ขณะที่คนรับใช้ไปเตรียมซุป ไป๋ ทิงซินก็จับให้ชิน เหลียนอีนั่งบนโซฟาแล้วพูดว่า “ผมจะส่งคุณที่บ้านหลังจากที่คุณทานซุปเสร็จแล้ว”ชิน เหลียนอีพึมพำ “ฉันไม่อยากกลับบ้าน ฉันอยากดูการแสดงต่อ ไปส่ง… ส่งฉันกลับ ฉันอยากดูหุ่นล่ำ ๆ พวกนั้น…”คำพูดของชิน เหลียนอีกระตุ้นไป๋ ทิงซิน “ฮะ? ชิน เหลียนอี ผมยังไม่ได้จัดการกับคุณเลยนะ คุณบอกผมว่าคุณมีงานด่วน แต่คุณกลับไปที่บาร์นั้นแทน ผมตามใจคุณไปมากจนคุณกล้าทำอย่างนี้เลยเหรอ?ชิน เหลียนอีสะดุ้งเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะเมา แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นความผิดของเธอ“คุณ... ตามหาฉันเจอได้ยังไง ฉัน... ฉันไม่ได้บอกคุณว่าฉันอยู่ที่บาร์สักหน่อย!” เธอบ่นราวกับไม่พอใจ“เธอบอกฉัน!” เขาบ่นด้วยความรำคาญ เขาคงไม่รู้ถ้าเธอไม่ได้โพสต์รูปภาพบนวีแชตของเธอเธอคร่ำครวญ“ส่งเสื้อกั๊กนั่นมา” ไป๋ ทิงซินพูด สายตาที่เธอมองดูเสื้อกั๊กของชายคนอื่นทำให้เขารู้สึกรำคาญ“ไม่!” ชิน เหลียนอีส่ายหัวและกำเสื้อกั๊กแน่นขึ้น “ฉันพยายาม… เอ่อ… ฉันพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มันมาเลยนะ!”“พยายามหนักมากไหม?” ไป๋ ทิงซินหัวเราะด้วยความโกรธ “ทำไมคุณถึงคว้าเสื้อกั๊กของพวกเขาเอาไว้แบบนี้?”“เป็น... ของที
ทว่า วิธีนี้กลับได้ผลกับชิน เหลียนอี เธอคลายนิ้วที่กำเสื้อกั๊กไว้เล็กน้อย แต่เธอกลับดูไม่เต็มใจนัก “ไป๋ ทิงซิน… คุณ… คุณหมายความว่าคุณจะไม่ให้ฉันเก็บเสื้อกั๊กไว้เหรอ?” เธอพูดด้วยความยากลำบาก ดวงตาที่พร่ามัวของเธอเต็มไปด้วยความคับข้องใจ“คุณว่าผมมีเสน่ห์มากกว่าไม่ใช่เหรอ? แล้วเก็บเสื้อกั๊กของคนอื่นไว้ทำไม?” เขาตะคอกโดยลืมไปว่ากำลังโต้เถียงกับผู้หญิงขี้เมา“พวกเขา... เต้นได้ คุณเต้นไม่ได้...” เธอพึมพำไป๋ ทิงซินโกรธมากจนพูดว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเต้นไม่ได้?”“งั้นก็เต้น… อืม… เต้น… และถอดเสื้อผ้าของคุณออกด้วย…” เธอพูดเสริมในตอนท้ายเขาจ้องมองที่เธอ “ถ้าผมเต้นให้คุณดู คุณจะหยุดคิดถึงผู้ชายคนอื่นไหม?”“แน่นอน... ฉันสัญญา!” เธอพยักหน้าเล็กน้อย“ก็ได้ รักษาคำพูดของคุณด้วย ถ้าคุณกล้ากลับคำพูด...” เขาหยุดชั่วคราว “ผมจะไม่ให้โอกาสคุณได้กลับพูดเด็ดขาด”จากนั้น ไป๋ ทิงซินจึงยกมือขึ้นและปลดกระดุมเสื้อต่อหน้าชิน เหลียนอี…เขาค่อย ๆ ขยับตัวไปมา การแสดงดังกล่าวไม่เคยมีมาก่อนในต่างประเทศการเต้นมันง่ายสำหรับเขา และเขาสามารถเต้นได้ดีกว่าผู้ชายพวกนั้น ตราบใดที่เธอยังจับตาดูเขาอยู่‘เธอไม่ได้
เมื่อเห็นคนรับใช้เข้ามา ไป๋ ทิงซินก็หันไปมองเธอและตะโกนอย่างเย็นชาว่า “ออกไป!”“ค่ะ ค่ะ!” คนรับใช้รีบวางถ้วยซุปและออกจากห้องนั่งเล่นไปเหลือเพียงชิน เหลียนอีและไป๋ ทิงซินอยู่ในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่“เหลียนอี ลุกขึ้น!” ไป๋ ทิงซินสั่ง“ไม่” เธอเมามาก แต่เสียงตะโกนของเธอก็ยังดังก้องออกมาอย่างชัดเจน“หยุดเดี๋ยวนี้ ดื่มซุปก่อน” เขาอดทนมากจนลูกน้องของเขาคงจะตกใจถ้าพวกเขาเห็นเจ้านายตัวเองอยู่ในสภาพแบบนี้เขาไม่เคยต้องการเปิดใจให้ใครเลย ไม่ต้องพูดถึงการเกลี้ยกล่อมผู้หญิงแบบนี้ เธอเป็นข้อยกเว้นเพียงคนเดียวของเขา“ไป๋ ทิงซิน... ฉันจะทำยังไงดี? ดูเหมือนว่า… ฉันจะชอบคุณนะ… เอ่อ... มากขึ้นเรื่อย ๆ…” เธอพึมพำเขารู้ว่าเธอพูดแบบนั้นออกมาเพราะเธอเมา เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาปวดร้าว “ถ้าคุณชอบผมจริง ๆ ทำไมคุณถึงไปที่นั่นแล้วไปเอาเสื้อผ้าของผู้ชายคนอื่นมาล่ะ?”“ฉันช่วยอี้หราน… ให้ได้ปลดปล่อยอารมณ์ ฮิฮิ… แล้ว… พวกเขาก็หล่อมาก… แต่ว่า…” เธอเรออีกครั้งก่อนที่จะเอามือไปกุมหน้าเขาไว้ “ฉัน... แค่ชอบมองพวกเขา... คุณต่างหาก... คือคนเดียวที่ฉันชอบ... ฉันชอบคุณมาก มากเหลือเกิน...”เธอพูดพร้อมกับหอมแก
เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ‘ฉันเมาแล้วฉันจำไม่ได้ว่าเราทำอะไรลงไป ฉันต้องพยายามนึกให้มากขึ้นอีกนิดและนึกถึงช่วงเวลาที่น่าจดจำกับเขา’ราวกับว่าเธอกำลังจำอะไรบางอย่างได้ เธอร้องออกมาว่า “อ๊ะ อี้หรานอยู่ที่ไหน? เมื่อวานฉันอยู่กับอีหรานไม่ใช่เหรอ?”ไป๋ ทิงซินรู้สึกรำคาญเมื่อเธอพูดถึงเรื่องนี้ “คุณจำได้ว่าคุณอยู่กับหลิง อี้หรานเหรอ? เมื่อวานคุณบอกผมว่าอะไร? คุณบอกว่าคุณมีงานที่ต้อง แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนั้น? คุณพาหลิง อี้หรานไปสถานที่แบบนั้นเพื่อดูโชว์ของผู้ชาย”ชิน เหลียนอีสะดุ้งอย่างรู้สึกผิด “ฉันแค่อยากช่วยอี้หรานได้ปลดปล่อย ตลอดทั้งวันฉันก็นั่งทำงานในโครงการ แล้วฉัน... ฉันก็ไปอี้หรานในตอนบ่าย!”“แล้วเสื้อผ้าที่คุณเอากลับมาล่ะ? ผมไม่เคยเห็นคุณคว้าเสื้อผ้าของผมแบบนั้นบ้างเลย แต่คุณกลับไปคว้าเอาเสื้อผ้าของคนแปลกหน้ามา” เขาสะบัดตัวออก แต่การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยนและระมัดระวัง“ฉัน... ฉันทำมัน... เพื่ออี้หราน!” ชิน เหลียนอีใช้หลิง อี้หรานเป็นข้ออ้างในทันที‘อืม ฉันควรบอกว่าฉันจะมอบมันให้แก่เพื่อนสนิท’“อ๋อ ใช่ แล้วเสื้ออยู่ไหนล่ะ?” เธอนึกออกในทันที“ผมโยนมันทิ้งไปแล้ว” ไป๋ ทิงซินพูดขณ
“ถ้าอย่างนั้น… พวกเขาไม่รู้หรือว่าเรา… บ้าเอ๊ย!” ชิน เหลียนอีคร่ำครวญ ‘พ่อแม่ของฉันเป็นพวกหัวโบราณสุด ๆ ถ้าพวกเขารู้ว่ามีคนมายุ่งกับฉัน… เอ่อ ไม่… ถึงฉันมีอะไรกับใคร พวกเขาก็จะลงโทษฉันด้วยการให้ฉันคุกเข่าบนกระดานหลังจากฉันกลับบ้านใช่ไหม?’“มันน่าอายมากไหมที่จะนอนกับผม?” ท่าทางของเขานิ่งขึ้น เธอดูราวกับว่าเขาเป็นความลับที่น่าสยดสยองที่เธอต้องเก็บไว้“ไม่ ไม่! ไม่มีอะไรน่าภูมิใจไปกว่าการได้นอนกับคุณแล้ว! ฉันแค่กลัวว่าพ่อแม่ของฉันจะรับไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นพวกหัวโบราณ” ชิน เหลียนอีโพล่งออกมาไป๋ ทิงซินรู้สึกว่าทุกครั้งที่เขากำลังจะโกรธ ผู้หญิงคนนี้ก็จะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น “ทั้งหมดที่ผมบอกพ่อแม่ของคุณคือคุณดื่มแอลกอฮอล์ไปสองสามแก้วและนอนในห้องรับแขกที่ผมจัดไว้ให้”‘ว้าว!’ชิน เหลียนอีรู้สึกโล่งใจ“เอาล่ะ ไปแต่งตัวแล้วลงไปกินข้าวเช้า กินซุปแก้เมาค้าง มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น” เขาสั่ง เนื่องจากเธอไม่ได้ดื่มซุปเมื่อคืนนี้ เขาจึงอยากให้เธอได้ดื่มซุปก่อน“โอเค!” ชิน เหลียนอีตอบ จากนั้นเธอก็มองดูไป๋ ทิงซินลุกจากเตียงและเดินไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เธอ ก่อนที่เขาจะสวมเสื้อผ้าของตัวเอ
[ฉันไม่เป็นอะไร ไป๋ ทิงซินพาฉันไปพักผ่อนที่คฤหาสน์ของเขา] ชิน เหลียนอีอายที่จะบอกว่าเธอ ‘นอน’ กับไป๋ ทิงซินอีกครั้งไป๋ ทิงซินพูดอย่างจริงจังระหว่างอาหารเช้าว่า “คุณทำแบบนั้นกับผมอีกแล้ว ครั้งนี้คุณตายแน่ถ้าคุณไม่รับผิดชอบ”เธอพูดไม่ออก ‘ผู้หญิงไม่ได้เป็นฝ่ายทุกข์ทรมานเหรอ? ฉันควรจะเป็นคนพูดประโยคพวกนั้นมากกว่า’“จะรับผิดชอบไหม?” เขาถามขณะจ้องมองเธอ“เอ่อ... ค่ะ” เธอพยักหน้าภายใต้สายตาที่ดุเดือดของเขาชิน เหลียนอีรู้สึกพูดไม่ออก แต่เธอก็รู้สึกถึงความโรแมนติดเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ‘มันรู้สึกดีมากที่ไป๋ ทิงซินบังคับให้ฉันรับผิดชอบ!’หลังจากคุยกับหลิง อี้หรานได้ครู่หนึ่ง ชิน เหลียนอีก็เก็บโทรศัพท์ของเธอ เปิดคอมพิวเตอร์และพร้อมที่จะทำงานในทางกลับกัน หลิง อี้หรานเก็บโทรศัพท์แล้วก็สลัดความคิดทั้งหมดออกไป เธอหยิบแฟ้มคดีที่กระจายอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู‘ทำไมอี้ จิ่นหลีถึงมารับฉันที่บาร์? เกิดบ้าอะไรขึ้น?’‘เขารู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ไหน?’‘ทำไมเขาถึงยังอยู่ในชีวิตฉันอีก ในเมื่อตอนนั้นฉันปฏิเสธข้อเสนอการเป็นพี่สาวของเขาในวันนั้นแล้ว?’‘เราเลิกกันแล้ว แต่ผลที่ตามมากลับต่าง
“รกนิดนึงนะ” กวอ ซิ่นหลี่ยิ้มบาง ๆ“เป็นเรื่องธรรมดาเวลาคนเราเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง จริง ๆ แล้วฉันอิจฉาคุณที่มีธุรกิจเป็นของตัวเองได้” หลิง อี้หรานพูด เธอเคยคิดที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองเหมือนกัน โดยคิดว่าจะเปิดสำนักงานกฎหมายของตัวเองหลังจากสะสมประสบการณ์มากพอแต่ว่า... ตอนนี้เธอทำงานเป็นเพียงผู้ช่วยทนายเท่านั้นเธอทำได้เพียงถอนหายใจและยอมรับว่าสิ่งต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา“อ่านเอกสารนี้ก่อนนะคะ ฉันพิมพ์ประเด็นที่น่าสงสัยที่คุณพูดถึงก่อนหน้า เซ็นชื่อของคุณได้เลยถ้าคิดว่าเอกสารนี้ถูกต้อง” หลิง อี้หรานพูดขณะที่เธอส่งเอกสารให้กวอ ซิ่นหลี่เธอได้โทรหากวอ ซิ่นหลี่เพื่ออธิบายความตั้งใจของเธอก่อนที่เธอจะมาที่นี่กวอ ซิ่นหลี่หยิบเอกสารไปอ่านและเซ็นชื่อหลิง อี้หรานรับเอกสารกลับมา หยิบปากกาและเซ็นชื่อของเธอลงในเอกสารเช่นกัน เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็พบว่ากวอ ซิ่นหลี่กำลังมองมาที่เธอ“มีอะไรเหรอ? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เธอถาม“คุณ… คงจะ… ทรมานมามากใน…” เขาพึมพำ เขาไม่ได้พูดคำว่า ‘คุก’ แต่หลิง อี้หรานรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร“มันเป็นอดีตไปแล้วล่ะ” เธอส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขาราวกับว่าอดี
เด็กในวัยอาหยันชอบฟองสบู่ โดยเฉพาะของเล่นที่มีรูปร่างเหมือนปืนไม่นานนักฟองสบู่ก็ปรากฏอยู่เต็มบ้านเมื่อมองดูฟองอากาศภายในบ้าน กวอ ซิ่นหลี่ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ผม... เอ่อ... บางทีผมควรจะพาอาหยันน้อยออกไปเล่นข้างนอกสักพัก แล้วผมจะพาเขากลับมานะครับ”“ได้จ้า ขอบใจนะ” โจว เชียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบเล่นกับอาหยันน้อย” กวอ ซิ่นหลี่พูดอาหยันน้อยตื่นเต้นที่จะได้เล่นกับฟองสบู่ข้างนอก ดังนั้นเขาจึงออกไปกับกวอ ซิ่นหลี่อย่างมีความสุขจากนั้น โจว เชียนหยุนจึงถามหลิง อี้หรานว่า “ทำไมวันนี้เธอถึงมากับเขาได้?”“ฉันไปเจอเขาเรื่องงาน แล้วเขาก็อยากเอาของขวัญมาให้อาหยันน้แยพอดี เราเลยมาด้วยกันน่ะค่ะ” หลิง อี้หรานเล่า จากนั้นเธอก็เหลือบมองที่กระเป๋าเดินทาง “แล้วพี่ล่ะ? พี่จะไปเมืองจีเมื่อไหร่?”“อีกสามวัน เราเพิ่งหาบริษัทขนย้ายเฟอร์นิเจอร์บางส่วนได้ ส่วนฉันจะขึ้นรถไฟความเร็วสูงไปกับแม่และอาหยัน” โจว เชียนหยุนพูด“รถไฟออกกี่โมงคะ? ฉันจะได้ไปหาพี่” หลิง อี้หรานถาม“ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจนะ อีกอย่างมันไม่ใช่วันหยุด เธอต้องทำงาน ยังไงก็ขอบใจ ไว้ฉันจะบอกเธอทันทีที่เราไปถึงเมืองจี นอ