“เออ เห็นด้วย” เสียงของศิรดาเอ่ยสมบท ทั้งสองคนนั่งคิดหาทางออก เด็กต้องเอาไว้แน่นอน แต่จะให้ภัทรานิษฐ์อยู่ที่ทาวน์โฮมคนเดียวตอนท้องแบบนี้คงไม่สะดวกแน่นอน และถ้าพวกเธอจะมาอยู่ด้วยก็คงไม่ได้อีกนั่นแหละ
“ฝน บ้านที่ม๊าแกปล่อยให้เช่า ว่างอยู่ไหม” คำถามของลักขณาทำให้ศิรดาสงสัย แต่สำหรับลักขณาเรื่องที่อยู่ต้องให้คุณหนูอย่างศิรดาเข้ามาช่วย เพราะบ้านของศิรดาเป็นเจ้าของธุรกิจบ่อพลอยที่เมืองกาญ ฐานะมั่นคงแถมแม่ของเพื่อนคนนี้ยังชอบซื้อบ้านไว้ปล่อยเช่าอีกต่างหาก “บ้านเช่าเหรอ ขอไปถามม๊าก่อนนะ เพราะเรื่องนี้ฉันไม่รู้ว่ะแกจะเอาไปทำอะไร” “จะให้ยายหวาไปอยู่ ท้องอยู่แบบนี้เดินขึ้นลงบ้านเกือบห้าชั้น อันตราย” “เดี๋ยวถามม๊าให้ ตอนนี้เลยแล้วกัน” ศิรดาหยิบโทรศัพท์โทรออกไปหาแม่ทันที ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาพร้อมรอยยิ้มที่ลักขณารู้ว่านั่นคือคำตอบว่าพอจะมีบ้านว่างอยู่ “มีใช่ไหม”“อืม หมู่บ้านแถวนี้พอดี แต่ค่าเช่าสูงมากเดือนเกือบแสน เพราะม๊าให้ฝรั่งเช่าอยู่ แต่จะหมดสัญญาสิ้นเดื“ไม่มีคำว่าแต่” เสียงของลักขณาดังขึ้น สองต่อหนึ่งเสียงมีหรือที่ภัทรานิษฐ์จะค้านได้ แม้จะอยากค้านให้หัวชนฝาก็ตามที“ตามใจ พวกแกสองคนเป็นแม่ของเด็กคนนี้แล้วนี่ให้ทำไงได้ แต่ฉันจะอยู่จนถึงวันคลอดเท่านั้น หลังจากนั้นจะกลับมาอยู่ที่นี่”“ได้” ศิรดาเอ่ยรับ ก่อนจะลงไปชั้นล่างเพื่อเปิดร้านให้ภัทรานิษฐ์ เนื่องจากวันนี้ว่าที่คุณแม่คงต้องพักเสียหน่อย“ฝนเราเหมือนกำลังจะพรากแม่พรากลูกแบบนี้ จะดีหรือวะแก” คนเจ้าความคิดที่จะรับลูกของภัทรานิษฐ์มาเป็นลูกตัวเอง ชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือผิดกันแน่“ไม่ได้พราก แกเชื่อไหมว่าถ้าเราสามารถทำให้ยายหวาเอาเด็กไว้ได้ จนคลอดและเลี้ยงดูเขา สายใยของคำว่าแม่ลูกมันจะเกี่ยวรัดทั้งสองให้ผูกพันธุ์กันไปจนวันตาย ตัดยังไงก็ตัดไม่ขาด เวลานี้ยายหวาอาจจะไม่รักลูกในท้องมาก จนมีความคิดอยากทำแท้ง แต่ตลอดเจ็ดเดือนต่อจากนี้ตอนที่หวาอุ้มท้อง ฉันคิดว่าหวาคือคนที่จะรักลูกมากที่สุดและจะเป็นแม่ที่ดีได้ เพราะไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูก จริงไหม ถ้าไม่รักป่านนี้ยายหวาหนีฉันกับแกไปเอาเด็กออกแล้ว ที่สำคั
3 ปี ผ่านไปภัทรานิษฐ์เติบโตขึ้นและผ่านเรื่องราวที่ยากลำบากมาหลายอย่าง แต่สิ่งที่พบเจอกลับทำยิ่งส่งให้เธอนั้นเข้มแข็ง หญิงสาวกำลังขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อรับใครบางคน ทุกวันนี้เธอแทบไม่ร้องไห้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอีกแล้ว เธอสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและเข้มแข็งขึ้นมาก รถคันใหญ่เลี้ยวเข้าไปจอดยังลานจอดรถ ก่อนจะเปิดประตูลงไปมองหาคนที่เธอจะมารับ“แม่จ๋า” เสียงเจื้อยแจ้วสดใสของเด็กหญิงพลอยไพลินเอ่ยเรียกผู้เป็นแม่ ดังมาตั้งแต่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล ที่เด็กหญิงตัวน้อยเข้าเรียนที่นี่ได้มาเกือบสี่เดือน มือน้อยๆ ที่จับมือของครู่ใหญ่อยู่รีบปล่อยมือนั้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแม่ทันที“จ๋าลูก” ภัทรานิษฐ์ลงไปนั่งคุกเข่า พร้อมอ้าแขนรับลูกสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะหอมแก้มซ้ายที ขวาทีอย่างรักใคร่ พร้อมรับเด็กหญิงกลับบ้านแล้ว“แม่จ๋า คิดถึงน้องพลอยไหมคะ” ความช่างพูดและออดอ้อนเก่ง ทำให้ภัทรานิษฐ์หลงลูกสาวคนนี้หัวปักหัวปำ หลงมากกว่าลักขณาและศิรดาด้วยซ้ำ“คิดถึงสิคะ วันนี้ลูกแม่ซนหรือเปล่า”
“หิวหรือยัง วันนี้มีขนมเยอะเลย ของโปรดของน้องพลอยทั้งนั้น” ลักขณาเอ่ยถามลูกสาวบุญธรรมตัวน้อยของเธอ ก่อนที่เสียงใสๆ ของพลอยไพลินจะเอ่ยบอก“หิวค่ะ”“ฝากด้วยนะเก๋” ภัทรานิษฐ์เอ่ยบอกเพื่อน เพราะตลอดทางที่กลับบ้านพลอยไพลินนั้นเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้คนเป็นแม่ฟังอย่างสนุกสนาน แถมยังร้องเพลงให้ฟังด้วย เนื่องจากที่ห้องเรียนในวันนี้คุณครูสอนร้องเพลงใหม่ๆ ร้องชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่ภัทรานิษฐ์ก็ยิ้มกับพัฒนาการของลูก“สบายมาก” แม่บุญธรรมที่ชื่อลักขณาเอ่ยรับ ก่อนจะอุ้มพลอยไพลินเข้าไปในบ้าน ภัทรานิษฐ์หันไปมองหน้าศิรดา ก่อนจะเดินเข้าบ้าน ทิ้งตัวลงบนโซฟา ซึ่งศิรดาก็ลงไปนั่งข้างๆ เหมือนกัน ท่าทางของภัทรานิษฐ์ดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้งานที่ร้านเวดดิ้งค่อนข้างยุ่งทีเดียว ผ่านมาหลายปีเธอขยับขยายร้านออกไปกว้างขวางขึ้น ลูกน้องก็มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนตามขนาดของงานการดีลงานกับโรงแรมเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงาน โรงพิมพ์ โรงงานหรือบริษัทต่างๆ เรื่องของชำร่วย งานพวกนี้มันเหนื่อยใช่เล่นแต่ก็คุ้มกับความพอใจของลูกค้าที่เพิ่มมากข
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วพลอยไพลินก็ได้เวลาโชว์เพลงใหม่ให้คุณแม่อีกคนได้ดูว่าวันนี้ที่โรงเรียนสอนอะไรมาบ้าง เพราะเธอ ลักขณาและศิรดามักจะถามทุกวันว่าลูกสาวตัวน้อยไปโรงเรียนสนุกไหม ซึ่งคำตอบที่ได้คือสนุก ผิดกับวันแรกที่ต้องไปโรงเรียน เพราะวันนั้นภัทรานิษฐ์จำได้ว่าลูกสาวร้องไห้โยเย ไม่ยอมท่าเดียว แถมยังกอดเธอเอาไว้แน่น ทำเอาคนเป็นแม่ไม่รู้จะทำยังไง แต่ก็ได้ศุภวุฒิครูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลมาช่วยไว้“เต้นแบบนี้เหรอคะ” ลักขณาเอ่ยถามว่าท่าทางของเธอตอนนี้ทำถูกไหม เพราะพลอยไพลินบอกให้เธอเต้นตาม พอเห็นท่าทางของคนที่เด็กน้อยเรียกว่าแม่เต้นไม่ถูก ก็เดินเข้ามาจัดท่าทางให้ภัทรานิษฐ์นั้นได้แต่ยิ้มกับภาพที่เห็น“ไม่ค่ะ ต้องเอามือวางตรงนี้” มือน้อยๆ ของพลอยไพลินจับมือของลักขณาไปวางไว้ข้างเอว ก่อนจะขยับไปยืนตรงหน้าแล้วเริ่มร้องเพลงเจ้าต้นไม้และเต้นโยกตัวไปมาตามจังหวะเพลง โดยมีลักขณาเต้นตาม คราวนี้ภัทรานิษฐ์ก็หัวเราะออกมาอย่างสุดที่จะกลั้นไหว ท่าทางของเด็กมันน่ารักดีหรอกกับการยกมือยกแขน แต่ลักขณานี่ไม่ไหว ดูเก้งก้างชอบกลเมื่อลูกสาวได้เวลานอน แม้กิจก
“แกนี่ขี้บ่นว่ะ” ลักขณาเอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก ภัทรานิษฐ์จึงยิ้มออกมา เพราะรู้ว่าเพื่อนเธอตัดสินใจได้แน่แล้ว แต่ติดกังวลนั่นนี่ตามประสาคนไม่เคยต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด เพราะบ้านเกิดของลักขณาอยู่ที่ราชบุรี ให้ขึ้นไปทำงานเชียงรายมันก็ไกลเหมือนกันนะอยู่ด้วยกันมาสี่ปีกว่าพอรู้ว่าจะห่างใจมันก็หวิวๆอยู่ๆ ลักขณาก็ขยับเข้าไปกอดภัทรานิษฐ์แน่น ทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ออกมาซะอย่างนั้น ส่วนคนถูกกอดก็อึ้งไปเหมือนกันก่อนที่จะเอ่ยขึ้น“เก๋ ขอบใจแกเรื่องน้องพลอยนะ”“ขอบใจอะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แกรับไปหมด” ลักขณาผละตัวออกมาจากภัทรานิษฐ์ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เป็นความจริงเพราะหน้าที่เลี้ยงลูกภัทรานิษฐ์ดูจะรับไปหมดให้เธอกับศิรดาดูแล แค่คนละสิบเปอร์เซ็นเท่านั้นเอง จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้“ก็ลูกฉันนี่”“ได้ยินแบบนี้ฉันก็สบายใจ เพราะตอนนี้รู้แล้วว่าแกรักน้องพลอยมากแค่ไหน”“อืม รักมากกว่าชีวิตฉันอีก”“ไอ้ฝนพูดเอาไว้ไม่มีผิด ว่าแม่คือคนที่รักลูกมากที่สุด&r
ขณะที่ภัทรานิษฐ์กำลังพาพลอยไพลินขึ้นไปยังศูนย์การเรียนรู้ที่อยู่ชั้นบน ศุภวุฒิที่มาดักรออยู่ตั้งแต่ห้างเปิดก็เอาแต่ชะเง้อมองหาทั้งสองคนไม่หยุด หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่โชคดีของเขา แต่ดูท่าทางของครูใหญ่จะออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะอายุก็เลยเลขสามไปแล้ว แต่กลับตื่นเต้นที่จะบอกว่าชอบภัทรานิษฐ์ อีกฝั่งหนึ่งของห้างอนุภพเองก็พาสาวสวยคนหนึ่งมาดูหนังด้วยเหมือนกัน“พี่ภพ วันนี้เราจะดูหนังเรื่องอะไรกันดีคะ” เสียงหวานๆ ของสาวสวยคนนั้นเอ่ยถามขึ้น“หนังผีไหม”“ไม่เอาหรอกแตงโมกลัวผี” พูดจบก็เกาะแขนชายหนุ่มแน่น พร้อมกับการจงใจใช้หน้าอกของตัวเองที่ล้นทะลักเสื้อสายเดี่ยวตัวที่กำลังใส่อยู่เบียดกับต้นแขนของอนุภพ ซึ่งชายหนุ่มก็ชอบไม่น้อย“แล้วผีผ้าห่มล่ะ ไม่กลัวเหรอ” คำพูดของอนุภพทำให้สาวสวยถึงกับเขินอาย เพราะเมื่อคืนอนุภพเป็นผีผ้าห่ม ตามหลอกเธอบนเตียงตั้งหลายครั้ง“ชอบมากกว่าค่ะ” ท่าทางเหมือนจะอาย แต่คำพูดกลับตรงกันข้ามก่อนจะซุกใบหน้ากับต้นแขนชายหนุ่มแก้อาย อนุภพยิ้มเยาะออกมา กวาดสายตามองไปร
“พี่ไปก่อนนะครับ ว่างๆ ค่อยคุยกัน นี่นามบัตรพี่” อนุภพรีบหยิบนามบัตรออกมาส่งให้ภัทรานิษฐ์ หวังว่าจะได้พูดคุยกันอีก“ขอบคุณค่ะ” ภัทรานิษฐ์ก้มมองนามบัตรในมือ หัวใจของเธอเต้นรัวไปหมด ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันก็ไม่รู้ อนุภพคือเพื่อนสนิทของ พัฒน์ชนะ การพบกันครั้งนี้จะสร้างปัญหาให้เธอภายหลังหรือเปล่า แต่ภัทรานิษฐ์ก็ต้องหยุดคิด เมื่อเสียงใสๆ ของพลอยไพลินเอ่ยเรียก“แม่จ๋า...”“คะลูก” คนเป็นแม่หยุดคิดเรื่องอื่นออกไปก่อน เธอหันมายิ้มและยื่นมือไปสัมผัสแก้มของลูกสาวเบาๆ เช็ดคราบไอศกรีมที่ติดอยู่ตรงมุมปากออกให้ด้วย“อิ่มแล้วค่ะ” เสียงใสๆ ของลูกสาวเอ่ยบอก“จ้ะ งั้นเราขึ้นไปข้างบนกันนะ”“ขึ้นลิฟต์แก้วได้ไหมคะแม่” เสียงใสๆ เอ่ยขอพร้อมส่งแววตาออดอ้อนน่ารักมาให้คนเป็นแม่ เพราะพลอยไพลินนั้นชอบลิฟต์แก้วภายในห้างสรรพสินค้ามาก พอเข้าไปข้างในได้ทีไรก็จะกดเปิดปิดและกดชั้นที่อยากไปอย่างชำนาญเชียว จากนั้นก็ไปยืนเกาะกระจกมองออกไปนอกลิฟต์“ได้สิคะ” ภัทรานิษ
แต่แทนที่ชายหนุ่มจะตรงกลับบ้านพักผ่อน พัฒน์ชนะกลับขับรถของพี่ชายไปยังถนนสุขุมวิท เลี้ยวเข้าไปในซอยๆ หนึ่งที่เขาแวะมาที่นี่ทุกปีตอนกลับเมืองไทย และต่อจากนี้อาจจะได้มาบ่อยขึ้นก็เป็นได้ทุกครั้งที่กลับมา เขามักจะขับรถมานั่งมองหน้าร้านภัทรา เวดดิ้งเงียบๆ บางปีได้เห็นเจ้าของร้านบ้าง บางปีก็ไม่เห็นอะไรเลยเพราะเธอปิดร้าน และไม่รู้ว่าทำไมเขาที่ต้องทำแบบนี้ ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจตัวเองนักพัฒน์ชนะก้าวลงไปจากรถ เดินไปยังหน้าร้านที่ยังเห็นไฟเปิดอยู่ รวมทั้งไฟริมถนนก็สว่างจนทำให้มองเห็นภายในได้ชัด ชายหนุ่มเดินมองจนสายตาสะดุดกับรูปถ่ายของเด็กหญิงคนหนึ่ง หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเป็นแบบให้กับชุดเจ้าสาวตัวน้อย ซึ่งรอบๆ ร้านนั้นมีอยู่หลายรูปทีเดียว“ลูกใคร น่ารักจริง” เสียงทุ้มๆ เอ่ยขึ้น เพราะภัทรานิษฐ์อาจหานางแบบตัวน้อยมาเรียกลูกค้าก็เป็นได้ ร้านเวดดิ้งของหญิงสาวขยับขยายกิจการมากกว่าเมื่อก่อน การตกแต่งร้านก็ดูดึงดูดว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวให้เข้ามาใช้บริการไม่น้อย แถมยังมีชุดออกงานให้เลือกอีก ผู้หญิงตัวคนเดียวทำอะไรได้แบบนี้ก็เก่งแล้ว“หวา ทำไมพี่ถึงลืมเธอไม่ไ