‘ชายคนนี้... เป็นผู้อุปถัมภ์... ที่ผู้ช่วยทนายความพูดถึงหรือไม่?’ทำไมผู้อุปถัมภ์ถึงมีอิทธิพลขนาดนี้?อี้ จิ่นหลีเหลือบมองชายผู้ไม่สวมหน้ากากด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นเขาก็สั่งลูกน้องที่ติดตามเขา “จัดการผู้ชายคนนี้และบอกให้เขารู้ว่าการถูกตบนั้นรู้สึกยังไง”“ครับ” ลูกน้องตอบ ‘นายน้อยอี้อาจจะทุกข์ทรมานจนถึงขนาดสั่งให้ฉันจัดการชายคนนั้น’ เขาคิดกับตัวเองผู้ชายคนที่ไม่มีหน้ากากถึงกับตัวสั่น ทันทีที่เขาเห็นอี้ จิ่นหลีอุ้มหลิง อี้หรานเข้าไปในรถยนต์เบนท์ลีย์สีดำคันหรูที่อยู่ใกล้ ๆ ชายคนนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า “คุณเป็นใครกันแน่? คือ... เธอเป็นแค่ผู้ช่วยทนายความจริง ๆ เหรอ?”‘ใครกันที่กล้าสร้างความโกลาหลเช่นนี้เพื่อช่วยผู้ช่วยทนายสาวธรรมดาที่ดูธรรมดา?’ชายคนนั้นรู้สึกเหมือนทุกอย่างนั้นเกินจะรับมือไหวเขาคิดว่าเขาแค่ยอมรับข้อเสนอบางอย่าง แต่มันกลายเป็นเรื่องใหญ่!ไม่มีเสียงตอบรับกับคำถามของเขา อี้ จิ่นหลีขึ้นรถไปโดยมีหลิง อี้หรานอยู่ในอ้อมแขนของเขา จากนั้น รถก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากที่เกิดเหตุหลิง อี้หรันพูดกับอี้ จิ่นหลีว่า “ขอบคุณนะ”ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เธออาจจะต้องทุกข์ทรมานในวันนี้“เธอฉล
‘เขาเคยรู้บ้างไหมว่าฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดที่ร่างกาย แต่ที่หัวใจต่างหาก’‘ฉันได้แต่สงสัยว่าเมื่อไหร่ความเจ็บปวดนี้จะหายไปเสียที’…ทันทีที่รถยนต์คันหรูแล่นมาจอดที่ทางข้างของโรงพยาบาล อี้ จิ่นก็อุ้มหลิง อี้หรานเข้าไปข้างในเมื่อหลิง อี้หรานมาถึงโรงพยาบาล เธอก็พบว่ามีหมอรออยู่ที่ห้องวีไอพีเรียบร้อยแล้ว จากนั้นหมอก็เริ่มทำการตรวจร่างกายของเธอโชคดีที่มันเป็นอาการบาดเจ็บภายนอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ไม่มีอะไรต้องกังวล และอาการบวมช้ำบนใบหน้าของเธอจะหายเป็นปกติภายในไม่กี่วันทันทีที่เธอตรวจร่างกายเสร็จ เธอก็พบว่าชุดใหม่เอี่ยมถูกเตรียมไว้ให้เธออย่างเรียบร้อย“เปลี่ยนเสื้อผ้าสิ” เขาพูด“อืม” เธอตอบ เสื้อผ้าตัวเก่าของเธอถูกกระชากจนขาดตั้งแต่ไหล่ลงมา ทำให้เธอไม่สามารถใส่ชุดตัวเก่าได้เธอเอื้อมมือไปหยิบชุด แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะส่งมันให้กับเธอเธอจ้องมองเขาด้วยความสงสัยเขาเอ่ยขึ้นว่า “เธอยังบาดเจ็บอยู่ ถ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเองจะลำบากเปล่า ๆ”‘เขาหมายความว่า…’ ใบหน้าของหลิง อี้หรานแดงก่ำ ใบหน้าที่บวมเป่งของเธอกลับดู ‘แดงยิ่งขึ้น’ ไปอีก“เอ่อ… คุณขอให้พยาบาลมาช่วยฉันก็ได้หนิ” หลิง
ทันทีที่เขาเห็นแก้มที่บวมแดงของเธอ เขาก็รู้สึกหายใจลำบาก ราวกับมีบางอย่างมาปิดกั้นการหายใจของเขาตอนที่เขาเปิดประตูรถเข้าไป และเห็นว่าเธอถูกมัดด้วยเชือกพร้อมกับแก้มสองข้างที่บวมแดง เขาอยากจะฆ่าเจ้าพวกนั้นจนแทบบ้าคนที่เขาหวงแหนและอยากปกป้องกลับได้รับอันตราย!หลิง อี้หรานกัดริมฝีปากแน่น และไม่เผยเสียงร้องออกมา เธอเคยชินกับความอดทน เพราะแม้ว่าเธอจะร้องไห้ แต่มันก็ไม่เคยช่วยอะไรให้ดีขึ้น!อี้ จิ่นหลีไม่พูดอะไรต่อ เพียงทายาที่เตรียมมาลงบนลำคอของเธอนอกจากบาดแผลบนใบหน้าแล้ว เธอยังเจ็บช้ำจากบาดแผลที่ถูกเตะอีกหลายครั้ง“ฉันทำเองได้” เธอพูด“เธอทายาบนหลังตัวเองได้เหรอ?” เขาบอก“แต่…”“ถ้าเธอรู้สึกอึดอัด งั้นฉันจะหลับตาทายาให้เธอ เพราะยังไงหมอก็เขียนตำแหน่งอาการบาดเจ็บของเธอคร่าว ๆ มาแล้ว” อี้ จิ่นหลีบอกหลิง อี้หรานตกใจกับคำพูดของเขา แต่กว่าเธอจะรู้ตัว เขาก็เดินไปด้านของเธอแล้วหลับตาลง และเอื้อมมือไปทายาให้เธอ“อ๊ะ!” เธอส่งเสียงออกมาอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาจึงพูดว่า “อย่าขยับ ถ้าเธอขยับ ฉันจะหาตำแหน่งบาดแผลไม่เจอ”เธอจึงชะงักในทันทีเพียงเสี้ยววินาที เธอก็สัมผัสได้ถึงปลายนิ้วบนหลั
‘เขาเป็นคนสั่งปิดบริษัท... เพื่อให้ฉันได้พักอยู่บ้านอย่างนั้นเหรอ?’‘เป็นไปได้ยังไง? เขาจะจัดการเรื่องพวกนี้เพียงเพื่อให้ฉันพักผ่อนจริง ๆ เหรอ?’‘แต่ทำไมบริษัทถึงปิดทำการเป็นเวลาสามวันโดยไร้เหตุผลล่ะ?’หลิง อี้หรานนอนลงบนเตียงหลังจากอาบน้ำเสร็จ หลังจากทายาบนแผล อาการบาดเจ็บของเธอก็บรรเทาลงเล็กน้อย เธอหลับตาและนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้เธอรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าเธอ เธอรู้สึกว่า... นอกจากเหลียนอีแล้ว ก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่คอยปกป้องเธอเสมอแต่ว่าผู้ชายที่คอยปกป้องเธอกลับไม่ได้รักเธอแล้วเกมรักของเขากับเธอจบลงแล้ว แล้วเกมพี่น้องนี้ล่ะจะจบลงเมื่อไหร่?ไม่มีใครบอกเธอได้ว่าเกมนี้มันจะจบลงเมื่อไหร่!…อี้ จิ่นหลีนั่งอยู่ในห้องขนาดใหญ่ สายตาเย็นชาของเขากำลังมองดูบอดี้การ์ดทั้งสองที่ก้มหน้าลง ทั้งสองคนต่างมีสีหน้างุนงง แม้แต่เกา ฉงหมิงก็ดูทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน“พวกแกปกป้องเธอกันยังไง?” น้ำเสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงเย็นชา เกา ฉงหมิงตัวสั่นทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา‘นายน้อยอี้กำลัง... โกรธ!’‘ครั้งนี้นายน้อยอี้กำลังโกรธจัดจริง ๆ!’บอดี้การ์ดทั้งสองต่างนิ่งเงียบเม
“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมเธอไม่บอกฉันว่าเธอได้รับบาดเจ็บล่ะ?” ชิน เหลียนอีแวะมาเยี่ยมหลิง อี้หรานที่ห้องเช่า แต่กลับต้องตกใจเมื่อเห็นแก้มแดงและบวมของเธอ“มันก็แค่ยังดูช้ำอยู่ แต่ไม่เจ็บมากแล้ว” หลิง อี้หรานพูด เธออายที่จะบอกเพื่อนสนิทว่าเธอดูน่ากลัวมากแค่ไหนในสองวันแรก“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หน้าเธอไปโดนอะไรมา? ใครทำร้ายเธอ?” ชิน เหลียนอีถามหลิง อี้หรานเล่าเรื่องการถูกลักพาตัวให้เพื่อนสนิทฟังคร่าว ๆ แม้ว่าเธอจะพยายามเล่าให้ฟังดูขบขัน แต่ชิน เหลียนอีกลับรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากชิน เหลียนอีพูดขึ้นทันทีว่า “เดี๋ยวนะ ทางหลวงถูกตำรวจขวางไว้เหรอ? นั่นใช่รถตู้ที่เธออยู่หรือเปล่า... คันที่ตำรวจขวางทางด่วนในวันนั้น?”“ฮะ?” หลิง อี้หรานตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น?”ชิน เหลียนอีหยิบโทรศัพท์ออกมาและค้นหาข่าวบนอินเทอร์เน็ต ก่อนจะส่งต่อให้เพื่อนสนิทหลิง อี้หรานพบว่ามีคนโพสต์รูปถ่ายบนทางหลวงในวันนั้นทางอินเทอร์เน็ตภาพถ่ายถูกถ่ายจากระยะไกล ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนตั้งแถวและรถตำรวจเท่านั้น ตำรวจติดอาวุธอันตรายหลายอย่างโดยเล็งปืนไปที่รถตู้คันดังกล่าวภาพถ่ายนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุก
ถ้าเธอพูดชื่นชมดาราชาย เขาจะมองเธอด้วยสายตาเขม็ง และสุดท้ายเธอก็จะต้องเกลี้ยกล่อมเขาถ้าเธอไม่ทำเช่นนั้น เขาจะบอกพ่อแม่ของเธอเกี่ยวกับการไปเที่ยวบาร์ใต้ดินดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงตีหน้าเศร้าเป็นครั้งคราวแต่ถ้าเธอมองข้ามความหึงหวงของไป๋ ทิงซินไป เธอก็พบว่าเขายังมีข้อดีอีกมากมาย เช่น ตอนที่เธอนั่งดูโทรศัพท์ เขาก็จะป้อนขนมใส่ปากเธอโดยอัตโนมัติ เมื่อเธอบ่นปวดหลัง เขาก็จะนวดให้เธอ และแม้แต่เธออยากได้ลายเซ็นของคนดัง เขาก็จะหามาให้ แน่นอนว่าเฉพาะของดาราหญิงเท่านั้นเมื่อเธอมองดูใบหน้าอมยิ้มของเพื่อนสนิท เธอก็ได้แต่หวังว่าความสัมพันธ์ของเหลียนอีกับทิงซินจะราบรื่นไปด้วยดีทว่า... เมื่อเธอนึกถึงภูมิหลังของไป๋ ทิงซินกับตระกูลไป๋ เธออดรู้สึกกังวลไม่ได้‘เรื่องราวของตระกูลไป๋นั้นซับซ้อน ไป๋ ทิงซินกลายมาเป็นผู้นำตระกูลไป๋ทั้งที่เขาเป็นลูกนอกสมรส แล้วแบบนี้มันจะอันตรายแค่ไหนกันนะ? คุณนายไป๋มีลูกชายถึงสองคนและทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะยินยอมให้ไป๋ ทิงซินปกครองไป๋ เฟิง กรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ เหรอ?’‘หรือว่าพวกเขาคิดจะทำอย่างอื่นแทน? อย่างไรเสีย ลูกหลานที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจมักจะต
“ถ้าฉันอยากเจอคุณ ฉันก็ไม่สนใจเวลาหรอก ทิงซิน ฉันรู้สึกว่าฉันโชคดีที่เรามีกันและกัน” เธอพูด น้ำเสียงของเธอฟังดูอ่อนหวานเธอโชคดีมากเมื่อเปรียบเทียบกับอี้หราน ดังนั้นเธอจึงรู้สึกเสียใจกับอี้หรานเป็นอย่างมาก“ทำไมจู่ ๆ ถึงพูดแบบนั้นล่ะ?” ไป๋ ทิงซินมองไปที่คนตรงหน้า เขาดีใจที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้จากเธอ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เธอถึงพูดแบบนี้ ราวกับว่าเธอไปเจอเรื่องอะไรมา“วันนี้ฉันไปหาอี้หรานมา เธอบอกว่าเธอกับอี้ จิ่นหลีกลับมาเป็นพี่น้องกันอีกครั้งเพราะเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้ว่าอี้หรานอยากจะเอาชนะอี้ จิ่นหลี แต่สถานการณ์กลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง” ชิน เหลียนอีพูดชิน เหลียนอีพูดต่ออย่างโกรธเคือง “ฉันไม่รู้ว่าอี้ จิ่นหลีกำลังคิดอะไรอยู่ ดูเหมือนว่าเขายังสนใจอี้หรานมาก แต่เขาเป็นคนที่อยากเลิกกับอี้หรานเอง คนเราต่างพูดกับว่าผู้หญิงเป็นเพศที่คาดเดาได้ยาก แต่ฉันคิดว่าเขาต่างหากที่เป็นคนคาดเดาได้ยาก”“อี้ จิ่นหลียังรักหลิง อี้หรานอยู่” ไป๋ ทิงซินโพล่งขึ้นมา“อะไรนะ?” ชิน เหลียนอีตกตะลึง “เขายังรักเธออยู่เหรอ?”“ใช่” เขาเห็นสายตาที่อี้ จิ่นหลีมองดูหลิง อี้หรานหลังจากเลิกกัน ในฐานะผู้ชาย เขาส
“ทำไมฉันต้องกลัวด้วยล่ะ?” เธอสับสน “ฉันชอบคุณ แล้วคุณก็ชอบฉัน ก็ปกติไม่ใช่เหรอ?” แน่นอนว่าเธอไม่สามารถบอกเรื่องนี้ให้พ่อแม่หัวโบราณรับรู้ได้นอกจากนี้... มันจะช่วยให้เธอจำได้ว่าพวกเขามีอะไรกันอย่างไร เธอจำการเผชิญหน้าครั้งก่อนไม่ได้!เขาหัวเราะกะทันหันเธอถามด้วยความงุนงงว่า “คุณหัวเราะอะไร? คุณคิดว่าฉันลุกแรงเกินไปหรือเปล่า?” ‘อืม... แต่ที่จริงฉันก็ไม่ใช่คนสงวนตัวเท่าไหร่’อันที่จริง ฉันไม่เคยสงวนตัวกับเขาเลยต่างหากล่ะ“ไม่แปลกใจเลยที่คุณเป็นผู้หญิงที่ผมหลงรัก!” เขาดึงเรียวนิ้วกลับมาและริเริ่มจูบเธอจูบที่เอ้อระเหยเริ่มรุนแรงขี้นเหลียนอีของเขาดูมีความปรารถนาแรงกล้าและแสดงออกอย่างจริงใจ เขาไม่จำเป็นต้องหลอกล่อเธอ เขาไม่จำเป็นต้องป้องกันตัวเองจากความปรารถนาอันแรงกล้าของเธอ เขาสามารถเป็นตัวเองและเผยธาตุแท้ของเขาได้!เขาโชคดีที่ได้พบเธอและตกหลุมรักเธอ! เธอเป็นเหมือนผู้ช่วยชีวิตของเขาเขาคิด ‘ฉันจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรักผู้หญิงคนนี้’…หลังจากหลิง อี้หรานกลับมาทำงาน รอยแดงบวมบนใบหน้าของเธอบรรเทาลงมากแล้ว เธอสามารถปกปิดรอยช้ำบนใบหน้าของเธอด้วยการทาครีม ดังนั้นคนอื่นจะไม่สังเกตเ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค