สองวันมานี้นางปวดหัวยิ่งนัก กว่าจะได้กินก็ต้องนั่งมองทั้งสองแย่งกันป้อนข้าวนาง ทั้งที่นางบอกแล้วว่าไม่ได้เจ็บที่มือก็ไม่มีใครสนใจเอาแต่แย่งกันคีบอาหารมาจ่อปากนาง ตอนกินยาก็แย่งกันเป่า จนมีอยู่ครั้งหนึ่งทำถ้วยยาร่วงตกแตก ไหนจะตอนนอนกว่าจะลากกันออกจากห้องไปได้ ก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วยาม พี่ใหญ่หรือก็หวงแหนน้องสาวยิ่งนัก ส่วนชินอ๋องซื่อจื่อ ก็ชอบกลั่นแกล้ง จุมพิตแก้ม จุมพิตหน้าผาก กินเต้าหู้นางต่อหน้าพี่ใหญ่คล้ายยั่วยุ “เช่นนั้นเจ้านอนเอนหลังตามสบาย พี่กับซืออี้จะไปนั่งสนทนากันด้านนอกดีหรือไม่” “...” ฟ่านซีอิ๋งเอนหลังนอนบนเตียงคล้ายกับไม่สนใจพี่ชายและสหาย เมื่อบุรุษทั้งสองเห็นท่าทางเมินเฉยของสตรีตัวน้อย จึงรีบลากกันออกไปนอกห้อง สุดท้ายก็ไปนั่งสนทนาหารือกันที่ห้องหนังสือแทน “เห็นหรือไม่ เพราะเจ้า ซีอิ๋งถึงได้โกรธข้า” “ข้าหวงน้องสาวผิดที่ใดกัน” ฟ่านไห่ถิงไม่ยอมให้อีกฝ่ายกล่าวโทษเพียงฝ่ายเดียว “ผิดตรงที่นางปักปิ่นแล้ว นางเป็นสตรีพร้อมออกเรือน ต่อให้เจ้าหวงแหนนางอย่างไรก็ต้องไว้หน้าน้องเข
“คราวนี้เราก็ได้อยู่ด้วยกันเพียงสองคนแล้วนะซีอิ๋ง” คังซืออี้ยิ้มก่อนจะปิดสมุดบัญชีของร้านที่เมื่อครู่แสร้งเปิดอ่านยามสนทนากับสหาย หลังจากฟ่านไห่ถิงกลับไปแล้ว ชินอ๋องซื่อจื่อก็ไม่รอช้าที่จะกลับไปหาน้องน้อย เขากวาดสายตามองหาสตรีตัวเล็กไปทั่วห้องจึงได้เห็นว่านางนอนหลับอยู่บนเตียงของเขา ใช่แล้ว! เตียงที่นางนอน ห้องที่นางอยู่ เป็นห้องที่เขาอยู่ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เรือนที่นางอยู่ก็เป็นเรือนส่วนตัวของเขาเพราะเช่นนี้ นางกำนัล ขันทีและทหารยามในตำหนักอ๋องจึงเอ่ยปากเรียกฟ่านซีอิ๋งว่าพระชายาโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยวาจา “ซีอิ๋ง เจ้ารู้หรือไม่พี่นั้นเป็นคนโลภมากและใจร้อน พอได้เห็นเจ้านอนอยู่บนเตียงของพี่เช่นนี้ พี่ก็ปรารถนาอยากจะรีบส่งแม่สื่อไปที่จวนฟ่านเพื่อแลกเปลี่ยนเทียบชะตาและตบแต่งเจ้าเข้าตำหนัก พี่ไม่อยากให้เจ้าอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวเช่นในตอนนี้ แต่อยากให้เจ้านอนหลับบนเตียงเคียงข้างพี่เช่นนี้ตลอดไป” “...” “พี่จะเข้าข้างตนเองแล้วใช้โอกาสที่เจ้ากำลังหลับถือเป็นการตอบรับได้หรือไม่” กล่าวจบก็กดริมฝีปากลงบนแก้มเนียน แต่พอผละออกห่า
พรึ่บ! แต่ฟ่านซีอิ๋งกลับทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง คือนางพลิกตัวขึ้นคร่อมบนตัวเขา มือเนียนนุ่มทั้งสองของนางจับมือของเขาเอาไว้ก่อนจะดันขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้คังซืออี้คล้ายกับถูกสตรีตัวน้อยตรึงเอาไว้บนเตียง “ท่านจะให้ข้าจุมพิตตรงนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” กล่าวจบนางก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้แล้วกดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาข้างหนึ่งก่อนจะผละออก “อืม” “แล้วก็ตรงนี้อีกใช่หรือไม่เจ้าคะ” “อืม” “อีกที่คล้ายจะเป็นตรงนี้” นางกดริมฝีปากลงบนหน้าผากเขาครั้งนี้คล้ายจะเนิ่นนานกว่ายามจุมพิตที่แก้ม “ชื่นใจยิ่งนัก” คังซืออี้กล่าวดวงตาที่จับจ้องสตรีตรงหน้าพราวระยับยิ่งกว่าดวงดาวนับพัน “แต่หวังว่าท่านจะไม่โกรธเคืองหากข้าจะเพิ่มให้ท่านอีกที่หนึ่ง” กล่าวจบฟ่านซีอิ๋งยิ้มอย่างซุกซนก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากของเขา ลิ้นเรียวเล็กพยายามบดเบียดเพื่อบุกรุกเข้าไปภายในโพรงปากนุ่มซึ่งบุรุษที่ถูกตรึงอยู่ใต้ร่างในคราแรกคล้ายจะตกตะลึงอยู่บ้างแต่สุดท้ายดวงตาก็เปลี่ยนเป็นหวานล้ำแล้วตอบรับการหยอกเย้าของเรียวลิ้นเล็กแต่โดยดี เมื่อรู้
“แต่ท่านที่รักและจริงใจกับข้าย่อมเฝ้ารอได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” กล่าวจบนางก็หยอกเย้าเขาด้วยการจุมพิตที่แก้มสากไปหนึ่งครั้ง จะได้ลุ่มหลงนางยากจะเปลี่ยนใจ บนแผ่นดินนี้มีสตรีใดบ้างไม่อยากให้สามีลุ่มหลงตนเองแต่เพียงผู้เดียว “หากเจ้าต้องการพี่ย่อมตามใจ เช่นนั้นเมื่อผ่านพ้นงานเลี้ยงของไห่ถิงพี่จะส่งแม่สื่อพร้อมสินสอดไปเยือนจวนฟ่านทันที” “ขอบคุณเจ้าค่ะที่ท่านตามใจข้า” “พี่ทำดีเช่นนี้ ขอรางวัลอีกครั้งได้หรือไม่” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มเขินอายก่อนจะถูกคังซืออี้รวบตัวเข้าสู่อ้อมกอด เขาใช้มือข้างที่ว่างยึดคางมนเอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปาก ลิ้นร้อนบุกรุกลิ้มรสหวานของโพรงปากนุ่ม การโต้ตอบอย่างไม่ประสาทำให้ความปรารถนาของเขามากล้น “พี่มัดจำเจ้าเอาไว้ก่อน เมื่อถึงคืนเข้าหอพี่จะมาทวงคืนอย่างทบต้นทบดอก” เขากล่าวหลังพยายามตัดใจผละออกห่าง “...” ฟ่านซีอิ๋งไร้วาจาจะเอ่ย ยามนี้นางเขินอายจนแทบไม่กล้าสู้หน้าเขาแล้ว เพราะเมื่อครู่นางคล้ายจะเผลอส่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ จุมพิตของเขาช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว “อยาก
19จบสิ้นแผนการเลิกเป็นต้วนซิ่ว ปลายรัชศกหยางอันที่ยี่สิบห้า แม่ทัพของแผ่นดินเจียงลู่เป่านำกำลังเข้าทำลายกองกำลังลับที่เมืองจินเซ่อโดยมีชินอ๋องซื่อจื่อเป็นตัวแทนองค์รัชทายาทเข้าร่วมกระทำการด้วย นอกจากจะจับกุมองค์ชายรองที่กำลังวางแผนเข้าโจมตีเมืองหลวงแล้ว ยังพบเจอชายารองซิวที่เพิ่งแต่งเข้าตำหนักองค์ชายรองกำลังถูกเหล่าบุรุษในกองกำลังลับร่วมรักหมู่ เมื่อช่วยเหลือออกมาซิวลู่หลินก็เอาแต่กรีดร้องโวยวายคล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ปากก็ก่นด่าองค์ชายรองว่าชั่วช้า ส่งคุณหนูสูงศักดิ์เช่นตนไปบำเรอให้กับพวกทหารเดนตายในกองกำลังลับ คนในกองกำลังลับถูกจับตายเป็นส่วนใหญ่ เหลือรอดไว้เพียงสองคนเพื่อนำไปสอบสวนต่อหน้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้รู้สึกโศกเศร้าเสียพระทัยยิ่งนัก ในสิ่งที่โอรสทำลงไป แม้จะไม่ได้มีใจเอ็นดูเพราะไม่ได้เกิดจากสตรีที่รักใคร่ แต่ก็ไม่ได้อยากให้ตายตกไปเช่นนี้ อย่างไรก็หวังให้โอรสและธิดาทุกคนมีความสุขไร้ทุกข์ แต่ไม่คิดว่าโอรสองค์รองจะทะเยอทะยานคาดหวังในสิ่งที่ตนไม่สมควรได้รับ ที่ผ่านมาแม้จะต้องดูแลอาณาประชาราษฎร์แต่ในฐานะบิดาใช่ว่าเขาจะมองไม่ออกหรือ
งานเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทำให้เมืองหลวงของแคว้นต้าเหลียงคราคร่ำไปด้วยผู้คน ทั่วทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวงต่างพากันประดับโคมไฟทำให้ดูคึกคักยิ่งนัก หลังจากต้องอยู่แต่ในจวนนานถึงสิบสองวัน ยามนี้สถานการณ์ด้านนอกสงบแล้ว วันนี้คุณหนูฟ่านจึงขออนุญาตมารดาออกมาซื้อของในตลาดหวังจะส่งจดหมายนัดเจอสหาย “คุณหนู ท่านเตรียมของขวัญเอาไว้ให้คุณชายใหญ่แล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดถึงมาที่ร้านเหิงจื้อ” “ข้าอยากนัดพบเจอสหาย ไม่ได้พบเจอกันนาน ไม่รู้เขายังปลอดภัยดีหรือไม่” นางอยากสอบถามเขาถึงเรื่องการสอบ ทั้งยังอยากพบเจอเพื่อมอบถุงเครื่องรางที่นางปักให้แก่สหายคนแรกของนาง ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องวุ่นวายในเมืองหลวง บัณฑิตหลายคนที่ถูกซิวซือเย่กับราชครูวางตัวเข้าเป็นผู้ช่วยในแต่ละกรมกองต่างถูกลงโทษจนหมดสิ้น ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกเป็นห่วงสหายผู้นั้น “คุณหนู ท่านมีสหายด้วยหรือเจ้าคะ” ซูฉีทำหน้างุนงง แม้แต่จะก้าวออกจากจวนคุณหนูของนางก็ทำมันน้อยครั้ง แล้วจะมีสหายนอกจวนได้อย่างไร “ข้าไม่ใช่สตรีนิสัยย่ำแย่จนไม่มีใครค
“คิดถึงพี่หรือไม่” เขาเอ่ยถามเสียงอ่อนลงจากที่คิดจะต่อว่านางสักเล็กน้อยที่เดินเหม่อลอยเช่นนั้นหวังจะได้ลงโทษด้วยการกินเต้าหู้นาง “ย่อมคิดถึงเจ้าค่ะ ท่านปลอดภัยดีหรือไม่” นางกล่าวพลางดันตัวออกห่างเขาก่อนจะยืนนิ่งเพื่อกวาดตามองสำรวจเขา “พี่ปลอดภัยดี พี่ก็คิดถึงเจ้ายิ่งนัก” ความห่วงใยของนางทำให้เขารู้สึกหวานล้ำในใจยิ่งนัก “ท่านกลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อใดเจ้าคะ พี่ไห่ถิงเล่าเป็นเช่นใดบ้าง” “พี่กับไห่ถิงเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อครู่ พอเห็นเจ้าเดินเหม่อลอยอยู่ พี่จึงให้ไห่ถิงกลับจวนฟ่านไปก่อน ส่วนพี่ก็รีบมาหาเจ้า” “เป็นเช่นนั้นเอง” เขาและพี่ใหญ่ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว “ตำหนักอ๋องกำลังจะรื้อสวนแล้วปลูกดอกไม้ใหม่ เจ้าไปช่วยพี่ดูสักหน่อยดีหรือไม่ อย่างไรวันหน้าที่นั่นก็จะกลายเป็นตำหนักของเจ้า” “ข้าควรไปดีหรือไม่กันนะ” “ควรไป สวนจะได้ออกมาสวยถูกใจเจ้า” “เช่นนั้นไปก็ได้เจ้าค่ะ แต่ต้องเป็นหลังจากที่ข้าไปหาซูฉีที่โรงเตี๊ยมหนานเหิงแล้ว ข้าให้นางไปซื้อเสี่ยวหลงเปามาให้” “เ
“ข้าขอโทษที่เคยหลอกลวง เล่นงิ้วตบตาพวกท่าน จนทำให้พวกท่านเข้าใจผิดว่าข้าเป็นต้วนซิ่ว” “ไม่เป็นไร แม่เข้าใจ...เจ้าว่าอันใดกัน! เจ้าบอกว่าเป็นข้ากับบิดาเจ้าเข้าใจผิด” “ขอรับ ที่ข้าต้องเป็นต้วนซิ่ว เพื่อจะได้เข้าใกล้องค์ชายรองที่เป็นต้วนซิ่วโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว ข้าที่รูปงามเกินไปจึงต้องเล่นงิ้วฉากใหญ่ แต่เพราะนี่เป็นเรื่องที่เดิมพันด้วยบัลลังก์มังกร ข้าจึงไม่อยากให้พวกท่านมาเสี่ยงอันตรายด้วยจึงไม่ได้บอก และการจะหลอกผู้อื่นให้ได้ ควรต้องทำให้คนใกล้ตัวหลงเชื่อก่อน ด้วยเหตุนี้ ที่ผ่านมาข้าจึงต้องแสร้งเป็นต้วนซิ่ว” “ที่เจ้าเอ่ยมาเป็นเรื่องจริงหรือ” เจ้ากรมยุติธรรมคล้ายจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ขอรับ บัดนี้จบเรื่องแล้วข้าจึงอยากบอกกล่าวความจริงให้พวกท่านได้คลายกังวล อีกไม่นานซีอิ๋งก็จะต้องแต่งกับซืออี้ ข้าคงต้องหาสตรีสักคนมาแต่งด้วยแล้ว” “ดียิ่ง เจ้าทำดีแล้ว พ่อดีใจจริง ๆ ที่ได้ยินเช่นนี้” เรื่องบุตรสาวหลังจากได้ยินฮูหยินเคียงหมอนเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมทั้งชี้แจงข้อดีของชินอ๋องซื่อจื่อ ฟ่านเฉียนจึงคล้ายจะยินยอมโด
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว
“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” นางถามไถ่เขาเช่นนี้ทุกวัน นางช่างเป็นสตรีที่น่าอิจฉา ครอบครัวของสามีดีกับนางเหลือเกิน สามีหรือก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นบุรุษมักมากพร้อมรับสตรีเข้าเรือนมากมาย ทำให้นางยิ่งสำนึกในบุญคุณของเขา จึงพยายามปรนนิบัติดูแลเขาให้ดีที่สุด “เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง” “เช่นนั้นไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนกินข้าวดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ อาบน้ำร้อนทุกวันไม่ดีกับร่างกายกระมัง เจ้ากินข้าวก่อนเถิด วันนี้พี่มีงานมากมายจึงมาบอกเจ้าว่าอย่ารอพี่เข้านอน เพราะพี่อาจจะนอนที่ห้องหนังสือเลย” “เจ้าค่ะ” ฮูหยินน้อยจวนฟ่านคล้ายจะรู้สึกผิดหวัง นางก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อซ่อนแววตาเสียใจ “เช่นนั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ” เขากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่มีท่าทางหยอกเย้าหรือกินเต้าหู้นางเช่นทุกวัน” ‘เขาโกรธอันใดข้าหรือไม่’ ‘หรือเขาเบื่อหน่ายข้าแล้ว จึงพยายามหลีกเลี่ยงเช่นนี้’ หูเซียงเฟยไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นท่าทางเมินเฉยของเขา ในเมื่อเขาบอกว่าอาจจะไม่กลับมา นางจึงถ
“แต่หากเจ้าไม่อยาก...” เขากำลังจะบอกว่าไม่อยากฝืนใจนาง เขามีเวลาเป็นปีที่จะยั่วยวนจนนางหลวมตัวหลวมใจยินดีที่จะเป็นฟ่านฮูหยินตลอดไป “ท่านได้โปรดชี้แนะข้าด้วย” นางรีบกล่าวคล้ายกลัวเขาเข้าใจผิด ที่เขายอมรับข้อเสนอตบแต่งนางเป็นฮูหยินเอกนับว่ามีพระคุณกับนางยิ่งนัก “หากพี่สอน เจ้าจะหาว่าพี่หน้าไม่อายหรือไม่” “ไม่ว่าเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นลองสัมผัสมันดูหรือไม่ ทำความคุ้นเคยกับมันก่อน” น้ำเสียงที่แฝงด้วยยั่วเย้าและแววตาที่ล่อลวงทำให้นางหลวมตัวพยักหน้าตอบรับด้วยใจหนึ่งก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็น แม้ก่อนออกเรือนมารดาจะนำหนังสือปกขาวที่เคยได้รับมามอบให้ แต่ทว่านางลองศึกษาแล้วยังไม่กระจ่างเท่าใด ทราบแต่เพียงว่าครั้งแรกจะเจ็บมากเท่านั้น “เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยสีหน้าเขินอาย แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปจับเจ้าสิ่งนั้นที่คล้ายผงกหัวเรียกนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง” “มันเหมือนมีชีวิตเลยนะเจ้าคะ” “เพราะมันปรารถนาอยากจะปลดปล่อยอย่างไรเล่า” “แล้วยามที่มันแข็งขึงเช่นนี้ ท่านปวดหรือไม่เจ้าคะ”
‘หากเจ้ายอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังตามจริง ข้าอาจจะตบแต่งกับเจ้าตามข้อตกลงก็ได้’ ‘เช่นนั้นเราเปลี่ยนที่สนทนาได้หรือไม่เจ้าคะ’ ‘ย่อมได้’ เขากล่าวพลางวางตะเกียบลง ‘ท่านกินให้อิ่มก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารอได้’ อย่างไรกลับไปก็โดนหาเรื่องอยู่แล้ว หากนางจะกลับช้าอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ‘เช่นนั้นก็รอข้า’ ‘เจ้าค่ะ’ หลังจากย้ายที่สนทนาแล้วนางก็เล่าเรื่องราวที่ตนต้องเข้าร่วมการคัดเลือกนางสนมของฮ่องเต้ ซึ่งพี่สาวที่เข้าเกณฑ์จะต้องเข้าร่วมเช่นกันกับฮูหยินรองที่ยามนี้ทำตัวเช่นฮูหยินเอกกดขี่นางและมารดา พยายามหาบุรุษมีตำหนิมาแต่งกับนางเพื่อจะได้ตัดคู่แข่งในการคัดเลือกนางสนมออกไป ซึ่งตัวหูเซียงเฟยที่ไม่ได้อยากเป็นสนมของฮ่องเต้ จึงคิดเลือกบุรุษสักคนด้วยความคิดที่ว่าหากต้องพลีกายให้กับใครสักคน นางขอเป็นคนเลือกเอง ทว่าสถานที่เลือกบุรุษของนางกลับเป็นร้านบะหมี่ข้างทาง ไม่ใช่โรงเตี๊ยมที่คุณชายมักจะไปนั่งจิบชา ซึ่งนางให้เหตุผลว่าที่มาเลือกบุรุษในที่นี่ก็เพราะ ในสายตานางบะหมี่ร้านนี้รสเลิศกว่าอาหารในโรงเตี๊ยม แต่กลับถ