รถคันงามจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านของมินตรา ตลอดการเดินทางมินตรารู้สึกตัวตื่นและหลับไปหลายต่อหลายครั้ง เขาพาเธอแวะพักทานข้าวโดยที่ตอนแรกเธอไม่ยอมเพราะอยากกลับบ้าน แต่ภวิชก็พะเน้าพะนอลากเธอให้ลงไปกินข้าวด้วยกัน ซึ่งมันคือข้าวกลางวันของเขาและเธอในเวลา 2 ทุ่ม
“ นี่คุณ! ฉันจะรีบกลับบ้านนะ ฉันไม่หิว คุณอยากกินก็กินคนเดียวสิคะลากฉันมาทำไม ” “ มินตรา คุณไม่หิวแต่ผมหิว ให้ผมกินคนเดียว ผมกินไม่ลงหรอกแค่กินข้าวเป็นเพื่อนผมมันคงไม่ลำบากคุณมากเกินไปหรอกมั้ง ” เขาไม่สนใจอาการฟึดฟัดของคนตรงหน้าสักนิดแถมยังตักอาหารใส่จานหล่อนจนในที่สุดคนหน้างอก็ต้องตักเข้าปากตามใจเขาอีกจนได้ “ ก็แค่นั้น ” เขาพูดอย่างพอใจ เมื่อทานข้าวกันเสร็จก็เดินทางอีกครั้งและมินตราก็หลับอีกครั้งโดยมีหมอนหนุนเป็นแบบพิเศษนั่นคือตักของภวิช ภวิชหยุดห้วงความคิดที่เพิ่งไปทานข้าวกับเธอพร้อมมองปัจจุบันคือเวลานี้ที่รถจอดสนิทหน้าบ้านมินตรา เกือบยี่สิบนาทีแล้วที่เขานั่งนิ่งๆ แบบนี้ ทัชมองเจ้านายหนุ่มที่เอาแต่มองออกนอกกระจกไปยังตัวบ้านของคนที่เขามาส่ง ไม่มีทีท่าว่าจะปลุกหล่อนขึ้นมา ภวิชถอนหายใจอย่างหนัก ที่มาถึงบ้านหล่อนแล้ว เขาไม่อยากปลุกเธอเลยในเวลานี้ ทั้งๆ ที่เขาอยากเห็นแววตาหล่อน ตอนตื่นเสมอ “ เจ้านายครับ ” “ อืม ” ภวิชพยักหน้ารับรู้ ทัชเห็นเจ้านายเริ่มใช้เวลานานเกินไปที่จอดรถแบบนี้ พร้อมมองไปยังตัวบ้านของว่าที่นายหญิงมันเป็นบ้านพักธรรมดา ไม่หรูหรา เรียบๆ บ้านเธออยู่ไกลจากบ้านของคนอื่นเหมือนกันมีเพียงบ้านเธอที่ตั้งโดดอยู่หลังเดียวในซอย ซึ่งมันทำให้ภวิชห่วง ความคิดฟุ้งซ่านหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงทัชเรียกเขาภวิชหันหน้ามองลูกน้อง แววตามีความกังวล ซึ่งลูกน้องเข้าใจอารมณ์เจ้านายดี ภวิชลูบเรือนผมของคนที่เขาหลงใหลไปแล้วอย่างโงหัวไม่ขึ้นอย่างแผ่วเบา “ มิน......มินครับ ถึงบ้านแล้ว ” ร่างบางที่หลับใหลค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก็พบสบกับดวงตาคมที่มองมายังเธอ ก่อนที่เขาจะพยุงให้เธอลุกนั่ง ร่างบางกวาดสายตาออกไปมองนอกรถ แล้วก็หันมามองภวิชที่นั่งมองหล่อนอยู่ ไม่มีแววตาแสดงความรู้สึกใดๆ ซึ่งเขาปกปิดไว้เป็นอย่างดี “ คุณรู้จักบ้านฉันได้ยังไงค่ะ ” หล่อนถามในเมื่อหล่อนหลับมาเกือบตลอดทางบอกเพียงคร่าวๆเท่านั้น “ ก็คุณมีเอกสารที่จะไปสมัครงานไม่ใช่หรือไง เรื่องหาที่อยู่ตามทะเบียนบ้านคงไม่ยากเท่าไหร่หรอกมั้ง ” “ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ” “ ฟึ่บ ” ภวิชนิ่งอึ้ง เขามีความหนักใจและความกังวลอยู่เต็มไปหมด ก่อนที่เธอจะลงจากรถ ภวิชก็กระชากร่างของเธอจนปลิวตามแรงเข้าสู่อ้อมแขนตามด้วยริมฝีปากเขาที่ตามมาติดๆ มินตราตกใจและรับมือไม่ทันกับคนฉวยโอกาส ความตกใจของเธอทำให้เขาลุกล้ำได้ง่ายๆ ไม่มีการดิ้นรนขัดขืนหนักๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง มีเพียงดิ้นและผลักเบาๆ เท่านั้น อาจเพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวยในการต่อต้าน และอาจเป็นเพราะหัวใจเธอเองก็ต้องการสัมผัสอ่อนโยนครั้งสุดท้ายก่อนจากเขาเหมือนกัน จูบที่แสนอ่อนโยนและอ่อนหวาน มินตราปล่อยให้ภวิชทำตามใจเพราะอย่างน้อยก็เพื่อขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เขาทำให้เธอมาตลอดสี่วันที่ผ่านมา ภวิชยอมถอนจูบหลังจากที่เขาสัมผัสเนิ่นนานเกินไปถึงแม้ไม่อิ่มหนำแต่ก็พอที่จะทำให้สาวตรงหน้าคิดถึงคนที่ขโมยจูบแรกของเธอได้บ้าง “ ดูแลตัวเองดีๆ นะมิน มีอะไรนึกถึงผมนะ เข้าใจไหม ” เขาพูดพร้อมยัดมือถือของหล่อนใส่มือแล้วกำมือเธอแน่น “ ค่ะ ” ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาพูดแบบนั้นอาจเพราะตามมารยาทของการมีน้ำใจล่ะมั้ง ร่างบางจะก้าวลงจากรถอีกครั้ง ภวิชอยากคว้าเธอมากอดอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ทำอย่างใจเขาได้แต่ถอนหายใจและคอตก เขาโหยหาเธอขนาดนี้สงสัยต้องรีบวางแผนเอาเธอกลับไปกับเขาให้เร็วที่สุด เขาคิดในใจแต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องนั่งอึ้งเมื่อสัมผัสถึงสิ่งอุ่นๆที่แนบข้างแก้มเขาไม่คิดว่ามินตราจะหอมเขา ซึ่งมินตราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมกล้าทำกับคนที่เพิ่งรู้จักขนาดนี้ “ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ ” ภวิชยิ้มน้อยๆใจหนุ่มเต้นแรง เธอจะรู้ไหมว่าเธอทำใจเขาเต้นได้ขนาดนี้ ความอ่อนโยนที่ไม่มีจริตจะกร้าน แบบนั้นยิ่งทำให้เขาหลงเธอ เธอยิ้มให้เขาด้วยใบหน้าแดงก่ำเมื่อคิดขึ้นได้ว่ามีอีกคนที่นั่งเป็นสารถีในการขับรถมาส่งเธอ “ ขอบคุณนะคะคุณทัช ” ทัชที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ในมือเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับทั้งสองคน เงยหน้าสบตาหล่อนผ่านกระจกหลัง พยักหน้าแล้วยิ้มกว้างให้เธอ “ ด้วยความยินดีครับ ” จากนั้นมินตราก็ก้าวลงจากรถแล้วรีบเดินเข้าตัวบ้านเอามือเรียวลูบหน้าด้วยความอายที่กล้าทำอะไรไปแบบนั้น ภวิชยกมือขึ้นลูบแก้มที่เขาเพิ่งได้รับจากมินตราเมื่อครู่แล้วยิ้มกว้าง “ นี่แหล่ะน้า อารมณ์คนมีความรัก ” เขาเอ่ยปากแซวเจ้านายน้ำเสียงทะเล้น “ หุบปากเลยไอ้ทัช ” ภวิชพุ่งตัวไปตีเบาะคนขับที่ทัชนั่งอยู่ถึงแม้เขาจะพูดเสียงดุดัน แต่หากใบหน้านั้นกลับเปื้อนยิ้ม “ มีอะไรหรือเปล่าครับ? ” ทัชถามเมื่อรอยยิ้มเมื่อครู่ที่ไม่กี่วินาทีนั้นตอนนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นแววตาดุดันเหมือนที่เขาเห็นบ่อยครั้งแวลาที่เจ้านายไม่สบอารมณ์หรือมีเรื่องกวนใจ “ จอดรถสิ ” เขาพูดเสียงนิ่งทัชเลี้ยวรถหลบเข้าจอดหัวมุมถนนตามคำสั่งซึ่งไม่ไกลจากบ้านมินตรานัก และยังคงสามารถมองเห็นตัวบ้านของเธอ ภวิชหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาพลางกดดูเบอร์ที่โทรเข้าหาหญิงสาว แต่ที่มันโชว์เบอร์ขึ้นที่เครื่องเขานั้นก็เพราะเทคโนโลยีที่ทันสมัย เขาติดเครื่องดักฟังและอุปกรณ์ในการหาคลื่นสัญญาณกับมือถือของเธอ เขาจะต้องรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ ได้ยินทุกอย่างเวลาที่เธอพูดโทรศัพท์กับใคร และใครที่โทรมาหาผู้หญิงของเขา ซึ่งเมื่อเย็นที่เขารับโทรศัพท์ของเธอย่างถือวิสาสะจนอยากจะกระชากคนที่พูดอยู่ปลายสายมาตัดลิ้นแล้วเย็บปากให้ไม่สามารถพูดได้อีกเลย มือถือราคาแพงถูกส่งให้ลูกน้องเมื่อเจอเบอร์ที่ไม่พึงประสงค์ “ ตรวจสอบสิ ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นใคร และรู้จักมินได้ยังไง เดี๋ยวนี้! ” “ ครับ ” ' ไงจ้ะมินตราคนสวย เธอจำได้ไหมว่าสัญญาอะไรไว้กับฉัน ฉันว่ามันครบเวลาแล้วนะ ใจร้ายจริงๆติดต่อไม่ได้ตั้งสามวัน เตรียมใจเป็นเมียฉันหรือไง ฮ่าๆๆ ไม่ต้องกลัวนะเบบี้ ผมรับรองจะปรนนิบัติคุณให้สมกับการรอคอยเลยมินตรา ฮ่าๆๆ' คนปลายสายหัวเราะอย่ามีความสุข ต่างจากคนที่ฟังอีกคนที่ดวงตาแดงก่ำมือกำแน่น กัดฟันกรอดจนเป็นสันนูนด้วยความโกรธ มันกล้าดียังไงมาดูถูกเธอขนาดนี้ มินตราเปิดประตูบ้านเข้ามาท่ามกลางความมืดเพราะไฟที่ปิดสนิท นิ้วเรียวคลำๆ หาสวิตถ์ไฟด้วยความเคยชินแล้วบ้านทั้งหลังก็เริ่มสว่างขึ้นอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้าทำให้มินตราพูดไม่ออก เกิดอะไรขึ้นกับบ้านของเธอ นี่มันคืออะไร ข้าวของกระจัดกระจายและพังอย่างยับเยิน เรียวฝีปากงามเริ่มตะโกนหาคนที่ห่วง “ พ่อ พ่อจ๋า พ่อ พ่อได้ยินมินไหม พ่อ ” มินตราวิ่งขึ้นชั้นสองของบ้านอย่างรวดเร็ว ห้องนอนผู้เป็นบิดาสภาพไม่ต่างจากข้างล่างเลย “ มิก มิก มิก ได้ยินพี่หรือเปล่า ” เสียงเริ่มแผ่วเบาเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับของคนทั้งสองคน น้องชายเขาหายไปไหน ใจบางเริ่มสั่นไหวและทรงตัวไม่อยู่ “ พ่อ ฮือๆๆมินขอโทษ พ่อฮือๆๆ ” เธอพร่ำโทษตัวเองที่ต้องรีบไปหางานหาเงินมาเพื่อช่วยเหลือพ่อเพราะพ่อออกจากงานที่ทำอยู่ท่าเรือซึ่งเธอก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไม อีกอย่างเพื่อที่เธอจะได้เป็นอิสระจากคนบางคนที่คิดไม่ดีเอาสัญญาบ้าบอมาขู่เธอ น้ำตารินไหลรดลงข้างแก้มอย่างท้อแท้ ในเวลาเที่ยงคืนแบบนี้เธอจะตามหาพ่อกับน้องได้ที่ไหน “ ฮือๆ ” เธอทรุดลงนั่งกับริมบันไดทางขึ้นชั้นสองของบ้าน หมดเรี่ยวแรงที่จะลุกแล้วในเวลานี้ ติ๊ดๆ มือถือเครื่องน้อยที่ดังขึ้นทำให้ร่างบางรีบขวนขวายหมายวาดหวังว่าอาจเป็นพ่อหรือน้องชายของเธอ เช็ดมืออย่างลวกๆ เมื่อเป็นเบอร์แปลกแต่ก็ไม่มากพอให้หยุดรอความสงสัย “ ฮะ ฮัลโหล ” “ .... ” “ ฮัลโหล สวัสดีค่ะ ” เมื่อเธอกดรับสายแล้วแต่ยังไม่ได้ยินเสียงกลับมาเลยเอ่ยอีกครั้ง “ แหม่ กว่าจะติดต่อได้นะสาวน้อย เธอกำลังหาพ่อของเธออยู่งั้นหรอ? ” เสียงสุขุมของปลายสาย เมื่อพูดถึงพ่อทำให้มินตรา ตกใจ ต่างจากอีกคนที่คิ้วขมวดสงสัยว่าใครอีกที่โทรมาหาผู้หญิงของเขา “ คุณทำอะไรพ่อของฉัน คุณเป็นใครและต้องการอะไรจากพวกเรา ” มินตราลุกขึ้นเกาะราวบันไดพูดเสียงแข็ง “ หึๆ ฉันเป็นใครเธอไม่ต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าตอนนี้พ่อของเธอตกอยู่ในมือฉัน ” “ อย่านะ คุณอย่าทำอะไรพ่อของฉัน คุณต้องการอะไรฉันจะหามาให้ ” “ ฮ่าๆ มินตรา ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณหรอก ” “ ก็ในเมื่อคุณไม่ต้องการอะไรแล้วจับพ่อฉันไปทำไม ” “ ก็เพราะ พ่อของเธอรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ไงหล่ะ มินตรา สิ่งที่ฉันต้องการคือ ชีวิตพ่อของเธอๆไง! ” เสียงเหี้ยมที่ดังเข้ามาในโทรศัพท์ทำให้มินตราเริ่มเครียดจนจะเป็นลม “ อย่านะ ” เธอร้องห้ามอย่างรวดเร็ว “ คุณอย่าทำอะไรพ่อของฉัน คุณต้องการอะไร ฉันจะให้คุณทุกอย่าง ฮึก ๆ ขอร้องอย่าทำร้ายพ่อของฉัน ” เสียงร้องไห้ที่รอดผ่านมาทางโทรศัพท์ ชายสองคนที่ได้ยินเหมือนกันแต่ต่างกันที่ความรู้สึก อีกคนยิ้มและหัวเราะอย่างสะใจ ต่างจากอีกคนที่สงสารหญิงสาวจับใจใครบังอาจทำให้ผู้หญิงของเขาร้องไห้ สาบานได้เลยว่าจะลากมาจัดการให้สาสมแต่เสียงแบบนี้มันคุ้นๆ เหมือนเขาจะได้ยินที่ไหนมาก่อนแต่ “ ฮ่าๆ กล้ามากมินตราที่บอกฉันแบบนี้ เธอรู้ดีนี่ว่าฉันต้องการอะไร จะให้ฉันบอกหรอหึ? ” “ ฉันเคยบอกคุณไปแล้วว่าทำทุกอย่าง ยกเว้น...ขายตัว! ” เธอเน้นให้เขาฟังอีกครั้ง “ เธอไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น......นางบำเรอ เธอต้องมาเป็นนางบำเรอของฉัน มันต่างกันนะมินตรา เพราะนางบำเรอคือเธอนอนกับฉันแค่คนเดียว แต่ถ้าขายตัว......หึๆ คงบอบช้ำภายใน ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้นะ ว่าไง! ไม่ต้องรีบตอบนะ ฉันรอได้ยันพรุ่งนี้ สี่ทุ่มถ้าไม่มาถือเป็นโมฆะฉันจะไม่รักษาคำพูดอะไรทั้งนั้นรวมถึงชีวิตพ่อของเธอด้วย....” ปลายสายทิ้งคำพูดน่ารังเกียจอย่างนั้นไว้แล้วตัดสายไป มินตราทิ้งแขนที่จับมือถือแนบข้างหูลงข้างลำตัวด้วยความอ่อนล้า มือเรียวสองข้างยกมือขึ้นปิดใบหน้างามที่ร้องไห้อย่างหนัก ตรงทางขึ้นบันไดของบ้าน “ ฮือๆ ” เสียงร้องไห้ที่สุดจะกลั้นทำให้มินตราไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา เธอลืมล็อคเพราะตกใจที่เห็นสภาพของบ้านร่างสูงเดินเข้าบ้านได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มกวาดตามองความเสียหายภายในบ้านจนทั่ว เขาใช้สายตาคมมองหาร่างบางว่าอยู่ที่ไหนเพราะเธอคงยังไม่ได้ออกจากบ้านเป็นแน่ เสียงสะอื้นที่ลอยมาตามอากาศข้างมุมเลี้ยวเข้าทางขึ้นบันได ไม่รอช้าที่เดินไปตรงนั้น ภาพมินตาที่นั่งกุมหน้าร้องไห้สะอื้นจนตัวโยนมันทำให้หัวใจเขากระตุบวูบ ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่านี่เป็น รัก หรือเปล่า จะบอกว่ารักก็ดูจะเร็วไป และไวมากๆเสียด้วย จะบอกว่าหลง ก็ไม่น่าจะทำให้เขาโงหัวไม่ขึ้นได้ขนาดนี้ รู้อย่างเดียวคืออยากอยู่กับเธอตลอดเวลา อยากดูแลและปกป้องไม่อยากให้เธอไปเป็นของใคร ยิ่งได้ยินสิ่งที่ร่างบางคุยโทรศัพท์กับคนที่คิดจะเอาเธอไปเป็นอย่างนั้น......แล้วหล่ะก็ เขาคงปล่อยให้มันนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้องให้เธอไปอยู่กับเขาให้เร็วที่สุด ภวิชคิดในใจก่อนจะค่อยๆ ขยับริมฝีปากที่หยักได้รูปเรียกชื่อคนตรงหน้าเบาๆ “ มินตรา ” เสียงที่คุ้นหูและอบอุ่นเธอจำได้ดีว่าเป็นของใคร หล่อนเงยหน้าขึ้นมามองภวิชที่ยืนตรงหน้าหล่อนและเขานั่งยองๆลงมามองหน้าเธอผ่านม่านน้ำตา “ คุณภวิช ” “ คุณยังไม่กลับหรอคะ หรือว่าลืมอะไรหรือเปล่า ” หล่อนถามเขาอย่างสงสัยนี่ก็ตีหนึ่งแล้วทำไมเขายังอยู่ที่นี่ระยะเวลาที่เธอร้องไห้มันนานมากพอที่ทำให้ภวิชที่คอยดูอยู่ด้านนอกอดห่วงไม่ได้จนต้องเข้ามาดู “ เฮ้อ ” เขาถอนหายใจแล้วหยิบมือถือที่ร่วงหล่นตรงพื้นขึ้นมาจับมันเล่นๆแล้วขบริมฝีปากแน่น จะกลับได้ไงก็เขาเป็นห่วงเธอแล้วจะบอกได้ไงว่าไอ้สิ่งที่ลืมไว้ก็นั่งร้องไห้อยู่ตรงบันได ภวิชถอนหายใจอีกครั้งเมื่อรู้ว่ายังไม่ถึงเวลา แล้วก็เงยหน้าสบตาหล่อน “ ร้องไห้เป็นเด็กขี้แยไปได้ อายุก็ไม่น้อยแล้วนะถ้าคนอื่นมาเห็นไม่อายหรือยังไง? ” เขาทำเสียงขรึมคิ้วขมวดมองเธอพร้อมยกฝ่ามือหนาแนบข้างแก้มหล่อนแล้วใช้หัวแม่มือไล้น้ำตาให้หล่อนอย่างแผ่วเบา แต่มินตรากลับไม่เถียงเขาที่บ่นว่าเธอเหมือนเด็ก เพราะรู้สึกว่าคำพูดห้วนๆ จะมีแววตาอ่อนโยนอะไรเช่นนี้ แล้วเขาก็ถามคำถามเธอต่อมา “ ไหนเป็นอะไร เล่าให้ฉันฟังสิ ใครทำอะไรเดี๋ยวฉันจะไปจัดการมันเอง! ” น้ำเสียงและสรรพนานคำว่าคุณเปลี่ยนเป็นฉัน เพราะอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดที่แสดงออกมาทีเล่นทีจริง จนมินตราอมยิ้มทั้งน้ำตากับท่าทางที่เหมือนวัยรุ่นเลือดร้อนของคนตรงหน้าไม่คิดว่าเขาจะพูดเล่นให้คนอื่นสบายใจขึ้นอย่างเธอตอนนี้ที่รู้สึกดีกว่าตอนแรก แต่ภวิชกลับไม่ได้คิดเล่นๆ ไอ้ที่เขาบอกจะจัดการหน่ะ มันเรื่องจริง ในเมื่อปฎิเสธไปคนบ้าอำนาจที่มานั่งให้กำลังใจเธอทั้งที่ไม่จำเป็นก็คงบังคับให้บอกจนได้ มินตราหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไม่ให้ร้องไห้อีกครั้ง เสียงที่กำลังจะพูดออกพร้อมกับคนที่กำลังตั้งใจจะฟังต้องเปลี่ยนเป็นหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก มินตราลุกพรวดจากบันไดเพราะคิดว่าอาจเป็นพ่อก็ได้ตามด้วยภวิชที่ลุกขึ้นแล้วตามมาแต่ก็ต้องเสียใจอีกครั้งที่ไม่ใช่พ่อ แต่ก็ชื้นใจที่เป็นน้องของตนเอง “ มิก ” ร่างบางวิ่งเข้าไปกอดน้องชายด้วยความโล่งอก แต่รณภพ กลับจับมือพี่สาวที่กอดเขาออกอย่างอึดอัด พร้อมคำถามที่ยิงยาวใส่เขา “ ดึกแล้วหายไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับแล้วนี่หน้าไปโดนอะไรมาทำใมเป็นแบบนี้ พ่อหล่ะพ่ออยู่ไหน ” เมื่อผละจากน้องได้เธอก็ถามหลายประโยคจนรณภพที่ตอนนี้ใบหน้าหวานแต่ดูคมผิวน้ำผึ้งหางคิ้วมีรอยเลือดแห้งจับอยู่ มุมปากฟกช้ำร่างกายที่สูงเกือบจะร้อยแปดสิบบ่งบอกว่าน้องชายของเขาโตเต็มวัยแล้ว “ เงียบน่ามิน ฉันจะไปทำอะไรก็เรื่องของฉัน แล้วพ่อไปไหนฉันจะรู้ได้ไง ไม่ได้ตัวติดพ่อตลอดเวลา ” เขาไม่ได้ตะคอกแต่พูดเนือยๆ รณภพที่มีอายุห่างจากพี่สาวถึงหกปี แต่หากสรรพนามคำนำหน้าคำว่าพี่ ตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย เขาก็เลี่ยงที่จะพูดมัน “ ก็พี่แค่ถามทำไมต้องหงุดหงิดใส่ด้วย ” เธอเริ่มขึ้นเสียงกับน้อง “ ไม่ต้อง ” รณภพตอบกลับทันควันและตั้งท่าจะเดินเลี่ยงแต่ก็ต้องชะงักสบตากับคนอีกคนอย่างสงสัยและหันมามองพี่สาวสลับกัน รอยยิ้มดูแคลนถูกส่งไปหามินตราพร้อมคำพูดแทงใจ “ อ๋อ ไอ้ที่หายไปสองสามวันที่ผ่านมาเนี่ย หนีไปกับผู้ชายนี่เอง ” “ มิก อย่ามาพาลใส่คนอื่น คุณภวิชเขาเป็นคนช่วยพี่ เขาไม่เกี่ยว อย่าเสียมารยาทแบบนี้ ” เธอเดินมาประชันหน้าคนเป็นน้องด้วยความโกรธ ส่วนคนที่โดนหางเล่ไปนั้นไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมา นอกจากมองหนุ่มแรกรุ่นตรงหน้าด้วยความรู้สึก...........ถูกชะตาได้หล่ะมั้งเพราะไอ้นิสัยที่รณภพเป็นอยู่มันเหมือนเขาและดูเขาจะแรงกว่าด้วยซ้ำ เขารู้ดีว่ารณภพกำลังต้องการความเป็นอิสระ รณภพสบตากับเขาอย่างไม่ลดละ มันยิ่งทำให้เขาพอใจ มันมีบางอย่างบอกเขาว่าเด็กที่เพิ่งโตเป็นหนุ่มเต็มตัวตรงหน้าไม่ใช่คนที่เลวโดยสันดาร เห็นทีเขาคงต้องช่วยมินตราแบ่งเบาภาระบ้างแล้วเขาคิดในใจ “ ได้กันรึยังถึงปกป้องขนาดนี้ ” “ เพี้ยะ ” สิ้นคำพูดของคนเป็นน้องฝ่ามือบางก็ตบเข้าที่แก้ม ที่เต็มไปด้วยรอยฝกช้ำอีกทีด้วยความเหลืออด “ หัดให้เกียรติกันบ้างนะมิก ยังไงพี่ก็เกิดก่อน เป็นพี่ และอย่ามาดูถูกพี่แบบนี้อีก ” เธอเสียงแข็งกร้าวซึ่งภวิชก็เข้าใจว่าคำพูดของรณภพนั้นมันบาดหัวใจขนาดไหน “ หึ ” รณภพเอามือจับที่มุมปากแล้วยิ้มยกนิดๆ แต่สีหน้าที่มองมินตราแบบนั้นมันทำให้มินตราหน้าชารู้สึกผิดหวัง รณภพสะบัดหน้า เดินตรงไปยังบันไดแต่ก็ชะงักเมื่อมือหนาของคนที่มาเยือนบ้านจับที่ไหล่ของเขา รณภพมองที่มือภวิชที่จับไหล่เขาแล้วมองสบตาบ่งบอกว่าไม่พอใจ “ เดี๋ยวก่อน ” “ ปล่อย! ” รณภพบอกนิ่งๆ ภวิชก็นิ่งไม่ต่างกัน ภวิชรีบยกมือที่จับไหล่ของรณภพพร้อมทำท่ายกไหล่ขึ้นเล็กน้อย “ อ่ะ โอ เค ” ก่อนที่รณภพจะยกมือขึ้นมาปัดมือเขาเสียเอง “ มีไร ” รณภพถามเสียงห้วน มันทำให้ภวิชยืนกอดอกพร้อมยกยิ้มอย่างพอใจ มินตรามองคนสองคนสลับกันอย่าง งงๆ “ ยิ้มบ้าอะไร ” “ ไม่เลวนี่เรา ” เขาบอกอย่างเป็นนัยๆ ซึ่งรณภพส่ายหัวแล้วเดินหนีขึ้นบนบ้านยังไม่วายทิ้งทายหาว่า เขาประสาทไว้อีก ภวิชมองตามหลังรณภพจนพ้นสายตาแล้วหันกลับมามองมินตราที่คิ้วขมวดใส่เขา “ ขอโทษแทนมิกด้วยนะค่ะ ฉันผิดเองที่อบรมเขาไม่ดี ” “ ไม่หรอกผมไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว ไม่ได้ผิดที่คุณอบรมหรือดูแลไม่ดีหรอกมิน บางทีมันก็เป็นเพียงช่วงหนึ่งก็เท่านั้น ” “ ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ ฉันกวนคุณมามากแล้ว คุณกลับเถอะคะจะได้พักผ่อน ” “ นี่ไล่หรอ? ” เขากอดอกมองหญิงตรงหน้าบึ้งตึง “ ปะเปล่าค่ะ เฮ้อ ฉันแค่เห็นว่าคุณควรพักได้แล้ว ” เธอให้ความเห็นอย่างนั้น ภวิชเองก็เข้าใจแต่ก็อยากอยู่เป็นเพื่อนเธอก่อน “ แต่คุณยังไม่บอกผมว่าเกิดอะไรขึ้น? ” เขาหาเรื่องถามอีกครั้งที่ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ “ คือพ่อของฉันหายไปค่ะ ” ร่างบางก้มหน้าซึมอีกครั้งคิดถึงผู้ให้กำเนิด ภวิชถอนหายใจหนักๆ แล้วเดินมาจับบ่าหล่อนแน่นๆ ก้มหน้าคมคายลงมาใกล้ “ พ่อคุณไม่เป็นอะไรหรอกน่า อย่าคิดมากสิ ” “ มิก จะไปไหน ” สายตาที่มองร่างสูงอยู่เปลี่ยนเป็นมองน้องชายที่เดินลงบันไดมาพร้อมกระเป๋าเป้สะพายที่หลัง ภวิชถอยห่างจากหญิงสาวที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามน้องที่กำลังเดินออกนอกตัวบ้าน “ พี่ถาม ได้ยินไหม ” “ บ้านเพื่อน ” รณภพก้าวขาขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์คู่ใจแล้วถึงตอบ ร่างบางมองรถบิ๊คไบค์คันใหญ่ที่สวยงามเบื้องหน้าก็ตกใจทันทีบิ๊กไบค์สีดำนิลสนิท ราคาไม่ใช่เล่นน้องเขาจะเอาเงินมาจากไหน “ ไปเอารถคันนี้มาจากไหน ของใคร? ” “ ยุ่งน่า ฉันทำงาน แล้วนี่ก็รถฉัน ” “ บ้ารึไง เรียนยังไม่จบมอปลาย ใครเขาจะรับเข้าทำงาน งานอะไรให้เงินเยอะขนาดซื้อรถแบบนี้ได้หะ ” มินตราเริ่มหงุดหงิดแล้ว เธอดึงกุญแจออกจากตัวรถแล้วถอยห่างจากน้อง “ เอามานะมิน ” รณภพตาดุวาบไม่เกรงกลัวพี่สักนิด “ ไม่ให้ ” มินตราหมุนตัวจะหนีแต่ก็ชนกับภวิชก่อน ภวิชดึงมือมินตราที่กำพวงกุญแจบิ๊กไบค์คันงามแล้วดึงออกจากมือเธอ ซึ่งมินตราไม่เข้าใจ รวมถึงรณภพด้วย เขายังคงนั่งคร่อมอยู่ที่ตัวรถ ภวิชก้าวเท้าไม่กี่ก้าวก็ถึง เขาส่งกุญแจให้กับเจ้าของเดิม “ นี่คุณจะทำอะไรหน่ะ ” มินตราจะเดินมากระชากกลับแต่อย่าหวังเพราะรณภพคว้าไปกำไว้เสียแล้ว “ ฉันไม่ขอบใจหรอกนะ ” เขาบอกอย่างทะนงตน “ ฉันก็ไม่อยากได้คำขอบใจ แต่อยากได้อย่างอื่นมากกว่า ” เขาตอบเป็นนัยๆ อีกครั้ง รณภพไม่สนใจอีกต่อไปเขาขี้เกียจพูดเจอแต่เรื่องมาทั้งวันเมื่อรถคันงามแล่นจากไปก็เหลือเพียงมินตราที่มองเขาแววตาขุ่นเคือง “ คุณทำแบบนี้ทำไม? ”“ นี่คุณทำอะไรของคุณ มาดึงมือฉันทำไม ไม่เห็นหรอว่าน้องฉันกำเริบขนาดไหน ” หญิงสาวสาดเสียงใส่ชายหนุ่มผู้ที่เธอเสียจูบแรกให้เขาและยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอพร้อมดึงมือออกจากการเกาะกุม “ เห็นสิมิน ผมรู้ว่าคุณโกรธ แต่คุณโมโหใครเขาจะฟัง เรื่องของน้องกับพ่อของคุณพักไว้ก่อนดีกว่าส่วนคุณมากับผมเลย ” ภวิชฉวยโอกาสฉุดมือหญิงสาวให้เดินตามเขาถึงแม้จะขัดขืนแต่เธอก็สู้แรงเขาไม่ได้ “ นี่!!คุณภวิชค่ะ คุณจะพาฉันไปไหน ” “ ถามมากจริง จิ๊ เดี๋ยวถึงที่ก็รู้เองไม่ต้องห่วงตอนนี้ผมยังไม่......อยาก ” เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะคล้ายหงุดหงิดแต่เปล่าหรอกแค่วางฟอร์มเท่านั้นก่อนจะใช้สายตามองหล่อนด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ยิ้มนิดๆที่มุมปากซึ่งหล่อนเห็นว่ามันดูไม่น่าไว้ใจยังไงก็ไม่รู้ และจบท้ายด้วยการเน้นเสียงที่ปลายประโยค คำว่า. ' อยาก ' เธอไม่ได้ซื่อถึงขนาดที่ว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร “ กรี้สสสสส หื่น.. นี่คุณโรคจิตหรือไงห๊า ” “ ฮ่าๆๆ ผมเป็นผู้ชายนี่ เจอสาวๆ ก็ต้องมีบ้างแต่วางใจได้ผมไม่ทำแน่นอนถ้าผู้หญิงไม่สมยอม รับประกัน!! ได้เลย บ่นมากเดี๋ยวจับปล้ำตรงนี้ซะนี่ ” เขาหัวเราะเสียงดังในขณะดันหญิงสาวให้เข้าไปนั่งประจำที่พร
“ กรี๊ด คุณภวิช นี่คุณพาฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย อร้ายยยยฉันไม่มีเวลามาเล่นกับพวกคุณหรอกนะ ” มินตรากรีดร้องเมื่อได้ยินเสียงปืนดังต่อเนื่อง เมื่อคืนหล่อนเผลอหลับไปที่คอนโดของเขาที่ลากเธอไปพอสายๆของวัน เขาก็ลากเธอมา เล่นเกมส์บ้าบออะไรก็ไม่รู้ ชื่อเกมส์ IDPA คือเกมส์ยิงปืนเพื่อฝึกการป้องกันตัว เหมือนสถานการณ์จริงแต่ลูกกระสุนไม่ใช่ของจริง แต่ไหงกลายเป็นเธอที่ต้องโดดเดี่ยวด้วย “ ช่วยพวกผมหน่อยไม่ได้หรือไง ก็แค่เกมส์เองหน่ะมิน คุณจะซีเรียสทำไม ” ภวิช สวมถุงมือหนังสีดำ ชุดกันกระสุนกางเกงขายาว การแต่งกายเหมือนตำรวจชุดสืบสวนเหมือนที่เธอชอบดูหนังฝรั่ง เขาเก็บโทรศัพท์ยัดเข้าล็อคเกอร์พร้อมล็อคกุญแจแล้วโยนให้ทัชที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ กฤษ นายบอกให้เขาจัดทีมให้แข่งกับเราพร้อมแล้วใช่ไหม ” “ ใช่ครับ ” “ แล้วไหนคุณบอกเล่นเกมส์ เล่นเกมส์บ้าอะไรหน้าที่ฉันเป็นตัวประกันนี่อ่ะนะ ต้องใส่หมวกอะไรด้วยก็ไม่รู้ แล้วมันใส่ยังไงเนี่ย ” เธอบ่นอย่างหัวเสียเกมส์อะไรจับมาเธอมามัดให้ยืนอยู่กลางแจ้งเนี่ยนะ บ้าชัดๆ ได้ยิงบ้างคงดีนี่ไม่มีสิทธิ์ได้สู้เลย หน้าง้ำงอของหญิงสาวทำให้ภวิชยิ้มกว้างหล่อนพยายามจะสวมเสื้อกันกร
“ เจ้านายครับใกล้ได้เวลาแล้วครับ ” ทัชบอกเจ้านายหนุ่มที่ยืนอยู่ริมสนามพร้อมหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง “ อืม รู้แล้ว ” “ คุณมินตราครับ เชิญตามผมมาทางนี้ครับ ” มินตราจู่ๆขาก็แข็งก้าวไม่ออกซะงั้นเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ถูกสร้างจำลองเหตุการณ์แต่กลับเป็นเหมือนสถานการณ์จริงแถมรอบๆที่ดูน่ากลัววังเวง เริ่มตกเย็นแล้วด้วยเพราะก่อนลงสนามนี่เขาก็บอกกติกาและวิธีการเล่นก็เสียเวลาไปนานพอสมควร “ คุณเป็นอะไรรึเปล่ามิน ” เขาถามเมื่อเห็นเธอหน้าซีดเล็กน้อย “ ปะเปล่าค่ะ ” “ คุณไปเตรียมตัวตัวสิ ผมจะไปส่ง ” ภวิชกล่าวขึ้น “ มาสิมิน ” เขาเร่งเมื่อเธอไม่ยอมเดินตามมา “ คะ ” ระหว่างทางที่เดินไม่มีการพูดคุยกันภวิชลอบมองสีหน้ากังวลของเธออยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่เห็นเธอจะเอ่ยปากอะไรกับเขาเมื่อถึงแท่นแสตนที่มีเสาอยู่ต้นนึง แสตนสูงที่ทำจากเหล็กมินตราพยายามทำใจให้กล้าอย่าไปกลัวมันก็แค่เกมส์ “ ถ้างั้นผมไปประจำที่ก่อนนะ ” “ ดะเดี๋ยวค่ะ มันเป็นแค่เกมส์ใช่ไหมไม่อันตรายใช่ไหมคุณจะมาช่วยฉันได้แน่ๆใช่ไหม ” เธอคว้าแขนของเขาไว้ทันทีที่เขาหันหลังจะก้าวกลับไปทางเดิมภวิชมองมือบางเล็กที่จับแขนเขาไว้พร้อมพ
มินตราถูกตรึงมือเข้ากับเสาปูนต้นนึง ผ้าปิดปาก......บ้า เกมส์บ้าอะไรพาเธอมาทารุณชัดๆ ' คุณวิช.. คุณหายไปไหนเนี่ยนานไปแล้วนะ.....' มินตราเกิดใจหวั่นเล็กน้อยในใจยอมรับเลยว่ากลัว เหตุการณ์ในอดีตนั้นเธอจำได้ไม่ลืม เหตุการณ์วันนั้นวันที่เธอถูกคนของเสี่ย ชัย จับไป แต่โชคดีที่วันนั้นเธอเอาตัวรอดกลับมาได้ต้องหลบหัวซุกหัวซุนไปหลายที่เลย “ ปังๆๆๆๆ ” เสียงปืนดังขึ้นบ่อยและหลายต่อหลายครั้งทำให้ความคิดในอดีตต้องหยุดลง มินตรารู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มอาจกำลังมาช่วยเธอ ฟ้าเริ่มมืดสลัวจนแทบมองไม่เห็นอะไรแล้วเธอถูกมัดอยู่ในโกดังที่มีเพียงแสงไฟสีส้มจางๆ สาดส่องเข้ามาก็เท่านั้น ฝั่งภวิช ชายหนุ่มมีเหงื่อท่วมตัว ให้ตายสิคราวนี้ลำบากกว่าคราวที่แล้วหลายเท่าเลย มีทั้งระเบิดทั้งเอฟเฟคนี่มันพอๆกับทำสงครามมากกว่าป้องกันตัวละมั้ง “ กฤตฉันบอกให้นายโทรมาบอกเขาแล้วไม่ใช่หรอแล้วใครเลือกระดับบ้าบอนี่ห๊ะ.....” ภวิชสบถอย่างหัวเสีย ถ้าวันปกติเขาคงไม่เท่าไหร่แต่ทำไมต้องเป็นวันนี้วะวันนี้มินตราอยู่กับเขาลูกน้องก็ได้ใจจริงจริ้งจัดด่านยากให้เขาถึงตัวมินตราได้ช้าขึ้น ฉันควรตบรางวัลให้นา
“ มิก เห้ยมึงช่วยกูหน่อยไม่ได้ไงว่ะ วันนี้ไอ้ซันไม่มาจริงๆนะเว้ย ” เพื่อนของรณภพที่เป็นนักดนตรีขอร้องให้รณภพช่วยเล่นกีต้าร์ให้เพราะเพื่อนเกิดเข้าโรงพยาบาลกะทันหันถ้าไม่มีการเล่นโฟคซองวันนี้เขาต้องโดนผู้จัดการเล่นงานแน่ๆ “ ไม่เอาเว้ย กูบอกแล้วไงว่าไม่ชอบ กูเป็นแค่บาร์เทนเดอร์ พอ! ” “ โห่ว กูก็แค่ขอให้มึงมาเล่นโฟคซองแทนกูแค่ชั่วโมงเอง เดี๋ยวกูหาเพื่อนมากู ขอแค่ชั่วโมงให้มึงมาแทนแค่นี้ไม่ได้ใช่ไหมไอ้มิก ” “ ไอ้เปรี้ยว มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบไปทำตัวให้ใครเห็นหน้ากู ” “ ก็กูรู้ไงไอ้มิก กูถึงขอมึงแค่ชั่วโมงเนี่ยถ่วงเวลาเล่นให้กูก่อนเดี๋ยวกูหาคนมาเล่นแทนไอ้ซันเอง มึงช่วยกูไม่ได้หรอ ” รณภพกำลังเจรจากับเพื่อน จะเรียกว่าเจรจาก็คงไม่ใช่เรียกว่าพยายามปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อนตัวเอง มากกว่า “ แล้วถ้ากูไม่ช่วยมึงหล่ะมึงจะทำไง ” “ ก็ไม่ทำไง มึงก็รู้พี่เอ้ดุจะตายกูก็แค่โดนไล่ออก ” ชายหนุ่มอีกคนสบถเบาๆ พี่เอ้คือผู้จัดการที่ใครๆก็รู้ว่าไนท์คลับนี้พี่เอ้เป็นคนเข้มงวดขนาดไหน วงดนตรีของเปรี้ยว ถูกจ้างให้มาเล่นด้วยบทเพลงที่ทั้งร็อคและอ่อนหวานทำให้คนสนใจ ผู้อยู่เบื้องหลังก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไ
ภวิช กิตติรัชไพทูล ลูกชายคนเล็กของท่านกิตติศักดิ์ละคุณหญิงรติการ กิตติรัชไพทูล เจ้าของบริษัทขนส่งน้ำมันรายใหญ่ของประเทศและอสังหาริมทรัพย์อีกมากมาย ที่สำคัญท่านเคยเป็นบุคคลที่อยู่เบื้องหลังอำนาจมืดหลายๆอย่างแต่วันนี้ถึงคราวจะสละให้ลูกชายวัย 29 ปี ดำรงตำแหน่งงานสักทีหลังจากฝึกฝนและกว่าจะผ่านด่านทดสอบอย่างยากลำบากมาหลายปี....ภวิช ชายหนุ่มรูปงามที่มีทรงผมสีดำสนิทรองทรงสูงทรงผมที่รับเข้ากับจมูกรั้นที่แฝงความเอาแต่ใจ ริมฝีปากหยักหนาที่สาวๆพากันหลงใหล คิ้วเข้มเรียงตัวสวย จุดเด่นที่สำคัญของเขาคือดวงตา สีน้ำตาลเข้มคู่นั้นที่ชวนน่าหลงใหลยิ่งนัก แววตาที่หลากหลายอารมณ์ทั้งอ่อนหวาน อ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความดุดัน ชายหนุ่มก้าวลงจากรถราคาหลายล้านในชุดสูทภูมิฐาน ดวงตาคู่งามถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดสีน้ำตาลพร้อมมองสถานที่ที่เขามาวันนี้ “ กฤษ วันนี้นายช่วยเลื่อนนัดแซมให้ฉันที บอกเขาว่าฉันติดธุระด่วนไว้ฉันจะติดต่อกลับไป ” เขาหันมาสั่งการ์ดคนสนิทที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่ในเวลาเดียวกัน “ ส่วนทัช นายช่วยติดต่อไปที่บริษัทแล้วบอกให้กัญญาส่งเอกสารเกี่ยวกับการขนสินค้าลงเรือมาให้ฉันที่นี่ด่วน ” เขาบอกการ
ในห้องพักสำหรับผู้บริหารภวิชต้องพยายามควบคุมอารมณ์อย่างมากเพื่อจะเคลียเรื่องวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้น เขากำลังประเมินชาวต่างชาติสองคนข้างหน้าว่าที่มาก่อกวนต้องการอะไรกันแน่ “ คุณว่าคนของผมไม่มีมารยาท และโรงแรมผมไม่มีความปลอดภัยในการดูแลทรัพย์สินใช่ไหม ” เขาพูดในขณะที่หันหลังให้ฝรั่งทั้งสองคนที่ยืนมองพฤติกรรมของเขา “ ก็ใช่หน่ะสิเครื่องเพรชชุดใหญ่ของฉันหายไปถ้าไม่อยากตกเป็นข่าวก็จ่ายค่าเสียหายมาซะ ” หึๆภวิชหัวเราะในลำคอที่มันกล้าต่อรองกับเขาไม่ต้องกลัวความเสียหายแล้วมั้งในเมื่อไอ้ฝรั่งสองคนนี้สร้างไว้ให้เขาแล้วเมื่อครู่....แต่เขาจะไม่ให้เสียชื่อเขาแน่นอน “ ถ้างั้นผมมีข้อเสนอ ขอผมตรวจสอบได้ไหมถ้าคุณยืนยันอย่างนั้น ” เขาพูดใจเย็นทั้งๆที่ใจร้อนระอุ ชาวต่างชาติหันมองหน้ากันเพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคนเบื้องหน้ามาแบบไหนแต่ฟังจากน้ำเสียงคงไม่มีอะไร “ ได้ ” คำตอบนี่ทำให้ภวิชยิ้มร้ายที่มุมปากน้ำเสียงที่ฟังดูใจเย็นนั่นเป็นอีกวิธีเพื่อดูท่าทางอีกฝ่ายก็เท่านั้น “ อีกอย่างที่ผมจะบอก ” เขาหันหน้ามาประชัน ก่อนจะพูดต่อว่า “ คนที่ทำความผิดที่นี่ย่อมมีโทษ ถ้าขโมย โทษคือตัดมือ! ” คำพูดตอนจบ
“ คุณอาการเป็นอย่างไงบ้าง นี่ก็ค่ำแล้ว ทานอะไรรึยัง ” เขาถามเสียงเรียบแต่แฝงความห่วงใย “ ค่ะ ยังไงฉันก็ต้องขอบคุณจริงๆ ” รอยยิ้มนั้นทำให้เขาเหมือนโดนมนต์สะกด ก่อนที่เขาจะเสียศูนย์ไปมากกว่านี้เขาต้องเปลี่ยนสถานการณ์ด่วน “ ป้าแก้วคงเตรียมกับข้าวแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ ” เขาพูดเสียงขรึมคิ้วขมวดทำให้ร่างบางไม่เข้าใจเท่าไหร่กับอารมณ์แปรปรวนของชายร่างสง่างามตรงหน้า ก่อนที่เขาจะเดินนำหล่อนไป แต่เมื่อก้าวพ้นประตูชายหนุ่มเอามือข้างขวาจับหัวใจด้านซ้ายที่มันเต้นแรงเมื่อเดินนำห่างจากหล่อนจนคิดว่าหล่อนไม่เห็นแล้ว “ เฮ้อ ” เขาถอนหายใจหนักๆกับตนเองก่อนจะทิ้งระยะห่างจากสาวเจ้า ร่างบางที่ก้าวออกจากห้องครั้งแรกมองรอบๆตัว บันไดสีน้ำตาลลายไม้ศักดิ์ที่เป็นเกลียวตั้งอยู่กลางตัวบ้าน....บันไดขนาดที่ยาวไม่มากแต่มีสองฝั่งและสองชั้นคือถ้าเดินขึ้นมาชั้นแรกประตูที่เห็นคือห้องทำงานแต่ถ้าอีกชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปอีกนิดที่มีบันไดเพียงห้าขั้นซึ่งสถานที่นั้นคือที่ส่วนตัวของภวิช นั่นคือห้องนอนนั่นเองมันเป็นการออกแบบของเขาในการสร้างพื้นที่ส่วนตัว ป้าแก้วคือผู้หญิงคนแรกที่เขาให้เข้าได้เพราะต้องทำความสะอาด ส่วนบุคคลอื
“ มิก เห้ยมึงช่วยกูหน่อยไม่ได้ไงว่ะ วันนี้ไอ้ซันไม่มาจริงๆนะเว้ย ” เพื่อนของรณภพที่เป็นนักดนตรีขอร้องให้รณภพช่วยเล่นกีต้าร์ให้เพราะเพื่อนเกิดเข้าโรงพยาบาลกะทันหันถ้าไม่มีการเล่นโฟคซองวันนี้เขาต้องโดนผู้จัดการเล่นงานแน่ๆ “ ไม่เอาเว้ย กูบอกแล้วไงว่าไม่ชอบ กูเป็นแค่บาร์เทนเดอร์ พอ! ” “ โห่ว กูก็แค่ขอให้มึงมาเล่นโฟคซองแทนกูแค่ชั่วโมงเอง เดี๋ยวกูหาเพื่อนมากู ขอแค่ชั่วโมงให้มึงมาแทนแค่นี้ไม่ได้ใช่ไหมไอ้มิก ” “ ไอ้เปรี้ยว มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบไปทำตัวให้ใครเห็นหน้ากู ” “ ก็กูรู้ไงไอ้มิก กูถึงขอมึงแค่ชั่วโมงเนี่ยถ่วงเวลาเล่นให้กูก่อนเดี๋ยวกูหาคนมาเล่นแทนไอ้ซันเอง มึงช่วยกูไม่ได้หรอ ” รณภพกำลังเจรจากับเพื่อน จะเรียกว่าเจรจาก็คงไม่ใช่เรียกว่าพยายามปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อนตัวเอง มากกว่า “ แล้วถ้ากูไม่ช่วยมึงหล่ะมึงจะทำไง ” “ ก็ไม่ทำไง มึงก็รู้พี่เอ้ดุจะตายกูก็แค่โดนไล่ออก ” ชายหนุ่มอีกคนสบถเบาๆ พี่เอ้คือผู้จัดการที่ใครๆก็รู้ว่าไนท์คลับนี้พี่เอ้เป็นคนเข้มงวดขนาดไหน วงดนตรีของเปรี้ยว ถูกจ้างให้มาเล่นด้วยบทเพลงที่ทั้งร็อคและอ่อนหวานทำให้คนสนใจ ผู้อยู่เบื้องหลังก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไ
มินตราถูกตรึงมือเข้ากับเสาปูนต้นนึง ผ้าปิดปาก......บ้า เกมส์บ้าอะไรพาเธอมาทารุณชัดๆ ' คุณวิช.. คุณหายไปไหนเนี่ยนานไปแล้วนะ.....' มินตราเกิดใจหวั่นเล็กน้อยในใจยอมรับเลยว่ากลัว เหตุการณ์ในอดีตนั้นเธอจำได้ไม่ลืม เหตุการณ์วันนั้นวันที่เธอถูกคนของเสี่ย ชัย จับไป แต่โชคดีที่วันนั้นเธอเอาตัวรอดกลับมาได้ต้องหลบหัวซุกหัวซุนไปหลายที่เลย “ ปังๆๆๆๆ ” เสียงปืนดังขึ้นบ่อยและหลายต่อหลายครั้งทำให้ความคิดในอดีตต้องหยุดลง มินตรารู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มอาจกำลังมาช่วยเธอ ฟ้าเริ่มมืดสลัวจนแทบมองไม่เห็นอะไรแล้วเธอถูกมัดอยู่ในโกดังที่มีเพียงแสงไฟสีส้มจางๆ สาดส่องเข้ามาก็เท่านั้น ฝั่งภวิช ชายหนุ่มมีเหงื่อท่วมตัว ให้ตายสิคราวนี้ลำบากกว่าคราวที่แล้วหลายเท่าเลย มีทั้งระเบิดทั้งเอฟเฟคนี่มันพอๆกับทำสงครามมากกว่าป้องกันตัวละมั้ง “ กฤตฉันบอกให้นายโทรมาบอกเขาแล้วไม่ใช่หรอแล้วใครเลือกระดับบ้าบอนี่ห๊ะ.....” ภวิชสบถอย่างหัวเสีย ถ้าวันปกติเขาคงไม่เท่าไหร่แต่ทำไมต้องเป็นวันนี้วะวันนี้มินตราอยู่กับเขาลูกน้องก็ได้ใจจริงจริ้งจัดด่านยากให้เขาถึงตัวมินตราได้ช้าขึ้น ฉันควรตบรางวัลให้นา
“ เจ้านายครับใกล้ได้เวลาแล้วครับ ” ทัชบอกเจ้านายหนุ่มที่ยืนอยู่ริมสนามพร้อมหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง “ อืม รู้แล้ว ” “ คุณมินตราครับ เชิญตามผมมาทางนี้ครับ ” มินตราจู่ๆขาก็แข็งก้าวไม่ออกซะงั้นเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ถูกสร้างจำลองเหตุการณ์แต่กลับเป็นเหมือนสถานการณ์จริงแถมรอบๆที่ดูน่ากลัววังเวง เริ่มตกเย็นแล้วด้วยเพราะก่อนลงสนามนี่เขาก็บอกกติกาและวิธีการเล่นก็เสียเวลาไปนานพอสมควร “ คุณเป็นอะไรรึเปล่ามิน ” เขาถามเมื่อเห็นเธอหน้าซีดเล็กน้อย “ ปะเปล่าค่ะ ” “ คุณไปเตรียมตัวตัวสิ ผมจะไปส่ง ” ภวิชกล่าวขึ้น “ มาสิมิน ” เขาเร่งเมื่อเธอไม่ยอมเดินตามมา “ คะ ” ระหว่างทางที่เดินไม่มีการพูดคุยกันภวิชลอบมองสีหน้ากังวลของเธออยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่เห็นเธอจะเอ่ยปากอะไรกับเขาเมื่อถึงแท่นแสตนที่มีเสาอยู่ต้นนึง แสตนสูงที่ทำจากเหล็กมินตราพยายามทำใจให้กล้าอย่าไปกลัวมันก็แค่เกมส์ “ ถ้างั้นผมไปประจำที่ก่อนนะ ” “ ดะเดี๋ยวค่ะ มันเป็นแค่เกมส์ใช่ไหมไม่อันตรายใช่ไหมคุณจะมาช่วยฉันได้แน่ๆใช่ไหม ” เธอคว้าแขนของเขาไว้ทันทีที่เขาหันหลังจะก้าวกลับไปทางเดิมภวิชมองมือบางเล็กที่จับแขนเขาไว้พร้อมพ
“ กรี๊ด คุณภวิช นี่คุณพาฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย อร้ายยยยฉันไม่มีเวลามาเล่นกับพวกคุณหรอกนะ ” มินตรากรีดร้องเมื่อได้ยินเสียงปืนดังต่อเนื่อง เมื่อคืนหล่อนเผลอหลับไปที่คอนโดของเขาที่ลากเธอไปพอสายๆของวัน เขาก็ลากเธอมา เล่นเกมส์บ้าบออะไรก็ไม่รู้ ชื่อเกมส์ IDPA คือเกมส์ยิงปืนเพื่อฝึกการป้องกันตัว เหมือนสถานการณ์จริงแต่ลูกกระสุนไม่ใช่ของจริง แต่ไหงกลายเป็นเธอที่ต้องโดดเดี่ยวด้วย “ ช่วยพวกผมหน่อยไม่ได้หรือไง ก็แค่เกมส์เองหน่ะมิน คุณจะซีเรียสทำไม ” ภวิช สวมถุงมือหนังสีดำ ชุดกันกระสุนกางเกงขายาว การแต่งกายเหมือนตำรวจชุดสืบสวนเหมือนที่เธอชอบดูหนังฝรั่ง เขาเก็บโทรศัพท์ยัดเข้าล็อคเกอร์พร้อมล็อคกุญแจแล้วโยนให้ทัชที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ กฤษ นายบอกให้เขาจัดทีมให้แข่งกับเราพร้อมแล้วใช่ไหม ” “ ใช่ครับ ” “ แล้วไหนคุณบอกเล่นเกมส์ เล่นเกมส์บ้าอะไรหน้าที่ฉันเป็นตัวประกันนี่อ่ะนะ ต้องใส่หมวกอะไรด้วยก็ไม่รู้ แล้วมันใส่ยังไงเนี่ย ” เธอบ่นอย่างหัวเสียเกมส์อะไรจับมาเธอมามัดให้ยืนอยู่กลางแจ้งเนี่ยนะ บ้าชัดๆ ได้ยิงบ้างคงดีนี่ไม่มีสิทธิ์ได้สู้เลย หน้าง้ำงอของหญิงสาวทำให้ภวิชยิ้มกว้างหล่อนพยายามจะสวมเสื้อกันกร
“ นี่คุณทำอะไรของคุณ มาดึงมือฉันทำไม ไม่เห็นหรอว่าน้องฉันกำเริบขนาดไหน ” หญิงสาวสาดเสียงใส่ชายหนุ่มผู้ที่เธอเสียจูบแรกให้เขาและยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอพร้อมดึงมือออกจากการเกาะกุม “ เห็นสิมิน ผมรู้ว่าคุณโกรธ แต่คุณโมโหใครเขาจะฟัง เรื่องของน้องกับพ่อของคุณพักไว้ก่อนดีกว่าส่วนคุณมากับผมเลย ” ภวิชฉวยโอกาสฉุดมือหญิงสาวให้เดินตามเขาถึงแม้จะขัดขืนแต่เธอก็สู้แรงเขาไม่ได้ “ นี่!!คุณภวิชค่ะ คุณจะพาฉันไปไหน ” “ ถามมากจริง จิ๊ เดี๋ยวถึงที่ก็รู้เองไม่ต้องห่วงตอนนี้ผมยังไม่......อยาก ” เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะคล้ายหงุดหงิดแต่เปล่าหรอกแค่วางฟอร์มเท่านั้นก่อนจะใช้สายตามองหล่อนด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ยิ้มนิดๆที่มุมปากซึ่งหล่อนเห็นว่ามันดูไม่น่าไว้ใจยังไงก็ไม่รู้ และจบท้ายด้วยการเน้นเสียงที่ปลายประโยค คำว่า. ' อยาก ' เธอไม่ได้ซื่อถึงขนาดที่ว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร “ กรี้สสสสส หื่น.. นี่คุณโรคจิตหรือไงห๊า ” “ ฮ่าๆๆ ผมเป็นผู้ชายนี่ เจอสาวๆ ก็ต้องมีบ้างแต่วางใจได้ผมไม่ทำแน่นอนถ้าผู้หญิงไม่สมยอม รับประกัน!! ได้เลย บ่นมากเดี๋ยวจับปล้ำตรงนี้ซะนี่ ” เขาหัวเราะเสียงดังในขณะดันหญิงสาวให้เข้าไปนั่งประจำที่พร
รถคันงามจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านของมินตรา ตลอดการเดินทางมินตรารู้สึกตัวตื่นและหลับไปหลายต่อหลายครั้ง เขาพาเธอแวะพักทานข้าวโดยที่ตอนแรกเธอไม่ยอมเพราะอยากกลับบ้าน แต่ภวิชก็พะเน้าพะนอลากเธอให้ลงไปกินข้าวด้วยกัน ซึ่งมันคือข้าวกลางวันของเขาและเธอในเวลา 2 ทุ่ม “ นี่คุณ! ฉันจะรีบกลับบ้านนะ ฉันไม่หิว คุณอยากกินก็กินคนเดียวสิคะลากฉันมาทำไม ” “ มินตรา คุณไม่หิวแต่ผมหิว ให้ผมกินคนเดียว ผมกินไม่ลงหรอกแค่กินข้าวเป็นเพื่อนผมมันคงไม่ลำบากคุณมากเกินไปหรอกมั้ง ” เขาไม่สนใจอาการฟึดฟัดของคนตรงหน้าสักนิดแถมยังตักอาหารใส่จานหล่อนจนในที่สุดคนหน้างอก็ต้องตักเข้าปากตามใจเขาอีกจนได้ “ ก็แค่นั้น ” เขาพูดอย่างพอใจ เมื่อทานข้าวกันเสร็จก็เดินทางอีกครั้งและมินตราก็หลับอีกครั้งโดยมีหมอนหนุนเป็นแบบพิเศษนั่นคือตักของภวิช ภวิชหยุดห้วงความคิดที่เพิ่งไปทานข้าวกับเธอพร้อมมองปัจจุบันคือเวลานี้ที่รถจอดสนิทหน้าบ้านมินตรา เกือบยี่สิบนาทีแล้วที่เขานั่งนิ่งๆ แบบนี้ ทัชมองเจ้านายหนุ่มที่เอาแต่มองออกนอกกระจกไปยังตัวบ้านของคนที่เขามาส่ง ไม่มีทีท่าว่าจะปลุกหล่อนขึ้นมา ภวิชถอนหายใจอย่างหนัก ที่มาถึงบ้านหล่อนแล้ว เขาไม่อยากป
เช้ามืดวันต่อมาที่หล่อนค่อยๆปรือตารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อทำท่าจะลุกจากที่นอนก็รู้สึกถึงมีบางอย่างทับอยู่ที่หน้าท้องของเธอพร้อมเสียงลมหายใจเธอจึงค่อยๆหันมามอง “ เปี้ยะ นี่คุณ! ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ ” มินตราลุกขึ้นเขย่าตัวเขาแรงๆ เจ้าเล่ห์จริงๆมานอนกอดหล่อนได้ยังไง “ อะอืม เช้ามืดอยู่นะคุณจะปลุกผมทำไมเนี่ย ” เขาทำน้ำเสียงหงุดหงิดทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาพลางควานหานาฬิกาแล้วหลี่ตาขึ้นมอง ตีห้า โอ้ย แม่คุณจะรีบรู้สึกตัวทำไมเนี่ย เขาเข่นเขี้ยวในใจ มือเขาถูกเจ้าหล่อนผลักออกจากตัว “ ทำไมคุณทำแบบนี้ไหนบอกจะนอนที่โซฟาแล้วมานอนที่เตียงได้ยังไง ” หล่อนโวยวายพร้อมดึงเขาให้ลุกขึ้นนั่ง ร่างสูงนั่งสัปหงกตามแรงดึงที่ทำให้เขาลุกขึ้นนั่งแต่ยังไม่ลืมตา ผมที่ตั้งๆชี้โด่วชี้เด่ เพราะนอนพลิกตัวตั้งนานไม่หลับสักทีเมื่อคืนกว่าจะหลับก็ตีสี่ซึ่งเขาเพิ่งจะได้นอนเองก็เพราะแอบชำเลืองมองร่างบางจนเห็นว่าหล่อนหลับสนิทนั่นแหล่ะเขาถึงย่องมา ซุกหัวที่เตียงอย่างเคยเพราะเมื่อยตัวที่ต้องนอนบนโซฟามันจะสู้นอนเตียงได้อย่างไร “ ผมก็นอนแล้วไง! แต่มันปวดตัวนี่ อีกอย่างเตียงออกจะกว้างอย่า งกนักเลยน่า พอๆเลย ไม่ต้องบ่นแล
“ คุณอาการเป็นอย่างไงบ้าง นี่ก็ค่ำแล้ว ทานอะไรรึยัง ” เขาถามเสียงเรียบแต่แฝงความห่วงใย “ ค่ะ ยังไงฉันก็ต้องขอบคุณจริงๆ ” รอยยิ้มนั้นทำให้เขาเหมือนโดนมนต์สะกด ก่อนที่เขาจะเสียศูนย์ไปมากกว่านี้เขาต้องเปลี่ยนสถานการณ์ด่วน “ ป้าแก้วคงเตรียมกับข้าวแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ ” เขาพูดเสียงขรึมคิ้วขมวดทำให้ร่างบางไม่เข้าใจเท่าไหร่กับอารมณ์แปรปรวนของชายร่างสง่างามตรงหน้า ก่อนที่เขาจะเดินนำหล่อนไป แต่เมื่อก้าวพ้นประตูชายหนุ่มเอามือข้างขวาจับหัวใจด้านซ้ายที่มันเต้นแรงเมื่อเดินนำห่างจากหล่อนจนคิดว่าหล่อนไม่เห็นแล้ว “ เฮ้อ ” เขาถอนหายใจหนักๆกับตนเองก่อนจะทิ้งระยะห่างจากสาวเจ้า ร่างบางที่ก้าวออกจากห้องครั้งแรกมองรอบๆตัว บันไดสีน้ำตาลลายไม้ศักดิ์ที่เป็นเกลียวตั้งอยู่กลางตัวบ้าน....บันไดขนาดที่ยาวไม่มากแต่มีสองฝั่งและสองชั้นคือถ้าเดินขึ้นมาชั้นแรกประตูที่เห็นคือห้องทำงานแต่ถ้าอีกชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปอีกนิดที่มีบันไดเพียงห้าขั้นซึ่งสถานที่นั้นคือที่ส่วนตัวของภวิช นั่นคือห้องนอนนั่นเองมันเป็นการออกแบบของเขาในการสร้างพื้นที่ส่วนตัว ป้าแก้วคือผู้หญิงคนแรกที่เขาให้เข้าได้เพราะต้องทำความสะอาด ส่วนบุคคลอื
ในห้องพักสำหรับผู้บริหารภวิชต้องพยายามควบคุมอารมณ์อย่างมากเพื่อจะเคลียเรื่องวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้น เขากำลังประเมินชาวต่างชาติสองคนข้างหน้าว่าที่มาก่อกวนต้องการอะไรกันแน่ “ คุณว่าคนของผมไม่มีมารยาท และโรงแรมผมไม่มีความปลอดภัยในการดูแลทรัพย์สินใช่ไหม ” เขาพูดในขณะที่หันหลังให้ฝรั่งทั้งสองคนที่ยืนมองพฤติกรรมของเขา “ ก็ใช่หน่ะสิเครื่องเพรชชุดใหญ่ของฉันหายไปถ้าไม่อยากตกเป็นข่าวก็จ่ายค่าเสียหายมาซะ ” หึๆภวิชหัวเราะในลำคอที่มันกล้าต่อรองกับเขาไม่ต้องกลัวความเสียหายแล้วมั้งในเมื่อไอ้ฝรั่งสองคนนี้สร้างไว้ให้เขาแล้วเมื่อครู่....แต่เขาจะไม่ให้เสียชื่อเขาแน่นอน “ ถ้างั้นผมมีข้อเสนอ ขอผมตรวจสอบได้ไหมถ้าคุณยืนยันอย่างนั้น ” เขาพูดใจเย็นทั้งๆที่ใจร้อนระอุ ชาวต่างชาติหันมองหน้ากันเพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคนเบื้องหน้ามาแบบไหนแต่ฟังจากน้ำเสียงคงไม่มีอะไร “ ได้ ” คำตอบนี่ทำให้ภวิชยิ้มร้ายที่มุมปากน้ำเสียงที่ฟังดูใจเย็นนั่นเป็นอีกวิธีเพื่อดูท่าทางอีกฝ่ายก็เท่านั้น “ อีกอย่างที่ผมจะบอก ” เขาหันหน้ามาประชัน ก่อนจะพูดต่อว่า “ คนที่ทำความผิดที่นี่ย่อมมีโทษ ถ้าขโมย โทษคือตัดมือ! ” คำพูดตอนจบ