เขาเกือบจะเสียการควบคุมไปกับการสัมผัสปลายนิ้วของเธอเมื่อสักครู่นี้ ความปรารถนาของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ‘เกือบ... เกือบไปแล้ว... ฉันเกือบจะทำแบบนั้นกับเธอในห้องครัว!’แม้ว่าเขาตัดสินใจจะไม่มอบความรักให้แก่เธอ ตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา และให้เธอเป็นเพียงพี่สาวของเขาเท่านั้น แต่ว่าเธอก็ยังคงมีอิทธิพลต่อเขาเป็นอย่างมากเพียงแค่ดวงตารูปอัลมอนด์ของเธอจับจ้องมาที่เขา จิตใจของเขาก็พร้อมจะลอยละล่องออกไป เหตุผลทั้งหมดที่เขาเคยยึดติดกลับพร้อมจางหายไปในอากาศ“บอกฉันที ต้องทำยังไงฉันถึงจะเลิกรักเธอ...” เสียงพึมพำของเขาดังขึ้นในห้องนอนอันแสบเงียบงัน‘ฉันคิดว่ามันยากที่จะรักใครสักคน แต่ฉันตกหลุมรักเธออย่างง่ายดาย’‘ฉันเคยคิดว่าการเลิกรักใครสักคนมันง่าย แต่ทำไม... มันยากจัง...’“อี้หราน… อี้หราน…” เสียงแหบห้าวของเขาร้องเรียกชื่อเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันเป็นชื่อเดียวที่เขารู้จัก…...วันรุ่งขี้นหลิง อี้หรานกลับเข้าไปทำงาน ทุกคนในบริษัทต่างมองเธอด้วยสายตาแปลกประหลาดหลายคนเข้ามาถามอี้หรานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอและกู้ ลี่เฉิน ซึ่งหลิง อี้หรานตอบว่า “ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไ
หลิง อี้หรานรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อคิดว่าคุณนายโจวอาจจะแค่ออกไปซื้อของในละแวกใกล้เคียงและคงจะกลับบ้านในไม่ช้าหลิง อี้หรานจึงสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์และพูดว่า “อาหยันน้อย ฟังน้านะ คลายเสื้อผ้าของแม่ให้หลวมแล้วเอาหมอนวางไว้ใต้ฝ่าเท้า ให้ขายกขึ้นเล็กน้อย น้าจะเรียกรถพยาบาลให้ ถ้าคุณยายกลับมาถึงบ้านแล้วก็บอกคุณยายด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น เข้าใจไหม?”“ฮะ เข้าใจแล้ว” อาหยันน้อยตอบหลิง อี้หรานโทรเรียกรถพยาบาลและให้ที่อยู่ปัจจุบันของโจว เชียนหยุนแก่พวกเขาหลังจากอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น15 นาทีต่อมา คุณนายโจวโทรมาบอกเธอว่ารถพยาบาลมาถึงแล้ว แพทย์ได้ตรวจร่างกายของโจว เชียนหยุนและบอกว่าไม่ใช่อาการรุนแรงอะไร แต่พวกเขาจะต้องส่งพี่โจวไปตรวจร่างกายที่โรพยายามต่อไปหลิง อี้หรานรู้สึกโล่งอก หลังจากเธอเลิกงาน เธอก็รีบตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลดั่งกล่าวและเห็นว่าโจว เชียนหยุนนอนอยู่บนเตียงหลังจากที่เธอไม่ได้พบโจว เชียนหยุนมาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ เธอพบว่าตอนนี้พี่โจวดูผอมซูบลงกว่าครั้งก่อนที่เธอเคยเจอมากเสื้อผ้าของโรงพยาบาลดูใหญ่เกินไปสำหรับเธอเล็กน้อย ใบหน้าซีดของเธอดูซีดเซียว แม้แต่ริมฝีปากข
“แน่นอน ฉันจะช่วยพี่ค่ะ” หลิง อี้หรานพูดขึ้น อย่างน้อยที่สุด เธอก็สามารถช่วยพี่โจวประหยัดเงินได้บ้าง แต่ว่า... “ฉันไม่มั่นใจใจว่าฉันจะเอาชนะคดีนี้ได้ไหม เพราะมันยังมีอีกหลายปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวย” หลิง อี้หรานพูดตามความเป็นจริง“เข้าใจ ฉันเข้าใจ” โจว เชียนหยุนพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของอดีตที่เธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เธอรู้สึกขอบคุณอี้หรานที่เข้ามาช่วยเธอในคดีนี้! “ขอบคุณนะอี้หราน”“ว่าแต่พี่จะอยู่เมืองเฉินต่อใช่ไหมคะ? พี่ได้พูดคุยกับโรงเรียนอนุบาลของอาหยันน้อยแล้วหรือยัง?” หลิง อี้หรานนึกขึ้นได้ว่าอาหยันน้อยตั้งตารอที่จะไปโรงเรียนอนุบาล“ยังเลย” โจว เชียนหยุนเริ่มรู้สึกกังวล เธอพยายามอย่างมากในการส่งใบสมัครของลูกชายไปที่โรงเรียนอนุบาลเอกชนหลายแห่ง ทว่า เมื่อพวกเขารู้ว่าลูกชายของเธอเป็นคนหูหนวก พวกเขากลับบอกปฏิเสธ แม้ว่าเธอจะยืนกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาสวมเครื่องช่วยฟังและสามารถสื่อสารได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วก็ตามหลิง อี้หรานพึมพำถึงเรื่องนี้ “ฉันจะลองดูว่าฉันสามารถทำอะไรได้บ้าง”“เธอจะทำอะไรเหรอ?” โจว เชียนหยุนตกตะลึง“ฉันจะถามเพื่อนของฉันให้
“แม่ของเด็กคนนั้นคือโจว เชียนหยุน” น้ำเสียงโทนต่ำเอื้อนเอ่ยคำตอบที่คง อื่นอินอยากรู้ออกมา‘ลูก! โจว เชียนหยุนมีลูกกับเหวินหมิง และเด็กคนนั้นเป็นผู้ชาย! แสดงว่า... โจว เชียนหยุนไม่ได้โกหกว่าเธอท้องเหรอ? ไม่ใช่คำพูดโกหกเพื่อเอาตัวรอดจากการติดคุกหรอกเหรอ?’โจว เชียนหยุนรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ถ้าเธอรู้เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ เธอคงจะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดเด็กคนนั้นไปตั้งแต่ตอนที่โจว เชียนหยุนยังอยู่ในคุกทว่า เธอพยายามซ่อนใบหน้าแห่งความเกลียดชังและความอิจฉาริษยาเอาไว้ “เธอให้กำเนิดลูกของคุณเหรอคะ?”“ผมขอโทษ” เย่ เหวินหมิงพูดขอโทษออกมาอัตโนมัติ“ไม่มีอะไรต้องขอโทษค่ะ แค่... ฉันไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ อย่างน้อยคุณก็มีลูกเพื่อสืบทอดสายเลือด” คง จื่ออินหลับตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงติด ๆ ขัด ๆ “เหวินหมิง ตอนนี้คุณมีลูกกับเธอแล้ว คุณจะไปอยู่กับเธอไหมคะ… ฉัน… ฉันจะเข้าใจ ถ้านี่คือการตัดสินใจของคุณ…”คง จื่ออินดูเสียใจถึงขั้นสุดจนไม่สามารถพูดต่อไปได้เย่ เหวินหมิงยกมือขึ้นและดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน “ผมจะไม่ไปอยู่กับโจว เชียนหยุน ผมแค่อยากจะถามว่าคุณเต็มใจที่จะเลี้ยงเด็กคนนี้กับผมไหม?”“ฉัน
“แน่นอน ครั้งหน้าฉันจะพาอาหยันน้อยไปเจอเธอ” หลิง อี้หรานตอบพร้อมยกยิ้มชิน เหลียนอีได้โทรศัพท์ถามเพื่อนและเพื่อนร่วมงานของเธอเกี่ยวกับโรงเรียนอนุบาล เพื่อนร่วมงานทั้งสองคนของเธอบังเอิญมีญาติทำงานในโรงเรียนอนุบาล ทว่า พวกเขากลับบอกปฏิเสธทันทีเมื่อรู้ว่าอาหยันน้อยเป็นเด็กพิการทางการได้ยินเขาปฏิเสธเพราะว่าเด็กคนนี้แตกต่างจากเด็กปกติ ดังนั้น คุณครูอาจจะรู้สึกลำบากในการเตรียมการเรียนการสอนสำหรับเขา นอกจากนี้ เขาอาจจะไม่สามารถเข้ากับเด็กคนอื่น ๆ ได้ดีนักชิน เหลียนอีนพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่เด็กพิการทางการได้ยินจะเข้าร่วมโรงเรียนอนุบาลปกติ แม้ว่าเด็กพวกนี้จะมีเครื่องช่วยฟังและสามารถพูดได้ก็ตามชิน เหลียนอีไปทานอาหารเย็นกับไป๋ ทิงซินทันทีที่เธอเลิกงาน ขณะที่เธอรินเครื่องดื่มให้เขาอย่างตั้งใจ ตักอาหารใส่จานของเขา และตักซุปให้เขา การกระทำของเธอดึงดูดสายตาของเขาเป็นอย่างมาก“มี... มีอะไรเหรอ?” การจ้องมองของเขาทำให้เธอรู้สึกผิดเล็กน้อย“คุณไปทำผิดอะไรมาหรือเปล่า?” ไป๋ ทิงซินโพล่งถามออกมาตรง ๆเพราะถ้าเขาไม่ถามเธอออกไปตรง ๆ บางทีเธออาจจะไม่เข้าใจชิน เหลียนอีเกือบจะสำลัก“ฉันไม่ได้ทำอะไร
“หน้าตาดียังไง?” ไป๋ ทิงซินถามขึ้นขณะเลิกคิ้ว“ถ้าฉันอายุน้อยกว่า 20 ปี ฉันจะตามจีบเขาแน่ ๆ! ฉันล่ะสงสัยว่าถ้าเขาได้ไปโรงเรียนแล้ว สาว ๆ จะมารุมล้อมเขาสักกี่คน!” ชิน เหลียนอีพูดราวกับว่าเธอเป็นแฟนคลับของเด็กน้อยไป๋ ทิงซินขมวดคิ้ว ‘หน้าตาดีและน่ารัก... เธอจะตามจีบเด็กเหรอ? ทำไมฟังดูพิลึกชอบกล?’“ถ้าคุณอายุน้อยกว่า 20 ปี คุณจะตามจีบเขาไปจริง ๆ เหรอ?”“ใช่ คุณยังไม่เคยเจอเขาเลย ถ้าครั้งหน้าอี้หรานพาเขามา ทำไมคุณไม่ลองไปเจอเขาด้วยกันล่ะ? อี้หรานยังบอกอีกว่าตัวจริงเขาดูดีกว่าในรูปอีก...” ชิน เหลียนอีหยุดพูดก่อนจะตระหนักได้ว่าไป๋ ทิงซินมีท่าทีเปลี่ยนไป เธอเริ่มรู้ตัวและพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “แต่ไม่ว่าเขาจะหล่อและน่ารักแค่ไหนเขาก็เทียบคุณไม่ได้อยู่ดี!”เธอรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะถอนหายใจกับตัวเอง ‘ฉันลืมไปเลยว่าเขาคิดมากและขี้หึงง่ายแค่ไหน!’“เธอคิดว่าฉันหน้าตาดีเหรอ?” เขามองมาที่เธอ“ใช่ ๆ เขาเทียบคุณไม่ได้เลย มีคนพูดไว้ว่าต่อให้คนเราฉลาดในตอนเด็ก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าโตมาแล้วจะประสบความสำเร็จ และคนที่หน้าตาดีตั้งแต่เด็ก โตไปก็อาจจะไม่หล่อก็ได้” เธอยังคงพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น“ถ้าอย่าง
หลายครั้งที่พวกเขาทำคดีความแต่กลับไม่ได้รับเงินชดเชยตอนเที่ยง กวอ ซิ่นนหลีโทรหาหลิง อี้หรานและถามเธอว่า “เอ่อ... คุณพอจะรู้ไหมว่านักแสดงสาวซูซี อยู่ที่ไหน ผม... ผมอยากเจอเธอ”“มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ?” หลิง อี้หรานถาม“ผมแค่อยากจะคุยกับเธอเกี่ยวกับเรื่องของอาหลี บางทีเธออาจจะสงสารอาหลีบ้าง ผมไม่คาดหวังว่าเธอจะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขับรถหรอก แต่บางทีเธออาจจะให้เงินกับครอบครัวของอาหลีบ้าง เขาจะได้เข้ารับการรักษาที่ดีขึ้น” กวอ ซิ่นหลี่พูด เขาแค่อยากจะขอร้องความเห็นใจอีกครั้งอย่างไรเสีย อาหลีก็เป็นพนักงานในบริษัทของเขา เขาเพิ่งก่อตั้งบริษัทเท่านั้นและไม่สามารถช่วยครอบครัวของอาหลีได้มากแม้ว่าบริษัทจะบริจาคเงินให้ครอบครัวของอาหลีหลายครั้ง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอกับค่ารักษาพยาบาลจำนวนมหาศาลในทางกลับกัน ซูซีเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานว่านักแสดงสาวคนนี้ซื้อบ้านใหม่ในมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นเธอน่าจะสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลของอาหลีได้หลิง อี้หรานรู้สึกลังเล ในตอนนี้พวกเขายังไม่มีหลักฐานเพียงพอ แม้ว่าการพิจารณาคดีจะจัดขึ้น แต่ผู้พิพากษาก็จะไม่ตัดสินว่าซู
“แต่...”“ไม่! ฉันไม่ใช่คนใจบุญ นอกจากนี้ ฉันก็ไม่ใช่คนขับที่ต้องมารับผิดชอบต่ออุบัติเหตุทางรถยนต์ ถ้าฉันบริจาคและจ่ายค่ารักษาให้ทุกคน ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บก็มาขอบริจาคจากฉันหมดน่ะสิ!” ซูซีพูดอย่างโกรธเคืองซูซีกำลังจะเดินจากไป ทว่า กวอ ซิ่นหลี่กลับคว้าตัวซูซีไว้ “คุณซู...”“ปล่อยฉัน!” ซูซีตะคอก จากนั้นผู้ช่วยของซูซีก็ผลักกวอ ซิ่นหลี่ออกไปอย่างรวดเร็วกวอ ซิ่นหลี่สะดุดถอยหลังเล็กน้อยก่อนที่จะตั้งหลักได้ซูซีจ้องเขม็งมาที่กวอ ซิ่นหลี่และสั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกองถ่ายว่า “อย่าให้สองคนนี้เข้ามาในกองถ่ายอีก ชิ พวกเขาทำให้ฉันอารมณ์เสีย!”“ครับ คุณผู้หญิง” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตอบกลับหลิง อี้หรานรู้ว่าเธอเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ในวันนี้ขณะที่เธอกำลังจะจากไปพร้อมกับกวอ ซิ่นหลี่ เธอก็พบว่ากวอ ซิ่นหลี่ตกอยู่ในภวังค์ขณะจ้องมองแผ่นหลังของซูซี“หยุดมองได้แล้ว ไปกันเถอะ” หลิง อี้หรานบอกเขา“เดี๋ยว... ฉันจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นสวมแหวนวงเดียวกันในคืนนั้น!” กวอ ซิ่นหลี่โพล่งขึ้นทันทีหลิง อี้หรานตกตะลึง ทันใดนั้น บางอย่างก็แวบเข้ามาในหัวของเธอ แต่เธอยังไม่สามารถประติประต