“น้ากวอให้ผมขี่ไหล่แล้วก็พาผมเล่นสนุก!” เด็กน้อยเริ่มนับกิจกรรมสนุก ๆ ด้วยนิ้วของเขาและส่วนใหญ่มักเป็นกีฬาโปรดที่พ่อและลูกชายมักเล่นด้วยกันเมื่อโจว เชียนหยุนได้ยินดังนั้น ดวงตาของเธอก็ดูโศกเศร้าขึ้นไม่ว่าเธอจะพยายามสวมบทบาทพ่อมากแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ยังคงเป็นความจริงที่ว่าอาหยันน้อยไม่มีพ่อ เธอเห็นความอิจฉาริษยาในดวงตาของลูกชายทุกครั้งที่เห็นลูกคนอื่นอยู่กับพ่อ‘แต่... เย่ เหวินหมิงไม่ใช่พ่อที่ดี สำหรับความต้องการของเย่ เหวินหมิง… คืออาหยันน้อยไม่ควรมีตัวตนอยู่จริง’หลิง อี้หรานเห็นดวงตาโศกเศร้าของโจว เชียนหยุน เธอจึงเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ขณะที่เธอกำลังจะจากไป เธอมองดูโจว เชียนหยุนและถามว่า “อาการบาดเจ็บของพี่เป็นยังไงบ้างคะ?”“ไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วล่ะ ฉันไม่เจ็บมากแล้ว” โจว เชียนหยุนพูดพร้อมกับยกยิ้ม“เย่ เหวินหมิงได้มาหาพี่อีกหรือเปล่า?” หลิง อี้หรานถามอีกครั้งโจว เชียนหยุนส่ายหัว ตั้งแต่วันที่เธอทำร้ายตัวเองต่อหน้าเขา เขาก็ไม่เคยมาปรากฏตัวต่อหน้าเธออีกเลย“ถ้ามีอะไรที่ฉันพอช่วยพี่ได้ ก็บอกฉันได้ตลอดนะคะ ตอนนี้ฉันอาจจะทำอะไรได้ไม่มาก แต่... ถ้าเราช่วยกัน งานหนักจะได้กลาย
ดวงตาฟีนิกซ์จ้องมองชุดที่อยู่ในมือของหวา ลี่ฟาง ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “เธอกำลังทำอะไร? วางชุดนั้นลงซะ!”น้ำเสียงของเขาเย็นชาจนหวา ลี่ฟางตกใจ“คุณ… คุณไม่ได้จะให้ชุดนี้กับฉันเหรอ?”ทันทีที่เธอพูดแบบนั้น สีหน้าของกู้ ลี่เฉินก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ‘ใช่ แต่ตอนนี้ไม่ให้’เขาคิดที่จะมอบชุดเดรสนี้ให้กับเด็กหญิงตัวเล็กที่ชีวิตช่วยเขา เพราะเขาเคยสัญญากับเธอว่าเขาจะมอบชุดเดรสสีม่วงที่ประดับด้วยดอกไม้เล็ก ๆ ให้เธอทว่า เมื่อเขาได้พบเธอ เขาไม่สามารถมองเห็นลี่ฟางเป็นเด็กหญิงคนนั้นได้เด็กหญิงที่เขาเคยวาดฝันไว้กลับดูแตกต่างออกไปเมื่อเธอมาอยู่ตรงหน้าเขา“ถ้าเธออยากได้ชุดแบบนี้ ฉันจะหาอีกชุดหนึ่งมาให้ทีหลัง” เขาพูดขึ้นขณะคว้าชุดนั้นกลับจากมือของเธอสีหน้าของหวา ลี่ฟางนิ่งเรียบในทันที แต่แล้วเธอก็พูดแสร้งทำเป็นไม่สนใจว่า “ไม่เป็นไร ขอบคุณนะลี่เฉิน วันนี้ฉันใช้เงินในบัตรที่คุณให้มาแล้ว ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”“ฉันให้เธอแล้ว เธอจะใช้มันยังไงก็ได้” กู้ ลี่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ฉันไม่ได้ใช้มันเองหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะเอาเงินให้อี้หราน เพราะเธอเลิกกับอี้ จิ่นหลีแล้ว เธออาจจะไม่มีเงินใช้อย่างเห
“มันเป็นสถานที่แบบไหน?” คำพูดของเธอกระตุ้นต่อมความอยากรู้ของหลิง อี้หราน“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง” ชิน เหลียนอีปิดปากและยิ้มหลิง อี้หรานรู้สึกได้ทันทีว่ารอยยิ้มของเพื่อนสนิทดูเหมือนกับตัวละครตัวร้ายในละครโทรทัศน์หลิง อี้หรานพูดไม่ออกเมื่อเธอเห็น ‘สถานที่ดี ๆ’ ของชิน เหลียนอี มันเป็นบาร์ใต้ดิน ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่เป็นนักเรียนมัธยมปลายอายุ 17 หรือ 18 ปี บางคนอายุแค่ 20 ต้น ๆ ด้วยซ้ำเนื่องจากอายุต่างกัน พวกเขาดูแปลกไปเล็กน้อยเมื่อยืนอยู่ตรงนั้น“มีอะไรดีขนาดนั้นเหรอ?” หลิง อี้หรานสงสัย“เดี๋ยวก็รู้เอง!” ชิน เหลียนอีขยิบตาเมื่อเป็นเวลาสองทุ่ม จู่ ๆ บรรยากาศในบาร์ก็ดังขึ้นและชายห้าคนก็ขึ้นมาบนเวทีหลิง อี้หรานเห็นเพียงวงดนตรีที่มีผู้ชายห้าคน เธอไม่เห็นมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ทว่า ดวงตาของชิน เหลียนอีกลับเป็นประกาย “นี่ นี่ พวกเขาอยู่นี่แล้ว!”“วันนี้เธอพาฉันมาที่นี่เพื่อดูพวกเขางั้นเหรอ?” หลิง อี้หรานถาม“ใช่ พวกเขากำลังมาแรงเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพราะทั้งห้าคนหน้าตาดีและมีรูปร่างดี แถมยังเต้นเก่งด้วย!” ชิน เหลียนอีรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อเธอพูดถึงพวกเขา เธออยากจะแนะนำเพื่อนสนิท
“เกิดอะไรขึ้น?” อี้ จิ่นหลีถามเสียงเรียบ “มัน... เกี่ยวกับคุณหลิง”“อี้หราน?” ท่าทางของอี้ จิ่นหลีเปลี่ยนไป “เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?”“เอ่อ… วันนี้ชิน เหลียนอี เพื่อนของคุณหลิงพาเธอที่บาร์ใต้ดินเพื่อดูการแสดง”เมื่อได้ยินเช่นนั้น อี้ จิ่นหลีจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? มีคนหาเรื่องพวกเขาเหรอ?” เขาไม่ได้กังวลว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บ เพราะเขาได้ส่งคนไปปกป้องเธอหากคนของเขาไม่สามารถคุ้มครองเธอได้ พวกเขาก็ไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าขยะ“ไม่ได้มีใครมาหาเรื่องพวกเธอครับ แต่วันนี้คิงกำลังแสดงที่บาร์ใต้ดิน”“คิง?” อี้ จิ่นหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย“เป็นวงดนตรีที่กำลังร้อนแรงที่สุดในช่วงนี้ การแสดงของพวกเขา… เอ่อ... พวกเขาเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้หญิง” น้ำเสียงของเกา ฉงหมิงแผ่วเบาขึ้นเรื่อย ๆอี้ จิ่นหลีหรี่ตาลง “พูดต่อ!”“การแสดงของคิง… รวมถึงท่าเต้นต่าง ๆ และท่าเต้นบางส่วน… ทำให้ผู้หญิงคลั่งไคล้ เช่น... ถอด... เสื้อผ้าของพวกเขา…”ยิ่งเกา ฉงหมิงพูดต่อมากเท่าไหร่ ใบหน้าของเจ้านายก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น ทันทีที่เขาพูดว่า ‘ถอดเสื้อผ้า’ ใบหน้าของเจ้านายก็เขม่นขึ้น เขารู้ได้ในทันทีว่าปัญหากำลังจะมาเกิดขึ้
อี้ จิ่นหลีลงจากรถ เขาขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเสียงดังสนั่นและเสียงกรีดร้องออกมาจากด้านใน เกา ฉงหมิงมองใบหน้าของเจ้านายอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะพูดว่า “นายน้อยอี้ ในนั้นมีคนอยู่มากมาย ทำไมไม่ให้ผม... เข้าไปและพาคุณหลิงออกมาดีกว่าครับ?”“ไม่ ฉันจะเข้าไปเอง” อี้ จิ่นหลีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันใดนั้น ปอร์เช่สีเงินอีกคันก็ขับเข้ามาและมาหยุดอยู่ที่หน้าบาร์ ในเวลาต่อมา ร่างผอมบางของใครบางคนออกมาจากรถปอร์เช่เขาตกใจที่เห็นอี้ จิ่นหลีอี้ จิ่นหลีก็ตกใจที่เห็นชายคนนั้นอยู่ที่นี่เช่นกันชายสองคนมองหน้ากัน จ้องเขม็งด้วยสายตาน่ากลัวเกา ฉงหมิงอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า น้อยครั้งที่จะได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้!“นายมาที่นี่เพราะชิน เหลียนอีใช่ไหม?” อี้ จิ่นหลีพูดทำลายความเงียบดวงตาของไป๋ ทิงซินเป็นประกาย “คุณมาที่นี่เพราะ... หลิง อี้หรานเหรอ?”“ไปพาผู้หญิงของเรากลับบ้านกันเถอะ” อี้ จิ่นหลีพูด‘ดูเหมือนว่าอี้ จิ่นหลีกำลังตามหาหลิง อี้หรานจริง ๆ’ ไป๋ ทิงซินคิดกับตัวเองเขารีบมาที่นี่เพราะชิน เหลียนอีตื่นเต้นมาก เธอถ่ายรูปเวทีและเผลอโพสต์ลงในวีแชตของเธอทันทีที่เขาเห็นรูปภาพนั้
ไป๋ ทิงซินเห็นชิน เหลียนอีที่อยู่บนโต๊ะกำลังโบกไม้โบกมือให้ผู้ชายทั้งห้าคนบนเวทีอย่างเมามัน มือของเธอ... เอ่อ... กำลังแกว่งเสื้อกั๊กไปมา มันดูเหมือนเครื่องแต่งกายของผู้ชายบนเวที!‘หลิง อี้หรานยังดูปกติกว่าชิน เหลียนอี’ ไป๋ ทิงซินคิดแต่พวกเธอก็ไม่ได้ดูดีกว่ากันไปสักเท่าไหร่หลิง อี้หรานยืนอยู่บนเก้าอี้ โบกมือทั้งสองข้างและเอามือป้องปากของเธอเป็นครั้งคราว ขณะที่เธอตะโกนใส่ชายเปลือยท่อนบนทั้งห้าคนบนเวที “ถอดเลย! ถอดเลย! ฉันอยู่นี่แล้ว!”ไป๋ ทิงซินถึงกลับพูดไม่ออก หลิง อี้หรานดูแตกต่างออกไปจากที่เขาเคยจำได้!ไป๋ ทิงซินมองดูท่าทางของอี้ จิ่นหลี แสงในบาร์มืดลง ดังนั้นผู้คนรอบข้างจึงไม่รู้ว่าใบหน้าของอี้ จิ่นหลีเยือกเย็นขนาดไหนในตอนนี้ ทว่า เมื่อพิจารณาจากท่าทางของเขานั้น... ไป๋ ทิงซินก็รู้สึกเห็นใจหลิง อี้หรานเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าหลิง อี้หรานจะจัดการเรื่องนี้กับคนอย่างอี้ จิ่นหลีได้อย่างไรพวกเขาเลิกกันแล้ว แต่เมื่อมองดูท่าทางของอี้ จิ่นหลีในตอนนี้ ดูเหมือนว่า... กำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้นอี้ จิ่นหลีก้าวไปข้างหน้า เอื้อมมือออกไปแล้วอุ้มหลิง อี้หรานเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขาเธอเอาแขน
แม้ว่าใบหน้าของอี้ จิ่นหลีจะดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น แต่ไป๋ ทิงซินก็ไม่รู้สึกย่อท้อดูเหมือนว่าเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวจะถูกตัดออกจากในโลกของพวกเขาเกา ฉงหมิงที่ยืนอยู่ข้างหลังอี้ จิ่นหลี รู้สึกถึงเหงื่อบนหลังของเขา หากนายน้อยอี้ต่อสู้กับไป๋ ทิงซิน มันอาจจะไม่จบลงด้วยดีแม้ว่าตระกูลไป๋จะไม่ได้อยู่ในเมืองเฉิน แต่ถ้าเขาอยากจะต่อสู้กับตระกูลอี้จริง ๆ ก็อาจจะต้องมีใครบางคนที่ต้องแพ้ยิ่งกว่านั้น ไป๋ ทิงซินที่ดูสง่างามและมีเสน่ห์ แต่จริง ๆ เขากลับโหดเหี้ยมและเจ้าเล่ห์ไม่อย่างนั้นไอ้เด็กเหลือขอจะกลายเป็นผู้นำของตระกูลไป๋ได้อย่างไร?!ทันใดนั้น หลิง อี้หรานที่อยู่ในอ้อมแขนของอี้ จิ่นหลีก็พูดกับชิน เหลียนอีว่า “เหลียนอี... จินมารับฉันแล้ว... ไว้เรามาดูกันใหม่... ครั้งหน้า...”“ได้... เราจะ... เราจะกลับมาดูอีก!” ชิน เหลียนอีตอบสองสาวขี้เมาทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น อี้ จิ่นหลีเดินออกจากบาร์อย่างรวดเร็วโดยมีหลิง อี้หรานอยู่ในอ้อมแขนของเขา เกา ฉงหมิงรีบตามเจ้านายออกไปในทันทีไป๋ ทิงซินต้องการพาชิน เหลียนอีออกไป แต่เธอกลับไม่เต็มใจ “ทำไมเราไม่ดูด้วยกันล่ะ?”‘อะไรนะ? เธอยังอยากจะดูต่ออีกเหรอ?
มือของอี้หรานยังคงโอบรอบคอของอี้ จิ่นหลีอยู่ ขณะที่เธอมองไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคยตรงหน้าเธอ‘เขาคือ... จิน จินที่ฉัน... พึ่งพาได้…’“จิน รู้อะไรไหม? ฉันมีความสุขมาก… วันนี้…” เธอพึมพำเขาขมวดคิ้ว “มีความสุข?”“ใช่... มีความสุข... มันเหมือนกับว่าฉันได้เต้นรำไปพร้อมกับผู้คนบนเวที ฉันสามารถลืมปัญหาต่าง ๆ ไปได้…” เธอพูดพึมพำ เธอพยายามจะลืมอะไรกันแน่? เธอจำไม่ได้ว่าเธอต้องการลืมอะไรแต่ว่าการได้กอดจินแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย ราวกับว่าเธอได้พบเจอกับความสงบในใจที่หายไปนาน“เหลียนอี… บอกว่าผู้ชายห้าคนที่ร้องและเต้นบนเวที... เขากำลังมาแรง...”“เหลียนอีชอบคนผมสีเทาที่สุด แต่... เอ่อ... ฉันชอบคนผมสีดำมากกว่า... ฉันคิดว่าผู้ชายเอเชียดูดีที่สุดในผมสีดำ”“ฉัน... ฉันพยายามคว้าเสื้อผ้าของพวกเขาด้วย พวกเขาจะโยนเสื้อผ้าลงมาจากเวทีทีละคน… เหลียนอีบอกว่า... ถ้าฉันชอบเสื้อกั๊กที่เธอคว้าได้จริง ๆ เธอจะยกให้ฉัน…”ขณะที่หลิง อี้หรานพูดพร่ำไปมา เกา ฉงหมิงก็สัมผัสได้ถึงความกดอากาศในรถที่ลดต่ำลงเรื่อย ๆ เขากำลังกรีดร้องอยู่ในใจเพื่อให้หลิง อี้หรานหยุดพูดถ้าเธอพูดต่อไป นายน้อยอี้อาจจะอารมณ์เสียได้“จร
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค