3 ปี ผ่านไป
ภัทรานิษฐ์เติบโตขึ้นและผ่านเรื่องราวที่ยากลำบากมาหลายอย่าง แต่สิ่งที่พบเจอกลับทำยิ่งส่งให้เธอนั้นเข้มแข็ง หญิงสาวกำลังขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อรับใครบางคน ทุกวันนี้เธอแทบไม่ร้องไห้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอีกแล้ว เธอสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและเข้มแข็งขึ้นมาก รถคันใหญ่เลี้ยวเข้าไปจอดยังลานจอดรถ ก่อนจะเปิดประตูลงไปมองหาคนที่เธอจะมารับ “แม่จ๋า” เสียงเจื้อยแจ้วสดใสของเด็กหญิงพลอยไพลินเอ่ยเรียกผู้เป็นแม่ ดังมาตั้งแต่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล ที่เด็กหญิงตัวน้อยเข้าเรียนที่นี่ได้มาเกือบสี่เดือน มือน้อยๆ ที่จับมือของครู่ใหญ่อยู่รีบปล่อยมือนั้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแม่ทันที “จ๋าลูก” ภัทรานิษฐ์ลงไปนั่งคุกเข่า พร้อมอ้าแขนรับลูกสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะหอมแก้มซ้ายที ขวาทีอย่างรักใคร่ พร้อมรับเด็กหญิงกลับบ้านแล้ว “แม่จ๋า คิดถึงน้องพลอยไหมคะ” ความช่างพูดและออดอ้อนเก่ง ทำให้ภัทรานิษฐ์หลงลูกสาวคนนี้หัวปักหัวปำ หลงมากกว่าลักขณาและศิรดาด้วยซ้ำ “คิดถึงสิคะ วันนี้ลูกแม่ซนหรือเปล่า”<“หิวหรือยัง วันนี้มีขนมเยอะเลย ของโปรดของน้องพลอยทั้งนั้น” ลักขณาเอ่ยถามลูกสาวบุญธรรมตัวน้อยของเธอ ก่อนที่เสียงใสๆ ของพลอยไพลินจะเอ่ยบอก“หิวค่ะ”“ฝากด้วยนะเก๋” ภัทรานิษฐ์เอ่ยบอกเพื่อน เพราะตลอดทางที่กลับบ้านพลอยไพลินนั้นเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้คนเป็นแม่ฟังอย่างสนุกสนาน แถมยังร้องเพลงให้ฟังด้วย เนื่องจากที่ห้องเรียนในวันนี้คุณครูสอนร้องเพลงใหม่ๆ ร้องชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่ภัทรานิษฐ์ก็ยิ้มกับพัฒนาการของลูก“สบายมาก” แม่บุญธรรมที่ชื่อลักขณาเอ่ยรับ ก่อนจะอุ้มพลอยไพลินเข้าไปในบ้าน ภัทรานิษฐ์หันไปมองหน้าศิรดา ก่อนจะเดินเข้าบ้าน ทิ้งตัวลงบนโซฟา ซึ่งศิรดาก็ลงไปนั่งข้างๆ เหมือนกัน ท่าทางของภัทรานิษฐ์ดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้งานที่ร้านเวดดิ้งค่อนข้างยุ่งทีเดียว ผ่านมาหลายปีเธอขยับขยายร้านออกไปกว้างขวางขึ้น ลูกน้องก็มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนตามขนาดของงานการดีลงานกับโรงแรมเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงาน โรงพิมพ์ โรงงานหรือบริษัทต่างๆ เรื่องของชำร่วย งานพวกนี้มันเหนื่อยใช่เล่นแต่ก็คุ้มกับความพอใจของลูกค้าที่เพิ่มมากข
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วพลอยไพลินก็ได้เวลาโชว์เพลงใหม่ให้คุณแม่อีกคนได้ดูว่าวันนี้ที่โรงเรียนสอนอะไรมาบ้าง เพราะเธอ ลักขณาและศิรดามักจะถามทุกวันว่าลูกสาวตัวน้อยไปโรงเรียนสนุกไหม ซึ่งคำตอบที่ได้คือสนุก ผิดกับวันแรกที่ต้องไปโรงเรียน เพราะวันนั้นภัทรานิษฐ์จำได้ว่าลูกสาวร้องไห้โยเย ไม่ยอมท่าเดียว แถมยังกอดเธอเอาไว้แน่น ทำเอาคนเป็นแม่ไม่รู้จะทำยังไง แต่ก็ได้ศุภวุฒิครูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลมาช่วยไว้“เต้นแบบนี้เหรอคะ” ลักขณาเอ่ยถามว่าท่าทางของเธอตอนนี้ทำถูกไหม เพราะพลอยไพลินบอกให้เธอเต้นตาม พอเห็นท่าทางของคนที่เด็กน้อยเรียกว่าแม่เต้นไม่ถูก ก็เดินเข้ามาจัดท่าทางให้ภัทรานิษฐ์นั้นได้แต่ยิ้มกับภาพที่เห็น“ไม่ค่ะ ต้องเอามือวางตรงนี้” มือน้อยๆ ของพลอยไพลินจับมือของลักขณาไปวางไว้ข้างเอว ก่อนจะขยับไปยืนตรงหน้าแล้วเริ่มร้องเพลงเจ้าต้นไม้และเต้นโยกตัวไปมาตามจังหวะเพลง โดยมีลักขณาเต้นตาม คราวนี้ภัทรานิษฐ์ก็หัวเราะออกมาอย่างสุดที่จะกลั้นไหว ท่าทางของเด็กมันน่ารักดีหรอกกับการยกมือยกแขน แต่ลักขณานี่ไม่ไหว ดูเก้งก้างชอบกลเมื่อลูกสาวได้เวลานอน แม้กิจก
“แกนี่ขี้บ่นว่ะ” ลักขณาเอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก ภัทรานิษฐ์จึงยิ้มออกมา เพราะรู้ว่าเพื่อนเธอตัดสินใจได้แน่แล้ว แต่ติดกังวลนั่นนี่ตามประสาคนไม่เคยต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด เพราะบ้านเกิดของลักขณาอยู่ที่ราชบุรี ให้ขึ้นไปทำงานเชียงรายมันก็ไกลเหมือนกันนะอยู่ด้วยกันมาสี่ปีกว่าพอรู้ว่าจะห่างใจมันก็หวิวๆอยู่ๆ ลักขณาก็ขยับเข้าไปกอดภัทรานิษฐ์แน่น ทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ออกมาซะอย่างนั้น ส่วนคนถูกกอดก็อึ้งไปเหมือนกันก่อนที่จะเอ่ยขึ้น“เก๋ ขอบใจแกเรื่องน้องพลอยนะ”“ขอบใจอะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แกรับไปหมด” ลักขณาผละตัวออกมาจากภัทรานิษฐ์ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เป็นความจริงเพราะหน้าที่เลี้ยงลูกภัทรานิษฐ์ดูจะรับไปหมดให้เธอกับศิรดาดูแล แค่คนละสิบเปอร์เซ็นเท่านั้นเอง จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้“ก็ลูกฉันนี่”“ได้ยินแบบนี้ฉันก็สบายใจ เพราะตอนนี้รู้แล้วว่าแกรักน้องพลอยมากแค่ไหน”“อืม รักมากกว่าชีวิตฉันอีก”“ไอ้ฝนพูดเอาไว้ไม่มีผิด ว่าแม่คือคนที่รักลูกมากที่สุด&r
ขณะที่ภัทรานิษฐ์กำลังพาพลอยไพลินขึ้นไปยังศูนย์การเรียนรู้ที่อยู่ชั้นบน ศุภวุฒิที่มาดักรออยู่ตั้งแต่ห้างเปิดก็เอาแต่ชะเง้อมองหาทั้งสองคนไม่หยุด หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่โชคดีของเขา แต่ดูท่าทางของครูใหญ่จะออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะอายุก็เลยเลขสามไปแล้ว แต่กลับตื่นเต้นที่จะบอกว่าชอบภัทรานิษฐ์ อีกฝั่งหนึ่งของห้างอนุภพเองก็พาสาวสวยคนหนึ่งมาดูหนังด้วยเหมือนกัน“พี่ภพ วันนี้เราจะดูหนังเรื่องอะไรกันดีคะ” เสียงหวานๆ ของสาวสวยคนนั้นเอ่ยถามขึ้น“หนังผีไหม”“ไม่เอาหรอกแตงโมกลัวผี” พูดจบก็เกาะแขนชายหนุ่มแน่น พร้อมกับการจงใจใช้หน้าอกของตัวเองที่ล้นทะลักเสื้อสายเดี่ยวตัวที่กำลังใส่อยู่เบียดกับต้นแขนของอนุภพ ซึ่งชายหนุ่มก็ชอบไม่น้อย“แล้วผีผ้าห่มล่ะ ไม่กลัวเหรอ” คำพูดของอนุภพทำให้สาวสวยถึงกับเขินอาย เพราะเมื่อคืนอนุภพเป็นผีผ้าห่ม ตามหลอกเธอบนเตียงตั้งหลายครั้ง“ชอบมากกว่าค่ะ” ท่าทางเหมือนจะอาย แต่คำพูดกลับตรงกันข้ามก่อนจะซุกใบหน้ากับต้นแขนชายหนุ่มแก้อาย อนุภพยิ้มเยาะออกมา กวาดสายตามองไปร
“พี่ไปก่อนนะครับ ว่างๆ ค่อยคุยกัน นี่นามบัตรพี่” อนุภพรีบหยิบนามบัตรออกมาส่งให้ภัทรานิษฐ์ หวังว่าจะได้พูดคุยกันอีก“ขอบคุณค่ะ” ภัทรานิษฐ์ก้มมองนามบัตรในมือ หัวใจของเธอเต้นรัวไปหมด ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันก็ไม่รู้ อนุภพคือเพื่อนสนิทของ พัฒน์ชนะ การพบกันครั้งนี้จะสร้างปัญหาให้เธอภายหลังหรือเปล่า แต่ภัทรานิษฐ์ก็ต้องหยุดคิด เมื่อเสียงใสๆ ของพลอยไพลินเอ่ยเรียก“แม่จ๋า...”“คะลูก” คนเป็นแม่หยุดคิดเรื่องอื่นออกไปก่อน เธอหันมายิ้มและยื่นมือไปสัมผัสแก้มของลูกสาวเบาๆ เช็ดคราบไอศกรีมที่ติดอยู่ตรงมุมปากออกให้ด้วย“อิ่มแล้วค่ะ” เสียงใสๆ ของลูกสาวเอ่ยบอก“จ้ะ งั้นเราขึ้นไปข้างบนกันนะ”“ขึ้นลิฟต์แก้วได้ไหมคะแม่” เสียงใสๆ เอ่ยขอพร้อมส่งแววตาออดอ้อนน่ารักมาให้คนเป็นแม่ เพราะพลอยไพลินนั้นชอบลิฟต์แก้วภายในห้างสรรพสินค้ามาก พอเข้าไปข้างในได้ทีไรก็จะกดเปิดปิดและกดชั้นที่อยากไปอย่างชำนาญเชียว จากนั้นก็ไปยืนเกาะกระจกมองออกไปนอกลิฟต์“ได้สิคะ” ภัทรานิษ
แต่แทนที่ชายหนุ่มจะตรงกลับบ้านพักผ่อน พัฒน์ชนะกลับขับรถของพี่ชายไปยังถนนสุขุมวิท เลี้ยวเข้าไปในซอยๆ หนึ่งที่เขาแวะมาที่นี่ทุกปีตอนกลับเมืองไทย และต่อจากนี้อาจจะได้มาบ่อยขึ้นก็เป็นได้ทุกครั้งที่กลับมา เขามักจะขับรถมานั่งมองหน้าร้านภัทรา เวดดิ้งเงียบๆ บางปีได้เห็นเจ้าของร้านบ้าง บางปีก็ไม่เห็นอะไรเลยเพราะเธอปิดร้าน และไม่รู้ว่าทำไมเขาที่ต้องทำแบบนี้ ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจตัวเองนักพัฒน์ชนะก้าวลงไปจากรถ เดินไปยังหน้าร้านที่ยังเห็นไฟเปิดอยู่ รวมทั้งไฟริมถนนก็สว่างจนทำให้มองเห็นภายในได้ชัด ชายหนุ่มเดินมองจนสายตาสะดุดกับรูปถ่ายของเด็กหญิงคนหนึ่ง หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเป็นแบบให้กับชุดเจ้าสาวตัวน้อย ซึ่งรอบๆ ร้านนั้นมีอยู่หลายรูปทีเดียว“ลูกใคร น่ารักจริง” เสียงทุ้มๆ เอ่ยขึ้น เพราะภัทรานิษฐ์อาจหานางแบบตัวน้อยมาเรียกลูกค้าก็เป็นได้ ร้านเวดดิ้งของหญิงสาวขยับขยายกิจการมากกว่าเมื่อก่อน การตกแต่งร้านก็ดูดึงดูดว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวให้เข้ามาใช้บริการไม่น้อย แถมยังมีชุดออกงานให้เลือกอีก ผู้หญิงตัวคนเดียวทำอะไรได้แบบนี้ก็เก่งแล้ว“หวา ทำไมพี่ถึงลืมเธอไม่ไ
ภาพบนเตียงภายในโรงแรมที่ชายหญิงกำลังคลอเคลียด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า หญิงสาวที่นอนราบกับเตียงยกขาเกี่ยวรอบเอวชายหนุ่มที่ขยับขึ้นลงตามแรงกระแทกกระทั้นของพัฒน์ชนะเขาไม่ได้สนใจว่าเธอเป็นใคร จะสวยหรือไม่สวย เพราะตอนนี้ชายหนุ่มอยากได้คนที่ช่วยปลดปล่อยเท่านั้นเอง“แรงอีกนิดสิคะ” คำร้องขอของหญิงสาวที่พัฒน์ชนะยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเอ่ยบอก คืนนี้เธอได้นอนกับผู้ชายที่หล่อเหลา คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม เกมพิศวาสของเขาก็เก่งใช่เล่น ทำเอาเธออ่อนระทวยไปเลย ผู้ชายอะไรแข็งแรงทั้งร่างกายและส่วนนั้นที่มันใหญ่จนมือเธอแทบกุมไม่มิด แถมตอนที่เขาขยับเข้าออกนั้นมันก็เสียวซ่านเป็นที่สุดด้วยพัฒน์ชนะเหมือนจะตาพร่ามัวมองเห็นคู่นอนเป็นภัทรานิษฐ์จึงออกแรงรุกล้ำ ขยับเข้าออกในตัวหญิงสาวหนักขึ้นตามความต้องการ โดยคนด้านล่างเธอหลงตัวเองว่าเป็นเพราะเธอเอ่ยบอก แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นสักนิด เพราะเขามองเห็นเธอเป็นผู้หญิงอีกคน เสน่หาราคะจึงเพิ่มมากขึ้นและอยากปลดปล่อย แต่อยู่ๆ ใบหน้าของภัทรานิษฐ์ก็หายไป เหลือเพียงใบหน้าเหยเกบ่งบอกความวาบหวามที่ได้รับชีวิตผู้ชายก็แบบนี้ซื้อเซ็กส์ได้ก็ซื้อ แต่
“เอ๊ะ… ยกชุดนี้ให้” คำพูดที่เห็นแก่ได้นั้นทำให้ภัทรานิษฐ์อุทานอย่างตกใจ รวมทั้งบรรดาลูกน้องของหญิงสาวที่ได้ยินด้วย เพราะชุดผ้าไหมชุดนี้ราคามันหลายหมื่นบาทเชียวนะ“ใช่ ถ้าไม่ยกชุดให้ฉัน ร้านของเธอก็ต้องเสียชื่อ เพราะทำงานไม่ได้เรื่อง รู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร” พูดจบก็เชิดหน้าใส่ ก่อนจะส่งแววตาออกแนวรังเกียจมาให้ภัทรานิษฐ์และทุกคนในร้าน“เอ่อ… ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะดิฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าคุณเป็นใคร รู้แต่ว่าคุณคือลูกค้า” ยิ่งมาเจอคนเจ้ายศเจ้าอย่างแบบนี้ภัทรานิษฐ์ก็ยิ่งข่มใจไว้“ไม่ได้เรื่อง ฉันคือคุณหญิงแขไขย่ะ”“คุณหญิงแขไข” ชื่อนี้เหมือนจะคุ้นๆ ภัทรานิษฐ์จึงเอ่ยทวนแต่เจ้าของชื่อกระหยิ่มยิ้มย่องก่อนจะโอ้อวดฐานะของตัวเองต่อไม่หยุด“ใช่ สามีฉันเป็นนายตำรวจใหญ่ ที่สั่งปิดร้านของเธอได้อย่างสบายๆ เชียวนะ”“น่าเกรงขามจังเลยนะคะ” ตอนนี้ภัทรานิษฐ์ถึงบางอ้อแล้วว่าชื่อแขไขที่ว่านั้นเคยได้ยินมาจากที่ไหน หญิงสาวลอบยิ้มกับตัวเองนิดหน่อย คิดในใจว่าคุณห