10กลิ่นเหม็นเปรี้ยวจากชินอ๋องซื่อจื่อ หลังจากเปิดเผยความรู้สึกต่อนางแล้ว สองวันนี้สหายของพี่ชายก็มักแวะเวียนมาบอกให้นางฝันดีทุกค่ำคืน แต่วันนี้ดูเหมือนผู้สูงศักดิ์จะมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นเปรี้ยวราวกับเทน้ำส้มราดตัว “เป็นอันใดหรือเจ้าคะ หน้าตาท่านถึงได้บึ้งตึงเช่นนั้น” นางเอ่ยปากถามเขาด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้ยามเขาแวะเวียนมาบอกฝันดี เขาจะมาพบนางแค่หน้าเรือน มิได้ปีนหน้าต่างเข้ามาเช่นวันนี้ “เรื่องราวระหว่างเจ้าและซิวเมิ่งหยวนแท้จริงเป็นมาอย่างไรกันแน่” วาจาของเขาทำให้นางหุบยิ้มในทันใด เพียงแค่ได้ยินนามของบุรุษผู้นั้นก็พานทำให้นางรู้สึกมีโทสะขึ้นมาอีกแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อต้นยามซื่อ (09.00-10.59) หลังจากรับสำรับเช้าพร้อมหน้าบิดามารดา นางก็นั่งสนทนาอยู่กับมารดาต่อ พี่ใหญ่ก็ไปทำงานต่างเมือง ส่วนสหายของพี่ชายผู้นั้นมาบอกฝันดีพร้อมทั้งบอกว่าจะไปทำงานสักสองสามวันจึงจะกลับมา ด้วยเหตุนี้หลังจากบิดาออกไปทำงานแล้วในจวนฟ่านจึงเหลือเพียงนางและมารดา ‘ฮูหยินขอรับ ซิวซือเย่มาขอพบขอรับ’ คำกล่าวของท่านพ่อบ้านทำให้คุณหนูฟ่านเลิกค
‘เป็นคนต้องรู้จักทดแทนคุณ ท่านมีบุญคุณต่อข้า ข้าจึงไม่อาจเพิกเฉยได้’ น้ำเสียงและวาจาที่เอื้อนเอ่ยดูเป็นสุภาพชน หากนางไม่เคยฝันร้าย คงตกหลุมพรางอย่างง่ายดาย ‘ซิวซือเย่ บางเรื่องท่านปล่อยผ่านไปบ้างก็ได้นะเจ้าคะ มิเช่นนั้นหากยึดติดทุกเรื่องท่านจะใช้ชีวิตลำบาก’ ‘อะแฮ่ม!’ ฟ่านฮูหยินกระแอมไอเพื่อหยุดวาจาเถรตรงของบุตรสาว ‘คุณหนูฟ่านอย่าได้เกรงใจกันเกินไปเลย’ ‘เช่นนั้นข้าขอเอ่ยถามท่านสักประโยคได้หรือไม่’ ‘กล่าวมาเถิดคุณหนูฟ่าน’ ฟ่านฮูหยินปรายตามองบุตรสาวอย่างตักเตือนด้วยกลัวว่านางจะเอ่ยวาจาไม่งาม ‘หากข้ารับม้ามาแล้วบุญคุณระหว่างท่านและข้าก็จะจบสิ้นเช่นกันใช่หรือไม่’ ‘บุญคุณนั้นหาต้องตอบแทนในคราวเดียวไม่’ ก็หมายความว่าเขาก็จะแวะเวียนมาหานางเพื่อตอบแทนบุญคุณเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน ‘เช่นนั้นท่านเอาม้ากลับไปเถิดเจ้าค่ะ’ ‘ข้านำมาแล้ว ไม่คิดนำกลับ’ ‘เช่นนั้นก็ปล่อยไว้ด้านนอกเช่นนั้นเถิดเจ้าค่ะ’ นางไม่อยากสรรหาวาจาที่ฟังแล้วรื่นหูมาสนทนากับอีกฝ่ายแล้ว ดื้อรั้นน
“เจ้าค่ะ หากในวันนั้นข้าเห็นหน้าแล้วทราบว่าเป็นซิวซือเย่ ข้าคงเปลี่ยนใจไม่คิดช่วยเหลือ เขาทำให้ข้ารู้สึกไม่อยากมีจิตเมตตาต่อผู้อื่นแล้ว” “หึ! จวนราชครูเลี้ยงดูบุตรเช่นไร ถึงได้ชอบนำบุญคุณ มาบีบบังคับทำให้ผู้มีพระคุณลำบากใจ” คราวก่อนก็เป็นคนน้องที่พยายามใช้ข้ออ้างเดียวกันเข้าหาเขา ครั้งนี้ยังเป็นคนพี่คิดยุ่งกับสตรีของเขา “ดูเหมือนเราสองคนจะประสบปัญหาเพียงเพราะยื่นมือช่วยเหลือคุณหนูคุณชายตระกูลซิวโดยไม่ได้ตั้งใจเลยนะเจ้าคะ” “อืม...คงเป็นเพราะเรามีวาสนาต้องกันจึงมีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน” “เดี๋ยวนะเจ้าคะ! ท่านมิใช่บอกว่าจะไปทำงานสองสามวันหรือเจ้าคะ” “ย่อมใช่ แต่พี่ร้อนใจเรื่องนี้มากจึงยอมควบม้าไม่หยุดพักกลับจากต่างเมืองเพื่อมาสอบถามเจ้าในเรื่องนี้” เขาปล่อยให้ลูกน้องเฝ้าติดตามบุตรชายของราชเลขาธิการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวคุณหนูในเมืองหลวงและสตรีชาวบ้านรอบ ๆ เมืองหลวง “ท่านควบม้าฝ่าลมหนาวเพื่อมาถามข้าเรื่องซิวซือเย่เพียงอย่างเดียวเนี่ยนะเจ้าคะ” “ย่อมใช่ เพราะเป็นเจ้าพี่ถึงได้ร้อนใจเช่นนี้” หากเป
หลังจากชินอ๋องซื่อจื่อออกจากเรือนของนางไปแล้ว ฟ่านซีอิ๋งก็ได้นั่งยิ้มตามลำพังอยู่พักใหญ่ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบรุ่งเช้า ด้วยเหตุนี้วันต่อมาใต้ตานางถึงได้ดำคล้ำคลายตัวสงเมา เพราะเชือกทำพู่ห้อยกระบี่ให้พี่ใหญ่ไม่พอนางจึงขออนุญาตมารดาออกมาซื้อ แต่ก่อนจะไปตลาดเพื่อซื้อเชือก นางสั่งคนขับรถม้าให้ไปที่อารามทางทิศใต้ของเมืองหลวงซึ่งขึ้นชื่อเรื่องยันต์และเครื่องรางแคล้วคลาดโดยนางจะไปซื้อด้ายมงคลนำมาใส่พู่ห้อยกระบี่ให้พี่ชายด้วย “คุณหนู บ่าวไปสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ ด้ายมงคลที่ช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัยอยู่ทางนั้นเจ้าค่ะ” “อืม” นางตอบรับก่อนจะเดินไปพร้อมกับสาวใช้คนสนิท นอกจากจะซื้อด้ายมงคลแล้วนางจะซื้อเครื่องรางแคล้วคลาดให้สหายของพี่ชายด้วย บริเวณที่ขายเครื่องรางและด้ายมงคลมีคนไม่น้อย ซูฉีที่ทราบดีว่าคุณหนูไม่ชอบอยู่ในที่คนมากจึงอาสาไปซื้อมาให้ “คุณหนูฟ่าน ท่านมาไหว้พระที่นี่เช่นกันหรือ” การปรากฏตัวของคุณชายตระกูลซิวทำให้นางตัวแข็งทื่อ ก่อนจะพยายามซ่อนสีหน้าตกใจเอาไว้อย่างแนบเนียน “คารวะซิวซือเย่” “ตามสบา
11เบื้องหลังของโจวคุนต๋า 1 ด้านคุณหนูฟ่านที่เอาตัวรอดจากบุรุษตระกูลซิวมาได้ ถึงกับทอดถอนใจอย่างไม่คิดรักษากิริยา “พอได้ยินซิวซือเย่กล่าวว่ามีบัณฑิตมาประชันกวีกันอยู่ที่นี่ ข้าก็ภาวนาขอให้เจอท่านจะได้หลีกหนีจากเขาเสียที” “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ชอบซิวซือเย่เอามาก ๆ” “ข้ารู้สึกอึดอัดยามสนทนากับเขา ยิ่งปฏิเสธก็รู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อน ทั้งข้ายังรู้สึกว่าสีหน้าอ่อนโยนเช่นสุภาพชนนั้นเป็นเพียงหน้ากากที่สร้างขึ้นมาหลอกผู้อื่น ในฐานะบัณฑิตท่านอาจจะเลื่อมใสเขาที่เป็นถึงซือเย่ แต่ในฐานะสตรีข้าไม่ชอบบุรุษที่แสร้งแกล้งเป็นคนสุภาพอ่อนโยน” แท้จริงนางนำซิวเมิ่งหยวนที่อยู่ในฝันร้ายกับที่เจอในความเป็นจริงมาเล่ารวม ๆ กัน เพราะลางสังหรณ์นางบอกว่าอีกฝ่ายต้องมีนิสัยเช่นที่นางคิดแน่นอน “เจ้ามองคนได้ทะลุปรุโปร่งเลยทีเดียว อ้อ! แล้วข้าก็ไม่เคยเลื่อมใสซิวซือเย่หรือคนตระกูลซิวเลยแม้แต่คนเดียว” ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกขัดลูกหูลูกตายามเห็นท่าทางแสร้งเป็นคนดีของคนตระกูลซิว “ในภายหน้าท่านต้องได้เป็นขุนนางใหญ่โตแน่นอน” ฉลาด มองคนออกเช่นนี้ เกรงว่าอีกไม
นัยน์ตาคมฉายแววอันตรายทันทีหลังจากลอบฟังสหายตัวน้อยสนทนากับสาวใช้ ไม่ใช่แค่นางที่รับรู้ถึงความผิดปกติได้หรอก แต่เขาก็รับรู้ได้เช่นกัน รถม้าเคลื่อนตัวผ่านตรอกขนาดไม่ใหญ่มากไปอย่างไม่เร่งรีบ หากกลุ่มคนร้ายที่ซุ่มอยู่ลงมือ ผู้คุ้มกันของนางและคนของเขาคงจะเข้าห้ำหั่นในทันที เอ๊ะ! ในหมู่ผู้คุ้มกันของนางมีองครักษ์เงาด้วยหรือ หึหึ...เพียงแค่เฝ้าหมายปองกลับหวงแหนจนส่งหัวหน้าองครักษ์เงามาเฝ้าเลยหรือ บัณฑิตหนุ่มกวาดสายตาที่ฉายแววอันตรายมองไปรอบตัวก่อนจะหยุดแล้วจ้องมองไปยังจุดที่สัมผัสได้ว่ามีคนซุ่มมองอยู่เพื่อคุมเชิง ทว่าสุดท้ายรถม้าที่เขานั่งอยู่ก็ผ่านบริเวณนั้นโดยไม่เกิดเรื่องอันใด อีกฝ่ายคงดูแล้วว่าไม่อาจสู้ไหว จึงปล่อยให้รถม้าตระกูลฟ่านผ่านไปแต่โดยดี เมื่อรถม้าจอดในย่านการค้า ฟ่านซีอิ๋งก็เปลี่ยนเป็นลงเดินโดยมีสหายเดินอยู่เคียงข้าง นางเข้าร้านนั้นออกร้านนี้จนได้ข้าวของที่ต้องการมากมาย และเพื่อตอบแทนสหายนางคิดจะทำถุงใส่เครื่องรางเพื่อมอบให้เขา “ซื้อของครบแล้วเราไปโรงเตี๊ยมซือเช่อกันเถิดคุนต๋า”
ฉับพลันนัยน์ตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าปิ่นที่อยู่ในมือนอกจากจะมีไข่มุกเลือดประดับอยู่ยังมีรูปดอกหมู่ตานสลักซ่อนอยู่ อีกทั้งลวดลายของปิ่นนี้ยังดูอ่อนช้อยคล้ายกับฝีมือของช่างหลวงในวัง “คุนต๋าข้าอยากช่วยเจ้าจริง ๆ นะ” “ปิ่นนี่เจ้าได้มาจากที่ใด” “พี่ชายข้ามอบให้ในวันปักปิ่น” “คุณชายฟ่านน่ะหรือ” จะมีเงินมากพอซื้อไข่มุกเลือดได้อย่างไร ไหนจะเรียกใช้งานช่างของวังหลวงอีก เกรงว่าฟ่านไห่ถิงคงถูกสหายสูงศักดิ์ผู้นั้นใช้เล่ห์กลบางอย่างเพื่อให้มอบปิ่นแทนใจนี้ให้สตรีที่หมายปอง “คุนต๋าส่งปิ่นมาให้ข้าเถิด ข้าเพียงแต่จะนำมันวางไว้เพื่อเป็นการรับประกันว่าเจ้าจะได้เข้าพักที่นี่ เจ้าเป็นสหายของข้า สหายกำลังลำบากข้าจะไม่ช่วยได้อย่างไร” “เสี่ยวเอ้อร์ออกไปก่อน” บัณฑิตหนุ่มโบกมือไล่คนของโรงเตี๊ยมก่อนจะหันมาเอ่ยวาจากับนางยืดยาว “ซีอิ๋ง ข้าขอบคุณในน้ำใจของเจ้าที่มีใจอยากช่วยเหลือบัณฑิตยากจนเช่นข้า แต่การที่ตัวข้านั้นอาศัยนอนจวนสหาย ข้าไม่ได้ลำบากอันใดเลย ส่วนหนึ่งก็เพราะบิดามารดาของสหายอยากให้ข้าร่วมอ
“ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าคุ้นชินกับการนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะใกล้น้องสาว เพราะจะได้สะดวกยามคีบอาหารให้นาง รบกวนบัณฑิตโจวย้ายไปนั่งด้านโน้น” เป็นฟ่านไห่ถิงเอ่ยปากไล่อีกฝ่าย ส่วนชินอ๋องซื่อจื่อก็ทรุดตัวนั่งเก้าอี้ด้านข้างนางที่ว่างอยู่ “พี่ใหญ่อย่าเสียมารยาทกับสหายข้าสิเจ้าคะ” นางเอ่ยห้ามปรามพี่ใหญ่ที่หวงแหนน้องสาวก่อนจะหันไปส่งยิ้มขอโทษให้สหาย “มิเป็นไรซีอิ๋ง เขาเป็นพี่ชายของเจ้าข้าย่อมไม่ถือสา” กล่าวจบก็ยอมย้ายที่นั่ง “ซีอิ๋ง สาวใช้ของเจ้าอยู่ที่ใด เหตุใดถึงได้มานั่งกินข้าวอยู่กับบุรุษสองต่อสอง” คังซืออี้กล่าวก่อนจะใช้ตะเกียบของนางคีบเสี่ยวหลงเปามากิน “ซูฉีนำของไปเก็บที่รถม้าให้ข้าเจ้าค่ะ พี่ซืออี้ตะเกียบนั่นข้าใช้แล้ว ประเดี๋ยวข้าจะไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้นำมาเพิ่มให้ท่านกับพี่ใหญ่” แม้นางจะใช้เพียงครั้งเดียวก็เถิด แต่อย่างไรก็ไม่เหมาะสม “ขอบคุณซีอิ๋ง” เขาตอบรับแต่เมื่อสตรีที่ตนพึงใจลุกจากโต๊ะไป เหนือโต๊ะก็คล้ายถูกพายุสีดำทะมึนปกคลุม คุณชายใหญ่ฟ่านผู้หวงแหนน้องสาวและสหายผู้หวงแหนสตรีตัวน้อยจ้องมองบัณฑิตหนุ่มตาเขม็ง
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว
“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” นางถามไถ่เขาเช่นนี้ทุกวัน นางช่างเป็นสตรีที่น่าอิจฉา ครอบครัวของสามีดีกับนางเหลือเกิน สามีหรือก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นบุรุษมักมากพร้อมรับสตรีเข้าเรือนมากมาย ทำให้นางยิ่งสำนึกในบุญคุณของเขา จึงพยายามปรนนิบัติดูแลเขาให้ดีที่สุด “เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง” “เช่นนั้นไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนกินข้าวดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ อาบน้ำร้อนทุกวันไม่ดีกับร่างกายกระมัง เจ้ากินข้าวก่อนเถิด วันนี้พี่มีงานมากมายจึงมาบอกเจ้าว่าอย่ารอพี่เข้านอน เพราะพี่อาจจะนอนที่ห้องหนังสือเลย” “เจ้าค่ะ” ฮูหยินน้อยจวนฟ่านคล้ายจะรู้สึกผิดหวัง นางก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อซ่อนแววตาเสียใจ “เช่นนั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ” เขากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่มีท่าทางหยอกเย้าหรือกินเต้าหู้นางเช่นทุกวัน” ‘เขาโกรธอันใดข้าหรือไม่’ ‘หรือเขาเบื่อหน่ายข้าแล้ว จึงพยายามหลีกเลี่ยงเช่นนี้’ หูเซียงเฟยไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นท่าทางเมินเฉยของเขา ในเมื่อเขาบอกว่าอาจจะไม่กลับมา นางจึงถ
“แต่หากเจ้าไม่อยาก...” เขากำลังจะบอกว่าไม่อยากฝืนใจนาง เขามีเวลาเป็นปีที่จะยั่วยวนจนนางหลวมตัวหลวมใจยินดีที่จะเป็นฟ่านฮูหยินตลอดไป “ท่านได้โปรดชี้แนะข้าด้วย” นางรีบกล่าวคล้ายกลัวเขาเข้าใจผิด ที่เขายอมรับข้อเสนอตบแต่งนางเป็นฮูหยินเอกนับว่ามีพระคุณกับนางยิ่งนัก “หากพี่สอน เจ้าจะหาว่าพี่หน้าไม่อายหรือไม่” “ไม่ว่าเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นลองสัมผัสมันดูหรือไม่ ทำความคุ้นเคยกับมันก่อน” น้ำเสียงที่แฝงด้วยยั่วเย้าและแววตาที่ล่อลวงทำให้นางหลวมตัวพยักหน้าตอบรับด้วยใจหนึ่งก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็น แม้ก่อนออกเรือนมารดาจะนำหนังสือปกขาวที่เคยได้รับมามอบให้ แต่ทว่านางลองศึกษาแล้วยังไม่กระจ่างเท่าใด ทราบแต่เพียงว่าครั้งแรกจะเจ็บมากเท่านั้น “เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยสีหน้าเขินอาย แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปจับเจ้าสิ่งนั้นที่คล้ายผงกหัวเรียกนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง” “มันเหมือนมีชีวิตเลยนะเจ้าคะ” “เพราะมันปรารถนาอยากจะปลดปล่อยอย่างไรเล่า” “แล้วยามที่มันแข็งขึงเช่นนี้ ท่านปวดหรือไม่เจ้าคะ”
‘หากเจ้ายอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังตามจริง ข้าอาจจะตบแต่งกับเจ้าตามข้อตกลงก็ได้’ ‘เช่นนั้นเราเปลี่ยนที่สนทนาได้หรือไม่เจ้าคะ’ ‘ย่อมได้’ เขากล่าวพลางวางตะเกียบลง ‘ท่านกินให้อิ่มก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารอได้’ อย่างไรกลับไปก็โดนหาเรื่องอยู่แล้ว หากนางจะกลับช้าอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ‘เช่นนั้นก็รอข้า’ ‘เจ้าค่ะ’ หลังจากย้ายที่สนทนาแล้วนางก็เล่าเรื่องราวที่ตนต้องเข้าร่วมการคัดเลือกนางสนมของฮ่องเต้ ซึ่งพี่สาวที่เข้าเกณฑ์จะต้องเข้าร่วมเช่นกันกับฮูหยินรองที่ยามนี้ทำตัวเช่นฮูหยินเอกกดขี่นางและมารดา พยายามหาบุรุษมีตำหนิมาแต่งกับนางเพื่อจะได้ตัดคู่แข่งในการคัดเลือกนางสนมออกไป ซึ่งตัวหูเซียงเฟยที่ไม่ได้อยากเป็นสนมของฮ่องเต้ จึงคิดเลือกบุรุษสักคนด้วยความคิดที่ว่าหากต้องพลีกายให้กับใครสักคน นางขอเป็นคนเลือกเอง ทว่าสถานที่เลือกบุรุษของนางกลับเป็นร้านบะหมี่ข้างทาง ไม่ใช่โรงเตี๊ยมที่คุณชายมักจะไปนั่งจิบชา ซึ่งนางให้เหตุผลว่าที่มาเลือกบุรุษในที่นี่ก็เพราะ ในสายตานางบะหมี่ร้านนี้รสเลิศกว่าอาหารในโรงเตี๊ยม แต่กลับถ