“หึ! เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่สมหวังแล้วล่ะ ข้ามั่นใจว่าซีอิ๋งย่อมเลือกบุรุษที่สามารถมีนางได้เพียงคนเดียว ซึ่งนั่นไม่ใช่เจ้า” “ท่านช่างเข้าใจนาง” คังเฟยหลงกล่าว ดวงตามีประกายเศร้าพาดผ่านชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป เมื่อวาจาชินอ๋องซื่อจื่อ คล้ายดั่งมีดที่กรีดลงกลางใจ ตั้งแต่เล็กจนโตบิดาคอยสอนเขาเสมอว่า ฮ่องเต้ไม่สามารถแสดงความรักหรือชอบสิ่งใดออกมาได้ เพราะนั่นจะกลายเป็นจุดอ่อนในทันที แม้บิดาจะรักมารดาแต่ทว่าก็ยังต้องเผื่อแผ่ความโปรดปรานให้กับสตรีอื่นอีกหลายนางตามแต่อำนาจของแต่ละตระกูล ดังนั้นการปลอมตัวเป็นผู้อื่นเช่นนี้นอกจากจะทำให้เขาได้เห็นความเป็นไปของคนในแคว้นอย่างแท้จริงแล้ว เขายังได้สามารถเลือกกินสิ่งที่ตนชอบได้มากมาย สามารถส่งยิ้มหรือมองผู้อื่นได้โดยไม่ต้องกังวล แม้หน้ากากหนังมนุษย์ของคนผู้นี้จะไม่ค่อยเอื้ออำนวยก็ตาม “น่าตายนัก เห็นว่าเสี่ยวหลงเปาถูกคุณหนูจิตใจมีเมตตาผู้หนึ่งเหมาไปหมดแล้ว” วาจาของคุณชายใหญ่ฟ่านที่เดินขึ้นพ้นจากบันไดมาทำให้ชายสูงศักดิ์ทั้งสองมองหน้ากัน “คงทราบว่าท่านพี่อยู่ที่นี่”
‘ก็หากนางได้เป็นชายาอ๋อง ชายาองค์ชาย หรือหากวาสนาสูงส่งได้เป็นพระชายาขององค์ไท่จื่อ เจ้าไม่คิดหรือว่าความใจดีมีเมตตาจะทำให้อาณาประชาราษฎร์ ร่มเย็นเป็นสุขเพียงใด’ ‘ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล’ “หึ!” ชินอ๋องซื่อจื่อและโจวคุนต๋าเค้นเสียงในลำคอพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะเดินผ่านโต๊ะของบุรุษที่ชื่นชมความดีงามของบุตรสาวตระกูลซิวไป “เสี่ยวหลงเปาเจ้าค่ะ อุ๊ย! ชินอ๋องซื่อจื่อ ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ ที่ข้าแจกจ่ายเสี่ยวหลงเปาจนไม่ทันสังเกตว่าท่านอยู่ในบริเวณนี้” เมื่อเห็นนางยอบตัวแสดงความเคารพ คนโดยรอบก็คล้ายจะหยุดมือเพื่อรอดูคนงามทักทายบุรุษ “...” และก็เป็นเช่นที่ผ่านมาที่คังซืออี้ไม่แม้แต่จะปรายตามอง ‘นั่นมันบัณฑิตที่ชอบแสดงสีหน้าเย็นชาใส่ข้า” ซิวลู่หลินคิดพลางนึกถึงยามที่นางเปิดให้บัณฑิตอ่านตำราโดยไม่คิดเงิน แต่บุรุษผู้นี้กลับเมินเฉย ในครานั้นนางจึงเล่นงิ้วเรียกร้องความเห็นใจจากบัณฑิตคนอื่น หากนางทราบว่าเขารู้จักและสนิทสนมกับบุรุษในดวงใจ นางคงไม่ทำเช่นนั้นให้อีกฝ่ายเห็นเป็นแน่ “หากชินอ๋องซื่อจื่อไม่ติด
13การล่อลวงของชินอ๋องซื่อจื่อ เมื่อกลับถึงจวนฟ่านไห่ถิงส่งคนไปเรียกน้องสาวมาพบเพื่อจะสนทนาถึงเรื่องราวที่ไม่ชอบมาพากลของคนตระกูลซิว “ตรากตรำอยู่ด้านนอกตั้งหลายวัน เจ้ากลับเรือนรับรองไปพักผ่อนเถิด ข้าจะสนทนากับน้องสาว” “ข้าเหน็ดเหนื่อยที่ใดกัน” คืนนี้ยังมีแรงเหลือ สามารถไปยั่วยวนน้องน้อยที่เรือนได้ “หึ! ก่อนเดินทางเข้าเมืองหลวงใครกันที่พูดตลอดทางว่าเมื่อถึงเมืองหลวงห้ามข้าไปรบกวน จะเอนหลังนอนให้มากหน่อย” ‘เพราะข้าจะลอบไปหาซีอิ๋งน่ะสิ ถึงได้ห้ามเจ้ารบกวน’ “เมื่อครู่ก่อนกลับจวนได้เห็นมารยาสตรีแล้วข้าคล้ายจะตาสว่าง มีเรื่องให้ขบคิดมากมายจึงเปลี่ยนใจอยากอยู่ฟังเจ้าสนทนากับซีอิ๋ง เผื่อนางไม่เข้าใจข้าจะได้ช่วยอธิบายเพิ่มเติม” “เจ้าไม่คิดว่าข้ากับซีซีจะมีเรื่องสนทนากันตามลำพังพี่น้องหรือ” “ข้าเป็นสหายที่สนิทกับเจ้าที่สุด ส่วนซีอิ๋งก็เป็นสตรีที่ข้าเอ็นดู ดังนั้นข้าไม่ถือสายามเจ้าสนทนาเรื่องของพี่น้อง ทั้งยังยินดีให้คำเสนอแนะ” “เจ้าคนหน้าหนา ข้าไล่ก็ไม่ยอมไป” คุณชายใหญ่ฟ่านส่ายหน้าอย่างเ
“เอาตามที่ซืออี้บอก เจ้าไม่ต้องกังวล พี่จะไม่ยอมให้เจ้าพลาดท่าคนแซ่ซิวง่าย ๆ” เพราะเขาก็ไม่ได้อยากเกี่ยวดองกับตระกูลซิว “เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” นางยอบกายเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานของพี่ชาย เมื่อเห็นว่าฟ่านซีอิ๋งเดินหายลับจากสายตาไปแล้ว จู่ ๆ ฟ่านไห่ถิงก็เอ่ยถึงเรื่องปิ่น “ดูเหมือนนางจะชอบปิ่นของเจ้าที่ข้ามอบให้นางมาก” เห็นใช้อยู่บ่อยครั้ง “เป็นเพราะเจ้าให้ นางถึงชื่นชอบอย่างไรเล่า” “จะว่าไป จนแล้วจนรอดข้าก็ยังหาปิ่นที่ข้าซื้อมาไม่เจอ” “เจ้าไปทำตกไว้ที่ใดหรือไม่” “หากไม่มีคนมาขโมยไป ข้ามั่นใจว่าอย่างไรมันก็ต้องอยู่ในเรือนนี้” “เช่นนั้นเจ้าก็ลองหาดูใหม่อีกรอบเผื่อจะเจอมันตกอยู่ที่ใดสักแห่งในเรือนแห่งนี้ ส่วนเรื่องความปลอดภัยของน้องสาวเจ้า ข้าคิดว่าตราบใดที่ซีอิ๋งยังไม่มีคู่หมั้น เจ้าซิวเมิ่งหยวนคงไม่ยอมรามือเป็นแน่” คังซืออี้รีบเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อเลี่ยงความสนใจของสหาย หากอีกฝ่ายไม่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเขาคงลืมเรื่องที่ทำลงไปแล้ว “ความหมายของเจ้า
“เดิมทีพี่เข้านอนแล้ว แต่นอนอย่างไรก็ไม่หลับ” ท่าทางของเขาคล้ายมีเรื่องกลัดกลุ้มทำให้มุมปากนางยกยิ้มเล็กน้อย ‘นี่เพิ่งปลายยามโหย่ว (17.00-18.59) ท่านคิดว่าข้าเชื่อหรือเจ้าคะ ว่าท่านจะเข้านอนแล้ว’ แม้จะไม่เชื่อวาจาบุรุษแต่ดวงหน้าหวานกลับแสดงสีหน้าห่วงใยออกมาได้อย่างไม่ติดขัด “เป็นอันใดไปเจ้าคะ เหตุใดถึงนอนไม่หลับ” “เจ้ากับบัณฑิตที่ชื่อโจวคุนต๋าเป็นแค่เพียงสหายกันจริงหรือ” “เป็นแค่เพียงสหายกันจริง ๆ เจ้าค่ะ แม้เขาจะปากไม่ค่อยดี แต่เขาก็มีน้ำใจกับข้าไม่น้อย ท่านคงไม่ได้ทุบไหน้ำส้มแตกเพราะเรื่องนี้หรอกนะเจ้าคะ” พรึ่บ! เขาตวัดมือคว้าเอวคอดกิ่วของนางก่อนจะรั้งเข้าไปใกล้ “ซีอิ๋ง พี่หวงแหนเจ้าเหลือเกิน พี่ต้องทำเช่นไรดี” “...” นางเงียบไม่เอ่ยวาจา เพราะกลัวว่าหากเอ่ยสิ่งใดไปประเดี๋ยวมันจะเข้าตัว “ซีอิ๋ง พี่บอกเรื่องของเรากับไห่ถิงได้หรือไม่ พี่ไม่อยากเกี้ยวพาเจ้าอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนี้” ‘ท่านเคยหลบซ่อนที่ใดกัน ข้ายังจำเรื่องที่เทศกาลโคมไฟได้’ จะว่าไปเรื่องราวในครั้งนั้นไม่เกิดเสียงเล
‘ทั้งที่ข้าคิดว่าการที่นางเขินอายข้า คือมีใจให้ข้าแล้ว แต่กลับไม่ใช่ เช่นนั้นข้าควรเร่งมือล่อลวงนางใช่หรือไม่’ ‘อย่างน้อยก่อนที่ไห่ถิงจะทราบ ซีอิ๋งก็ควรจะมีใจให้ข้ามากพอที่จะไม่สนใจคำทัดทานของพี่ชาย’ แม้เขาจะไม่จำเป็นต้องรับสตรีเข้าเรือนมากกว่าหนึ่งคนได้ แต่สหายคงไม่คิดเชื่อถืออีกทั้งการเป็นพระชายาของอ๋องผู้นี้ก็ค่อนข้างมีกฎเกณฑ์มากมายที่แม้เขาจะไม่ถือสา แต่คนอื่นคงไม่คิดเห็นเช่นนั้น ซึ่งฟ่านไห่ถิงที่รักน้องสาวมากคงไม่คิดยอมให้นางไปเป็นพระชายาของเขาง่าย ๆ “น้ำพร้อมแล้วขอรับ” จือซวนรายงานผู้เป็นนาย “อืม” เขารับคำก่อนจะเดินเข้าหลังฉากกั้นเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์ออก แต่เมื่อไปถึงถังอาบน้ำเขากลับต้องชะงักฝีเท้า นี่มันอันใดกัน! ถังที่มีน้ำใส่ไว้เกินครึ่ง มีดอกไม้ลอยอยู่เต็มพร้อมทั้งมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยมา “เปลี่ยนใหม่ ข้าต้องการเพียงน้ำร้อนไว้อาบ ห้ามใส่เครื่องหอมหรือดอกไม้ใด ๆ” “แต่กลิ่นคาวเลือด...” “ช่างมัน ประเดี๋ยวเตรียมสุราให้ข้า ยามที่ข้าอาบน้ำเสร็จข้าจะจิบมัน” “ขอรับ” จือซวนรับคำก่
14ข้าชอบให้ท่านเกี้ยวพา นี่ก็ปลายยามไฮ่ (21.00-22.59) แล้วฟ่านซีอิ๋งยังคงนอนพลิกตัวไปมาคล้ายกับนอนไม่หลับเสียที ‘เฮ้อ! ไม่น่ากลั่นแกล้งพี่ซืออี้เลย ไม่รู้ป่านนี้เขาจะเปลี่ยนใจไปจากข้าแล้วหรือไม่’ และหากเขาเปลี่ยนใจนางที่หวั่นไหวไปกับการล่อลวงของเขาแล้วจะทำเช่นไร นางพลิกตัวไปมาอีกสองสามครั้งสุดท้ายจึงตัดสินใจลุกขึ้นนั่งบนเตียงเมื่อหูพลันได้ยินเสียงกุกกักที่หน้าเรือน ‘ใครกันมาเรือนข้าเอายามนี้’ นางคิดพลันรู้สึกตื่นตัว เพราะหากเป็นคนร้ายนางจะรีบปีนหนีออกทางหน้าต่าง “ซีอิ๋ง...” เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยทำให้นางรีบสาวเท้าเดินไปที่ประตูก่อนจะเปิดออก “พี่ซืออี้! เหตุใดท่านถึงมานั่งอยู่ที่หน้าเรือนข้ายามนี้เจ้าคะ” นางเอ่ยถามพลางกวาดสายตามองจึงได้เห็นว่าเขายังอยู่ในอาภรณ์บางเบาเช่นเดิมและยังคงสวมเสื้อคลุมของนางอยู่ “ซีอิ๋ง ที่เจ้าไม่ยอมเป็นคนรักของพี่แท้จริงเจ้ามีใจให้เจ้าบัณฑิตหน้าอ่อนนั่นใช่หรือไม่” ท่าทางชี้นิ้วสะเปะสะปะทำให้นางรับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังเมามาย ไหนจะกลิ่นสุราที่คละคลุ้งยามขยับตัวนั่นอีก
“ท่านไม่เมาก็ได้เจ้าค่ะ ว่าแต่ตอบข้าก่อนได้หรือไม่ว่าท่านดื่มสุราไปกี่ไห” “เจ้ายังไม่ตอบคำถามของพี่ เหตุใดพี่ต้องตอบคำถามของเจ้า” กล่าวจบก็ทำหน้าน้อยใจ ท่าทางคล้ายเสี่ยวโก่ว[1]ถูกทิ้งทำให้ฟ่านซีอิ๋งอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง “ท่านตอบคำถามของข้ามาก่อน ว่าท่านดื่มสุราไปกี่ไห แล้วข้าจะตอบทุกอย่างที่ท่านอยากรู้” “หนึ่งไห สองไห หรือสามไหกันนะ ขออภัยพี่ไม่ได้นับ” “อืม...ดื่มไปหลายไหไม่น้อย เช่นนั้นคงเมามากกลิ่นสุราถึงได้คละคลุ้งเช่นนี้” “ใครว่าพี่เมา หากพี่เมาจะยังนั่งสนทนากับเจ้าเช่นนี้ได้หรือ” “แล้วยามท่านดื่มสุรา ท่านมักจะจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้หรือไม่” “หากดื่มเพียงครึ่งไหก็ย่อมจำได้ แต่หากดื่มมากกว่านั้นก็จะจำไม่ได้ บางทีก็ได้รอยปูดบนหัวมาโดยไม่รู้ตัว” ที่เขากล่าวมาล้วนเป็นลักษณะของฟ่านไห่ถิงยามเมามาย “ยามค่ำคืนที่ข้าชอบพบท่านสวมอาภรณ์บางเบา แท้จริงท่านตั้งใจมาล่อลวงข้าใช่หรือไม่” นางกล่าวพลางเดินเข้าไปใกล้ “ย่อมใช่” “นี่ท่านคิดล่อลวงข้าตั้งแต่
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว
“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” นางถามไถ่เขาเช่นนี้ทุกวัน นางช่างเป็นสตรีที่น่าอิจฉา ครอบครัวของสามีดีกับนางเหลือเกิน สามีหรือก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นบุรุษมักมากพร้อมรับสตรีเข้าเรือนมากมาย ทำให้นางยิ่งสำนึกในบุญคุณของเขา จึงพยายามปรนนิบัติดูแลเขาให้ดีที่สุด “เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง” “เช่นนั้นไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนกินข้าวดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ อาบน้ำร้อนทุกวันไม่ดีกับร่างกายกระมัง เจ้ากินข้าวก่อนเถิด วันนี้พี่มีงานมากมายจึงมาบอกเจ้าว่าอย่ารอพี่เข้านอน เพราะพี่อาจจะนอนที่ห้องหนังสือเลย” “เจ้าค่ะ” ฮูหยินน้อยจวนฟ่านคล้ายจะรู้สึกผิดหวัง นางก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อซ่อนแววตาเสียใจ “เช่นนั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ” เขากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่มีท่าทางหยอกเย้าหรือกินเต้าหู้นางเช่นทุกวัน” ‘เขาโกรธอันใดข้าหรือไม่’ ‘หรือเขาเบื่อหน่ายข้าแล้ว จึงพยายามหลีกเลี่ยงเช่นนี้’ หูเซียงเฟยไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นท่าทางเมินเฉยของเขา ในเมื่อเขาบอกว่าอาจจะไม่กลับมา นางจึงถ
“แต่หากเจ้าไม่อยาก...” เขากำลังจะบอกว่าไม่อยากฝืนใจนาง เขามีเวลาเป็นปีที่จะยั่วยวนจนนางหลวมตัวหลวมใจยินดีที่จะเป็นฟ่านฮูหยินตลอดไป “ท่านได้โปรดชี้แนะข้าด้วย” นางรีบกล่าวคล้ายกลัวเขาเข้าใจผิด ที่เขายอมรับข้อเสนอตบแต่งนางเป็นฮูหยินเอกนับว่ามีพระคุณกับนางยิ่งนัก “หากพี่สอน เจ้าจะหาว่าพี่หน้าไม่อายหรือไม่” “ไม่ว่าเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นลองสัมผัสมันดูหรือไม่ ทำความคุ้นเคยกับมันก่อน” น้ำเสียงที่แฝงด้วยยั่วเย้าและแววตาที่ล่อลวงทำให้นางหลวมตัวพยักหน้าตอบรับด้วยใจหนึ่งก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็น แม้ก่อนออกเรือนมารดาจะนำหนังสือปกขาวที่เคยได้รับมามอบให้ แต่ทว่านางลองศึกษาแล้วยังไม่กระจ่างเท่าใด ทราบแต่เพียงว่าครั้งแรกจะเจ็บมากเท่านั้น “เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยสีหน้าเขินอาย แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปจับเจ้าสิ่งนั้นที่คล้ายผงกหัวเรียกนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง” “มันเหมือนมีชีวิตเลยนะเจ้าคะ” “เพราะมันปรารถนาอยากจะปลดปล่อยอย่างไรเล่า” “แล้วยามที่มันแข็งขึงเช่นนี้ ท่านปวดหรือไม่เจ้าคะ”
‘หากเจ้ายอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังตามจริง ข้าอาจจะตบแต่งกับเจ้าตามข้อตกลงก็ได้’ ‘เช่นนั้นเราเปลี่ยนที่สนทนาได้หรือไม่เจ้าคะ’ ‘ย่อมได้’ เขากล่าวพลางวางตะเกียบลง ‘ท่านกินให้อิ่มก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารอได้’ อย่างไรกลับไปก็โดนหาเรื่องอยู่แล้ว หากนางจะกลับช้าอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ‘เช่นนั้นก็รอข้า’ ‘เจ้าค่ะ’ หลังจากย้ายที่สนทนาแล้วนางก็เล่าเรื่องราวที่ตนต้องเข้าร่วมการคัดเลือกนางสนมของฮ่องเต้ ซึ่งพี่สาวที่เข้าเกณฑ์จะต้องเข้าร่วมเช่นกันกับฮูหยินรองที่ยามนี้ทำตัวเช่นฮูหยินเอกกดขี่นางและมารดา พยายามหาบุรุษมีตำหนิมาแต่งกับนางเพื่อจะได้ตัดคู่แข่งในการคัดเลือกนางสนมออกไป ซึ่งตัวหูเซียงเฟยที่ไม่ได้อยากเป็นสนมของฮ่องเต้ จึงคิดเลือกบุรุษสักคนด้วยความคิดที่ว่าหากต้องพลีกายให้กับใครสักคน นางขอเป็นคนเลือกเอง ทว่าสถานที่เลือกบุรุษของนางกลับเป็นร้านบะหมี่ข้างทาง ไม่ใช่โรงเตี๊ยมที่คุณชายมักจะไปนั่งจิบชา ซึ่งนางให้เหตุผลว่าที่มาเลือกบุรุษในที่นี่ก็เพราะ ในสายตานางบะหมี่ร้านนี้รสเลิศกว่าอาหารในโรงเตี๊ยม แต่กลับถ