แม้ว่าใบหน้าของอี้ จิ่นหลีจะดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น แต่ไป๋ ทิงซินก็ไม่รู้สึกย่อท้อดูเหมือนว่าเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวจะถูกตัดออกจากในโลกของพวกเขาเกา ฉงหมิงที่ยืนอยู่ข้างหลังอี้ จิ่นหลี รู้สึกถึงเหงื่อบนหลังของเขา หากนายน้อยอี้ต่อสู้กับไป๋ ทิงซิน มันอาจจะไม่จบลงด้วยดีแม้ว่าตระกูลไป๋จะไม่ได้อยู่ในเมืองเฉิน แต่ถ้าเขาอยากจะต่อสู้กับตระกูลอี้จริง ๆ ก็อาจจะต้องมีใครบางคนที่ต้องแพ้ยิ่งกว่านั้น ไป๋ ทิงซินที่ดูสง่างามและมีเสน่ห์ แต่จริง ๆ เขากลับโหดเหี้ยมและเจ้าเล่ห์ไม่อย่างนั้นไอ้เด็กเหลือขอจะกลายเป็นผู้นำของตระกูลไป๋ได้อย่างไร?!ทันใดนั้น หลิง อี้หรานที่อยู่ในอ้อมแขนของอี้ จิ่นหลีก็พูดกับชิน เหลียนอีว่า “เหลียนอี... จินมารับฉันแล้ว... ไว้เรามาดูกันใหม่... ครั้งหน้า...”“ได้... เราจะ... เราจะกลับมาดูอีก!” ชิน เหลียนอีตอบสองสาวขี้เมาทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น อี้ จิ่นหลีเดินออกจากบาร์อย่างรวดเร็วโดยมีหลิง อี้หรานอยู่ในอ้อมแขนของเขา เกา ฉงหมิงรีบตามเจ้านายออกไปในทันทีไป๋ ทิงซินต้องการพาชิน เหลียนอีออกไป แต่เธอกลับไม่เต็มใจ “ทำไมเราไม่ดูด้วยกันล่ะ?”‘อะไรนะ? เธอยังอยากจะดูต่ออีกเหรอ?
มือของอี้หรานยังคงโอบรอบคอของอี้ จิ่นหลีอยู่ ขณะที่เธอมองไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคยตรงหน้าเธอ‘เขาคือ... จิน จินที่ฉัน... พึ่งพาได้…’“จิน รู้อะไรไหม? ฉันมีความสุขมาก… วันนี้…” เธอพึมพำเขาขมวดคิ้ว “มีความสุข?”“ใช่... มีความสุข... มันเหมือนกับว่าฉันได้เต้นรำไปพร้อมกับผู้คนบนเวที ฉันสามารถลืมปัญหาต่าง ๆ ไปได้…” เธอพูดพึมพำ เธอพยายามจะลืมอะไรกันแน่? เธอจำไม่ได้ว่าเธอต้องการลืมอะไรแต่ว่าการได้กอดจินแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย ราวกับว่าเธอได้พบเจอกับความสงบในใจที่หายไปนาน“เหลียนอี… บอกว่าผู้ชายห้าคนที่ร้องและเต้นบนเวที... เขากำลังมาแรง...”“เหลียนอีชอบคนผมสีเทาที่สุด แต่... เอ่อ... ฉันชอบคนผมสีดำมากกว่า... ฉันคิดว่าผู้ชายเอเชียดูดีที่สุดในผมสีดำ”“ฉัน... ฉันพยายามคว้าเสื้อผ้าของพวกเขาด้วย พวกเขาจะโยนเสื้อผ้าลงมาจากเวทีทีละคน… เหลียนอีบอกว่า... ถ้าฉันชอบเสื้อกั๊กที่เธอคว้าได้จริง ๆ เธอจะยกให้ฉัน…”ขณะที่หลิง อี้หรานพูดพร่ำไปมา เกา ฉงหมิงก็สัมผัสได้ถึงความกดอากาศในรถที่ลดต่ำลงเรื่อย ๆ เขากำลังกรีดร้องอยู่ในใจเพื่อให้หลิง อี้หรานหยุดพูดถ้าเธอพูดต่อไป นายน้อยอี้อาจจะอารมณ์เสียได้“จร
ย้อนกลับไปตอนที่เธอยังอาศัยอยู่กับเขา พวกเขาก็เคยพูดคุยกันแบบนี้ตอนนั้น คำตอบของเธอคือ...“แน่นอน ก็ฉันชอบนายนี่น่า!” หลิง อี้หรานยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มขี้เล่น แต่คำตอบของเธอกลับเหมือนเดิม เหมือนเมื่อก่อน‘เธอทำตัวเหมือนตอนที่เราอยู่ด้วยกันเพราะเธอเมาหรือเปล่า? ย้อนกลับไปตอนนั้น เธอเป็นพี่สาวของฉัน ส่วนฉันก็เป็นจินของเธอ’“ถ้าฉันทำตัวดี เธอจะเป็นพี่สาวของฉันใช่ไหม?”‘เป็นพี่สาวของฉัน อยู่เคียงข้างฉันนะ’‘ถึงแม้ว่าฉันให้ความรักแก่เธอไม่ได้ แต่ฉันสามารถให้อย่างอื่นกับเธอได้’‘ฉันสามารถเติมเต็มความฝันและความทะเยอทะยานของเธอได้ ฉันสามารถทำให้คนที่ดูหมิ่นเธอก้มลงต่อหน้าเธอ และฉันสามารถพาเธอขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของลำดับชั้นทางสังคมได้’‘ตราบเท่าที่... เธออยู่เคียงข้างฉัน!’บางทีนี่อาจเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขารู้สึกผิดน้อยลง“แน่นอน ยังไง... ฉันก็เป็นพี่สาวของนายมาตลอด จิน ไม่ต้องกังวล ฉันจะ... ปกป้องนาย ฉันจะปกป้องนายเอง...” เธอพึมพำเปลือกตาของเธอเริ่มปิดลง ขณะที่น้ำเสียงของเธอก็แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ ในที่สุดเธอก็เอียงศีรษะและผล็อยหลับไปเขาค่อย ๆ จัดท่าให้เธอนอนลง จากนั้นเขาก็ห่มผ้าห่ม
ขณะที่คนรับใช้ไปเตรียมซุป ไป๋ ทิงซินก็จับให้ชิน เหลียนอีนั่งบนโซฟาแล้วพูดว่า “ผมจะส่งคุณที่บ้านหลังจากที่คุณทานซุปเสร็จแล้ว”ชิน เหลียนอีพึมพำ “ฉันไม่อยากกลับบ้าน ฉันอยากดูการแสดงต่อ ไปส่ง… ส่งฉันกลับ ฉันอยากดูหุ่นล่ำ ๆ พวกนั้น…”คำพูดของชิน เหลียนอีกระตุ้นไป๋ ทิงซิน “ฮะ? ชิน เหลียนอี ผมยังไม่ได้จัดการกับคุณเลยนะ คุณบอกผมว่าคุณมีงานด่วน แต่คุณกลับไปที่บาร์นั้นแทน ผมตามใจคุณไปมากจนคุณกล้าทำอย่างนี้เลยเหรอ?ชิน เหลียนอีสะดุ้งเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะเมา แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นความผิดของเธอ“คุณ... ตามหาฉันเจอได้ยังไง ฉัน... ฉันไม่ได้บอกคุณว่าฉันอยู่ที่บาร์สักหน่อย!” เธอบ่นราวกับไม่พอใจ“เธอบอกฉัน!” เขาบ่นด้วยความรำคาญ เขาคงไม่รู้ถ้าเธอไม่ได้โพสต์รูปภาพบนวีแชตของเธอเธอคร่ำครวญ“ส่งเสื้อกั๊กนั่นมา” ไป๋ ทิงซินพูด สายตาที่เธอมองดูเสื้อกั๊กของชายคนอื่นทำให้เขารู้สึกรำคาญ“ไม่!” ชิน เหลียนอีส่ายหัวและกำเสื้อกั๊กแน่นขึ้น “ฉันพยายาม… เอ่อ… ฉันพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มันมาเลยนะ!”“พยายามหนักมากไหม?” ไป๋ ทิงซินหัวเราะด้วยความโกรธ “ทำไมคุณถึงคว้าเสื้อกั๊กของพวกเขาเอาไว้แบบนี้?”“เป็น... ของที
ทว่า วิธีนี้กลับได้ผลกับชิน เหลียนอี เธอคลายนิ้วที่กำเสื้อกั๊กไว้เล็กน้อย แต่เธอกลับดูไม่เต็มใจนัก “ไป๋ ทิงซิน… คุณ… คุณหมายความว่าคุณจะไม่ให้ฉันเก็บเสื้อกั๊กไว้เหรอ?” เธอพูดด้วยความยากลำบาก ดวงตาที่พร่ามัวของเธอเต็มไปด้วยความคับข้องใจ“คุณว่าผมมีเสน่ห์มากกว่าไม่ใช่เหรอ? แล้วเก็บเสื้อกั๊กของคนอื่นไว้ทำไม?” เขาตะคอกโดยลืมไปว่ากำลังโต้เถียงกับผู้หญิงขี้เมา“พวกเขา... เต้นได้ คุณเต้นไม่ได้...” เธอพึมพำไป๋ ทิงซินโกรธมากจนพูดว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเต้นไม่ได้?”“งั้นก็เต้น… อืม… เต้น… และถอดเสื้อผ้าของคุณออกด้วย…” เธอพูดเสริมในตอนท้ายเขาจ้องมองที่เธอ “ถ้าผมเต้นให้คุณดู คุณจะหยุดคิดถึงผู้ชายคนอื่นไหม?”“แน่นอน... ฉันสัญญา!” เธอพยักหน้าเล็กน้อย“ก็ได้ รักษาคำพูดของคุณด้วย ถ้าคุณกล้ากลับคำพูด...” เขาหยุดชั่วคราว “ผมจะไม่ให้โอกาสคุณได้กลับพูดเด็ดขาด”จากนั้น ไป๋ ทิงซินจึงยกมือขึ้นและปลดกระดุมเสื้อต่อหน้าชิน เหลียนอี…เขาค่อย ๆ ขยับตัวไปมา การแสดงดังกล่าวไม่เคยมีมาก่อนในต่างประเทศการเต้นมันง่ายสำหรับเขา และเขาสามารถเต้นได้ดีกว่าผู้ชายพวกนั้น ตราบใดที่เธอยังจับตาดูเขาอยู่‘เธอไม่ได้
เมื่อเห็นคนรับใช้เข้ามา ไป๋ ทิงซินก็หันไปมองเธอและตะโกนอย่างเย็นชาว่า “ออกไป!”“ค่ะ ค่ะ!” คนรับใช้รีบวางถ้วยซุปและออกจากห้องนั่งเล่นไปเหลือเพียงชิน เหลียนอีและไป๋ ทิงซินอยู่ในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่“เหลียนอี ลุกขึ้น!” ไป๋ ทิงซินสั่ง“ไม่” เธอเมามาก แต่เสียงตะโกนของเธอก็ยังดังก้องออกมาอย่างชัดเจน“หยุดเดี๋ยวนี้ ดื่มซุปก่อน” เขาอดทนมากจนลูกน้องของเขาคงจะตกใจถ้าพวกเขาเห็นเจ้านายตัวเองอยู่ในสภาพแบบนี้เขาไม่เคยต้องการเปิดใจให้ใครเลย ไม่ต้องพูดถึงการเกลี้ยกล่อมผู้หญิงแบบนี้ เธอเป็นข้อยกเว้นเพียงคนเดียวของเขา“ไป๋ ทิงซิน... ฉันจะทำยังไงดี? ดูเหมือนว่า… ฉันจะชอบคุณนะ… เอ่อ... มากขึ้นเรื่อย ๆ…” เธอพึมพำเขารู้ว่าเธอพูดแบบนั้นออกมาเพราะเธอเมา เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาปวดร้าว “ถ้าคุณชอบผมจริง ๆ ทำไมคุณถึงไปที่นั่นแล้วไปเอาเสื้อผ้าของผู้ชายคนอื่นมาล่ะ?”“ฉันช่วยอี้หราน… ให้ได้ปลดปล่อยอารมณ์ ฮิฮิ… แล้ว… พวกเขาก็หล่อมาก… แต่ว่า…” เธอเรออีกครั้งก่อนที่จะเอามือไปกุมหน้าเขาไว้ “ฉัน... แค่ชอบมองพวกเขา... คุณต่างหาก... คือคนเดียวที่ฉันชอบ... ฉันชอบคุณมาก มากเหลือเกิน...”เธอพูดพร้อมกับหอมแก
เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ‘ฉันเมาแล้วฉันจำไม่ได้ว่าเราทำอะไรลงไป ฉันต้องพยายามนึกให้มากขึ้นอีกนิดและนึกถึงช่วงเวลาที่น่าจดจำกับเขา’ราวกับว่าเธอกำลังจำอะไรบางอย่างได้ เธอร้องออกมาว่า “อ๊ะ อี้หรานอยู่ที่ไหน? เมื่อวานฉันอยู่กับอีหรานไม่ใช่เหรอ?”ไป๋ ทิงซินรู้สึกรำคาญเมื่อเธอพูดถึงเรื่องนี้ “คุณจำได้ว่าคุณอยู่กับหลิง อี้หรานเหรอ? เมื่อวานคุณบอกผมว่าอะไร? คุณบอกว่าคุณมีงานที่ต้อง แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนั้น? คุณพาหลิง อี้หรานไปสถานที่แบบนั้นเพื่อดูโชว์ของผู้ชาย”ชิน เหลียนอีสะดุ้งอย่างรู้สึกผิด “ฉันแค่อยากช่วยอี้หรานได้ปลดปล่อย ตลอดทั้งวันฉันก็นั่งทำงานในโครงการ แล้วฉัน... ฉันก็ไปอี้หรานในตอนบ่าย!”“แล้วเสื้อผ้าที่คุณเอากลับมาล่ะ? ผมไม่เคยเห็นคุณคว้าเสื้อผ้าของผมแบบนั้นบ้างเลย แต่คุณกลับไปคว้าเอาเสื้อผ้าของคนแปลกหน้ามา” เขาสะบัดตัวออก แต่การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยนและระมัดระวัง“ฉัน... ฉันทำมัน... เพื่ออี้หราน!” ชิน เหลียนอีใช้หลิง อี้หรานเป็นข้ออ้างในทันที‘อืม ฉันควรบอกว่าฉันจะมอบมันให้แก่เพื่อนสนิท’“อ๋อ ใช่ แล้วเสื้ออยู่ไหนล่ะ?” เธอนึกออกในทันที“ผมโยนมันทิ้งไปแล้ว” ไป๋ ทิงซินพูดขณ
“ถ้าอย่างนั้น… พวกเขาไม่รู้หรือว่าเรา… บ้าเอ๊ย!” ชิน เหลียนอีคร่ำครวญ ‘พ่อแม่ของฉันเป็นพวกหัวโบราณสุด ๆ ถ้าพวกเขารู้ว่ามีคนมายุ่งกับฉัน… เอ่อ ไม่… ถึงฉันมีอะไรกับใคร พวกเขาก็จะลงโทษฉันด้วยการให้ฉันคุกเข่าบนกระดานหลังจากฉันกลับบ้านใช่ไหม?’“มันน่าอายมากไหมที่จะนอนกับผม?” ท่าทางของเขานิ่งขึ้น เธอดูราวกับว่าเขาเป็นความลับที่น่าสยดสยองที่เธอต้องเก็บไว้“ไม่ ไม่! ไม่มีอะไรน่าภูมิใจไปกว่าการได้นอนกับคุณแล้ว! ฉันแค่กลัวว่าพ่อแม่ของฉันจะรับไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นพวกหัวโบราณ” ชิน เหลียนอีโพล่งออกมาไป๋ ทิงซินรู้สึกว่าทุกครั้งที่เขากำลังจะโกรธ ผู้หญิงคนนี้ก็จะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น “ทั้งหมดที่ผมบอกพ่อแม่ของคุณคือคุณดื่มแอลกอฮอล์ไปสองสามแก้วและนอนในห้องรับแขกที่ผมจัดไว้ให้”‘ว้าว!’ชิน เหลียนอีรู้สึกโล่งใจ“เอาล่ะ ไปแต่งตัวแล้วลงไปกินข้าวเช้า กินซุปแก้เมาค้าง มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น” เขาสั่ง เนื่องจากเธอไม่ได้ดื่มซุปเมื่อคืนนี้ เขาจึงอยากให้เธอได้ดื่มซุปก่อน“โอเค!” ชิน เหลียนอีตอบ จากนั้นเธอก็มองดูไป๋ ทิงซินลุกจากเตียงและเดินไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เธอ ก่อนที่เขาจะสวมเสื้อผ้าของตัวเอ