เช้ามืดวันต่อมาที่หล่อนค่อยๆปรือตารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อทำท่าจะลุกจากที่นอนก็รู้สึกถึงมีบางอย่างทับอยู่ที่หน้าท้องของเธอพร้อมเสียงลมหายใจเธอจึงค่อยๆหันมามอง
“ เปี้ยะ นี่คุณ! ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ ” มินตราลุกขึ้นเขย่าตัวเขาแรงๆ เจ้าเล่ห์จริงๆมานอนกอดหล่อนได้ยังไง “ อะอืม เช้ามืดอยู่นะคุณจะปลุกผมทำไมเนี่ย ” เขาทำน้ำเสียงหงุดหงิดทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาพลางควานหานาฬิกาแล้วหลี่ตาขึ้นมอง ตีห้า โอ้ย แม่คุณจะรีบรู้สึกตัวทำไมเนี่ย เขาเข่นเขี้ยวในใจ มือเขาถูกเจ้าหล่อนผลักออกจากตัว “ ทำไมคุณทำแบบนี้ไหนบอกจะนอนที่โซฟาแล้วมานอนที่เตียงได้ยังไง ” หล่อนโวยวายพร้อมดึงเขาให้ลุกขึ้นนั่ง ร่างสูงนั่งสัปหงกตามแรงดึงที่ทำให้เขาลุกขึ้นนั่งแต่ยังไม่ลืมตา ผมที่ตั้งๆชี้โด่วชี้เด่ เพราะนอนพลิกตัวตั้งนานไม่หลับสักทีเมื่อคืนกว่าจะหลับก็ตีสี่ซึ่งเขาเพิ่งจะได้นอนเองก็เพราะแอบชำเลืองมองร่างบางจนเห็นว่าหล่อนหลับสนิทนั่นแหล่ะเขาถึงย่องมา ซุกหัวที่เตียงอย่างเคยเพราะเมื่อยตัวที่ต้องนอนบนโซฟามันจะสู้นอนเตียงได้อย่างไร “ ผมก็นอนแล้วไง! แต่มันปวดตัวนี่ อีกอย่างเตียงออกจะกว้างอย่า งกนักเลยน่า พอๆเลย ไม่ต้องบ่นแล้วผมง่วงนอนดีกว่า ฟึ่บ ” เขาบ่นอย่างรำคาญที่ต้องตื่นตอนเช้าจากการโดนกวน นานๆทีวันนี้เขาจะตื่นสายสักหน่อย “ อร้ายย ” ร่างบางกรี๊ดเมื่อคนเจ้าอารมณ์แถมเจ้าเล่ห์พลิกตัวลงนอนเหมือนเดิมแต่แขนเขาก็มาเกี่ยวทาบให้เธอลงไปนอนกับเขาด้วย ร่างบางดิ้นขลุกขลัก “ นี่คุณภวิช! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ” ยิ่งหล่อนแย้งลำแขนแกร่งก็ยิ่งกดล็อคเธอไว้แน่นโดยที่ตัวเขาหันตะแคงข้างเข้าหาเธอ “ แค่นอนเท่านั้นถ้าไม่หยุดดิ้นผมจะทำมากกว่านี้ให้คุณหมดแรงเลย ไม่เชื่อก็ลองดู ” เขาพูดน้ำเสียงเฉียบขาด เอาอีกแล้ว เขาขู่เธออีกแล้ว “ คุณก็นอนไปสิ เอามือคุณออกจากตัวฉันด้วย ” เธอดิ้นอีกครั้งแต่เหมือนยิ่งพูดยิ่งยุ เพราะเขากระชับอ้อมแขนแน่นยิ่งกว่าเดิม “ อื่อ ” เธอร้องขัดใจเมื่อเขากอดแน่นกว่าเดิม การดิ้นรนเริ่มจะชะงักเมื่อลมหายใจอุ่นๆเริ่มรินลดท้ายทอยของเธอ พร้อมจูบเบาๆจนหล่อนขนลุก ไร้เรื่อยจนถึงซอกคอ “ นะ นี่คุณจะทำอะไร ” เธอเริ่มกลัวแล้วสิว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นจริงว่าเขาจะทำให้เธอหมดแรง “ ไม่ดิ้นแล้วหรอ? ” เขากระซิบถาม ชอบนักเชียวที่ได้แกล้งเธอ ยิ่งต่อปากต่อคำเขายิ่งอยากแกล้งอยากเอาชนะเธอเหลือเกิน “ มะ ไม่ดิ้นแล้วก็ได้แต่คุณห้ามทำอะไรฉันนะคะ ” หล่อนหน้าง้ำงอ แต่จำต้องยอม เขากระชับร่างบางเข้ากับเขาแน่นจนแผ่นหลังหล่อนชิดกับแผงอกแกร่ง จนเธอตัวแข็งทื่อ หน้าแดงจะดิ้นหนีก็ไม่รู้เขาจะทำอะไรเธอหรือเปล่า “ กลัวหรือไง? ” เขาถามเสียงนุ่มเมื่อสัมผัสถึงอาการเกร็งตัวของคนในอ้อมกอด แทนการพูด หล่อนก็พยักหน้าให้เขาแทน ความอยากแกล้งเริ่มลดลง เขาค่อยๆกอดเธออย่างหลวมๆ เสียงลมหายใจที่หล่อนแทบไม่กล้าหายใจ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนร้ายโรคจิตยังไงก็ไม่รู้ ทำให้คนที่นอนกอดอยู่กลัวขนาดนี้เลยหรอ สดซิงขนาดนี้เลยรึไง เขาคิดต่อในใจ มันแปลกที่ยังมีผู้หญิงหวงเนื้อหวงตัวแบบนี้อยู่อีก ก็ดูทุกวันนี้สิ คบกันไม่เท่าไหร่ เนื้อตัวนี่ยกให้เสียแล้ว หล่อนไม่เคยมีแฟนหรือไงถึงได้ทำตัวแข็งทื่อซะขนาดนี้ “ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ” จูบไปแล้วเนี่ยนะยังบอกไม่ทำอะไรไหนจะนอนกอดเธออย่างนี้อีก เธอเถียงเขาในใจ “ ไว้ใจผมได้ ” เขายังพูดต่อ ให้ไว้ใจได้ไงทำกันขนาดนี้ หล่อนก็ยังเถียงในใจอีก และดูเขาจะรู้ว่าหล่อนไม่เชื่อและหล่อนก็คงแอบว่าเขาในใจนั่นแหล่ะเขาจึงพูดต่อ “ นอกจากผมแล้ว ก็ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้นแหล่ะ ” หล่อนหัวเราะในใจ นี่ขนาดไว้ใจได้นะ.....ไม่มีปฎิกิริยาอย่างนี้แสดงว่าไม่เชื่อสินะ แล้วเขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้งก่อนที่เขาจะกระชับตัวหล่อนเข้าไปจูบที่ศรีษะ “ คุณ ” อีกครั้งที่หล่อนส่งเสียงว่าเขา แต่ภวิชกลับยิ้มถูกใจแถมยังหอมไปหลายต่อหลายครั้งอีกยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งจะหอม ร่างบางคิ้วขมวดยู่ คนเอาแต่ใจ เมื่อเขายังระดมจูบที่ศรีษะทุกครั้งที่หล่อนดิ้นจนในที่สุดเจ้าตัวก็นอนนิ่งๆ หมดฤทธิ์แล้วหรอ ใยตัวแสบ เขานึกขำในใจกับท่าทางฟึดฟัดของเธอ “ แค่นอนกอดเท่านั้น มินตรา ” เขาพูดประโยคสุดท้ายอย่างอ่อนโยนไม่มีความเจ้าเล่ห์อีกพร้อมหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา ร่างบางที่จำต้องให้เขากอดถอนหายใจหนักๆ แต่พอได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอแล้วหล่อนก็ค่อยวางใจ เจ้าเล่ห์จริงๆ หล่อนส่ายหัวแล้วหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่หลับอยู่ข้างๆ จะว่าไปปฎิเสธไม่ได้เลยว่าอ้อมกอดของคนตรงหน้าอบอุ่นแปลกๆ ไม่มีความหวาดกลัว กลับรู้สึกปลอดภัยเสียอีก หล่อนพิจารณามองใบหน้าคมคาย จู่ๆรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก จนหล่อนสงสัยว่าเขาแกล้งหล่อนจนเป็นบ้าหรือไงถึงได้นอนยิ้มเช่นนี้ แต่ไม่นานนักร่างบางก็เข้าสู่ห้วงนิทราเช่นเดียวกันกับเขา ร่างสูงกระชับร่างบางที่หันหน้าเข้าหาเขาแน่นกว่าเดิม เขารู้ตัวว่าถูกคนบางคนที่ดิ้นรน หนีจากอ้อมกอดของเขามองอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าหล่อนหลับแล้วเขาถึงกล้ากระชับ คนในอ้อมกอดซุกไซ้เข้าหาอกแกร่งแทนจนเขายิ้มกว้างแล้วหลี่ตาข้างนึงดูเจ้าหล่อน ดูท่าว่าคนขี้เซาไม่รู้ตัวว่ากอดเขาอยู่ สายๆของวันประมาณสิบโมงเช้าที่ร่างสูงค่อยๆรู้สึกตัวมองแสงแดดที่ส่องเข้ามาเล็กน้อยแล้วก็มองคนที่เขากอดไว้ในอ้อมแขนแล้วจูบไปที่ขมับทีนึงแต่ก็ต้องหลับตาลงอีกรอบเมื่อเจ้าตัวเริ่มรู้สึกตัว ในนาทีต่อมา มินตราลืมตาขึ้นแล้วก็ค่อยๆขยับตัวออกจากร่างสูงที่หล่อนเพิ่งรู้ว่านอนกอดเขาจนหล่อนหน้าแดงใบหน้าร้อนผ่าว นี่ทำอะไรลงไปเนี่ยมิน หล่อนว่าตัวเองในใจก่อนจะหันไปดูนาฬิกาตรงหัวเตียงค่อยๆ ยกมือเขาออกจากตัว ซึ่งร่างสูงก็ไม่เกร็งยอมให้หล่อนเอามือเขาออก เธอค่อยๆขยับลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวเจ้าของเตียงจะตื่น กลิ่นกายเขาที่หล่อนสัมผัสเวลาที่เขากอด มันอบอวลเหลือเกิน ร่างบางเดินไปหยิบชุดตัวเองที่เพิ่งซักไว้เมื่อวานแล้วก็เดินเข้าไปจัดการอาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวกลับบ้านของตัวเองสักที ความสุขที่นี่คงเป็นแค่ความทรงจำแล้ว เธอคิดแล้วก็ใจหายไม่ได้ อยู่นี่มา 3 วันรู้สึกผูกพันธ์ ได้รับการดูแลที่ดี และยังได้อ้อมกอดที่อบอุ่นอีก แต่จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อเขาก็มีชีวิตในแบบเขา ส่วนหล่อนก็ต้องไปตามทาง ภวิชลืมตาขึ้นเมื่อร่างมินตราลับหายเข้าไปในห้องน้ำ เขาเอามือสอดเข้าไว้ใต้ศรีษะ อย่างอารมณ์ดีที่ได้นอนกอดเธอ ตอนที่เธอตื่นไม่เหมือนวันแรกที่เขาแอบกอดตอนที่เธอไม่สบาย เรียวปากหยักเม้มแน่นเมื่อคิดไปว่า ถ้าหล่อนกลับไปบ้านแล้วเขาคงต้องรีบคิดแผนให้หล่อนกลับมาอยู่ที่นี่กับเขาอีก เขาส่ายหัว ในความคิดของตัวเอง รู้สึกตัวเอง โรคจิตขึ้นทุกวันตั้งแต่เจอกับเธอ อยากให้เธออยู่ใกล้ อยากทำอะไรต่อมิอะไรไปกับเธอ เขาอยากให้เธอมาเป็นภรรยาเขา เฮ้อ “ แล้วจะทำไงวะ ” เขาพรึมพรำออกมาเบาๆ ดูท่าว่าเขาจะเป็นเอามากจริงๆ ร้อยวันพันปีไม่คิดจะแต่งงาน แต่เธอกลับทำให้เขาคิดข้ามขั้นถึงขั้นมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตได้ซะงั้นเขานั่งหย่อนขาลงข้างเตียง หยิบมือถือของเขาตรงหัวเตียงขึ้นมา ก่อนจะคิดขึ้นได้และเอื้อมไปหยิบมือถือเครื่องเล็กๆ อีกเครื่องที่ซ่อนไว้หลังโต๊ะหัวเตียงที่เขาซ่อนเธอไว้ก่อนที่เขาจะหยิบมันแล้วลุกเดินไปยังห้องทำงาน..... เขาหยิบอุปกรณ์บางอย่างชิ้นเล็กๆที่เขาต้องใช้มันบ่อยๆ ขึ้นมา พร้อมไขควงอีกอันก่อนจะบรรจง ถอดชิ้นส่วนโทรศัพท์เล็กๆนั่นออกอย่างง่ายดายแล้วฝังตัวอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆเข้าไปแล้วประกอบกลับเช่นเดิม เขาดีดนิ้วให้กับตัวเองอย่างภาคภูมิใจ รอยยิ้มฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลา ทีนี้ต่อให้หล่อนหนีเขา เขาก็ตามหล่อนเจอ ต่อให้คุยกับใครที่ไหน เขาก็สามารถได้ยิน เขายิ้มอย่างสุขใจก่อนจะลุกไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์ออกมาจากตู้เสื้อผ้า เขาดูนาฬิกา นี่ปาไป 20 นาที แล้วหล่อนยังไม่ออกมาอีก นี่แหล่ะผู้หญิง ต้องใช้เวลา “ ก๊อกๆ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่โต๊ะอาหารนะมินตรา ” เขาเคาะประตูห้องน้ำแล้วตะโกนบอกเธอก่อนที่จะนำร่างกายของตัวเองไปจัดการกับห้องที่อยู่ถัดไปซึ่งทางเข้าห้องนั้นมันก็อยู่ในห้องนอนนี่แหล่ะ ใกล้ๆ ตู้เครื่องแป้ง ซึ่งมันก็เป็นห้องนอนเหมือนกันส่วนใหญ่เอาไว้เก็บเอกสารสำคัญหรืออยากเงียบๆหายไป ซึ่งหลายคนคิดว่าเขาไปทำงานที่ฝั่งแต่เปล่าเลย เขาอยู่ในห้องแห่งความลับนี่แหล่ะ แต่มันอยู่ในมุมที่ไม่มีใครจะสังเกตเห็นและเธอก็คงไม่เห็นเช่นกัน นี่แหล่ะนักวางแผนอย่างเขาจะทำอะไรก็ลึกลับไปหมด ที่ตรงนั้นเขาก็คิดขึ้นมาเอง ใครจะไปคิดว่าดีไซด์การออกแบบในห้องเขาที่ตกแต่งจนเหมือนลายจิตกรรมข้างฝาจะสามารถเปิดแล้วทะลุไปอีกห้องหนึ่งได้โดยที่ไม่มีใครรู้ “ เรือมาแล้วมาสินะ ” ภวิชและมินตราที่ยืนรอเรืออยู่ที่ท่าน้ำหลังจากทานอาหารกลางวันกันเสร็จหล่อนก็กล่าวขอบคุณและกล่าวลา ภวิชโทรบอกกฤษและสายชลว่าไม่ต้องตามเขาไปเพราะ เมื่อวานกว่าสองคนจะได้พักก็ตีสามกว่าแล้วที่เขาเห็นว่ามีเรือมาจอดเทียบท่าน้ำพร้อมทั้งสองคนที่เดินเข้าบ้านพักตามที่เขาบอก นื่คือเหตุผลที่ทำให้เขานอนไม่หลับ ลูกน้องคนสนิทยังไม่กลับจะหลับได้ไงเพราะห่วงลูกน้องเช่นกันแต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีเขาถึงสบายใจขึ้น “ เจ้านายครับจะพาเธอกลับจริงๆหรอครับ ผมว่าเจ้านายดูเหมือนยังไม่อยากให้เธอกลับเลย ” ทัชเดินมากระซิบถามผู้เป็นนายอย่างหยอกเย้าจนภวิชเอาศอกกระทุ้งเข้าที่ท้องแต่ก็ไม่แรงนัก และไม่เบาด้วยเช่นกัน ทัชเอามือกุมหน้าท้องอดขำไม่ได้ “ เงียบน่าทัช คนอย่างฉันเคยปล่อยไปง่ายๆหรือไงหล่ะ ” เขาหันมาทำตาเจ้าเล่ห์กับบอดี้การ์ดรู้ใจจนทัชยิ้มตาม นี่แหล่ะความร้ายกาจของเจ้านายเขาซึ่งเขารู้ได้ทันทีว่าพ่อบ้านไม่ได้หายไปไหนหรอกนอกจากรับคำสั่งให้ไปทำหน้าที่อะไรสักอย่างตามที่เจ้านายเขาสั่งนั่นแหล่ะ มินตราที่ขึ้นไปรอบนเรืออยู่ก่อนแล้วมองภวิชและผู้ชายอีกคนที่เดินตามขึ้นมา เขาดูคมเข้มและแข็งแรงทั้งคู่ เมื่อเห็นว่ามินตรามองลูกน้องเขาด้วยความสงสัยอยู่ ซึ่งทัชเองก็แค่ยิ้มนิดๆและก้มิหัวทักทายเท่านั้น ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบให้เจ้าหล่อนมองผู้ชายอื่นก็เถอะ “ มินตรา นี่ทัช เขาเป็นลูกน้องของผม ” “ สวัสดีค่ะ ” หล่อนยกมือไหว้ทำเอาทัชเงอะงะรีบรับไหว้จนหน้าเสีย ผู้หญิงของเจ้านายไม่มีใครยกมือไหว้เขาสักคนแต่เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทัชรู้สึกว่าคนนี้ แหล่ะ คงมัดใจนายได้แน่นอน เขาปรับสีหน้าเป็นยิ้มทันที “ ไม่ต้องไหว้ผมก็ได้ครับ นายหญิง เอ้ย คุณมิน ” เขาแกล้งพูดฐานะผิดซึ่งมันทำให้ภวิชหันมาทำตาดุวาววับใส่แต่เขาก็ยิ้มขำๆ กับเจ้านาย เขาเดินมากระซิบลูกน้องตัวดีของตัวเอง ด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน “ นายอยากตายหรือไงทัช ” “ ฮ่า ๆ มิบังอาจครับเจ้านาย ขอตัวครับผมจะไปขับเรือ ” เขาหัวเราะและเลี่ยงตัวออกจากแขนแกร่งของเจ้านายที่เอาแขนมาพาดที่บ่า ภวิชยิ้มตามท้าย นี่แหล่ะลูกน้อง สหายที่ยอมตายเพื่อเขาได้ ทัชเป็นผู้ชายที่มีผิวเข้มแบบที่ผู้ชายทุกคนต้องการมีเพราะเขาออกกำลังกายสม่ำเสมอผมรองทรงสูง จมูกโด่งรั้น ความสูงไม่ต้องพูดถึงพอๆกับภวิชเลยแต่หากแววตามีทีเล่น ทีจริงและมีหุ่นที่ดูสูงใหญ่กว่าภวิชเล็กน้อยเท่านั้น “ ขอตัวครับคุณมิน ” ไม่วายที่จะยั่วโมโหเจ้านายด้วยการหันไปขอตัวกับว่าที่นายหญิงของเขา จนภวิชแทบอยากลากมาอัดสักที ยิ่งสนิทบอดี้การ์ดพวกนี้ก็ยิ่งรู้จุดอ่อนของเขาและยังหาเรื่องกวนประสาทให้เขาสบายใจได้ทุกครั้งที่มีเรื่องเครียด สิน่าจากนั้นก็ส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา........จะหาบอดี้การ์ดและสหายที่ดีอย่างนี้ได้จากที่ไหนอีก เรือส่วนตัวแล่นมาจนถึงฝั่งในเวลาเกือบชั่วโมง แล้วก็ตรงไปที่จอดรถราคาแพง ภวิชเป็นคนเดินคู่มินตรา ซึ่งตอนนี้ทัชนำไปก่อนแล้ว เขาแอบชำเลืองมองร่างสวยด้วยแววตาที่ยากจะอธิบาย ซึ่งมินตราก้มหน้ามองดินเท่านั้น “ ไม่เปลี่ยนใจแน่หรอมิน ” เขาถามขึ้นอีกครั้งมินตราเงยหน้าขึ้นมองเขาบนใบหน้าที่เป็นเครื่องหมายคำถาม “ เรื่องอะไรค่ะ? ” “ ก็เรื่องที่จะกลับบ้านไงหล่ะ ” เขาถามหน้านิ่ง “ นี่คุณเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ ฉันเป็นแค่คนที่คุณช่วยไว้เท่านั้น สามวันที่ผ่านมาก็รบกวนคุณมากพอแล้วหล่ะค่ะ ” หล่อนยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน แต่ในใจหล่อนก็รู้สึกเสียใจอย่างประหลาดเหมือนกัน “ ก็บอกแล้วไงว่าไม่รบกวน ” เขาถอนหายใจอีกครั้งมองหน้าหล่อนจริงจัง จนเธอหลบตาต่ำลง “ ฉันจะอยู่ที่นี่ได้ยังไงค่ะ ฉันต้องทำงาน อีกอย่างอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ” “ แล้วถ้าฉันมีงานให้...เธอจะทำไหม ” เขาถามดูปฏิกิริยาของหล่อนที่ดูสนใจไม่น้อย “ งานอะไรหรอค่ะ? ” เมื่อเห็นหล่อนเริ่มเข้าทาง เขาก็ทำหน้าขรึมเดินหนีหล่อนซะงั้น “ ไว้ถ้าเปลี่ยนใจไม่กลับเมื่อไหร่ ค่อยมาคุยกัน ” ร่างบางมองตามท้ายเขาที่เดินจากไปพร้อมความสงสัยของเธอ เอาอีกแล้วเอาแต่ใจชะมัด “ นี่คุณภวิช คุณจะไม่บอกฉันจริงๆ หรอ ” หล่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเขาไปให้ทัน ชายหนุ่มหันมาคว้าหล่อนให้รีบเดินเพราะอากาศมันเริ่มร้อนแล้วดันหล่อนเข้าไปในรถอย่างเบามือ “ บ่นจริง เดี๋ยวก็รู้น่า ถ้าเปลี่ยนใจไม่กลับบ้าน แล้วฉันจะบอก ” เขายื่นคำเดิมแล้วก็มุดตัวเองเข้าไปนั่งข้างๆหล่อนที่ตอนนี้สะบัดหน้าหนีเขาด้วยความขัดใจ เขายิ้มเปิดเผย ฟันขาวๆ ที่มีเขี้ยวเล็กๆ แซมอยู่เล็กน้อย ยิ่งชวนให้น่ามองเขากัดริมฝีปากตัวเองอย่างมีความสุข แต่น่าเสียดายที่หญิงสาวในรถสะบัดหน้าหนี ทัชมองเจ้านายผ่านกระจกหลังเขาอยากจะถ่ายภาพไว้จริงๆ มันหาดูยากซะยิ่งกว่าอะไร ซึ่งภวิชก็หันมองกระจกสบตากับทัชพอดี ภวิชที่รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องจับผิดเขาอยู่และมันเป็นอย่างที่คิด ก่อนจะยักคิ้วให้ ทำเอาทัช รีบก้มหน้าขับรถทันที ลืมไปจริงๆว่าเจ้านายเขาความรู้สึกไวยิ่งกว่าอะไร ไม่มีการพูดจา มินตราเอาแต่มองนอกกระจก ต่างจากภวิชที่มองแต่หล่อนเขาเลิกคิ้ว หวังให้หล่อนหันมาหาเขาบ้าง แต่ก็เปล่าเลย “ นี่คุณ คุณจะไม่บอกใครหน่อยหรือไงครับ ว่าบ้านพักคุณเนี่ยมันอยู่ที่ไหน ” เขาทำหน้าขึงขังจนหล่อนหันมาทำคิ้วขมวดใส่เขา เขาได้เห็นแล้ว ได้เห็นใบหน้าของเธอ รู้งี้เขาพูดแบบนี้ตั้งนานซะก็ดีหรอก “ คุณจะเสียงดังทำไมค่ะ อยู่ใกล้แค่นี้เอง ” “ ฮ่าๆ มินตรา คุณรู้อะไรไหม ว่าตอนนี้คุณเหมือนกับ เมีย ที่ว่า ผัว เลยนะ ไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันสักนิด " เขาหัวเราะแล้วเอนตัวไปพูดกับหล่อนใกล้ๆ ทำเอาหล่อนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงเชียว “ คนบ้า ” “ อ้าว ก็มันจริงนี่ คุณทำท่าเกรงใจผมเวลาที่อยู่เกาะ แต่พอขึ้นรถคุณกลับปั้นปึ่งใส่ผมซะงั้น อย่างนี้เขาเรียกว่าหมดประโยชน์แล้วหรือเปล่า ” เขาพูดทำนองประชดประชันปนน้อยใจ จนมินตราสบตากับเขาอีกครั้งแล้วถอนหายใจ “ ฉันขอโทษค่ะที่ทำให้คุณคิดแบบนั้น ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่เคยมองใครเป็นผลประโยชน์นะคะ ” หล่อนอธิบายหลบตาลงต่ำ ภวิช ผงะไปนิดหน่อย เขาแค่แหย่เธอเท่านั้นแต่ดูเหมือนไปสะกิดปมของเธอเข้า “ ไม่เอาแล้ว ผมล้อคุณเล่นเท่านั้น อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวไม่สวยนะ ” เขาลากเสียงยาวแล้วเอียงคอมองหล่อนนิดๆ เหมือนอยากเห็นว่าหล่อนไม่ได้กำลังจะร้องไห้ มันทำให้หล่อนยิ้มออก ไม่คิดว่าเขาจะทำท่าน่ารักๆ แบบนี้เป็น ภวิชยิ้มมุมปากนิดๆที่หล่อนยิ้มออก ก่อนที่มือจะยกขึ้นยีหัวหล่อนพร้อมทำหน้ายู่ใส่อย่างเอ็นดู “ นี่คุณทำอะไรเนี่ย ” ร่างบางยกมือขึ้นกุมหัวปัดป้องไม่ให้มือเขามายีผมหล่อนได้ “ สรุปบ้านคุณอยู่ไหน ” เขาปรับสีหน้าเป็นจริงจัง จนหล่อนแทบปรับไม่ทัน “ อยู่ที่...XXXXX ” หล่อนบอกออกไปมันคือส่วนหนึ่งในกรุงเทพมหานครที่กว้างใหญ่ ทัชพยักหน้าขับรถไปตามที่หญิงสาวได้บอกไว้ แต่เขาก็รู้ความต้องการของเจ้านายว่าอยากให้รถคันนี้แล่นถึงให้ช้าที่สุด เขาจึงขับรถสบายๆ ไม่เร่งรีบอย่างทุกครั้ง การขับรถครั้งนี้ใช้ระยะเวลานานกว่า 10 ชั่วโมงแน่นอน เมื่อไม่มีการพูดคุยกัน ร่างบางจึงเอนกายพิงกับเบาะรถแล้วหลับตานอนอย่างที่เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ต้องเดินทางไกล ภวิชที่นั่งกอดอกอยู่ ค่อยๆจับร่างหล่อนลงนอนหนุนที่ตักเขา ทำเอาร่างบางรู้สึกตัว จะลุกขี้นแต่เขาปรามเสียก่อน “ นอนเถอะนะ ถึงแล้วผมจะปลุกเอง ” ใบหน้าเขาที่ก้มลงมาใกล้ทำให้หล่อนไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย จำต้องปิดเปลือกตาลงเพราะไม่อยากเห็นแววตาหวานๆ ของเขากลัวใจตัวเองจะสั่นไปมากกว่านี้ รู้สึกเปลืองตัวจริงๆ ในสามวันที่รู้จักเขาแต่ก็รู้สึกปลอดภัยเพราะเขาเหมือนกัน เธอหลงรักเขาหรอ? ความรักมันเร็วขนาดนี้เลยหรือไง? ทั้งๆที่หลับตาแต่คิ้วเรียวสวยกับขมวด จนภวิชยิ้มอีกครั้งแล้วเอาหัวนิ้วโป้งคลึงๆคิ้วของหล่อน “ ผมบอกให้คุณนอน คุณจะทำคิ้วสงสัยอะไรกันนักหนา หืม ฮ่าๆๆ ” เขากระเซ้าเย้าแหย่จนหล่อนหน้าแดงนั่นยิ่งเรียกเสียงหัวเราะให้เขา สงสัยเขาต้องตบรางวัลให้ทัชเสียแล้วที่รู้ใจเขาขับรถสบายๆ ให้เขาได้อยู่กับหล่อนนานๆ ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงหงุดหงิดไปแล้วแน่ๆ ทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ความเงียบพร้อมกับห้วงนิทรา ที่เข้าครอบงำหญิงสาว ภวิชมองคนที่หลับสนิทแล้ว และมั่นใจว่าเธอจะไม่ได้ยินเรื่องที่เขาจะพูดแน่ “ ทัช นายช่วยดูเธอแทนฉันหน่อยนะ รายงานให้ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ รวมถึง เรื่องพ่อของเธอด้วย สืบมาว่าได้ความยังไงบ้าง ” “ ครับ เจ้านาย ” “ อีกกี่ชั่วโมง? ” ภวิชถามเวลาที่น่าจะถึงบ้านหญิงสาว “ 4 ชั่วโมงได้ครับ คงถึงราวๆ สี่ห้าทุ่มเพราะเราออกมาก็บ่ายกว่าแล้ว ” ทัชอธิบาย ติ๊ดๆ เสียงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง จริงสิ เขาลืมคืนโทรศัพท์ให้เธอนี่นา แถมยังลืมปิดเครื่องไว้อย่างเดิมอีก ภวิชถือวิสาสะรับสายโทรศัพท์ที่โทรเข้าแทน โดยที่เขาไม่พูดอะไร นอกจากเรียวคิ้วที่ขมวดเท่านั้น แววตาดุดันฉายชัดบนใบหน้าหล่อ ก่อนจะกำโทรศัพท์แน่นเมื่อคนปลายสายวางไป .................... .................... …………………. …………………. ต่อจากนี้ชีวิตเธอคงจะเปลี่ยนไปแล้วนะ มินตรารถคันงามจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านของมินตรา ตลอดการเดินทางมินตรารู้สึกตัวตื่นและหลับไปหลายต่อหลายครั้ง เขาพาเธอแวะพักทานข้าวโดยที่ตอนแรกเธอไม่ยอมเพราะอยากกลับบ้าน แต่ภวิชก็พะเน้าพะนอลากเธอให้ลงไปกินข้าวด้วยกัน ซึ่งมันคือข้าวกลางวันของเขาและเธอในเวลา 2 ทุ่ม “ นี่คุณ! ฉันจะรีบกลับบ้านนะ ฉันไม่หิว คุณอยากกินก็กินคนเดียวสิคะลากฉันมาทำไม ” “ มินตรา คุณไม่หิวแต่ผมหิว ให้ผมกินคนเดียว ผมกินไม่ลงหรอกแค่กินข้าวเป็นเพื่อนผมมันคงไม่ลำบากคุณมากเกินไปหรอกมั้ง ” เขาไม่สนใจอาการฟึดฟัดของคนตรงหน้าสักนิดแถมยังตักอาหารใส่จานหล่อนจนในที่สุดคนหน้างอก็ต้องตักเข้าปากตามใจเขาอีกจนได้ “ ก็แค่นั้น ” เขาพูดอย่างพอใจ เมื่อทานข้าวกันเสร็จก็เดินทางอีกครั้งและมินตราก็หลับอีกครั้งโดยมีหมอนหนุนเป็นแบบพิเศษนั่นคือตักของภวิช ภวิชหยุดห้วงความคิดที่เพิ่งไปทานข้าวกับเธอพร้อมมองปัจจุบันคือเวลานี้ที่รถจอดสนิทหน้าบ้านมินตรา เกือบยี่สิบนาทีแล้วที่เขานั่งนิ่งๆ แบบนี้ ทัชมองเจ้านายหนุ่มที่เอาแต่มองออกนอกกระจกไปยังตัวบ้านของคนที่เขามาส่ง ไม่มีทีท่าว่าจะปลุกหล่อนขึ้นมา ภวิชถอนหายใจอย่างหนัก ที่มาถึงบ้านหล่อนแล้ว เขาไม่อยากป
“ นี่คุณทำอะไรของคุณ มาดึงมือฉันทำไม ไม่เห็นหรอว่าน้องฉันกำเริบขนาดไหน ” หญิงสาวสาดเสียงใส่ชายหนุ่มผู้ที่เธอเสียจูบแรกให้เขาและยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอพร้อมดึงมือออกจากการเกาะกุม “ เห็นสิมิน ผมรู้ว่าคุณโกรธ แต่คุณโมโหใครเขาจะฟัง เรื่องของน้องกับพ่อของคุณพักไว้ก่อนดีกว่าส่วนคุณมากับผมเลย ” ภวิชฉวยโอกาสฉุดมือหญิงสาวให้เดินตามเขาถึงแม้จะขัดขืนแต่เธอก็สู้แรงเขาไม่ได้ “ นี่!!คุณภวิชค่ะ คุณจะพาฉันไปไหน ” “ ถามมากจริง จิ๊ เดี๋ยวถึงที่ก็รู้เองไม่ต้องห่วงตอนนี้ผมยังไม่......อยาก ” เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะคล้ายหงุดหงิดแต่เปล่าหรอกแค่วางฟอร์มเท่านั้นก่อนจะใช้สายตามองหล่อนด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ยิ้มนิดๆที่มุมปากซึ่งหล่อนเห็นว่ามันดูไม่น่าไว้ใจยังไงก็ไม่รู้ และจบท้ายด้วยการเน้นเสียงที่ปลายประโยค คำว่า. ' อยาก ' เธอไม่ได้ซื่อถึงขนาดที่ว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร “ กรี้สสสสส หื่น.. นี่คุณโรคจิตหรือไงห๊า ” “ ฮ่าๆๆ ผมเป็นผู้ชายนี่ เจอสาวๆ ก็ต้องมีบ้างแต่วางใจได้ผมไม่ทำแน่นอนถ้าผู้หญิงไม่สมยอม รับประกัน!! ได้เลย บ่นมากเดี๋ยวจับปล้ำตรงนี้ซะนี่ ” เขาหัวเราะเสียงดังในขณะดันหญิงสาวให้เข้าไปนั่งประจำที่พร
“ กรี๊ด คุณภวิช นี่คุณพาฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย อร้ายยยยฉันไม่มีเวลามาเล่นกับพวกคุณหรอกนะ ” มินตรากรีดร้องเมื่อได้ยินเสียงปืนดังต่อเนื่อง เมื่อคืนหล่อนเผลอหลับไปที่คอนโดของเขาที่ลากเธอไปพอสายๆของวัน เขาก็ลากเธอมา เล่นเกมส์บ้าบออะไรก็ไม่รู้ ชื่อเกมส์ IDPA คือเกมส์ยิงปืนเพื่อฝึกการป้องกันตัว เหมือนสถานการณ์จริงแต่ลูกกระสุนไม่ใช่ของจริง แต่ไหงกลายเป็นเธอที่ต้องโดดเดี่ยวด้วย “ ช่วยพวกผมหน่อยไม่ได้หรือไง ก็แค่เกมส์เองหน่ะมิน คุณจะซีเรียสทำไม ” ภวิช สวมถุงมือหนังสีดำ ชุดกันกระสุนกางเกงขายาว การแต่งกายเหมือนตำรวจชุดสืบสวนเหมือนที่เธอชอบดูหนังฝรั่ง เขาเก็บโทรศัพท์ยัดเข้าล็อคเกอร์พร้อมล็อคกุญแจแล้วโยนให้ทัชที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ กฤษ นายบอกให้เขาจัดทีมให้แข่งกับเราพร้อมแล้วใช่ไหม ” “ ใช่ครับ ” “ แล้วไหนคุณบอกเล่นเกมส์ เล่นเกมส์บ้าอะไรหน้าที่ฉันเป็นตัวประกันนี่อ่ะนะ ต้องใส่หมวกอะไรด้วยก็ไม่รู้ แล้วมันใส่ยังไงเนี่ย ” เธอบ่นอย่างหัวเสียเกมส์อะไรจับมาเธอมามัดให้ยืนอยู่กลางแจ้งเนี่ยนะ บ้าชัดๆ ได้ยิงบ้างคงดีนี่ไม่มีสิทธิ์ได้สู้เลย หน้าง้ำงอของหญิงสาวทำให้ภวิชยิ้มกว้างหล่อนพยายามจะสวมเสื้อกันกร
“ เจ้านายครับใกล้ได้เวลาแล้วครับ ” ทัชบอกเจ้านายหนุ่มที่ยืนอยู่ริมสนามพร้อมหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง “ อืม รู้แล้ว ” “ คุณมินตราครับ เชิญตามผมมาทางนี้ครับ ” มินตราจู่ๆขาก็แข็งก้าวไม่ออกซะงั้นเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ถูกสร้างจำลองเหตุการณ์แต่กลับเป็นเหมือนสถานการณ์จริงแถมรอบๆที่ดูน่ากลัววังเวง เริ่มตกเย็นแล้วด้วยเพราะก่อนลงสนามนี่เขาก็บอกกติกาและวิธีการเล่นก็เสียเวลาไปนานพอสมควร “ คุณเป็นอะไรรึเปล่ามิน ” เขาถามเมื่อเห็นเธอหน้าซีดเล็กน้อย “ ปะเปล่าค่ะ ” “ คุณไปเตรียมตัวตัวสิ ผมจะไปส่ง ” ภวิชกล่าวขึ้น “ มาสิมิน ” เขาเร่งเมื่อเธอไม่ยอมเดินตามมา “ คะ ” ระหว่างทางที่เดินไม่มีการพูดคุยกันภวิชลอบมองสีหน้ากังวลของเธออยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่เห็นเธอจะเอ่ยปากอะไรกับเขาเมื่อถึงแท่นแสตนที่มีเสาอยู่ต้นนึง แสตนสูงที่ทำจากเหล็กมินตราพยายามทำใจให้กล้าอย่าไปกลัวมันก็แค่เกมส์ “ ถ้างั้นผมไปประจำที่ก่อนนะ ” “ ดะเดี๋ยวค่ะ มันเป็นแค่เกมส์ใช่ไหมไม่อันตรายใช่ไหมคุณจะมาช่วยฉันได้แน่ๆใช่ไหม ” เธอคว้าแขนของเขาไว้ทันทีที่เขาหันหลังจะก้าวกลับไปทางเดิมภวิชมองมือบางเล็กที่จับแขนเขาไว้พร้อมพ
มินตราถูกตรึงมือเข้ากับเสาปูนต้นนึง ผ้าปิดปาก......บ้า เกมส์บ้าอะไรพาเธอมาทารุณชัดๆ ' คุณวิช.. คุณหายไปไหนเนี่ยนานไปแล้วนะ.....' มินตราเกิดใจหวั่นเล็กน้อยในใจยอมรับเลยว่ากลัว เหตุการณ์ในอดีตนั้นเธอจำได้ไม่ลืม เหตุการณ์วันนั้นวันที่เธอถูกคนของเสี่ย ชัย จับไป แต่โชคดีที่วันนั้นเธอเอาตัวรอดกลับมาได้ต้องหลบหัวซุกหัวซุนไปหลายที่เลย “ ปังๆๆๆๆ ” เสียงปืนดังขึ้นบ่อยและหลายต่อหลายครั้งทำให้ความคิดในอดีตต้องหยุดลง มินตรารู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มอาจกำลังมาช่วยเธอ ฟ้าเริ่มมืดสลัวจนแทบมองไม่เห็นอะไรแล้วเธอถูกมัดอยู่ในโกดังที่มีเพียงแสงไฟสีส้มจางๆ สาดส่องเข้ามาก็เท่านั้น ฝั่งภวิช ชายหนุ่มมีเหงื่อท่วมตัว ให้ตายสิคราวนี้ลำบากกว่าคราวที่แล้วหลายเท่าเลย มีทั้งระเบิดทั้งเอฟเฟคนี่มันพอๆกับทำสงครามมากกว่าป้องกันตัวละมั้ง “ กฤตฉันบอกให้นายโทรมาบอกเขาแล้วไม่ใช่หรอแล้วใครเลือกระดับบ้าบอนี่ห๊ะ.....” ภวิชสบถอย่างหัวเสีย ถ้าวันปกติเขาคงไม่เท่าไหร่แต่ทำไมต้องเป็นวันนี้วะวันนี้มินตราอยู่กับเขาลูกน้องก็ได้ใจจริงจริ้งจัดด่านยากให้เขาถึงตัวมินตราได้ช้าขึ้น ฉันควรตบรางวัลให้นา
“ มิก เห้ยมึงช่วยกูหน่อยไม่ได้ไงว่ะ วันนี้ไอ้ซันไม่มาจริงๆนะเว้ย ” เพื่อนของรณภพที่เป็นนักดนตรีขอร้องให้รณภพช่วยเล่นกีต้าร์ให้เพราะเพื่อนเกิดเข้าโรงพยาบาลกะทันหันถ้าไม่มีการเล่นโฟคซองวันนี้เขาต้องโดนผู้จัดการเล่นงานแน่ๆ “ ไม่เอาเว้ย กูบอกแล้วไงว่าไม่ชอบ กูเป็นแค่บาร์เทนเดอร์ พอ! ” “ โห่ว กูก็แค่ขอให้มึงมาเล่นโฟคซองแทนกูแค่ชั่วโมงเอง เดี๋ยวกูหาเพื่อนมากู ขอแค่ชั่วโมงให้มึงมาแทนแค่นี้ไม่ได้ใช่ไหมไอ้มิก ” “ ไอ้เปรี้ยว มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบไปทำตัวให้ใครเห็นหน้ากู ” “ ก็กูรู้ไงไอ้มิก กูถึงขอมึงแค่ชั่วโมงเนี่ยถ่วงเวลาเล่นให้กูก่อนเดี๋ยวกูหาคนมาเล่นแทนไอ้ซันเอง มึงช่วยกูไม่ได้หรอ ” รณภพกำลังเจรจากับเพื่อน จะเรียกว่าเจรจาก็คงไม่ใช่เรียกว่าพยายามปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อนตัวเอง มากกว่า “ แล้วถ้ากูไม่ช่วยมึงหล่ะมึงจะทำไง ” “ ก็ไม่ทำไง มึงก็รู้พี่เอ้ดุจะตายกูก็แค่โดนไล่ออก ” ชายหนุ่มอีกคนสบถเบาๆ พี่เอ้คือผู้จัดการที่ใครๆก็รู้ว่าไนท์คลับนี้พี่เอ้เป็นคนเข้มงวดขนาดไหน วงดนตรีของเปรี้ยว ถูกจ้างให้มาเล่นด้วยบทเพลงที่ทั้งร็อคและอ่อนหวานทำให้คนสนใจ ผู้อยู่เบื้องหลังก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไ
“ ฮิ้ว อิจฉาว่ะแก มีคนหล่อๆมาร้องเพลงให้ด้วย ” เพื่อนสาวเอ่ยปากแซวภัสสร เมื่อได้ยินศิลปินหนุ่มที่ร้องเพลง เรียกชื่อเพื่อนของเธอ “ บ้าน่าแก ” ภัสสรตีมือเพื่อนแต่ยิ้มเขินอาย ก็จะไม่เขิลได้ไง คนบ้าอะไรโครตเท่ห์เลยตอนแรกแค่ปลื้มเท่านั้นที่ช่วยไว้แต่คราวนี้ชอบเลยบอกตรงๆ....หญิงสาวคิดในใจ.....เมื่อเพลงจบทั้งเสียงกรี๊ดเสียงแซวกระหน่ำไม่ขาดสายรณภพส่ายหัวเบาๆ ก้าวลงเวที พลางดูนาฬิกาที่ข้อมือ “ นาย! ” เสียงใสๆที่ดังเข้าโซนประสาททำให้รณภพหันไปมอง “ ฟึ่บ โครตเท่ห์เลยอะ น่ารักจัง ! ” เธอวิ่งมากระโดดโอบกอดเขาทำเอารณภพนิ่งเลยทีเดียว... “ นี่เธอ อะไรของเธอ อีกแล้วนะ เธอทำแบบนี้กับฉันอีกแล้วนะ ” เขาปลดมือที่โอบรอบคอของเขาออก แต่ให้ทิ้งข้างลำตัว ตอนที่ร้องเพลงเขามองลงไปตรงโต๊ะเจ้าของวันเกิดพบดวงหน้ามนพลางคิดว่าโลกคงไม่กลมขนาดที่จะเจอผู้หญิงที่ปั่นป่วนไปของคุณเขาถึงที่ห้องหรอกนะ “ แบบไหนหรอ? ” เธอเอียงหน้าถามอย่างน่าหมั่นเขี้ยวนัก “ ก็แบบ! ” เขาพูดเสียงห้วนคิ้วขมวดเข้าหากัน อะไรที่ควรเข้าใจไม่เข้าใจ.....ให้มันได้อย่างนี้ดิ! มันน่านัก “
“ ฮือๆๆ ” เสียงหญิงสาวผวากลางดึกทำให้ภวิชไม่สามารถหลับลงได้เขาคว้าคนที่นอนหลับขึ้นมากอดปลอบประโลมมือลูบตามไหล่บางเบาๆ “ มินครับไม่เป็นอะไรแล้ว พี่วิชทำตามสัญญาแล้วไงครับมิน นิ่งซะนะคนดีของผม ” เขากระซิบหวังให้หล่อนได้ยินสงสารเธอจับใจ ร่างบางกระชับเข้าหาอ้อมอกมากขึ้นเธอเหลือทิ้งไว้แค่เสียงสะอื้นเบาๆภวิชมองนาฬิกาตรงหัวเตียง ตีสองแล้วมินตราเพิ่งหลับไปตอนห้าทุ่มกว่าจะได้ข้อมูลภวิชก็ใช้เวลาหาพอสมควร ภาพที่เขาเห็นคือ มินตราถูกมัดมือตรึงกับหัวเตียงผ้าปิดปากตรงข้อเท้ามีผู้ชายสองคนรุมจับ และที่ทำให้ขาดสติขาดสะบั้นกว่านั้นคือ คนที่นั่งคร่อมอยู่บนร่างบาง เขาไม่รอช้าที่จะรีบเข้าไปจัดการคนแก่ตัณหากัปเวรตะไลกล้าดียังไงมายุ่งกับผู้หญิงของเขาถ้าเลือดปากไม่ออกไม่ได้มีการเอาคืนความเจ็บที่บาดลึกลงไปในหัวใจอย่ามาเรียกเขาว่าภวิชเลย กระบอกปืนของภวิชถูกชักขึ้นมาร่างสูงจ่อเข้าที่ปากของเสี่ยคน กลัวตายตกใจยกมือขึ้นไหว้เหงื่อไหล่พลั่กๆเหมือนความตายมาเยือนก่อนที่เขาจะได้ฆ่าคนบัดซบสมใจเสียงใสๆที่ดิ้นจนผ้าปิดปากหลุดลงทำให้ภวิชผลักหัวเสี่ยชัยออกอย่างไม่ใยดีนักเขาตรงไปหาคนที่ถูกกักตัวด้วยผืนผ้า
มินตราค่อยๆลืมตาขึ้นมาในเช้าอีกหนึ่งวัน คุณหญิงมณีจึงตรงเข้าไปกอดลูกสาวเอาไว้แน่น “ มินตื่นแล้วหรอลูกเป็นยังไงบ้างค่อยๆลุกนะลูก ” “ มินรู้สึกเจ็บท้องค่ะแม่ แล้วลูกมินหล่ะค่ะ แม่ ลูกมินยังอยู่ใช่ไหมคะ ”มินตราเริ่มผวาเมื่อเธอสัมผัสหน้าท้องเธอจำได้ว่าเมื่อวานเธอมีอาการตกเลือดทำไมเธอเจ็บท้องแล้วความฝันก่อนหน้านั้นที่หนุ่มน้อยเดินหายไปจากเธอคืออะไร “ มินใจเย็นๆนะลูก ” “ ลูกมินยังอยู่ใช่ไหมคะ ลูกของหนู ” “ เขาไม่อยู่แล้วลูก หนูเสียเลือดมากคุณหมอต้องขูดมดลูกเพื่อช่วยชีวิตมินไว้ ” “ ไม่จริงอ่ะ แม่โกหกใช่ไหม ลูกหนูกับพี่วิช แม่โกหกใช่ไหม ฮือๆ แล้วพี่วิชหล่ะคะแม่ พี่วิชเขาปลอดภัยใช่ไหมคะแม่ ใช่ไหมฮือๆ ” “ ใจเย็นก่อนนะลูก คุณวิชเขาปลอดภัยหนูอยากไปหาเขาไหม ” “ จริงนะคะ เขาปลอดภัยจริงนะคะ ” ถึงแม้เธอจะเศร้าใจเรื่องลูกแต่ ภวิชปลอดภัยความหวังเธอก็ยังไม่โดนพังหมดซะทุกอย่าง ผู้เป็นแม่เมื่อเห็นน้ำตาของลูกก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ตามเธอสงสารลูกสาวคนเดียวอย่างจับใจแต่เมื่อโชคชะตาให้ลูกเธอเจอแบบนี้ เธอคงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆเธอไม่ตอบอะไรมากนอกจากพยักหน้า มินตราถูกพยุงให้นั่งรถเข็นแ
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ภัสสรใช้เวลาพอสมควรกว่าจะ มาถึง “ ถึงแล้ว ลงมาสิ ” “ เรามาทำอะไรกันที่นี่หรอคะ ” “ ฉันคงพาเธอมานั่งรถเล่นมั้งจะไปไหมเร็วๆเข้า ” “ อ๋อค่ะๆ ” มินตราปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวแล้วรีบลงจากรถเมื่อเห็นว่าสาวน้อยที่พามาเริ่มหงุดหงิดแต่เธอก็ไม่เคยคิดโกรธภัสสรเลยเธอกลับชอบเพราะภัสสรซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเธอเองมินตราก้าวเท้าเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกหลากหลายเธอสงสัย เธอกังวลหรือเธอกำลังกลัวกันแน่ ภัสสรสรเดินนำมินตราไปจนหยุดที่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง “ แกร๊ก ” “ ถึงแล้วเข้าไปสิ ” ภัสสรยืนพิงประตู เบี่ยงหลบทางให้มินตราที่ทำท่าชะเง้อชะแง้มองดู มินตรากล้าๆกลัวๆเดินเข้าไปในห้องเธออยากพบภวิชนะแล้วภัสสรพาเธอมาเยี่ยมใครกัน มินตราเดินใกล้เข้ามายังเตียงผู้ป่วยก็พบกับทั้งพ่อแม่ภวัตต์และรฏาในห้อง เท่านั้นยังไม่พอทุกคนหันมามองเธอเป็นตาเดียวคำพูดต่อมาของภวัตต์ทำให้มินตราก้าวขาไม่ออก “ วิช มินมาหา นายลืมตามาดูเธอหน่อยสิฉันรู้ว่านายคิดถึงเขา ” เปลือกตาภวิชที่ขยุบขยิบเหมือนกับได้ยินสิ่งที่ภวัตต์บอกแต่ปฏิกิริยาไม่มีการตอบสนองที่ทำให้รู้ว่าเขาฟื้น มินตรามอ
“ พี่แหวน พี่มองหาใครหรอค่ะ ” “ อ้าวคุณมิน เปล่าค่ะ พี่แค่กำลังมองหารถคันนึงหน่ะค่ะ จะชอบมาจอดหน้าบ้านเราเป็นเวลานานๆ แต่สองสามวันมานี่ไม่เห็นแล้วหล่ะคะ ไม่รู้ว่าพวกโรคจิตหรือเปล่านะคะ จอดรถหน้าบ้านแต่ไม่มีคนลงจากรถเลย ” มินตรามองไปยังหน้าบ้านที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่ตามสายตาสาวใช้ที่บอกไป “ พี่แหวนคิดมากไปหรือเปล่าคะเขาอาจจะเป็นญาติฝั่งตรงข้ามนะคะ ” “ จริงๆนะคะคุณมิน ” “ ชั่งเถอะค่ะ ” “ อะๆ นั่นไงคะรถคันนั้นไงคะคุณมิน ” “ หืม ” มินตราชะงักเท้าที่เธอเพิ่งจะหันหลังกลับเข้าบ้านรถหรูหราที่ หน้าตาคุ้นเคย แล่นมาจอดหน้าบ้านตามคำพูดของสาวใช้มินตราไม่รอให้สาวใช้ตรงไปเปิดประตูเธอเลือกก้าวขาไปหาเอง “ แกร๊ก ” เสียงเปิดประตูรั้วหน้าบ้านและเธอก็ได้เห็นร่างสง่างามสมส่วนของสายชลที่ก้าวลงจากรถเดินตรงมาหาเธอ “ สวัสดีครับคุณมิน ” “ สวัสดีค่ะคุณสายชล ” “ คุณมินสบายดีไหมครับ ” “ ก็อย่างที
ตกกลางคืนภวิชเริ่มมีสติหลังจากดื่มน้ำเมาแล้วยังทะเลาะอย่างรุนแรงกับน้องสาวสุดที่รักอีก เขาอดห่วงมินตราไม่ได้จริงๆจึงต้องหวนกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อมาหาเธอ คุณหญิงมณีที่อยู่ภายในห้องแต่ทำไมในห้องถึงมีอดีตเพื่อนรักอย่างโทนี่อยู่ด้วยเขาเอานิ้วมือเรียวแตะที่กระจกเพื่อสัมผัสใบหน้า มินตราผ่านอากาศที่หลังจากนี้เขาจะไม่มีสิทธิ์สัมผัสชิดใกล้กับเธออีกแล้ว “ มินพี่ไม่รู้ว่าลูกจะได้อยู่กับพวกเราไหม แต่ถ้าหากลูกได้อยู่ บอกรักเขาแทนพี่ด้วยนะมิน ” น้ำตาไหลลงอีกครั้งนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ใกล้ชิดกับเธอ “ ไอ้เสี่ยชัย!!! ฉันไม่ปล่อยแกไว้ให้แกทำร้ายลูกกับเมียฉันซ้ำสองแน่!! ” เขาทิ้งความอ่อนโยนครั้งสุดท้ายไว้ให้กับผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาและแม่ของลูกเขาก่อนจะเปลี่ยนสายตาเป็นแข็งกร้าวและข่มเสียงพูดถึงคนที่ทำร้ายดวงใจของเขา ด้วยความแค้นสุมอก มีใครเคยบอกไหมว่าอย่าให้คนอย่างเขาแค้น เพราะนั่นหมายถึงแค้นฝั่งหุ่นทั้งเป็นและตาย เขาจะไม่ยอมให้คนที่เขารักเป็นอันตรายไปอีกแล้วมันมากไปแล้วที่ผ่านมา
ภวิชที่ทำแผลเสร็จตอนนี้เขาพันแผลที่หัวไหล่แล้วเรียบร้อย เขาก็รีบตรงมายังหน้าห้องฉุกเฉินทันที เป็นเวลาที่หมอออกมาจากห้องผ่าตัด “ ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับ ” “ ตอนนี้หมอทำการผ่าตัดนำกระสุนออกมาแล้วนะครับแต่อาการเธอตอนนี้ยัง...” “ เกิดอะไรขึ้นครับหมอ คุณพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง ” “ เอ่อ คือหมอคิดว่าคุณคงทำใจไว้สักนิดนะครับ ” “ หมายความว่าไงคะหมอ ” รฏาเริ่มใจคอไม่ดี “ เธอมีอาการตกเลือดหน่ะครับ คุณต้องทำใจไว้ส่วนหนึ่งด้วยนะครับเธออาจสูญเสียเด็กในท้อง ” “ เด็กในท้อง หมายถึง ละ ลูกหน่ะหรอ ” ภวิชพูดจาติดขัดเขาพยายามเรียบเรียงสิ่งที่ได้ยิน สายชล ภวัตต์ รฏา รวมถึง กฤษที่อยู่บริเวณนั้น ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน คนที่ตกใจที่สุดคงไม่พ้นภวิช “ เฮ้ย! วิช ” ภวัตต์รีบเข้ามาพยุงน้องชายที่เข่าอ่อนลงทันทีที่หมอพูดจบ มินตราท้องหรอ ที่สาวน้อยเขาเพลียบ่อยๆตอนนั้นที่เขาสงสัยว่าทำไมเธอถึงเหนื่อยง่ายๆ เพราะเธอท้องงั้นหรอ แล้วทำไม ทำไมมินถึงใจร้ายไม่ยอมบอกเขาไม่ยอมให้เขาทำหน้าที่พ่อของลูกบ้าง ภวิชเหมือนคนหูอื้อไม่ได้
- แต่งงานกันนะครับ- ทันทีที่เพลงเล่นจบลงภวิชก็ดึงมือทั้งสองของมินตรามากุมไว้ในขณะที่เขายังคงคล้องแซกโซโฟนอยู่เขาใช้นิ้วมือปาดน้ำตาของคนสวยที่เปื้อนตรงแก้มใสอย่างอ่อนโยนแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งเขาย่อตัวไปหยิบกล่องแหวนขึ้นมาแล้วมองกล่องแหวนในมือภาวนาขอให้มินตราตอบรับเขา “ ว่ายังไงครับ แต่งงานกับพี่ได้ไหม พี่จะทำให้มินมีความสุขที่สุด ” “ คุณวิชคือมิน.....” “ ว่ายังไงครับ ” “ มิน ไม่........ ” “ ฟุ้บ ปังๆๆๆ ” เสียงปืนที่ดังขึ้นหลายนัดทำให้ความโรแมนติกทุกๆ อย่างหมดสิ้นลง เสียงระเบิดที่ดังขึ้นท้ายเรือทำให้มินตราตกใจ ภวิชคว้าดึงมินตราเข้ามากอดเขาหันมองซ้ายขวา สายชลที่คอยช่วยเหลือควบคุมระบบไฟอยู่บนสุดของเรือในห้องกัปตัน ลูกน้องบางส่วนที่กระจายคอยดูอยู่รอบๆ เขาไม่ได้บอกมินตราเรื่องนี้เพราะกลัวเธอจะตกใจ แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ “ วิช ” “ วัตต์นายรีบพามินลงไปจากเรือลำนี้ที ฉันจะดูทางนี้ให้ ” “ แล้วคุณหล่ะคะวิช ” รฏาเป็นฝ่ายถาม สมองมินตราสับสนไปไหม ว่าเกิดอะไรขึ้น “ ผมจะดูต้นทางให้รีบลง
“ แกร๊ก ฟึ่บ!! ” ก้าวแรกที่มินตราเหยียบสัมผัสกับพื้นเรือไฟทุกอย่างบนเรือก็ติดขึ้น สว่างไสวทำให้มินตราได้เห็นความสวยงามของเรือสำราญลำนี้อย่างชัดเจน “ นี่มันอะไรกันค่ะ ” “ ก็ดินเนอร์มื้อพิเศษไง เข้าไปข้างในกันนะครับ ” “ ค่ะ ” ภวิชกางแขนให้มินตราควงแต่มินตราไม่จับสักทีเขาเลยถือโอกาสดึงมือเธอคล้องเขาเองแล้วยักคิ้วให้เธออย่างกวนๆ..... “ ทำไมมันดูโล่งๆจัง ” ภวิชทำตัวเป็นสุภาพบุรุษอ้อมตัวมาขยับเก้าอี้ให้กับมินตราเขากระซิบตอบข้างๆหูเธอเบาๆเมื่อเธอนั่งลงกับเก้าอี้ก่อนที่เขาจะอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอว่า “ มินไม่รู้หรอว่าพี่รวยพอจะเหมาเรือทั้งลำเพื่อคนพิเศษ ” ถึงมันจะเป็นคำพูดเบาๆแต่ก็ทำให้มินตราร้อนไปถึงใบหูได้เลย “ คนบ้า ฟุ่มเฟือยไม่ใช่เรื่อง ” “ เอ้า เงินก็เงินพี่ พี่พอใจจะทำ ใครจะทำไม ” “ ค่ะพ่อเศรษฐี ” มินตราเบ๊ะปากใส่เขาที่ทำหน้าทะเล้นพูดจาไม่สนใจใครอย่างหมั่นไส้ แต่ภวิชกลับยิ้มกว้างเมื่อเจอคนสวยเขาตอกหน้าเข้าให้
ภวิชนั่งรอมินตราแต่งตัวเขาไม่บ่นไม่ว่าและไม่ต้องการให้มินตรารู้สึกแย่อะไรไปกว่านี้ทางที่ดี ควรจะหุบปากตัวเขาไว้น่าจะดีกว่าสินะ “ กริ๊งๆ ” เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ภวิชเรียกสติกลับมา “ ว่าไงวัตต์ ฉันกำลังรอมินตราอยู่วันนี้ว่าจะพาเขาไปทานข้าวข้างนอก ” เขามองไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่มินตรากำลังแต่งตัวอยู่ “ เอ่อ คือนายจะรอหน่อยไม่ได้หรือไงเล่าวันนี้ฉันงดทำงาน ” ภวิชโวยวายใส่ปลายสายที่มาเร่งเอางาน นึกคึกบ้าอะไรวันนี้ด้วย เขาหันไปมองมินตราที่ส่งค้อนวงงามให้เขาผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง แค่ส่งค้อนวงงามมาให้เขาก็ไม่กล้า จะขัดใจแล้ว ช่วงนี้ทำไมมินตราอารมณ์แปรปรวนนัก เขาแอบสำรวจชุดเดรสที่เธอใส่ เล็กน้อย คนตัวเล็กสวยเกินจนเขาไม่อยากให้ใครเห็นเลยจริงๆ อยากขังเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแบบนี้แหล่ะ “ เอาไว้ค่อยคุยกันนะ ” ภวิชบอกเสียงเรียบตอบปลายสาย สายตาแอบมองคนสวยของเขาจนไม่อยากคุยกับพี่ชายตัวเองแล้ว “ นี่เสร็จหรือยังเนี่ย? เอ่อ แค่ถามหน่ะ ” คนชอบวางอำนาจเผลอลืมตัวขึ้นเสียงนี่มันติดเป็นนิสัยแก้
มินตราเหม่อมองไปนอกหน้าต่างเธอรู้สึกเหนื่อยและไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นเลย วันก่อนสายชลคุยกับเธอเรื่องของมิกที่ได้รับทุนไปเรียนต่อจากมหาวิทยาลัย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุนที่รณภพได้นั้นเป็นทุนที่มาจากภวิช แล้วเธอยังคิดจะฆ่าตัวตายแบบนี้ได้ยังไง มือถือก็ใช้ไม่ได้ โดนยึดไปอีก มินตราไม่ต่างจากนกน้อยใจกรงเลยสักนิด แต่เธอจะรู้ไหมที่ภวิชให้เธอหลบอยู่แต่ในบ้านนั้นเพราะมีคนคิดที่จะทำร้ายเธอ “ ก๊อกๆๆ ” เสียงเคาะประตูทำให้มินตราหันไปมอง และเมื่อประตูเปิดออกเขาก็เห็นหน้าของน้องชายตัวเองที่ยิ้มจางๆส่งมาให้ “ ว่าไงมิน ทำไมทำหน้าเซ็งแบบนั้น อย่าบอกนะว่าคิดจะหาวิธีฆ่าตัวตายอีก ถ้าเธอคิดจะทำแบบนั้นอีก ฉันจะไม่นับถือว่าเธอเป็นพี่ฉันอีกต่อไป ” มินตรามองหน้าน้องชายที่มานั่งฝั่งตรงข้ามกับโซฟาของเธอ ตั้งแต่รณภพมาอยู่ที่นี่ความคิดเขาก็ดูโตเป็นผู้ใหญ่รับผิดชอบอะไรกับชีวิตมากขึ้นแววตาความห่วงใยของมินตราและความรู้สึกผิดไม่น้อยที่ตัวเองคิดทำร้ายตัวเองได้ “ มิกพี่ขอโทษนะที่คิดอะไรโง่ๆแบบนั้น พี่แค่รู้สึกท้อ มิกรู้เรื่องของพ่อรึยัง ”