว เขาถึงจะไปจัดการฆ่าล้างตระกูลจี้ของราชเลขาธิการแล้วก็โยนความผิดให้เป็นการฆ
“แท้จริงข้าก็สงสัยการกระทำของคนตระกูลซิวมาสักระยะแล้ว” ไหนจะการเสนอตัวของคุณหนูซิว การตั้งโรงทานสร้างชื่อเสียงดีงาม เป็นสตรีมีจิตเมตตา นี่ยังไม่นับข่าวลือที่มีแต่เรื่องดีงามไร้มลทิน คล้ายกับกำลังฟูมฟักความเหมาะสมกับตำแหน่งใหญ่ “ท่านหมายถึงเรื่องการสร้างโรงทาน ปล่อยข่าวลือเรื่องความงดงามและจิตใจดีมีเมตตาของคุณหนูซิวน่ะหรือ” หากเป็นเรื่องนั้นเขาทราบดีว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะหวังจะเข้าตาฮองเฮา จนได้รับเลือกให้เป็นพระชายาของเขา แต่พอได้ยินว่าเขาไม่อยู่เมืองหลวงกลับพยายามเข้าหาชินอ๋องซื่อจื่อแทน ช่างเป็นสตรีที่น่ารังเกียจนัก “ใช่ ข้าว่าที่ราชครูซิวหมายปองเห็นจะเป็นตำแหน่งพระอัยกาของฮ่องเต้ มิเช่นนั้นตระกูลบัณฑิตหรือจะเลี้ยงยอดฝีมือ” “ประเดี๋ยวนะ หากซิวลู่หลินได้เป็นพระชายาไท่จื่อจริง วันหน้าก็ต้องได้เป็นฮองเฮา หากมีบุตรชายก็จะได้เป็นไท่จื่อสุดท้ายก็จะกลายเป็นฮ่องเต้” คุณชายใหญ่ฟ่านทำหน้าตื่นตระหนกก่อนจะหันไปมองสหายของตน “อืม...เมื่อฮ่องเต้มีสายเลือดตระกูลซิว ตระกูลคังก็จะถูกกลืนกินกลายเป็นบังลังก์ของคนแซ่ซิว เพราะบุตรชายหญิ
“หึ! เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่สมหวังแล้วล่ะ ข้ามั่นใจว่าซีอิ๋งย่อมเลือกบุรุษที่สามารถมีนางได้เพียงคนเดียว ซึ่งนั่นไม่ใช่เจ้า” “ท่านช่างเข้าใจนาง” คังเฟยหลงกล่าว ดวงตามีประกายเศร้าพาดผ่านชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป เมื่อวาจาชินอ๋องซื่อจื่อ คล้ายดั่งมีดที่กรีดลงกลางใจ ตั้งแต่เล็กจนโตบิดาคอยสอนเขาเสมอว่า ฮ่องเต้ไม่สามารถแสดงความรักหรือชอบสิ่งใดออกมาได้ เพราะนั่นจะกลายเป็นจุดอ่อนในทันที แม้บิดาจะรักมารดาแต่ทว่าก็ยังต้องเผื่อแผ่ความโปรดปรานให้กับสตรีอื่นอีกหลายนางตามแต่อำนาจของแต่ละตระกูล ดังนั้นการปลอมตัวเป็นผู้อื่นเช่นนี้นอกจากจะทำให้เขาได้เห็นความเป็นไปของคนในแคว้นอย่างแท้จริงแล้ว เขายังได้สามารถเลือกกินสิ่งที่ตนชอบได้มากมาย สามารถส่งยิ้มหรือมองผู้อื่นได้โดยไม่ต้องกังวล แม้หน้ากากหนังมนุษย์ของคนผู้นี้จะไม่ค่อยเอื้ออำนวยก็ตาม “น่าตายนัก เห็นว่าเสี่ยวหลงเปาถูกคุณหนูจิตใจมีเมตตาผู้หนึ่งเหมาไปหมดแล้ว” วาจาของคุณชายใหญ่ฟ่านที่เดินขึ้นพ้นจากบันไดมาทำให้ชายสูงศักดิ์ทั้งสองมองหน้ากัน “คงทราบว่าท่านพี่อยู่ที่นี่”
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว
“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” นางถามไถ่เขาเช่นนี้ทุกวัน นางช่างเป็นสตรีที่น่าอิจฉา ครอบครัวของสามีดีกับนางเหลือเกิน สามีหรือก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นบุรุษมักมากพร้อมรับสตรีเข้าเรือนมากมาย ทำให้นางยิ่งสำนึกในบุญคุณของเขา จึงพยายามปรนนิบัติดูแลเขาให้ดีที่สุด “เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง” “เช่นนั้นไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนกินข้าวดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ อาบน้ำร้อนทุกวันไม่ดีกับร่างกายกระมัง เจ้ากินข้าวก่อนเถิด วันนี้พี่มีงานมากมายจึงมาบอกเจ้าว่าอย่ารอพี่เข้านอน เพราะพี่อาจจะนอนที่ห้องหนังสือเลย” “เจ้าค่ะ” ฮูหยินน้อยจวนฟ่านคล้ายจะรู้สึกผิดหวัง นางก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อซ่อนแววตาเสียใจ “เช่นนั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ” เขากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่มีท่าทางหยอกเย้าหรือกินเต้าหู้นางเช่นทุกวัน” ‘เขาโกรธอันใดข้าหรือไม่’ ‘หรือเขาเบื่อหน่ายข้าแล้ว จึงพยายามหลีกเลี่ยงเช่นนี้’ หูเซียงเฟยไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นท่าทางเมินเฉยของเขา ในเมื่อเขาบอกว่าอาจจะไม่กลับมา นางจึงถ
“แต่หากเจ้าไม่อยาก...” เขากำลังจะบอกว่าไม่อยากฝืนใจนาง เขามีเวลาเป็นปีที่จะยั่วยวนจนนางหลวมตัวหลวมใจยินดีที่จะเป็นฟ่านฮูหยินตลอดไป “ท่านได้โปรดชี้แนะข้าด้วย” นางรีบกล่าวคล้ายกลัวเขาเข้าใจผิด ที่เขายอมรับข้อเสนอตบแต่งนางเป็นฮูหยินเอกนับว่ามีพระคุณกับนางยิ่งนัก “หากพี่สอน เจ้าจะหาว่าพี่หน้าไม่อายหรือไม่” “ไม่ว่าเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นลองสัมผัสมันดูหรือไม่ ทำความคุ้นเคยกับมันก่อน” น้ำเสียงที่แฝงด้วยยั่วเย้าและแววตาที่ล่อลวงทำให้นางหลวมตัวพยักหน้าตอบรับด้วยใจหนึ่งก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็น แม้ก่อนออกเรือนมารดาจะนำหนังสือปกขาวที่เคยได้รับมามอบให้ แต่ทว่านางลองศึกษาแล้วยังไม่กระจ่างเท่าใด ทราบแต่เพียงว่าครั้งแรกจะเจ็บมากเท่านั้น “เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยสีหน้าเขินอาย แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปจับเจ้าสิ่งนั้นที่คล้ายผงกหัวเรียกนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง” “มันเหมือนมีชีวิตเลยนะเจ้าคะ” “เพราะมันปรารถนาอยากจะปลดปล่อยอย่างไรเล่า” “แล้วยามที่มันแข็งขึงเช่นนี้ ท่านปวดหรือไม่เจ้าคะ”
‘หากเจ้ายอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังตามจริง ข้าอาจจะตบแต่งกับเจ้าตามข้อตกลงก็ได้’ ‘เช่นนั้นเราเปลี่ยนที่สนทนาได้หรือไม่เจ้าคะ’ ‘ย่อมได้’ เขากล่าวพลางวางตะเกียบลง ‘ท่านกินให้อิ่มก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารอได้’ อย่างไรกลับไปก็โดนหาเรื่องอยู่แล้ว หากนางจะกลับช้าอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ‘เช่นนั้นก็รอข้า’ ‘เจ้าค่ะ’ หลังจากย้ายที่สนทนาแล้วนางก็เล่าเรื่องราวที่ตนต้องเข้าร่วมการคัดเลือกนางสนมของฮ่องเต้ ซึ่งพี่สาวที่เข้าเกณฑ์จะต้องเข้าร่วมเช่นกันกับฮูหยินรองที่ยามนี้ทำตัวเช่นฮูหยินเอกกดขี่นางและมารดา พยายามหาบุรุษมีตำหนิมาแต่งกับนางเพื่อจะได้ตัดคู่แข่งในการคัดเลือกนางสนมออกไป ซึ่งตัวหูเซียงเฟยที่ไม่ได้อยากเป็นสนมของฮ่องเต้ จึงคิดเลือกบุรุษสักคนด้วยความคิดที่ว่าหากต้องพลีกายให้กับใครสักคน นางขอเป็นคนเลือกเอง ทว่าสถานที่เลือกบุรุษของนางกลับเป็นร้านบะหมี่ข้างทาง ไม่ใช่โรงเตี๊ยมที่คุณชายมักจะไปนั่งจิบชา ซึ่งนางให้เหตุผลว่าที่มาเลือกบุรุษในที่นี่ก็เพราะ ในสายตานางบะหมี่ร้านนี้รสเลิศกว่าอาหารในโรงเตี๊ยม แต่กลับถ
การยั่วยวนฮูหยินของฟ่านไห่ถิง วันต่อมาฟ่านฮูหยินพาบุตรชายและแม่สื่อมาเยือน แน่นอนว่าพระชายาชินอ๋องที่ทราบถึงเรื่องราวโสมมในจวนโหวย่อมมาร่วมด้วย โดยชินอ๋องที่ได้ฟังพระชายาเล่าเรื่องการมาเยือนจวนโหวครั้งก่อนให้ฟังยังคงติดตามมาด้วยเพราะรู้สึกไม่พอใจกับความไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของอี๋เหนียงจวนโหว แน่นอนว่าผู้สูงศักดิ์ที่โอรสสวรรค์ยังต้องหยุดฟังมาเยือนถึงจวน ท่านโหวย่อมว่าง่ายและไม่ขัดข้องต่อความประสงค์ของฟ่านฮูหยินเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเจ็ดวันคุณหนูรองหูแต่งเข้าเป็นฮูหยินน้อยจวนฟ่าน ตามธรรมเนียมหากฝ่ายชายส่งสินสอดให้เท่าใด สินเดิมของสตรีต้องมากกว่าแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี ทำให้อี๋เหนียงต้องกัดฟันขนข้าวของที่ซุกซ่อนไว้ ซึ่งเป็นสินเดิมของฮูหยินเอกมอบคืนไปพร้อมกับแช่งชักหักกระดูกคนจวนฟ่านที่กล้าดีส่งสินสอดมามากถึงยี่สิบหีบ ทำให้ตนต้องคืนสินเดิมที่ยักยอกไปทั้งหมด หลังจากนี้คงได้แต่สั่งริบเบี้ยหวัดของฮูหยินและอนุฯ ทั้งหลายเพื่อเติมเต็มสินเดิมเตรียมเอาไว้ให้บุตรสาว กล่าวถึงเรื่องราวหลังจากดื่มสุรามงคลของฟ่านไห่ถิงและฮูหยินน้อยจวนฟ่าน ซึ่งฟ่านไห่ถิง
“เจ้าน่ะหรือหูเซียงเฟย ท่านโหว นางคือคุณหนูรองหูตัวจริงใช่หรือไม่ ท่านไม่ได้กำลังหลอกลวงเบื้องสูงนำตัวแทนมาอีกใช่หรือไม่ บอกตามตรงเปิ่นหวางเฟยไม่ใคร่จะไว้ใจท่านโหวแล้ว” วาจาของพระชายาชินอ๋องทำให้หูโหวหน้าชา วันนี้เขาโดนพระชายาต่อว่าไปหลายเรื่องทีเดียว “เป็นหม่อมฉันหูเซียงเฟยจริง ๆ วันนี้พระชายาคงมาพบหม่อมฉันเพราะเรื่องคุณชายฟ่านใช่หรือไม่เจ้าคะ” “ย่อมใช่ แต่เพื่อยืนยันว่าเจ้าคือหูเซียงเฟยจริง ๆ เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าเข้าไปสนทนากับพี่ชายข้าครั้งแรกเมื่อใด” “ที่ร้านบะหมี่เจ้าอร่อย ข้างทาง...” หูเซียงเฟยเล่าถึงที่ตั้งของร้านบะหมี่ที่ตนเดินเข้าไปยื่นข้อเสนอให้กับคุณชายฟ่าน หากพระชายาผู้นี้มาหานางถึงจวนได้ มิแคล้วก็คงพอจะทราบเรื่องข้อเสนอนั่นด้วยกระมัง “ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าคือหูเซียงเฟย สตรีที่จะมาเป็นพี่สะใภ้ของข้า” คำเรียกขานตนเองอย่างถือตัวเปลี่ยนไป ทำให้ท่านโหวเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของบุตรสาวคนรองที่อยู่นอกสายตามาโดยตลอด “เพคะ” “ที่จวนโหวมีสวนพอให้เปิ่นหวางเฟยพาว่าที่พี่สะใภ้ไปเดินเล่นได้หรือไม่ท่
“เปิ่นหวางเฟยต้องขออภัยอี๋เหนียงจริง ๆ ที่ไม่เข้าใจกฏเกณฑ์ของจวนโหว ที่แท้ท่านโหวใจกว้างยกอี๋เหนียงให้มีเกียรติเทียบเท่าฮูหยินเอก เรื่องนี้ทำให้เปิ่นหวางเฟยเปิดหูเปิดตายิ่งนัก ดี ๆ ที่ได้รู้เช่นนี้ วันหน้าหากท่านอ๋องคิดจะรับพระชายารอง เปิ่นหวางเฟยคงต้องคิดไตร่ตรองให้หนักมิเช่นนั้น พระชายารองคงขึ้นมาเหยียบหัวเปิ่นหวางเฟยเล่นเช่นที่อี๋เหนียงทำเป็นแน่” “พระชายาได้โปรดให้อภัยอี๋เหนียงของกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านไม่ค่อยรู้ความ จึงอาจเอ่ยวาจาที่ไม่ทันได้คิดไปบ้าง” “ที่แท้ท่านโหวก็รักใคร่อี๋เหนียงมากถึงเพียงนี้ เปิ่นหวางเฟยเข้าใจแล้ว ลุกขึ้นมานั่งสนทนากันดี ๆ เถิด” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” “ขอบพระทัยเพคะ” “แล้วฮูหยินเอกไปที่ใดหรือท่านโหว เหตุใดนางถึงไม่มาต้อนรับเปิ่นหวางเฟย” “นาง เอ่อ...” หูโหวไม่รู้จะเอ่ยวาจาอย่างไร จะบอกว่าเขาลงโทษฮูหยินเอกด้วยความผิดเล็ก ๆ อย่างเช่นการไม่อบรมสาวใช้ในจวนให้ดีเพื่อเอาใจอี๋เหนียงของตนก็ไม่ได้ เช่นนั้นเรื่องราวในจวนเขาคงถูกเล่าขานหากพระชายาชินอ๋องผู้นี้เป็นคนปา
“แล้วเจ้าก็ไตร่ตรองดูเถิดว่าจะบอกมารดาเช่นใดจึงจะเหมาะสม” “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แท่งหยกของท่านคล้ายจะเรียกหาข้าแล้ว เช่นนี้ ข้าไม่เกรงใจท่านแล้วนะเจ้าคะ” กล่าวจบนางก็ล้วงมือเข้าไปในอาภรณ์ของเขาอย่างรวดเร็ว “อ๊า...ซีอิ๋ง” ชินอ๋องซื่อจื่อครวญคราง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อชายาตัวน้อยอ้าปากครอบครองส่วนหัวของแท่งหยกมือเรียวก็กอบกุมสลับรูดขึ้นลง ยามนางดูกลืนส่วนหัวพลางโลมเลีย เขาแสดงสีหน้าสุขสมยิ่งนัก “ท่านต้องปลดปล่อยก่อนหนึ่งครั้งข้าถึงจะขึ้นควบขี่ให้นะเจ้าคะ” “ย่อมได้ ซีอิ๋ง อ๊า...เจ้าดียิ่งนัก” คังซืออี้จ้องมองการกระทำของนางด้วยแววตาลุ่มหลง เขาส่งเสียงร้องครวญครางสุขสมดังขึ้นยามนางขยับมือและโลมเลียให้เร็วขึ้น ก่อนจะปลดปล่อยธารน้ำสีขาวขุ่นในปากของนาง “ท่านนี่นะ ปลดปล่อยอยู่ทุกวัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เคยลดลงเลย” นางกล่าวก่อนจะแลบลิ้นเลียที่เปรอะเปื้อนรอบริมฝีปาก ท่าทางของนางช่างยั่วยวนให้เขาเขาปรารถนาอยากจะปลดปล่อยในกายนางอีกครั้ง ฟ่านซีอิ๋งไม่ปล่อยให้พระสวามีได้พัก นางรุกเร้าเขาอีกครั้งด้วยการ
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดมากหรอกเจ้าค่ะ แต่หากท่านมีใจอยากช่วยไขข้อข้องใจ น้องย่อมยินดี” นางกล่าวพลางช่วยเขาปลดสายรัดเอวแล้วถอดอาภรณ์ตัวนอกออก “กล่าวมาเถิด ขอเพียงเจ้าเอ่ยถาม หากพี่สามารถหาคำตอบมาให้เจ้าได้ พี่ย่อมลงแรงเต็มที่” เมื่อถอดอาภรณ์เสร็จเขาจึงโอบเอวพระชายาของตนเดินไปที่เตียง “วันนี้ท่านแม่ร้อนใจนักจึงมาปรึกษาข้า เรื่องที่พี่ใหญ่จู่ ๆ ก็มาคุกเข่าขอร้องให้ท่านแม่ไปสู่ขอสตรีให้ ทั้งยังเร่งรีบจะเอาคำตอบเช้าวันพรุ่งนี้” “แท้จริงเรื่องนี้นั้น เป็นความลับของสหายพี่ หากพี่บอกเจ้าเรื่องนี้ เจ้ามีสิ่งใดมอบให้พี่เป็นการตอบแทน” “พรุ่งนี้ข้าจะทำขนมที่ท่านชื่นชอบให้เจ้าค่ะ” “ความลับของไห่ถิงมีค่าเพียงเท่านั้นเองหรือ” “เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะปรนนิบัติท่านอาบน้ำเจ้าค่ะ ท่านชอบให้ข้าถูหลังมิใช่หรือ” ถูไป ลูบไป ถูกใจเขายิ่งนัก “นั่นเจ้าย่อมต้องทำอยู่แล้ว สิ่งตอบแทนเจ้าไม่คุ้มค่าที่พี่ต้องหักหลังสหายบอกความลับสำคัญแก่เจ้าเลย” เมื่อได้ยินสวามีบอกนางจึงงัดไม้ตายที่เขายอมสยบทุกครั้ง “คืนนี้ข้าจะ